อุยกูร์ คือใคร ? |
"อุยกูร์" เป็นกลุ่มเชื้อชาติในกลุ่มชาติพันธุ์ "เตอร์กิช" หรือกลุ่มเชื้อชาติที่ใช้ภาษาตุรกี เช่นเดียวกับชาวตุรกี ซึ่งก็ได้กระจัดกระจายไปพื้นที่ต่างๆ ในแถบเอเชียกลาง บางประเทศก็อยู่เป็นชนกลุ่มน้อย แต่บางประเทศก็มีประชากรจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตปกครองซินเจียง-อุยกูร์ ของจีน มีประชากรมากถึง 45% หรือ ประมาณ 10 ล้านคน ของประชากรในเขตปกครองซินเจียง-อุยกูร์
เขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ถือเป็นเขตปกครองตนเองที่ใหญ่ที่สุดในจีน หรือมีขนาด 1/6 ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยมีชายแดนติดกับ 8 ประเทศ คือ มองโกเลีย รัสเซีย คาซัคสถาน เคอร์ดิสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย
การปฏิวิติของเหมาเจ๋อตุง ประเทศจีนได้แบ่งชาวจีนออกเป็นชนชาติต่างๆ ทั้งหมด 56 ชนชาติ (nationality) ซึ่งในจำนวนนี้มีชนชาติที่เป็นมุสลิมจำนวน 10 ชนชาติ ดังนั้น ชนชาติอุยกูร์ คือหนึ่งในสิบของชนชาติมุสลิมในประเทศจีน คำว่า “ชนชาติ” มาจากภาษาจีนว่า “หมินจู๋” (minzu) คำนี้เพิ่งถูกกล่าวถึงในภาษาจีนเป็นครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 20 นี้เอง โดยมีที่มาจากภายหลัง ดร.ซุน ยัตเซ็น ได้โค่นล้มระบบราชวงศ์ของจีนลงในปี ค.ศ.1911
แนวคิด “หมินจู๋” เป็นแนวคิดที่ ดร.ซุน ยัตเซ็น นำเข้าและได้รับอิทธิพลจากจากอุดมการณ์ชาตินิยมที่ฝังรากมายาวนานในสังคม ญี่ปุ่นที่เรียกว่า “หมินโจกุ” โดยเห็นว่าหากขบวนการชาตินิยมจีนจะเป็นจริงขึ้นมาได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมี การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์อย่างถอนรากถอนโคนระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้ ปกครองที่ได้ยืนหยัดมายาวในสังคมจีน
หรืออาจเข้าใจได้ในทางยุทธวิธีก็คือว่า ดร.ซุน ต้องการใช้แนวคิดนี้เพื่อระดมชาวจีนทั้งประเทศเพื่อทำการโค่นล้มราชวงศ์ชิง ซึ่งถูกสถาปนาขึ้นโดยกลุ่มคนเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น หรือที่เรียกว่าชาวแมนจู (Manchu) โดยพยายามบอกว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศจีนนั้นเป็นชนชาวฮั่น (Han)
ดังนั้น ดร.ซุน จึงเห็นว่า แนวคิด “หมินจู๋” เป็นสัญลักษณ์ชาตินิยมที่ทรงประสิทธิภาพในการต่อต้านพวกแมนจูและชาวต่างชาติ อื่นๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ในประเทศจีนย่อมเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้น ดร.ซุน ยัตเซ็น จึงได้รณรงค์ความคิดว่าประเทศจีนประกอบด้วยผู้คน 5 กลุ่ม คือ ชาวฮั่น ชาวแมนจู ชาวมองโกล ชาวทิเบต และชาวหุย (ซึ่งรวมชาวมุสลิมทุกกลุ่มไว้ในกลุ่มนี้ ซึ่งต่อมายุคประธานเหมาได้แบ่งย่อยเป็น ชาวหุย ชาวอุยกูร์ ชาวคาซัก ฯลฯ) และแนวคิดนี้ได้กลายเป็นแนวนโยบายหลักของ ดร.ซุน ในการตั้งระบอบสาธารณรัฐเป็นครั้งแรกของจีน
ตามประวัติภายหลังการปฏิวัติของเหมา เจ๋อ ตุง ได้แบ่งชาวจีนออกเป็นชนชาติต่างๆ ทั้งหมด 56 ชนชาติ ซึ่งในจำนวนนี้มีชนชาติที่เป็นมุสลิมจำนวน 10 ชนชาติ หนึ่งในนั้น ก็คือชนชาติอุยกูร์
ชาวอุยกูร์ทุกคนเชื่ออย่างมั่นคงว่า บรรพบุรุษของพวกตนคือชนพื้นเมืองในลุ่มน้ำทาริม ซึ่งครอบคลุมบริเวณกว้างถึงประมาณ 350,000 ตารางกิโลเมตร หรือคือมณฑลซินเจียง ในปัจจุบัน โดยดินแดนซินเจียงได้ตกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีนตั้งแต่สอง พันปีก่อนเป็นต้นมา
พอมาถึงราชวงศ์ชิง รัฐบาลกลางของจีนได้แต่งตั้งนายพลอีหลี ไปปกครองดินแดนซินเจียงทั้งหมดและเมื่อถึงปี 2427 เขตซินเจียงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมณฑล ก่อนที่เดือน ก.ย.2492 ซินเจียงได้รับการปลดแอกอย่างสันติ จนกลายเป็นเขตบริหารระดับมณฑลที่มีอำนาจปกครองตนเองตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2492
เปิดสาเหตุ ทำไมอุยกูร์ ต้องหนี!
สาเหตุ เริ่ม 5 ก.ค.2552 ชาวอุยกูร์ นับพันคนได้ออกมาประท้วงทางการจีน เนื่องจากถูกจำกัดสิทธิในหลายเรื่อง ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ทางการได้ส่งชาวฮั่นเข้ามาในพื้นที่ปกครองตนเองของชาวอุยกู ร์จำนวนมาก ซึ่งหลังจากเหตุประท้วง ส่งผลให้มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและชาวฮั่น จนเกิดเหตุการจลาจล ทำให้มีผู้เสียชีวิต 197 เจ็บ 1,721 รถถูกเผา อาคารถูกทุบทำลายหลายหลัง ชาวอุยกูร์ เชื่อว่ายอดผู้เสียชีวิตมีจำนวนมากกว่านี้ เพราะมีผู้ชายสูญหายไปจำนวนมาก
หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นหลายครั้ง กระทั่งวันที่ 1 มี.ค.57 เกิดเหตุคนร้ายนับ 10 ราย ถือมีดไล่ฆ่าประชาชนไม่เลือกหน้า ในสถานีรถไฟในเมืองคุนหมิง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนาน ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิต 29 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 143 ราย
จับอุยกูร์ หนีเข้าไทย
กลางเดือนมีนาคม 2557 กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 จ.สงขลา (บก.ตม.6) จับกุมต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 220 คน เป็นชาย 78 คน หญิง 60 คน และเด็ก 82 คน ได้ในพื้นที่สวนยาง หมู่ 10 บ้านคลองต่อ ต.รัตภูมิ จ.สงขลา ซึ่งกลุ่มคนกลุ่มนี้อ้างว่ามาจาก "ตุรกี" โดยที่ไม่มีหนังสือเดินทาง
นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 14 มี.ค.57 ว่า คนกลุ่มนี้ไม่ได้มาจากตุรกี แต่มาจากประเทศจีน โดยลี้ภัยเนื่องจากมีปัญหากับทางการจีนเป็นเวลานาน ทางการจีนมอง อุยกูร์ เป็นคนมุสลิมที่มีชาติพันธุ์ภาษา และวัฒนธรรมเป็นพวกเติร์ก พยายามหลอมรวมตนเองเข้ากับดินแดนแถบเอเชียกลาง ทางการจีนจึงมองว่าเป็นพวก "แบ่งแยกดินแดน" ส่งผลให้ถูกกวาดล้าง
ฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย เป็นห่วงว่าทางการไทยจะส่งตัวกลุ่มคนเหล่านี้ให้กับจีน แล้วจะถูกทารุณกรรม ต่อมา ทางการสหรัฐฯ ก็ได้แถลงการณ์ขอให้ไทยดูแลชาวมุสลิมกว่า 200 ชีวิตที่ยังไม่ระบุสัญชาติ โดยขอว่าอย่าด่วนส่งตัวกลับไปที่จีน
19 เม.ย.57 นายจาง อี้ หมิง ที่ปรึกษาสถานเอกอัคราชทูตจีน และคณะเดินทางมาที่ห้องกักตัวผู้ต้องหาหลบหนี ที่ ตม.สะเดา ซึ่ง นายจางอี้ หมิง บอกว่า พิสูจน์ชัดแล้วร้อยละ 40 ทั้งหมดเป็นชาวอุยกูร์ โดยถูกหลอกผ่านขบวนการค้ามนุษย์ โดยเดินทางเข้ามาทางลาว กัมพูชา ก่อนจะเข้าไทย โดยมีเป้าหมายจะไปประเทศที่3 ส่วนสาเหตุเพราะเข้าใจผิดว่าทางการจีนจะปราบ
"เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกหลอกลวง เราให้ความเมตตาช่วยเหลือเขาเพราะเป็นประชาชนชาวจีน เป็นพี่น้องของเรา บางคนเป็นห่วงถ้ารับกลับจะถูกลงโทษ ถูกกดขี่ทางการเมืองหรือไม่ หลายๆ คนไม่มีข้อมูล ป้ายสีทางการจีนว่าโหดร้ายทารุณ จึงไม่เป็นความจริง พร้อมให้การช่วยเหลือชาวอุยกูร์ เรามาวันนี้ อยากจะช่วยเหลือทางการไทยในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าเรื่องการพิสูจน์สัญชาติ การให้ความช่วยเหลือดูแลชาวอุยกูร์ ทีมแพทย์ เวชภัณฑ์ เรื่องสุขภาพ และอาหาร พร้อมกับขอขอบคุณ และชื่นชม ตม.ไทย รวมทั้งทุกหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือชาวมุสลิมจีน และให้ความร่วมมือกับประเทศจีนดีมากๆ" นายจางอี้ หมิง กล่าว วันนั้น
ไทยส่งอุยกูร์ให้จีน ชนวนเหตุไม่พอใจ
ช่วงปลายปี 57 ก็เกิดข่าวครึกโครม เมื่อมีรายงานว่า กลุ่มมุสลิมอุยกูร์ หายไปจากที่กักตัวนับร้อยราย โดยสามารถตามกลับมาได้เพียง 20 รายเท่านั้น ซึ่งจากรายงานทราบว่า ชาวอุยกูร์ ได้ทยอยหลบหนีจากบ้านพัก กระทั่งมาทราบเป็นข่าวภายหลัง เมื่อเรื่องแดง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้สั่งการตรวจสอบ ซึ่งทางตำรวจได้ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์
อย่างไรก็ดี สาเหตุที่ทำให้กรณีอุยกูร์ มาประทุ จนกระทั่งส่งผลอย่างร้ายแรงต่อไทย เพราะ สภาอุยกูร์โลก ออกมาเปิดเผยว่า ไทยได้แอบเนรเทศชาวอุยกูร์ ที่อยู่ในประเทศกว่า 90 คน ให้กับจีน โดยส่งผ่านเครื่องบินจากสนามบินใกล้กรุงเทพฯ เรื่องดังกล่าวจึงกลายเป็นที่สนใจจากชาวอุยกูร์ ทั่วโลก โดยเฉพาะในตุรกี เพราะเกรงว่าชาวอุยกูร์ กลุ่มนี้ จะเจอชะตากรรมที่โหดร้าย ในประเทศจีน
Cr.ไทยรัฐ,เล่าสู่กันฟัง ,Synergy | Facebook