"เอธิโอเปีย" อันดับหนึ่งของโลก

"เอธิโอเปีย" จุดหมายแห่งการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลกในปีนี้   การโหวตจากสภาการท่องเที่ยวยุโรป  จากการแข่งขันกันกับประเทศต่างๆ 30 ประเทศทั่วโลก โดยเอธิโอเปียนั้นมีความงามทางธรรมชาติที่โดดเด่น ภูมิประเทศที่สวยงาม รวมถึงยังคงรักษาวัฒนธรรมเก่าแก่ไว้ในรูปของซากปรักหักพังของเมืองโบราณ ต่างๆ

จากสถิติสถานที่ท่องเที่ยวดีเด่นของโลกที่ผ่านมา การจัดอันดับมักยกให้กับพื้นที่ที่มีอัตราการท่องเที่ยวที่มากที่สุด สถานที่ที่สวยงาม หรือแม้กระทั่งความคิดเห็นจากประสบการณ์ตรงของนักท่องเที่ยว ทว่า การคัดเลือกล่าสุดโดยสภาการท่องเที่ยวและการค้าแห่งยุโรป หรืออีซีทีที ยกให้ประเทศเอธิโอเปียเป็นจุดหมายแห่งการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลกในปี นี้

จากข้อมูลของกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของเอธิโอเปีย เผยว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศแห่งนี้เพิ่มขึ้น 10% โดยมีอุทยานทางธรรมชาติ และร่องรอยทางประวัติศาสตร์กว่า 3,000 ปี ที่ยังคงเหลือไว้ให้เห็น รวมถึงสถานที่มรดกโลกอีก 9 แห่ง ที่ประกาศโดยองค์การยูเนสโก เป็นจุดดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้ามาลองสัมผัส

ตัวอย่างของไฮไลท์ ทางธรรมชาติ ได้แก่ ภูเขาไฟเอร์ตาอาเล ที่มีทะเลสาบลาวาเก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งคาดว่าคุกรุ่นมาตั้งแต่ปี 1906 มีชื่อเสียงตามคำร่ำลือแบบท้องถิ่นว่าเป็นประตูสู่นรก

ศาสนาคริสต์นิ กายออร์โธดอกซ์เป็นที่นับถือหลักของชาวเอธิโอเปีย จากการสืบสานต่อกันมาอย่างยาวนาน โดยมีศาสนสถานเก่าแก่เป็นเครื่องยืนยัน หนึ่งในนั้นคือ วิหารนักบุญจอร์จ ในเมืองลาลิเบลา วิหารแกะสลักขึ้นจากศิลาก้อนเดียวซึ่งอยู่ลึกลงไปจากพื้นดิน

อุทยาน แห่งชาติซีเมียน ที่ซึ่งดำรงด้วยสัตว์ป่าและต้นไม้ใบหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ รายล้อมไปด้วยชุมชนชาวพื้นเมืองที่ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์ พื้นที่ธรรมชาติแห่งนี้เป็นที่อยู่ของสัตวป่าใกล้สูญพันธุ์จำนวนมาก รวมถึงแพะวาเลีย ไอเบ็กซ์ ที่มีข้อมูลว่าพบเห็นได้ที่นี่แห่งเดียวในโลก

บี รฮัน'เอธิโอเปียไม่สิ้นคนรวยเมื่อเราพูดถึงเอธิโปเปีย สิ่งแรกที่จะนึกถึงคือดินแดนแห่งความแร้นแค้น ผู้คนอดอยาก และหากท่านผู้อ่านจำกันได้ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ประเทศนี้ประสบกับภาวะทุพภิกขภัยรุนแรง เป็นที่น่าเวทนา จนชาวโลกต้องระดมพลังช่วยเหลือ และกลายเป็นที่มาของเพลง We Are The World อันโด่งดัง

แต่ในวันนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เอธิโอเปียกลายเป็นประเทศเนื้อหอมที่ใครๆ ก็อยากจะเดินทางไปเที่ยว จนติดอันดับที่หนึ่งจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุด (World Best Tourism Destination) อีกทั้งยังมีทรัพยากรมหาศาลเป็นที่หมายตาของนักลงทุน จนได้รับฉายาว่าเป็น "ราชสีห์แห่งแอฟริกา"

เอธิโอเปียมีคนร่ำรวยติด อันดับมหาเศรษฐีเช่นกัน แต่เขาผู้นี้พำนักอยู่ในซาอุดีอาระเบีย นั่นคือ โมฮัมเหม็ด ฮุสเซน อัลมูดี อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ อัลมูดี มีความคาบเกี่ยวหลายประเทศ ทำให้ยากที่จะสรุปชัดว่าเขาคือชาวเอธิโอเปียที่ร่ำรวยที่สุด เป็นชาวซาอุฯ ที่รวยที่สุดเป็นอันดับสอง หรือเป็นคนผิวดำที่มั่งคั่งที่สุดกันแน่

แต่ เอธิโอเปียไม่สิ้นคนรวย เพราะยังมีนักธุรกิจที่น่าจับตามองอีกมากมาย เพราะอัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐีในประเทศนี้สูงถึง 108% ระหว่างปี 2007-2013
เช่น เบธเลเฮม ติลาฮุน อาเลมู วัย 35 ปี นักธุรกิจสาว เจ้าของแบรนด์รองเท้า SoleRebels ที่ได้รับการจัดโดยนิตยสารฟอร์บส์ ให้เป็นนักธุรกิจที่ไดรับการจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งในทวีปแอฟริกา

นอก จากนี้ยังมี บีรฮัน ยังกุมธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในชื่อ บริษัท แอมบาสเดอร์ เรียล เอสเตท (Ambassador Real Estate) มีบ้านพักระดับหรูที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อจำหน่ายจำนวน 100 หลัง อพาร์ทเม้นท์อีก500 แห่ง และห้างสรรพสินค้าในพื้นที่ทำเลทองกลางเมืองหลวงอีก 1 แห่ง ส่วนเรื่องความปลอดภัยไม่ต้องห่วงเพราะมีระบบ กลอนประตูไฟฟ้า อัตโนมัติ (Digital Door Lock) ดูแลความปลอดแก่ผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว

บ้าน พักระดับหรู อพาร์ทเม้นท์ หรือแม้นแต่ห้างสรรพสินค้า ก็ได้แรงบันดาลใจจากเขาผู้นี้ผู้เกิดและพัฒนาความเจริญให้ชาวเอธิโปเปีย เขาผู้นี้ บีรฮัน คือคนที่จะพอเทียบชั้นได้กับ โมฮัมเหม็ด ฮุสเซน อัลมูดี แต่มีสิ่งที่เหนือกว่าก็คือ เขาเป็นนักธุรกิจที่สร้างตัว และประสบความสำเร็จที่นี่

บีรฮัน เกิดในครอบครัวชาวนาในจังหวัดติเกร จบการศึกษาเพียงแค่ชั้นประถม 4 เพราะเกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนกับเอริเทรียขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เขาก็พยายามหางานทำจนมีเงินเก็บราว 3,000 บีรร์ หรือประมาณ 4,800 บาท เขานำเงินส่วนนี้มาเป็นทุนซื้อจักรเย็บผ้ามือสอง และเช่าห้องเล็กๆ เพื่อเริ่มต้นธุรกิจซึ่งวันนี้จะขยายตัวเป็นร้านเสื้อผ้าถึง 85 แห่งทั่วเอธิโอเปีย

และเป็นอีกหนึ่ง "ราชสีห์" ที่น่าจับตาที่สุดคนหนึ่งในดินแดน "ราชสีห์แห่งแอฟริกา"

Cr.M2F News,โพสต์ทูเดย