27 พ.ย. 2558

เวชศาสตร์นิวเคลียร์ ศิริราช


เวชศาสตร์นิวเคลียร์ ศิริราช
ปัจจุบันคนไทยเริ่มให้ความสำคัญในการออกกำลังกายและดูแลสุขภาพมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายของตนเองดูดีอยู่เสมอและห่างไกลจากโรคมะเร็ง แต่วิวัฒนาการเดียวนี้สามารถตรวจสอบร่างกายว่ามีสุขภาพดีพอที่จะสู้โรค มะเร็งได้หรือเปล่าที่ได้จาก การวัดค่าต่าง ๆ  สามารถวัดได้ทั้ง น้ำหนักร่างกาย เปอร์เซ็นไขมัน มวลน้ำ มวลกล้ามเนื้อ และมวลกระดูก เพียงแค่มีเครื่องชั่งน้ำหนักเพียงเครื่องเดียว แต่วิวัฒนาการทางการแพทย์ด้วยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ก็สามารถตรวจดูลึกลงไปเพื่อตรวจดูเชื่อมะเร็งได้ด้วย

“60 ปีเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ศิริราช” พัฒนาฝ่าฟันอุปสรรคมามากมายกว่าจะเป็นการบริการเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ครบ วงจรในวันนี้...นับเป็นหนึ่งในศักยภาพวงการแพทย์ประเทศไทยที่สำคัญ ทั้งด้านบริการ การเรียนการสอน และการวิจัยในอนาคต สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ภาควิชารังสีวิทยา โรงพยาบาลศิริราช ได้ให้บริการตรวจ PET/CT มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ในผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม และ ผู้ป่วยโรคลมชัก

“เวชศาสตร์ นิวเคลียร์ทางการแพทย์” คือการใช้สารเภสัชรังสีเพื่อประโยชน์ในการตรวจและรักษาผู้ป่วย การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่เป็นประโยชน์ เช่น การตรวจการกระจายของมะเร็งมาที่กระดูก การตรวจการทำงานของไต การตรวจหาจุดอุดตันของทางเดินน้ำเหลือง การตรวจวัดมวลกระดูกและการรักษาทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ได้แก่ การรักษาผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษหรือผู้ป่วยมะเร็งไทรอยด์ด้วยไอโอดีนรังสี 131 และ การรักษาการกระจายตัวของมะเร็งด้วยสารเภสัชรังสี

ปัจจุบันใน ประเทศไทยมีนวัตกรรมการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่เป็นประโยชน์ในผู้ป่วย มะเร็ง เรียกว่า PET/CT (Positron emission tomography/computed tomography) สำหรับการตรวจ รักษาโรคมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งบริเวณศีรษะและคอ มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากมีความแม่นยำสูงในการประเมินระยะโรคของมะเร็ง ประเมินผลการรักษาตรวจหาโรคมะเร็งที่กลับเป็นซ้ำ รวมทั้งสามารถพยากรณ์โรคได้ การตรวจ PET/CT จึงช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม

นอกจาก นี้แล้วก็มีนวัตกรรมการรักษาใหม่ๆ กรณีมะเร็งแพร่กระจายมาที่กระดูก การตรวจกระดูกทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์และการแพร่กระจายของมะเร็ง ด้วยวิธีการที่เราให้สารเภสัชรังสีเข้าไปสะสมอยู่ในตัวกระดูก ไปทำลายเซลล์มะเร็งที่กระดูก ทำให้ยุบลง คนไข้ก็หายปวด ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

รองศาสตราจารย์แพทย์หญิง สุนันทา เชี่ยววิทย์ หัวหน้าสาขาวิชาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ศิริราช และ อาจารย์แพทย์หญิงเบญจาภา เขียวหวาน ให้ข้อมูลว่า ศิริราชเป็นแห่งแรกในประเทศไทย โดยท่าน ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณนายแพทย์ร่มไทร สุวรรณิก ถือเป็น “บิดาแห่งเวชศาสตร์นิวเคลียร์แห่งประเทศไทย” ก่อตั้งและทำให้เกิดความก้าวหน้าทางการแพทย์ในศาสตร์นี้

ผ่านมาถึง วันนี้ “เวชศาสตร์นิวเคลียร์” เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่จะช่วยในการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยโดยส่วนใหญ่ก็จะ เป็นผู้ป่วยมะเร็ง โดยใช้สารที่ให้รังสีโพสิตรอน ซึ่งสารพวกนี้มีในธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น คาร์บอน ไนโตรเจน ฟลูออรีน แล้วเราก็ไปจับติดฉลากให้ได้สารเภสัชรังสีที่ต้องการ

ยกตัวอย่างเรา อยากจะดูน้ำตาลก็ไปติดฉลากจนได้"น้ำตาลรังสี" เวลาเอามาตรวจ"น้ำตาลรังสี"จะวิ่งเข้าไปที่เซลล์มะเร็งสูงกว่าเซลล์ปกติ เพราะเซลล์มะเร็งใช้น้ำตาลเยอะ เมื่อเราถ่ายภาพก็จะรู้เลยว่าตรงไหนเป็นตำแหน่งมะเร็ง เพราะจะมีตำแหน่งของน้ำตาลเยอะกว่าปกติ นี่คือวิธีการ มีความแม่นยำสูง เป็นการศึกษาในระดับเมตาบอลิสม์ของเซลล์

คำถามต่อมา เมื่อพูดถึงรังสี น่ากลัวหรือเปล่า? อาจารย์แพทย์หญิงเบญจาภา เสริมว่า รังสีมีปริมาณไม่มาก แล้วจะลดระดับลงไปเรื่อยๆ ปลอดภัย คนไข้ตรวจเสร็จไม่ต้องนอนโรงพยาบาลก็สามารถกลับบ้านได้ ตัวคนไข้ไม่แพ้ โมเลกุลก็เหมือนน้ำตาลไม่มีรายงานเลยว่าแพ้

เรามี “เครื่องไซโคลตรอน”...ผลิตสารรังสีได้เอง ครบวงจรสืบเนื่องจากสารพวกนี้มีคลื่นชีวิตสั้นสองชั่วโมงก็ลดระดับลงไปครึ่ง หนึ่ง...ตัวที่ยาวที่สุด ถ้าไม่มีเครื่องไซโคลตรอนก็ต้องสั่งสารรังสีจากที่อื่น ก็จะเกิดปัญหาในเรื่องของการขนส่งที่ต้องใช้เวลา ปัจจุบันจึงมีความพยายามทำให้ครบวงจร

“เครื่องไซโคลตรอนทำให้เรา สามารถผลิตยามาฉีดคนไข้ แล้วก็ตรวจในที่เดียว ถัดมาก็คือสามารถผลิตสารได้หลากหลาย ดูเมตาบอลิสม์ต่างๆของเซลล์มะเร็งได้มากมาย ทำให้เป็นประโยชน์ในเรื่องของงานวิจัย เป็นความก้าวหน้าต่อไปในอนาคต”

หาก จะถามว่าในอนาคตจะพัฒนาก้าวหน้าไปในรูปแบบไหน นอกจากงานวิจัยก็จะเปิดให้บริการคนไข้แล้ว เราสามารถตรวจมะเร็งได้หลากหลาย เช่น มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นมะเร็งที่ไม่ดูดน้ำตาล เราไม่สามารถที่จะดูเรื่องน้ำตาลเมตาบอลิสม์ได้ เราก็ต้องไปหาสารที่ดูด เช่นโคลีน เพื่อที่จะตรวจได้อย่างครอบคลุม กว้างขึ้น

Cr.ไทยรัฐ

ฝนดาวตกลีโอนิดส์


สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร) โดย ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เผยว่า ในเดือนพฤศจิกายนของทุกๆ ปี ช่วงระหว่างวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2558 จะเกิดปรากฏการณ์ "ฝนดาวตกลีโอนิดส์" หรือ ฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโต สังเกตได้ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 ต่อเนื่องไปถึงรุ่งเช้าของวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 คาดปีนี้ เห็นได้ประมาณ 10-15 ดวงต่อชั่วโมง แนะ ดูหลังเที่ยงคืน คือช่วงที่ดีที่สุด ...

สำหรับ ในปีนี้ กลุ่มดาวสิงโต หรือ"ฝนดาวตกลีโอนิดส์" จะโผล่พ้นจากขอบฟ้าในเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 18 พฤศจิกายน ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสังเกตปรากฏการณ์ ฝนดาวตกลีโอนิดส์มากที่สุด คือ เวลาประมาณ 03.00 น. เป็นต้นไปจนถึงรุ่งเช้า ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณใกล้กลุ่มดาวสิงโต ซึ่งเป็นศูนย์กลางการกระจายของฝนดาวตก

แต่ ปีนี้เป็นที่น่าเสียดาย ในประเทศไทยจะมีโอกาสมองเห็นฝนดาวตกดังกล่าวในจำนวนไม่มากนัก ประมาณ 10-15 ดวงต่อชั่วโมง แม้จะมีให้เห็นในปริมาณน้อย แต่ฝนดาวตกลีโอนิดส์ถือเป็นฝนดาวตกที่มีความสว่างมากที่สุด เนื่องจากมีการเคลื่อนที่ผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศในอัตราเร็วถึง 71 กิโลเมตรต่อวินาที ผู้สนใจสามารถรอชมความสวยงามของปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิดส์ได้ในคืนดังกล่าว

ช่วง เวลาที่ดีที่สุดในการสังเกตฝนดาวตก คือตั้งแต่หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป เนื่องจากเวลาหัวค่ำจนถึงก่อนเที่ยงคืนเป็นช่วงที่ดาวตกวิ่งสวนทางการหมุน รอบตัวเองของโลก เราจะเห็นดาวตกมีความเร็วสูง ทำให้สังเกตได้ยาก แต่หลังเที่ยงคืนไปจนถึงเวลาใกล้รุ่ง จะเป็นช่วงที่ดาวตกวิ่งตามทิศทางการหมุนของโลก เราจึงเห็นดาวตกวิ่งในอัตราเร็วที่ช้ากว่า จนมีเวลาที่สามารถชี้ชวนกันดูได้ และมองเห็นความสวยงามของดาวตกได้ชัดเจนขึ้น

สถานที่ในการชมฝนดาวตก ควรเป็นสถานที่ที่ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีแสงไฟรบกวน จะสังเกตดาวตกมีความสว่างมาก ส่วนวิธีการชมฝนดาวตกให้สบายที่สุด ให้นอนรอชม เนื่องจากช่วงที่เกิดฝนดาวตก จุดศูนย์กลางจะอยู่เหนือท้องฟ้ากลางศีรษะพอดี ส่วนการบันทึกภาพฝนดาวตกนั้น ไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่าควรตั้งกล้องทางทิศไหน เนื่องจากกระจายทั่วท้องฟ้า ต้องอาศัยการเดา หรือเปิดหน้ากล้องวัดแสงจากเครื่องวัดแสง(LUX Meter) ให้พร้อมเพื่อรอให้ดาวตกวิ่งผ่านหน้ากล้อง

อย่าง ไรก็ตาม ฝนดาวตกลีโอนิดส์เกิดจากสายธารเศษฝุ่นของดาวหาง 55 พี เทมเพล-ทัตเทิล (55P Tempel-Tuttle) ที่ยังหลงเหลืออยู่ในวงโคจรของดาวหาง ตัดผ่านวงโคจรของโลก ทำให้เศษฝุ่นของดาวหางเหล่านั้นเสียดสีกับชั้นบรรยากาศโลก เกิดการเผาไหม้จนเห็นเป็นแสงสว่างวาบคล้ายลูกไฟวิ่งพาดผ่านท้องฟ้า
ทิศ ทางวงโคจรของฝนดาวตกลีโอนิดส์ สวนทางกับทิศทางวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ทำให้ความเร็วของเม็ดฝุ่นที่เข้ามาเสียดสีกับบรรยากาศโลกมีความเร็วค่อนข้าง มาก โดยมีความเร็วสูงถึง 71 กิโลเมตรต่อวินาที ฝนดาวตกลีโอนิดส์ เป็นฝนดาวตกที่มีความสว่างมากที่สุดที่สามารถวัดได้จากเครื่องมือวัดแสง(LUX Meter) จึงได้รับการขนานนามว่า "ราชาแห่งฝนดาวตก"

นอก จากฝนดาวตกลีโอนิดส์ที่จะได้ชมกันในเดือนนี้แล้ว กลางเดือนธันวาคมยังมีฝนดาวตกเจมินิดส์ หรือ ฝนดาวตกคนคู่ มาให้ได้ชมเป็นปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ส่งท้ายปี 2558 อีกด้วย สังเกตได้ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่ 13 ธันวาคม ต่อเนื่องไปจนถึงเช้ามืดของวันที่ 14 ธันวาคม 2558.

Cr.ไทยรัฐ

26 พ.ย. 2558

กระจกอลูมินา ไม่มีวันแตกร้าว


กระจกอลูมินา ไม่มีวันแตกร้าว
ถึงแม้นว่าตอนนี้ไม่มีใครกลัวสมาร์ทโฟนตกจนหน้าจอแตกเละกันเพราะมีฟิลม์ กันแตกร้าว แต่อีกในไม่ช้ากระจกบนสมาร์ทโฟนรวมไปทั้งกระจกหน้าต่างบ้าน อาคาร กระจกรถยนต์ก็จะไม่แตกง่ายและความแกร่งและความเหนียวใกล้เคียงกับเหล็กอีก ต่างหาก นั้นคือวิวัฒนาการของกระจกอลูมินาที่ไม่มีวันแตกร้าวมีคุณสมบัติในทางแข็ง แกร่งแล้ว ยังใสเป็นพิเศษ บางและเบากว่ากระจกทั่วไปที่วัดได้จากไมโครมิเตอร์(Micrometer) อีกด้วย

โลก ใช้ประโยชน์จากแก้วหรือกระจกอยู่มากมาย ตั้งแต่ของใช้เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เรื่อยไปจนถึงเป็นส่วนสำคัญในรถยนต์และการก่อสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆ ทั้งๆ ที่กระจกมีจุดอ่อนสำคัญอยู่ตรงที่มีความเปราะ แตกง่าย เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตกระจกมักเพิ่มชั้นวัสดุที่มีความหยุ่นเหนียวเพื่อป้องกันอันตราย เมื่อกระจกได้รับแรงกระแทกจนแตกออกแต่นั่นเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

นัก วิจัยจากหลายประเทศพยายามหาทางแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือทำให้กระจกมีความแข็งแกร่งทนทานสูง แตกหักยาก แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งทีมวิจัยจากญี่ปุ่น นำโดย รองศาสตราจารย์ อัตสึโนบุ มาสุโนะ นักวิชาการจากสถาบันวิทยาศาสตร์อุตสาหกรรม ของมหาวิทยาลัยโตเกียวพัฒนากระจกอลูมินาไม่มีวันแตกร้าว

ทีมวิจัย จากญี่ปุ่น นำโดย รองศาสตราจารย์ อัตสึโนบุ มาสุโนะ สามารถค้นพบวิธีการในการจัดสร้างกระจกที่มีความแข็งแกร่งสูงมากจนแทบไม่แตก หักได้ในที่สุดนั้นคือกระจกอลูมินาไม่มีวันแตกร้าว และมีการเผยแพร่ผลสำเร็จดังกล่าวเป็นรายงานทางวิทยาศาสตร์ในวารสารวิชาการ เนเจอร์ เมื่อไม่นานมานี้ี

ที่ผ่านมา นักวิจัยค้นพบแล้วว่า ถ้าหากเราผสมอลูมินา ซึ่งเป็นออกไซด์ของอะลูมิเนียมเข้ากับซิลิคอนไดออกไซด์ ที่เป็นส่วนผสมสำคัญในการผลิตแก้วหรือกระจก กระจกที่ได้จากส่วนผสมใหม่ดังกล่าวนี้จะแข็งแกร่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยด้านนี้พบอุปสรรคสำคัญในการผลิตกระจกจากส่วนผสม ใหม่นี้

อุปสรรคสำคัญในการผลิตกระจกนั่นคือเมื่อพยายามใช้อลูมินา ผสมลงไปเป็นปริมาณมากๆ จะเกิดปัญหาตามมาเนื่องจากอลูมินาในส่วนผสมดังกล่าวจะจับตัวเป็นผลึกในทันที ที่สัมผัสกับภาชนะบรรจุ ทำให้ไม่สามารถรวมตัวกับส่วนผสมอื่นให้เกิดเป็นกระจกได้

สิ่งที่ทีม วิจัยของมหาวิทยาลัยโตเกียวคิดค้นขึ้นนั้น เป็นวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะ ระบบของทีมวิจัยสามารถผลิตแผ่นกระจกได้โดยไม่จำเป็นต้องมีภาชนะหรือเบ้าแต่ อย่างใดทั้งสิ้น โดยอาศัยแรงดันของก๊าซผลักให้ส่วนผสมทั้งหมดลอยอยู่ในอากาศทำให้มีเวลาที่ ส่วนผสมเหล่านั้นรวมตัวเข้าด้วยกันในทางเคมี

ผลลัพธ์ที่ได้ จากกระบวนการผลิตแบบใหม่นี้ทำให้ได้กระจกอลูมินาไม่มีวันแตกร้าว กระจกใสที่มีส่วนผสมของอลูมินาได้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้มีความแข็งแกร่งสูงมาก เมื่อวัดความแข็งแกร่งด้วยหน่วยวัด ยังส์ โมดูลัส (Young’s modulus) สำหรับใช้วัดความแข็งแกร่งและหยุ่นเหนียวของเหล็กและเหล็กกล้า พบว่าค่าของความแกร่งและความเหนียวใกล้เคียงกับเหล็ก

"อลูมินา กลาส" กระจกอลูมินาไม่มีวันแตกร้าว ที่ได้จากระบบการผลิตแบบแอโรไดนามิก เลวิเทชั่นนี้ นอกจากจะมีคุณสมบัติในทางแข็งแกร่งแล้ว ยังใสเป็นพิเศษ บางและเบากว่ากระจกทั่วไปที่วัดได้จากไมโครมิเตอร์(Micrometer)หรือเวอร์ เนียคาลิปเปอร์(Vernier Caliper) อีกด้วย ซึ่งส่งผลให้การนำมาประยุกต์ใช้ทำได้กว้างขวางอย่างมาก

กระ จกอลูมินาไม่มีวันแตกร้าวสามารถนำกระบวนการผลิตใหม่นี้ไปผลิตกระจกหน้าต่าง อาคาร กระจกรถยนต์ เรื่อยไปจนถึงการนำมาใช้เป็นหน้าจอของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่เครื่องรับโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ หน้าจอแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน เป็นต้น ทางรองศาสตราจารย์ มาสุโนะ คาดว่าจะสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สามารถผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 5 ปีนี้

Cr.ประชาติธุรกิจ

โคมไฟถนน LED


นายอัลเฟรด วัลด์ฮาวส์ ฝ่ายประสานงานโครงการคอนติเนนทอล ของประเทศฝรั่งเศส เปิดเผยว่า โคมไฟถนน LED ถือเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญช่วยให้ผู้ขับขี่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน ช่วยลดอุบัติเหตุ ในอดีตมีการปรับใช้อุปกรณ์หลายอย่างตั้งแต่ตะเกียงน้ำมัน โคมไฟก๊าซ โคมไฟโซล่าเซลล์ ไปจนถึงแสงไฟจากหลอดนีออน และล่าสุดเทคโนโลยีแอลอีดี (LEDs: light-emitting-diodes) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญช่วยเพิ่มความสว่างบนท้องถนน การใช้แอลอีดี(LED)มีข้อดีคือช่วยประหยัดพลังงานถึงหนึ่งในสาม บำรุงรักษาง่าย ใช้งานได้นานขึ้น และที่สำคัญมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดี

นาย วัลด์ฮาวส์กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการพัฒนาโคมไฟถนน LED ช่วยให้ถนนมีความปลอดภัยและสะดวกสบายต่อผู้ใช้รถใช้ถนน แต่ด้วยเทคโนโลยีของตัวเซ็นเซอร์(Sensor)และระบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถ เปลี่ยนโคมไฟถนน LED ธรรมดาให้กลายเป็นโคมไฟถนน LED ที่ชาญฉลาด โดยแอลอีดี(LED)ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการควบคุม ประเมินสถานการณ์ รวมถึงสื่อสาร คาดว่าภายใน 15 ถึง 20 ปี โคมไฟถนน LED ทั้งหมดจะเปลี่ยนมาใช้แอลอีดี

นายวัลด์ฮาวส์กล่าวว่า การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยเพิ่มขีดจำกัดของไฟถนนแบบเดิมๆ การเพิ่มฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น เมื่อโคมไฟถนน LED ขัดข้อง ระบบสามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนไปยังหน่วยควบคุมเพื่อทำการแก้ไขได้ หรือระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติ สามารถระบุสถานที่จอดรถบริเวณใกล้เคียงในจุดที่แสงกระจายถึง และส่งข้อมูลโดยตรงหรือทางระบบคลาวด์ให้กับผู้ขับขี่กำลังมองหาที่ว่าง สำหรับจอดรถยนต์ในบริเวณใกล้เคียงนั้น วิธีการดังกล่าวช่วยปรับปรุงระบบจอดรถเพิ่มรายได้ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเขตเมืองอีกด้วย

นายวัลด์ฮาวส์กล่าวว่า โคมไฟถนน LED สามารถตรวจจับวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่และปรับความสว่างไฟอัตโนมัติให้ ตรงกับวัตถุต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนเดินเท้า คนขี่จักรยาน รถยนต์ที่แล่นสวนเข้ามา หรือแม้กระทั่งให้โคมไฟถนน LED เป็นหลอดไฟเปิดปิดอัตโนมัติ นอกจากนี้ระบบยังสามารถแจ้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพื่อให้ผู้บาดเจ็บได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และแจ้งรถยนต์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงให้ระมัดระวังมากขึ้น

"เราไม่ มีข้อจำกัดในการพัฒนาระบบนี้ โคมไฟถนน LED อัจฉริยะมีบทบาทสำคัญกับระบบขับขี่อัตโนมัติ ประกอบไปด้วยฟังก์ชั่นเชื่อมต่อกับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่มีผลต่อการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ แสงสว่าง อุณหภูมิ หรือแม้แต่สภาพอากาศ เช่น ฝนตก หิมะ และการก่อตัวของน้ำแข็ง ในอนาคตเสาโคมไฟถนน LED อาจจะมีฟังก์ชั่นสามารถชาร์จพลังงานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าได้" นายวัลด์ฮาวส์กล่าว

นายวัลด์ฮาวส์กล่าวว่า คอนติเนนทอลได้ทดสอบใช้ระบบโคมไฟถนน LED อัจฉริยะที่เมืองอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศฝรั่งเศส เมืองตูลูส เป็นเวลากว่า 2 ปี การใช้ระบบไฟอัตโนมัตินี้จะช่วยลดการใช้ปริมาณไฟฟ้า เป็นผลดีกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนอีกด้วย เนื่องจากความต้องการใช้แอลอีดีไฟอัตโนมัติเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว คอนติเนนทอลมุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์แอลอีดีที่มีประสิทธิภาพให้แก่ผู้ผลิต อุปกรณ์สำหรับไฟฟ้า หรือหน่วยงานรัฐบาล ด้วยการใช้ความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยียานยนต์รวมถึงความสามารถในการผลิต ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์คุณภาพสูงมาใช้ในการผลิต

Cr.ประชาชาติธุรกิจ

25 พ.ย. 2558

อุตสาหกรรมยุคที่ 4.0


อุตสาหกรรมยุคที่ 4.0

เมื่อ มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์การพัฒนาทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ควบคู่กับการพัฒนาทางเทคโนโลยี ถึงช่วงเวลาต่างๆที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่จนได้ชื่อว่าเป็นการ ปฏิวัติทางอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) นั้น จนถึงปัจจุบันอาจแบ่งได้เป็นอุตสาหกรรม 4 ยุคด้วยกัน ได้แก่

-อุตสาหกรรมยุคแรก Industry 1.0 หรือยุคเครื่องจักรกลไอน้ำ

ซึ่ง ถือว่าเป็นยุคแรกที่มีการต่อยอด จากเดิมที่เริ่มมีการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือแบบง่ายๆ หรือมีกลไกไม่ซับซ้อนนัก แต่ยังคงใช้แรงงานคนหรือสัตว์เป็นกำลังการผลิตหลัก เรียกว่าใช้เครื่องทุนแรงมาช่วย จนพัฒนามาสู่การใช้ความร้อนเพื่อมาสร้างพลังงานในการขับเคลื่อนเครื่องจักร แทนการใช้แรงงานคนหรือสัตว์
นอกจากจะช่วยผ่อนแรงจนถึงขั้นทดแทนแรงงานคน ได้ในหลายส่วนแล้ว ยังช่วยเพิ่มศักยภาพและความสามารถที่เดิมต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก มาเป็นแบบผสมผสานหรือใช้เครื่องจักรกลอย่างเดียวเป็นหลัก สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือการเกิดขึ้นของยานพาหนะต่างๆมากมายหลายชนิด ที่สามารถขนส่งคนหรือสินค้าจำนวนมากๆไปในระยะทางไกลๆได้หลายไมล์หรือหลาย กิโลเมตร ทั้งทางบกและทางน้ำ อาทิ รถไฟ หรือเรือขนส่งสินค้าทางทะเล เป็นต้น

-อุตสาหกรรมยุคที่สอง Industry 2.0 หรือยุคการผลิตด้วยเครื่องจักรที่ใช้ไฟฟ้า

ยุค นี้เกิดเครื่องจักรอุตสาหกรรมมากมาย ไม่เพียงเครื่องจักรขนาดใหญ่เท่านั้น หากแต่เป็นเครื่องจักรขนาดเล็กด้วย โรงงานอุตสาหกรรมเริ่มเปลี่ยนรูปแปลงร่าง จากอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานคนเป็นหลัก (Labor intensive) มีการใช้เครื่องจักรกลเพื่อการผลิตในจำนวนที่มาก (Mass production) การแบ่งงานกันทำของคนงาน (the Division of Labor) ตามแนวคิดของ Adam Smith มีความโดดเด่นและเป็นระบบมากขึ้นกว่าการแค่เรื่องของแรงงานคนเท่านั้น

หาก แต่มีเรื่องของระบบการบริหารจัดการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และที่สำคัญในทางเทคโนโลยีคือ การใช้ไฟฟ้ามาทดแทนการใช้ไอน้ำ ถือได้ว่าเป็นยุคแห่งการผสมผสานแรงงานคนกับเครื่องจักรอย่างแท้จริง (man-machine) มีการนำระบบสายพานลำเลียง (Conveyor) มาใช้ และการจัดสายการผลิตให้เกิดการสมดุล (Assembly line balancing) ก่อให้เกิดผลิตภาพที่สูงขึ้น และเกิดการประหยัดจากขนาดการผลิต (economies of scale)

-อุตสาหกรรมยุคที่สาม Industry 3.0 หรือยุคคอมพิวเตอร์

ยุค นี้เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆไม่ใช่ทำงานในเชิงกล หรือใช้พลังงานจากไฟฟ้าเท่านั้น หากแต่ควบคุมและสั่งการได้ผ่านวงจรอิเล็กทรอนิกส์ มีเซ็นเซอร์และตัวตรวจจับมากมายในหลายส่วน โดยผนวกเอาความสามารถในการคิดคำนวณของคอมพิวเตอร์เข้าไปไว้ในเครื่องจักร ทำให้เครื่องจักรมีความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น และสามารถโปรแกรมให้ผลิตหรือประกอบสินค้าได้ในหลากหลายรูปแบบอย่างอัตโนมัติ (Automation หรือ Programmable Logic Control – PLC)

คนงานยกระดับ ความสามารถกลายเป็นคนควบคุมเครื่องจักรการผลิตแทน โดยใช้เวลาระหว่างที่เครื่องจักรทำงานด้วยตัวเองนั้น ในการเตรียมงาน เตรียมวัตถุดิบ สุ่มตรวจสอบคุณภาพสินค้าจากเครื่อง แก้ปัญหาข้อขัดข้องจนถึงการบำรุงรักษาเครื่องจักรแบบง่ายๆ (Self-maintenance) การควบคุมคุณภาพเริ่มเปลี่ยนมือจากเจ้าหน้าที่ QC ไปสู่เจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิต มีการปลูกฝังแนวคิดเรื่องคุณภาพเข้าไป จนเข้าสู่ยุคของการประกันคุณภาพด้วยระบบแทน (Quality Assurance)

-อุตสาหกรรมยุคที่สี่ Industry 4.0 หรือยุคอินเทอร์เน็ต

เมื่อ โลกการผลิตจริง (Real sector) ในทางอุตสาหกรรมถูกเชื่อมต่อกับโลกเสมือน (Cyber space) ผ่านเครือข่ายออนไลน์และอินเทอร์เน็ตทั้งไร้สายและมีสาย จนได้ชื่อว่าเป็นยุค Cyber-Physical System คำว่า Internet of Things (IoT) ที่ไม่ใช่เพียงแค่สมองกลฝังตัวที่มีแต่ความสามารถในการคิดคำนวณ ประมวลผล และหาทางออกของปัญหาได้เองเท่านั้น หากแต่ยังมีความสามารถในการเชื่อมต่อตัวเองเข้ากับโครงข่ายการสื่อสารต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา (anywhere anytime)

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทุกวันนี้เราจะเห็นอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในชีวิตประจำวัน ทั้งที่อยู่ในบ้าน ในสำนักงาน หรือแม้แต่ในโรงงานอุตสาหกรรม จะเชื่อมต่อถึงกันเพื่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลตามมาตรฐานการส่งข้อมูลของ ประเภทอุปกรณ์นั้นๆ (Protocol) เช่น Zigbee Protocol เป็นต้น ได้อย่างน่าทึ่ง แบบที่เจ้าของอุปกรณ์และเครื่องมือนั้นๆไม่ต้องไปสั่งการหรือเกี่ยวข้องด้วย ซ้ำ และแน่นอนอาจถึงขั้นคิดแทนเราได้ในบางเรื่องในแนวทางของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence- AI)

อย่าโหยหาความได้เปรียบโดยเปรียบ เทียบ (Comparative advantage) ที่มีมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ตั้ง ปริมาณแรงงานที่มาก หรือค่าแรงขั้นต่ำ และมุ่งที่จะเป็นฐานการผลิตของประเทศที่พัฒนาแล้วเท่านั้น หากแต่ทุกคนต้องช่วยกันยกระดับไปสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติ ที่บริษัทของคนไทยมีศักยภาพที่จะผลิตสินค้าของตัวเอง และใช้ประเทศอื่นเป็นฐานการผลิตบ้าง เชื่อโดยสุจริตใจว่าอุตสาหกรรมของไทยพัฒนาไปไกลเกินกว่าจะใช้ความได้เปรียบ ด้านแรงงานราคาถูกอีกต่อไป อย่าดูถูกพวกเรากันเองครับ

ทุกคนต้องช่วย กันยกระดับไปสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติ บริษัทของคนไทยมีศักยภาพที่จะผลิตสินค้าของตัวเอง และใช้ประเทศอื่นเป็นฐานการผลิต ค่าแรงงานที่สูงจะไม่เป็นปัญหาใดๆเลย ถ้าอุตสาหกรรมของไทยยกระดับ (Upgrade) จากอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานคน สู่การผลิตกึ่งอัตโนมัติหรือเป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ โดยทำการผลิตสินค้าที่ต้องการความเที่ยงตรงแม่นยำสูง

สินค้าขนาดเล็กจิ๋วที่ต้องใช้เวอร์เนียคาลิปเปอร์(Vernier Caliper)วัด ที่ๆไม่มีทางที่คนจะทำได้ สินค้าที่เน้นการออกแบบเฉพาะในจำนวนที่ไม่มากแต่ปรับได้ตามความต้องการของ ลูกค้า และสินค้าที่มีความสามารถใหม่ที่พิเศษไปจากเดิม โดยผันจากสินค้าโภคภัณฑ์ธรรมดา (Commodities หรือ Industrial products) สู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (high value-added products) หรือที่หลายคนเรียกว่า สินค้านวัตกรรม (Innovative products) นั่นเอง

ไม่ เพียงแต่บุคลากรที่ต้องมีความรู้ความสามารถมากขึ้น ไม่เพียงแต่เรื่องทักษะความสามารถที่สูงเท่านั้น หากแต่ความสามารถในการบริหารจัดการองค์กร หรือแม้แต่ระบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ก็ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปให้ก้าวล้ำนำหน้ามากขึ้น ที่สำคัญมีความยืดหยุ่นมากขึ้น (Flexible manufacturing system - FMS)

Key word: Internet of Things (IoT) คือเครือข่ายของสิ่งต่างๆที่จับต้องได้จริงนำเอาสมองกลมาฝังตัวอยู่ในมัน (“things” embedded with electronics, software, sensors, and network connectivity) เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ สื่อสาร สั่งการ และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ ผ่านระบบการสื่อสารไร้พรมแดนในปัจจุบัน

Cr.กรุงเทพธุรกิจ

แข่งขันรถพลังงานแสงอาทิตย์


ออสเตรเลียได้จัดแข่งขันรถพลังงานแสง อาทิตย์ โดยใช้ชื่อการแข่งขันว่า “ความท้าทายด้านพลังงานแสงอาทิตย์ระดับโลก (World Solar Challenge)” มาตั้งแต่ พ.ศ. 2530 โดยในปี พ.ศ. 2558 นี้ เป็นปีแรกที่ประเทศไทยได้เข้าแข่งขันด้วย ทั้งนี้ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ออกแบบก่อสร้างส่งรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ชื่อ “เอสทีซีวัน (STC 1)”   เข้าแข่งขันด้วย

จากวิกิพีเดีย รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ “โซลาคาร์ (Solar Car)” คือยานพาหนะที่ใช้ในการจราจรทางบกโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียว อนึ่ง การออกแบบรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์นั้น เป็นสหวิทยาการ คือ ใช้เทคโนโลยีในการบินและอวกาศ (Aerospace) จักรยาน (Bicycle) พลังงานทางเลือก (Alternative Energy) และ อุตสาหกรรมรถยนต์ (Automotive Industry) และพลังงานแสงอาทิตย์ยังสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานไฟฟ้า แสงสว่าง เช่น โคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ แบตเตอร์รีโซล่าเซลล์ ฯลฯ

การ แข่งขันรถพลังงานแสงอาทิตย์จะมีขึ้นในเดือน ตุลาคม 2558 โดยเริ่มขับจากเมืองดาร์วิน (Darwin) ทางเหนือของออสเตรเลียไปยังเมือง อเดลเลต (Adelaide) ทางตอนใต้ของทวีปเป็นระยะทางทั้งสิ้น 3,000 กิโลเมตร ภายในระยะเวลา 50 ชั่วโมง อนึ่ง ออสเตรเลียได้ออกกฎหมายอนุญาตให้รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์สามารถขับในเมือง เช่นเดียวกับรถยนต์ธรรมดาแล้ว ในปี พ.ศ. 2558 นี้

ทั้งนี้ พลังงานที่รถพลังงานแสงอาทิตย์จะใช้ได้นั้น มีจำนวนจำกัดมาก และมีแบตเตอรีที่จะเก็บไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ ให้ใช้ได้ 400 กิโลเมตร โดยไม่ต้องมีแสงอาทิตย์และให้ขับรถยนต์ไปได้ด้วยความเร็ว  97 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สรุปแล้ว รถพลังงานแสงอาทิตย์ใช้พลังงานน้อยกว่าเครื่องปิ้งขนมปังหรืออาจจะใช้ พลังงานมากกว่าโคมไฟโซล่าเซลล์เล็กน้อย แต่อาจสามารถวิ่งด้วยความเร็วถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

การ แข่งขันรถพลังงานแสงอาทิตย์เริ่มจากเมื่อ พ.ศ. 2525 ซึ่ง “ฮานส์ โธลสตรับ (Hans Tholstrup)” และ “ลาร์รี เพอร์คินส์ (Larry Perkins)” ผลิตรถโซลาใน พ.ศ. 2525 และนำรถดังกล่าวไปขับจากเมืองเพิร์ธ (Perth) ไปถึงเมืองซิดนี่ย์ (Sydney) ออสเตรเลีย หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแข่งขันรถพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา โดยผู้สนับสนุนหลักคือคณะกรรมการการท่องเที่ยวของออสเตรเลียใต้ ทั้งนี้ ให้ใช้แผงโซลาขนาดไม่เกิน 6 ตารางเมตร

ทุกๆ 2 ปี จะมีหน่วยงานต่างๆ จากทั่วโลกเข้าแข่งขันรถพลังงานแสงอาทิตย์ โดยทุกทีมมีเป้าหมายเดียวกันคือ เริ่มจากเมืองดาร์วิน ทางเหนือของออสเตรเลียไปยังเมืองอเดลเลต ทางตอนใต้ของทวีปเป็นระยะทางทั้งสิ้น 3,000 กิโลเมตร ภายในระยะเวลา 50 ชั่วโมง โดยบังคับให้พักค้างคืนที่ “อลิซ สปริงส์” ให้ชาร์ตแบตเตอรีที่นั่นได้ แต่ต่อมาสำหรับปี 2558 นี้ จะจัดการด้านพลังงานอย่างไรก็ได้

สำหรับการแข่งขันรถพลังงานแสง อาทิตย์ในปี พ.ศ. 2558 นี้ มีผู้สมัครเข้าแข่งขัน 88 ทีม แต่ละทีมต้องจ่ายค่าสมัครประมาณ 3 แสนบาทโดยวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามเป็นทีมที่ 22 และมีทีมอื่นๆ ที่น่าสนใจ คือ

ทีมที่ 22 คือ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม จากประเทศไทย (รถชื่อ เอสทีซีวัน (STC 1))
ทีมที่ 2 คือ มหาวิทยาลัยมิชิแกน จากสหรัฐอเมริกา
ทีมที่ 7 คือ สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ (MIT) จากสหรัฐอเมริกา
ทีมที่ 11 คือ มหาวิทยาลัยโบคุม (Bochum University) จากเยอรมนี
ทีมที่ 12 คือ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) จากสหราชอาณาจักร
ทีมที่ 35 คือ มหาวิทยาลัยมินิโซตา (University of Minnesota) จากสหรัฐอเมริกา
ทีมที่ 47 คือ จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งนาโกยา (Nagoya Institute of Technology) จากญี่ปุ่น
ทีมที่ 77 คือ มหาวิทยาลัยโทรอนโท (University of Toronto) จากแคนาดา
ทีมที่ 80  คือ สถาบันเทคโนโลยีแห่งปักกิ่ง (Beijing Institute of Technology) จากประเทศจีน
ทีมที่ 82 คือ มหาวิทยาลัยคุกมิน (Kookmin University) จากเกาหลี เป็นต้น

สำหรับ รถพลังงานแสงอาทิตย์ ของวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามนั้น นับเป็นรถพลังงานแสงอาทิตย์คันแรกของประเทศไทยที่ส่งเข้าแข่งขันในระดับโลก โดย วัตถุประสงค์ที่เข้าร่วมแข่งขันที่ประเทศออสเตรเลียคือ สร้างผลงานรวมทั้งชื่อเสียงให้กับประเทศไทยและวิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม  เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในด้านวิชาการให้กับอาจารย์และนักศึกษาในการมีโอกาส ร่วมแข่งขันด้านเทคโนโลยีในระดับโลก  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนในการพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาการเรียนการสอน และให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ในการแข่งขันระดับโลก เพื่อนำไปต่อยอดและพัฒนาตนเองในอนาคต

ขอเชิญชาวไทยช่วยกันเป็นกำลัง ใจให้รถพลังงานแสงอาทิตย์คันแรกของประเทศไทยที่ส่งเข้าแข่งขันระดับโลกได้ ประสบความสำเร็จเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้าไปกว่า ประเทศใด

Cr.Telecom & Innovation Journal

24 พ.ย. 2558

วีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi


วีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi
"วิดีโอสตรีมมิ่ง" (วิดีโอออนดีมานด์) เป็นการนำข้อมูลในรูปแบบของภาพและเสียงส่งผ่านทางอินเทอร์เน็ตในระบบเครื่อ ข่ายไวไฟ(WiFi)หรือ 4G กลายเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากกว่า เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่จะดูที่ไหน เมื่อไรก็ได้

จากรายงาน การศึกษาประจำปีฉบับล่าสุด Ericsson ConsumerLab TV & Media Report 2015 ที่ศึกษาพฤติกรรม และสัมภาษณ์ผู้บริโภคกว่า 22,500 คน ใน 20 ประเทศ ระบุว่า 1 ใน 3 (35%) ของการรับชมทีวีทั่วโลกเป็นระบบวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi เพราะเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา และการรับชมวิดีโอบนสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นถึง 71% ตั้งแต่ปี 2012 โดยเกือบ 2 ใน 3 ของเวลาทั้งหมดที่วัยรุ่นรับชมทีวีและวิดีโอจะชมผ่านอุปกรณ์โมบายต่าง ๆ

"บัญญัติ เกิดนิยม" ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า กระแสการรับชมรายการต่าง ๆ ของผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้ว โดยมีสมาร์ทดีไวซ์ที่ราคาลดลงเป็นตัวแปรหลักที่มาพร้อมกับความเร็ว และความครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ผู้บริโภคเป็นผู้เลือกรายการต่าง ๆ ที่ชื่นชอบด้วยตนเอง และยอมจ่ายเงินเพื่อรายการที่มีคุณภาพ แตกต่างจากในอดีตที่มองว่าเป็น "ของฟรี" ทำให้มีผู้ให้บริการวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi เกิดขึ้นจำนวนมาก

การ เติบโตของวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi อ้างอิงจากพฤติกรรมการรับชมรายการผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่กินเวลา 30 ชั่วโมง/สัปดาห์ โดยดูหนังซีรีส์รายการต่าง ๆ และหนังแบบออนดีมานด์ทางทีวีสูงกว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากปี 2011 ที่อยู่ที่ 2.9 ชั่วโมง และเป็นการรับชมซีรีส์และภาพยนตร์เป็นหลัก รองลงมาเป็นการรับชมช่องโทรทัศน์ปกติในรูปแบบออนไลน์

นอกจากนี้ การที่ผู้บริโภคมีระบบ 4G ทำให้มีทางเลือกในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากขึ้น เพราะการรับชมวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi จะทำผ่านตัวรับสัญญาณ WiFi ที่ส่งมาจากอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูง โดยกว่า 50% ของผู้บริโภคต่างดูวิดีโอออนดีมานด์ผ่านระบบวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi อย่างน้อยวันละครั้ง เพิ่มจากปี 2012 ซึ่งมีเพียง 30%

กลุ่มวัยรุ่น (อายุ 16-34 ปี) จะดูทีวีส่วนใหญ่บนสมาร์ทโฟน แล็ปทอป หรือแท็บเลต คิดเป็นประมาณ 53% ของเวลาการดูทีวีและวิดีโอทั้งหมด ซึ่งจำนวนผู้บริโภคที่ดูวิดีโอบนสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นถึง 71% และสูงขึ้นเป็น 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับปี 2012 ก็จะดูวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ประเทศที่มี 4G แล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และเกาหลีใต้ ต่างมีการใช้ดาต้าเติบโต 2.5-4 เท่า เมื่อเทียบกับตอนที่ให้บริการ 3G เพราะเมื่อความเร็วอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคจะกล้าตัดสินใจที่จะนำสัญญาณอินเทอร์เน็ตมารับชมวีดีโอสตรีมมิ่ง บนWiFi มากขึ้นจากเดิมที่กลัวว่าจะดูได้ไม่ต่อเนื่อง และเสี่ยงต่อความเร็วที่จะลดลงอย่างมาก โดยในสหรัฐอเมริกามีการรับชมสตรีมมิ่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์มือถือสูงถึง 29% ปัจจัยนี้เองทำให้มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2563 การใช้โมบายดาต้าเพื่อรับชมวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFiจะสูงถึง 60% ของโครงข่ายโทรศัพท์มือถือทั้งหมด หรือเติบโต 13 เท่าตัว

ในทางกลับ กัน การรับชมรายการผ่านโทรทัศน์จะหดตัวลงอย่างช้า ๆ จนในปี 2563 ลงมาเท่ากับการรับชม "วิดีโอสตรีมมิ่งบน WiFi" โดยเหลือเพียงคนอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือคนที่อยู่นอกเขตเมือง ส่วนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นจะให้ความสำคัญกับการรับชมแบบวีดีโอสตรีมมิ่ง บนWiFiมากกว่า รองลงมาเป็นการรับชมคอนเทนต์ละเมิดลิขสิทธิ์และการรับชมอะไรก็ตามผ่านยู ทูบ(Youtube) ทำให้การรับชมโทรทัศน์ยุคก่อนที่ประกอบด้วยฟรีทีวี ระบบการอัดรายการและเพย์ทีวีต่างต้องปรับตัวเพื่อสร้างความแตกต่างไป จากบริการวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFiและดูผ่านยูทูบ(Youtube)ให้ได้

"ตอน นี้การรับชมแบบวิดีโอสตรีมมิ่งบน WiFi เริ่มเหนือกว่าช่องทางปกติเพราะเริ่มใช้โมเดลเอ็กซ์คลูซีฟในการให้รับชมซี รีส์หรือภาพยนตร์ก่อนที่จะเข้าไปฉายในช่องปกติเสียอีก จากที่อีริคสันเข้าไปสำรวจผู้บริโภคกว่า 20,000 คน ใน 40 ประเทศ พบว่ามีเพียง 5% เท่านั้นที่ไม่เคยรับชมบริการสตรีมมิ่ง และกว่า 87% ของผู้ใช้งานเข้าใช้วิดีโอสตรีมมิ่งบน WiFi สัปดาห์ละครั้ง และมีถึง 50% ที่เข้าใช้งานวิดีโอสตรีมมิ่งบน WiFi เป็นประจำทุกวันเพื่อรับชมรายการต่าง ๆ ที่ตนเองชื่นชอบ"

สำหรับในประเทศไทย การรับชมสตรีมมิ่งกำลังเติบโตขึ้นเช่นกัน สังเกตจากผู้ให้บริการประเภทนี้เข้ามาทำตลาดมากกว่า 5 ราย นอกจากนี้ สังคมเมือง หรือการใช้ชีวิตแบบคนเมือง เริ่มกระจายเข้าสู่จังหวัดต่าง ๆ นอกจากนี้การใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เชื่อมต่อผ่านUSB WiFi ทำได้ง่ายขึ้นและความเร็วไวไฟก็เร็วมากขึ้น ทำให้ตรงกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ แต่ด้วยปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้ราคาค่าบริการสตรีมมิ่งในประเทศไทยยังอยู่ในอัตราที่ต่ำเพื่อกระตุ้น การรับชม แตกต่างจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้สูงถึง 100 เหรียญสหรัฐ/เดือน (ราว 3,600 บาท)

Cr.ประชาชาติ

Google กับสัญญาณฟรี WiFi


บริษัท Google ก็ได้เปิดตัว SideWalk Labs ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่มุ่งเน้นในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ในเมือง โดยหลังจากนั้นไม่กี่วัน SideWalk Labs ก็ได้เข้ารวบกิจการของ Control Group และ Titan ที่กำลังทำโปรเจคที่ชื่อว่า LinkNYC จุดติดตั้งไวไฟพกพา(Pocket WiFi)เพื่อกระจายสัญญาณฟรี WiFi อยู่นั่นเองครับ

โครงการ LinkNYC คือการเปลี่ยนตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญในเมืองนิวยอร์คซึ่งปัจจุบันนั้นไม่ค่อยได้ใช้งานสักเท่าไหร่ เป็นไวไฟพกพา(Pocket WiFi) เพื่อกระจายสัญญาณฟรี WiFi เพื่อให้ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาได้ใช้งานกันอย่างฟรีๆ ทั้งเมือง

โดยจุดติดตั้งไวไฟพกพา(Pocket WiFi)เพื่อ กระจายสัญญาณฟรี WiFi นั้น ทางกูเกิล จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และเปิดให้บริษัทอื่นสามารถเข้ามาลงโฆษณาได้ ซึ่งนอกจากจะสามารถเล่น WiFi ได้แล้ว ยังสามารถชาร์จสมาร์ทโฟน และโทรหาภายในประเทศได้ฟรี

นอกจาก นี้ ยังมีแผนขยายบริการไวไฟพกพา(Pocket WiFi) ไปยังป้ายรถเมล รวมไปถึงจุดให้บริการข้อมูลต่างๆ ในตัวเมือง จุดประสงค์หลักๆ คือการทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมต่อสัญญาณฟรี WiFi เข้าสู่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ตลอดเวลา แน่นอนว่าโครงการนี้จะเริ่มต้นที่นิวยอร์กก่อนจะขยายไปยังเมืองอื่นๆ

โดย จุดติดตั้งไวไฟพกพา(Pocket WiFi)เพื่อกระจายสัญญาณฟรี WiFi  จุดแรก คาดว่าจะเริ่มติดตั้งช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงนี้ ซึ่งถ้าหากได้รับความนิยม และประสบความสำเร็จ ทางกูเกิล ก็มีแผนที่จะขยายบริการไวไฟพกพา(Pocket WiFi)ดังกล่าวไปทั่วโลกอีกด้วย

โครงสร้างพื้นฐานไวไฟพกพา(Pocket WiFi)เพื่อกระจายสัญญาณฟรี WiFi ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับ Google นอกเหนือจากรถที่ขับตัวเองได้แล้ว โครงการที่บริษัทเคยทำมาก็มี Google Fiber ซึ่งเป็นบริการบรอดแบนด์ความเร็วสูงที่ได้ขยายไปแล้วในกว่า 18 เมืองในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ

เมื่อต้นปีนี้ มีโครงการสายเคเบิลอินเตอร์เน็ตใต้น้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก มีโครงการที่ชื่อ Project Loon ที่นำอินเตอร์เน็ตไปสู่ผู้คนในที่ถิ่นที่กันดาร และการเข้าซื้อ Titan Aerospace ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินไร้คนขับพลังแสงอาทิตย์ที่สามารถบินได้ที่ความสูง 65,000 ฟุต


Cr.Jimmy'S Blog,

23 พ.ย. 2558

เครื่องกระตุ้นหายใจในเด็ก


เครื่องกระตุ้นหายใจในเด็ก
คณะนักวิจัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โชว์ศักยภาพในเวทีระดับโลก คว้ารางวัลผลงานสิ่งประดิษฐ์นานาชาติจากสิ่งประดิษฐ์เครื่องกระตุ้นหายใจใน เด็ก จากเวทีประกวดนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ “The Taipei International Invention Show & Technomart: INST 2015” ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ณ กรุงไทเป ของไต้หวัน ตอกย้ำศักยภาพความพร้อมนักวิจัยธรรมศาสตร์ในระดับโลก

ผู้ คิดค้นซึ่งเป็นคนไทยคนแรกประดิษฐ์เครื่องกระตุ้นหายใจในเด็กผ่านสมาร์ทโฟน เป็นนวัตกรรมใหม่ได้รับรางวัล Platinum จากงาน “The Taipei International Invention Show & Technomart: INST 2015” โดยเจ้าของรางวัลแพลทตินัม อวอร์ด (Platinum Award) รางวัลสูงสุดในงาน  คือ อาจารย์ สุภาวดี ทับกล่ำ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเฉพาะนวัตกรรมเพื่อการช่วยเหลือชีวิตทารกแรกเกิดจนถึงเด็กเล็กเป็นงานที่ มีประโยชน์สูงสุด

อาจารย์ สุภาวดี ทับกล่ำเล่าว่า จากการปฏิบัติงานพบว่าการตรวจและประเมินการหายใจของเด็กมีความสำคัญมาก เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินภาวะสุขภาพของเด็ก ซึ่งข้อมูลที่ใช้ในการประเมินภาวะสุขภาพได้จากการเครื่องวัดชีพจรเพื่อ วัดสัญญาณชีพ ประกอบไปด้วยการวัดอุณหภูมิว่ามีไข้หรือไม่ การวัดชีพจรหรืออัตราการเต้นของหัวใจ และวัดการหายใจ ซึ่งการหายใจเป็นหนึ่งในการวัดสัญญาณชีพที่สำคัญ

โดยปกติใช้การวัด แบบสังเกตและนับการเคลื่อนไหวของหน้าท้องและทรวงอกขึ้นกับอายุของเด็ก ดังนั้นในการวัดสัญญาณชีพแต่ละครั้งพยาบาลจะต้องยืนอยู่ข้างๆ คนไข้อย่างน้อย 1 นาทีเพื่อจับชีพจร พร้อมทั้งสังเกตการหายใจว่ามีการใช้กล้ามเนื้อมากผิดปกติหรือไม่ และดูนาฬิกาเพื่อจับเวลาไปพร้อมๆ กับการนับการเคลื่อนไหวของหน้าท้องหรือทรวงอกว่ากี่ครั้งต่อนาที การทำแบบนี้ต้องใช้ความชำนาญอย่างมาก แต่วิชาชีพพยาบาลมีทักษะอยู่แล้วไม่ได้มีปัญหาอะไร

การพยาบาลเด็ก ที่มีภาวะเจ็บป่วย โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาในเรื่องทางเดินหายใจ เช่น ปอดบวม หรือในทารกแรกเกิดวิกฤติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกที่คลอดก่อนกำหนดนั้น การดูแลรักษาเรื่องการหายใจมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากทารกเหล่านี้เกิดมาก่อนที่อวัยวะต่าง ๆ จะสมบูรณ์ ฉะนั้นปอดยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนหรือสารที่จะช่วยเคลือบถุงลมต่าง ๆ ยังมีน้อย จึงทำให้พบปัญหาในเรื่องการหายใจจากเครื่องวัดออกซิเจน ซึ่งต้องการการประเมินที่ถูกต้องชัดเจน

นอก จากนั้นแล้วลักษณะการหายใจของทารกคลอดก่อนกำหนด มักมีการหายใจเร็ว ช้า และอาจมีการหยุดหายใจช่วงสั้น ๆ ประมาณ 3-4 วินาที และกลับมาหายใจใหม่ ฉะนั้นผู้ดูแลจึงต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งสังเกตว่าการหยุดหายใจเป็นแบบปกติหรือผิดปกติเพื่อช่วยเหลือได้ทัน ท่วงที นอกจากการดูแลในโรงพยาบาล การดูแลต่อเนื่องที่บ้านมีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงต้องให้ความรู้กับผู้ปกครองในการสังเกต และตรวจวัดการหายใจของเด็ก

อาจารย์ จึงได้ทำการออกแบบเครื่องมือวัดการหายใจ โดยให้มีเซ็นเซอร์ติดกับเข็มขัดใส่กับตัวเด็ก ซึ่งสามารถปรับขนาดได้ตามขนาดของตัวเด็ก เมื่อได้สัญญาณในการวัดการหายใจแล้วจะส่งไปที่ตัวคอนโทรลและสามารถส่งผลผ่าน ไปที่สมาร์ทโฟน ทำให้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเห็นอัตราการหายใจของเด็กได้

นอก จากนั้นสามารถแสดงภาพออกมาเป็นกราฟว่าอัตราการหายใจที่ต่อเนื่องเป็นอย่างไร ทำให้ข้อมูลเหล่านั้นเซฟได้เป็นไฟล์และส่งให้กับผู้ดูแลและผู้รักษาต่อไป อุปกรณ์นี้นอกจากสามารถใช้ในโรงพยาบาลแล้วจะให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองได้ใช้ เพื่อให้การดูแลทารกที่บ้านมีความสะดวกมากขึ้น ลดความวิตกกังวลลง และได้ค่าการหายใจที่ถูกต้องด้วย

แต่การได้ค่าอัตราการหายใจแค่นี้ คงไม่เพียงพอ สิ่งที่อาจารย์คิดต่อไปอีกคืออยากให้มีการช่วยเหลือเบื้องต้นได้ด้วยหรือไม่ เช่น ถ้าเกิดการหยุดหายใจที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ที่ดูแลจะทำอย่างไร จึงออกแบบเครื่องมือให้สามารถวัดและช่วยกระตุ้นหายใจในเด็กได้ด้วย หลักการทำงานคือเมื่อพบว่ามีการหยุดหายใจเกิดขึ้น สมาร์ทโฟนจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนว่ามีการหยุดหายใจ และเครื่องสามารถตั้งโปรแกรมไปยังตัวกระตุ้นการหายใจเบื้องต้นแบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยกระตุ้นหายใจในเด็กให้เด็กกลับมาหายใจอีกครั้ง

เครื่อง กระตุ้นหายใจในเด็ก สามารถสั่งการผ่านสมาร์ทโฟน ทำให้รักษาเวลาที่เป็นภาวะวิกฤติ ช่วยเหลือลูกได้ในทันทีที่มีการหยุดหายใจ เพราะช่วงเวลาแม้เพียงวินาทีที่เด็กหยุดหายใจอาจส่งผลต่อสมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของสมองอย่างถาวรได้ สำหรับแนวคิดการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเนื่องจากปัจจุบันนี้แทบทุกบ้าน โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ต้องมีโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตอย่างน้อย 1 เครื่องอยู่ในมืออยู่แล้วคิดว่าน่าจะสะดวกดีถ้าเราสามารถใช้อินเทอร์เน็ตตรง ไหนก็ได้ทำให้ไม่ต้องกังวล

ถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถใช้บลูทู ธหรือไวไฟก็ได้ จึงทำแอพพลิเคชั่นผ่านสมาร์ทโฟนเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ดาวน์โหลดไปใช้งานเพื่อ ดูว่าลูกของเรามีอัตราการหายใจเป็นอย่างไรด้วย และสิ่งที่จะพัฒนาต่อไปคือทำอย่างไรให้มันสะดวกกว่านี้อีกโดยที่เราจดเป็น สิทธิบัตรเครื่องกระตุ้นหายใจในเด็กแล้วว่านอกจากจะทำเป็นเข็มขัดแล้วจะทำ เป็นคลิปติดกับเสื้อผ้าเด็กเพื่อง่ายขึ้นเวลาคุณพ่อและคุณแม่ใช้งาน

ถือ เป็นไอเดียของพยาบาลไทยที่ใส่ใจต่อการดูแลรักษาเด็กทารกและเด็กเล็ก ที่น่าภูมิใจกับเครื่องกระตุ้นหายใจในเด็กแนวคิดประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ ๆ โดยที่ไม่ต้องลอกเลียนแบบใคร แต่คิดค้นจากปัญหาที่พบเพื่อแก้ไขและช่วยเหลือเด็กซึ่งเป็นอนาคตของชาติได้ อย่างมีประสิทธิภาพ.

Cr.เดลินิวส์

รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก


ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้า อย่าง Tesla S ยังดูเหมือนเป็นสินค้าตลาดเฉพาะกลุ่มขนาดเล็ก(Niche Market) สำหรับหมู่คนรวยและผู้หลงไหลคลั่งไคล้ในเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า มันจะกลายเป็นเรื่องปกติที่จะขับรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก และแปลกประหลาดมากหากท่านยังขับรถยนต์เข้าไปเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมัน

จากรายงาน การศึกษาล่าสุดโดยนิตยสาร Nature Climate Change ล่าสุดปีนี้ ได้ทำการศึกษารายงานระหว่างปี 2007 ถึงปี 2014 จำนวนมากกว่า 80 ฉบับเกี่ยวกับราคาของแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนที่นิยมใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla และ Nissan พบว่าลดลงถึงร้อยละ 14 ต่อปี จากเมื่อปี ค.ศ. 2007 ที่แพงกว่า 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ที่จะนำมาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก

มันจะทำให้จะเกิดการเปลี่ยน แปลงวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ไปเลย(Paradigm Shift)  ทำให้ผู้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกเป็นส่วนใหญ่แทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันที่ ราคาแพง เพราะนอกจากราคารถยนต์ที่ถูกลงเท่าราคารถยนต์ที่เติมน้ำมันปกติแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจะวิ่งได้ไกลมากกว่า 400 กิโลเมตรต่อ ที่ชาร์ตแบตสํารองไฟฟ้า หนึ่งครั้งและค่าใช้จ่ายต่อครั้งเพียง 300 บาท ประหยัดมากกว่าเติมน้ำมันต่อถัง และนี้คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกดิ่งลงอย่างมากในช่วงหลายปี ที่ผ่านมา นอกจากการค้นพบแหล่งน้ำมันมหาศาลจากหินและทรายที่สามารถสกัดได้จากหินทราย น้ำมัน

ปัจจุบันราคาแบตเตอรี่สำรอง รถยนต์นี้ถูกกว่า 300 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง(kWh) หรือประมาณ 10,000 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงเท่านั้นเอง และคาดว่า ราคาที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง Tesla ที่ไม่เปิดเผยในรายงานทั่วไปจะต่ำมากกว่านี้อีก ก่อนหน้านี้ก็มีการศึกษาว่า ถ้าราคาของแบตเตอรี่สำรองรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกต่ำกว่า 150 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง(kWh) หรือคิดคร่าวๆ ว่าถ้ารถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกใช้แบตเตอรี่ 70 kWh ราคาแบตเตอรี่ก็จะตกประมาณ 350,000 บาท

เรามาดูกันว่าสาเหตุที่ราคาแบตเตอรี่สำรองต่ำลงมากทุกปี เนื่องจาก Economies of scale หรือการลดลงของต้นทุนต่อการผลิตจำนวนมาก ต่อไปนี้การผลิตแบตเตอรี่สำรองสำหรับ รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกกำลังจะเป็นโรงงานขนาดใหญ่ อย่างเช่นที่ Tesla กำลังสร้างโรงงาน Gigafactory ที่มลรัฐเนวาด้า ที่จะแล้วเสร็จในอีกสองปีข้างหน้า ซึ่งจะมีกำลังผลิตแบตเตอรี่สำรองได้มากกว่า 35 พันล้านวัตต์ชั่วโมง หรือGWh ต่อปี เพียงพอสำหรับใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกมากกว่า 500,000 คันต่อปี

แล้ว ถ้าถามถึงระยะเวลาที่ใช้ในการที่ชาร์ตแบตสํารองไฟฟ้าแต่ละครั้ง ปกติถ้าชาร์จที่บ้าน จะได้ในอัตรา 100 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งชั่วโมง ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ยิ่งถ้าใช้แบบ supercharge จะใช้เวลาเพียง 30 นาที ต่อระยะทาง 270 กิโลเมตร หรือประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อที่ชาร์ตแบตสํารองไฟฟ้าจนเต็ม

นอกจากนี้ ถ้าเราทดสอบการชนรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกทั้งด้านหน้าและด้านข้าง และการพลิกคว่ำ ปรากฎว่า รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกยังมีความปลอดภัยมากกว่ารถยนต์ทั่วไป เนื่องจากแบตเตอรี่วางเป็นฐานล่างของรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของรถยนต์ต่ำมาก และมีกระโปรงหน้าและกระโปรงหลังที่ว่างเปล่า สามารถเก็บสัมภาระได้ กลายเป็นส่วนซับแรงกระแทกจากการชน ดังนั้น การขับรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจะไม่ใช่ความฝันหรือของเล่นของเหล่าเศรษฐีอีกต่อไป ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

Cr.Bangkok Biznews

ดาราส่งกำลังใจถึง'ปอ-ทฤษฎี'



ดาราส่งกำลังใจถึง'ปอ-ทฤษฎี'
ดาราส่งกำลังใจถึง'ปอ-ทฤษฎี'

กรณีที่แพยท์ได้ออกมาชี้แจงว่ามีความจำเป็นจะต้องตัดขาซ้ายเหนือข้อเท้าของ 'ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์' เนื่องจากมีความดันเลือดที่ควบคุมได้ยากจากภาวะติดเชื้อ เพื่อควบคุมการติดเชื้อที่รุนแรง ตามที่ ร.พ.รามาฯ ได้แถลงไปแล้วนั้น เหล่าดาราส่งกำลังใจถึง'ปอ-ทฤษฎี'

เหล่าดาราส่งกำลังใจถึง'ปอ-ทฤษฎี' ล่าสุด นักแสดงหนุ่ม 'เกรท-วรินทร ปัญหกาญจน์' ที่เคยร่วมงานแสดงกับหนุ่ม 'ปอ' เมื่อรู้ว่าถูกตัดขาข้างซ้ายไปแล้วนั้น จึงโพสต์ข้อความสุดซึ้งถึงหนุ่ม ปอ ผ่านอินสตาแกรม @great_rider10 ว่า ... "ขอให้พี่ชายที่น่ารักของผมคนนี้ สู้ต่อไป ขอให้จิตใจและร่างกายมีแรงต่อสู้ เหมือนกำลังใจที่ทุกคนมีให้นะครับ"

ไม่นานเหล่าดารา-นักแสดง ต่างก็โพสต์กำลังใจมอบให้หนุ่มปอ และครอบครัว พร้อมติดแฮชแท็ก #StrongerPor กันมากมาย อาทิ ป๋อ-ณัฐวุฒิ, ดีเจเอกกี้, สรยุทธ สุทัศนะจินดา, หญิง-รฐา, จ๋า ยศสินี ฯลฯ เรียกได้ว่าแฟนๆ ทุกคนที่คอยติดตามอาการป่วยหนุ่ม 'ปอ' ต้องสะเทือนใจไปตาม ๆ กัน ...เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้“


คงยังจำกันได้กับนักแสดงสาว 'สเตลล่า มาลูกี้' ลูกครึ่งอิตาลี-โคลัมเบีย ที่เคยรับบท "รำเพย"จากภาพยนตร์เรื่องฟ้าทะลายโจรโด่งดังมีชื่อเสียงอยู่พักใหญ่ ปัจจุบันสาวสเตลล่าหายหน้าหายตาไปจากวงการนับ 10 ปี เนื่องจากปี พ.ศ. 2553 สเตลล่าต้องตัดขาข้างขวาทิ้ง เนื่องจากป่วยเป็นโรคแคลเซียมในปอดสูงผิดปกติ

ซึ่งโรคนี้ทั้งโลกมีผู้ป่วยแค่ 5 คน และเธอเป็นคนที่ 2 ที่หายป่วยจากโรคนี้เท่านั้น เช่นเดียวกับกรณีพระเอกหนุ่ม 'ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์' ป่วยเป็นไข้เลือดออกต้องนอนรักษาตัวอยู่ รพ.รามาธิบดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากอาการทรุดหนัก เนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำ และไตวายแพทย์ยังคงเฝ้าระวังรักษาดูอาการอย่างต่อเนื่อง

และล่าสุดแพยท์ได้ออกมาชี้แจงว่ามีความจำเป็นจะต้องตัดขาซ้ายเหนือข้อเท้า ของ 'ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์' เนื่องจากมีความดันเลือดที่ควบคุมได้ยากจากภาวะติดเชื้อ เพื่อควบคุมการติดเชื้อที่รุนแรง ตามที่ รพ.รามาฯ ได้แถลงไปแล้วนั้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจเหล่าดาราส่งกำลังใจถึง'ปอ-ทฤษฎี' หนุ่มปอมากมาย

สำหรับชีวิตส่วนตัว 'สเตลล่า มาลูกี้' สมรสกับ'จิวานนี เบอร์จามิน'ชาวชิลี และมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน ชื่อ'อเล็กซิโอ' หลังจากที่สเตลล่าต้องตัดขาข้างขวาทิ้ง เนื่องจากป่วยเป็นโรคแคลเซียมในปอดสูงผิดปกติ ทุกวันนี้ชีวิตของสาวสเตลล่ายังคงต้องดำเนินต่อไป โดยใส่ขาเทียม แต่ความพยายามเป็นแม่เธอเกิน 100 สามารถช่วยตัวเอง เลี้ยงลูกเอง ขับรถเอง พยายามใช้ชีวิตให้เป็นเหมือนคนปกติทั่วไป ขอาส่งกำลังใจถึง  'สเตลล่า มาลูกี้' เช่นกัน

Cr.เดลินิวส์,Synergy | Google+ ,e-news ,

เทศกาลลอยกระทงคึกคัก

เทศกาลลอยกระทงคึกคัก
เทศกาลลอยกระทงคึกคัก


สำหรับ "เทศกาลลอยกระทง" ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นค่ำคืนที่ประชาชน ต่างนำกระทงไปลอยลงในแม่น้ำลำคลอง จุดประสงค์ เพื่อขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่เราได้ชำระล้างหรือทิ้งสิ่งสกปรกลงไปในแม่น้ำ ลอยความโศกเศร้าไปจากชีวิต ทิ้งสิ่งที่ไม่ดีใส่กระทงลอยไป 
และจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง คือ เพื่อเหตุผลทางเศรษฐกิจ

รวมถึงการค้าขายของเหล่าบรรดาผู้ประกอบการ ที่ต่างผุดไอเดียสร้างสรรค์เทศกาลลอยกระทงคึกคักสารพัดแบบสุดทันสมัย มาจำหน่ายตั้งแต่ 30 บาท ยันหลักพัน ขึ้นอยู่กับความสวยงามและความอลังการ สร้างรายได้เข้ากระเป๋าเป็นกอบเป็นกำ รวมทั้งยังจัดงานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยว ดึงเม็ดเงินเข้าสู่สังคม จังหวัด ต่อยอดไปจนถึงในระดับประเทศนั่นเอง
 

เทศกาลลอยกระทงคึกคัก ทำเอาร้านทำขนมปังขายส่งในพื้นที่นครแหลมฉบัง เร่งเพิ่มกำลังผลิตกระทงขนมปังรูปดอกไม้ สีสันสวยงาม หลังได้รับออเดอร์การสั่งจองมาเพียบ เนื่องจากเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เพราะไม่เป็นมลพิษ ย่อยสลายได้ง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม...

บรรยากาศเทศกาลลอยกระทงคึกคัก ภายในเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เป็นไปอย่างคึกคัก โดยเฉพาะที่ร้านลูกแก้ว เบเกอรี่ เลขที่ 163/83 ม.7 ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายขนมปังที่มีชื่อเสียงของชุมชนบ้านอ่าวอุดม ได้มีการทำกระทงขนมปังรูปดอกไม้ หลากหลายสีสัน ขึ้นมาจำหน่ายให้แก่ลูกค้าที่มีราคากระทงละ 20 บาท ตามขนาดที่ลูกค้าจะสั่ง

เทศกาลลอยกระทงคึกคัก โดยเอกลักษณ์ของกระทงขนมปังที่นี่เป็นการแต่งกระทงด้วยการหยอดครีมให้เป็น รูปดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามตามแบบ และที่สำคัญ ครีมที่ใช้ทำรูปดอกไม้ที่อยู่ในกระทงนั้นเป็นครีมซึ่งไม่มีส่วนผสมของเนย จะเป็นเพียงไขมันขาวผสมกับน้ำเชื่อมเท่านั้น หรือที่เรียกว่าครีมฝึกนั่นเอง โดยครีมชนิดนี้ปลาสามารถกินได้โดยไม่เกิดอันตราย

อีกทั้งแป้งขนมปังที่ใช้จะเป็นชนิดแข็งที่สามารถลอยอยู่ในน้ำได้เป็นเวลา นาน และเมื่อจมลงจะสามารถย่อยสลายได้ภายใน 15 นาที ซึ่งแตกต่างจากที่พบวางขายทั่วไปที่ขนมปังจะมีความนิ่ม และเมื่อลอยในน้ำจะอยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควรก็จะจมลง โดยความแตกต่างนี้ ทำให้ปีนี้มีการสั่งจองจากลูกค้าให้ทำกระทงขนมปัง ในปีนี้มียอดมากกว่า 5,000 ใบแล้ว เทศกาลลอยกระทงคึกคัก แน่นอนในปีนี้

Cr.ไทยรัฐ,Synergy | Facebook ,doly news ,Synergy | Twitter ,

22 พ.ย. 2558

รักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์


รักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์
นักวิทยาศาสตร์ได้พบอาวุธลับ ที่สามารถรักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์ในตัวของเราให้ย่อยยับไปได้ ลูกระเบิดนาโนเซลล์นั้นมีขนาดเล็กจิ๋วจนต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์แห่งอังกฤษ ได้เปิดเผยว่า กำลังเตรียมที่จะรักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์ด้วยวิธีฝากระเบิดนาโนเซลล์นั้นไป กับฟองไขมัน ซึ่งเป็นยานลำเลียงวัตถุต่างๆ ไปส่งทั่วร่างกาย ให้มันทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงถึงจุดกำหนด ระเบิดนาโนเซลล์นี้ จะไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงอย่างไร เพราะมันคิด แต่จะเอาเนื้อร้ายเป็นเป้าเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เทคโนโลยีรักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์ นี้จัดว่าเป็นเทคโนโลยีวิเศษ เท่าที่ได้ทดลองกับสัตว์มา “ยังมีปัญหาอยู่แต่จะจุดชนวนให้นาโนเซลล์มันระเบิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งคิดว่าควรจะเป็นเมื่ออุณหภูมิขึ้นถึง 42 องศาเซลเซียส แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกท่านหนึ่งได้เผยว่า ได้มีการใช้วิธีการรักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์แบบเดียวกันนี้กับคนไข้ เป็นการทดลองมาบ้างแล้วที่ฝังอเมริกา.

ก่อนหน้านี้ทางสหรัฐอเมริกา ทีมนักวิจัยจากเอ็มไอทีก็ได้ค้นพบรักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์ด้วยการสร้าง ระเบิดนาโนทำลายเซลล์มะเร็จมาแล้วเช่นกัน มีลักษณะเป็นนาโนเซลล์ที่คล้ายกับลูกโป่งซ้อนอยู่ในลูกโป่งอีกใบดูด้วยกล้อง จุลทรรศน์หรือกล้องไมโครสโคปจึง จะเห็น โดยบรรจุตัวยา anti-angiogenesis ไว้ที่เยื่อบุชั้นนอกของนาโนเซลล์ และตัวยาเคมีบำบัดไว้ในลูกโป่งใบที่อยู่ข้างใน รวมถึงเคลือบสารเคมีที่ผิวลูกโป่งใบนอก เพื่อให้นาโนเซลล์หลบการตรวจจับของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อนาโนเซลล์ถูกฉีดเข้าไปในกระแสเลือด และเข้าไปในเนื้อร้าย เยื่อบุชั้นนอกจะแยกออกและปล่อยตัวยา anti-angiogenesis ออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็งถูกสกัด
     
การรักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์ขั้นตอนต่อไป นาโนเซลล์ในเนื้อร้ายที่เห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะแตกออกและปล่อยตัวยาเคมีบำบัดเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยที่เซลล์ที่แข็งแรงจะไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด วิธีรักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์นี้จึงอาจปลอดจากผลข้างเคียง อาทิ ผมร่วง อาเจียน คลื่นเหียน และน้ำหนักลด ที่มักเกิดกับผู้รับการบำบัดด้วยเคมี
     
ทาง ด้าน จูดาห์ โฟล์กแมน (Dr Judah Folkman) ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งของโรงพยาบาลเด็กบอสตัน (Children's Hospital Boston) ยกย่องว่ารักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์นี่เป็นเทคนิคชั้นยอดในการโจมตีองค์ ประกอบ 2 ส่วนของเนื้อร้าย คือ ระบบเลือด กับเซลล์มะเร็ง
     
อย่าง ไรก็ดีรักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์ ด้วยระเบิดอัจฉริยะใช้ได้ผลกับมะเร็งผิวหนังประเภท "เมลาโนมา" (Melanoma) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระหรือไฝ มากกว่ามะเร็งปอด ซึ่งเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้นักวิจัยคิดหาทางพลิกแพลงเทคนิครักษามะเร็ง ด้วยนาโนเซลล์นี้ให้เหมาะสมกับมะเร็งชนิดอื่นและโรคอื่นๆ รวมถึงทดสอบการนำตัวยาต่างๆ มาผสมกัน เพื่อลดผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
     
นอกจากนี้ เหล่านักวิจัยของเอ็มไอที เจ้าของผลงานรักษามะเร็งด้วยนาโนเซลล์ครั้งนี้ยังแสดงความหวังว่า ความที่ระเบิดอัจฉริยะใช้ตัวยาและวัตถุที่ใช้กันอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าน่าจะให้ผลในการรักษากับมนุษย์เช่นเดียวกับผลสำเร็จในการทดลอง กับหนู

Cr.ไทยรัฐ,ผู้จัดการ

โครงการ National e-payment


ทุกวันนี้ประชาชนคนไทยไปไหนมาไหนต้องพก บัตรประจำตัวประชาชนติดกระเป๋าเพราะไม่ว่าจะติดต่อกับใครทั้งทางราชการและ เอกชน สิ่งแรกที่เจ้าหน้าที่ต้องขอดูคือบัตรประจำตัวประชาชนรวมไปถึงหากต้องมีบัตร อื่นประกอบด้วย เช่น ไปโรงพยาบาลต้องมีบัตรของโรงพยาบาลและบัตรอื่น ถ้ามี เช่น บัตรประกันสังคม เป็นต้น แต่อนาคตอันใกล้รัฐบาลจะมี โครงการ National e-payment บัตรเดียวใช้ได้ทั่วไทย

โครงการ National e-payment มีแนวคิดที่จะใช้บัตรประจำตัวประชาชนแทนเงินสด นับเป็นประโยชน์ในยุคที่ระบบอินเตอร์เน็ตอย่างยิ่ง เพราะข้อมูลส่วนตัวของแต่ละคนบันทึกไว้ในบัตรประจำตัวประชาชนเรียบร้อยแล้ว นับแต่ข้อมูลเบื้องต้นที่แสดงไว้หน้าบัตรคือเลขบัตรประจำตัวประชาชน13 หลัก เพศ ชื่อตัว ชื่อสกุล ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ วันเดือนปีเกิด ศาสนา ที่อยู่ วันออกบัตร วันบัตรหมดอายุ ภาพถ่ายมีกำหนดส่วนสูงหลังภาพ มีหมายเลข  "ซิมการ์ด" และรหัส "บาร์โค้ด" ริมบัตร ใช้การอ่านและตรวจสอบข้อมูลบุคคลด้วยเครื่องอ่านบัตรและเครื่องอ่านบาร์โค้ด

ขณะ ที่ระบบอินเตอร์เน็ตในเครื่องคอมพิวเตอร์บรรจุข้อมูลแทบว่าทุกประเภทไว้หมด แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชน บัตรข้าราชการ หรือกรณีหนังสือเดินทาง เพียงสอดด้านหน้าของหนังสือเดินทางเข้าไปในเครื่องตรงหน้าพนักงานหรือเจ้า หน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ข้อมูลของบุคคลนั้นจะปรากฏบนจอ หรือแม้แต่ใช้กับเครื่อง "ผ่านเร็ว" ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจ เครื่องจะตรวจสอบข้อมูลอัตโนมัติ

วันก่อนนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงโมเดลของโครงการ National e-payment หรือการชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงการแรกซึ่งจะเริ่มด้วยบัตรอะไรก็ได้ที่เป็นสมาร์ทการ์ด เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต หรือโทรศัพท์มือถือที่เป็นสมาร์ทโฟน แล้วรูดบัตรผ่านเครื่องรูดบัตร เพื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ราคา 20 บาทขึ้นไปได้ ต้องเข้าร่วมโครงการที่ว่า

โครงการ National e-payment นี้จะเป็นการจัดทำข้อมูลของคนไทยทั่วประเทศให้ออกมาเป็นแต่ละบุคคลเพื่อให้ คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการใช้บริการทางการเงินหรือเพื่อจับจ่ายใช้สอยโดย ไม่จำเป็นต้องใช้สมุดบัญชีหรือชำระด้วยเงินสดอีกต่อไป

นายสมชัย บอกว่าเมื่อโครงการ National e-paymentแรกสำเร็จจะทำให้คนไทยลดการใช้เงินสดเพราะสามารถใช้บัตรใบเดียวรูด ซื้อสินค้าผ่านเครื่องรูดบัตรในราคาตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไปได้ โดยทุกร้านค้าต้องมีเครื่อง Electronic Data Capture (EDC) ซึ่งขณะนี้ผู้ให้บริการการเงินผ่านบัตรมีระบบเป็นของตัวเอง แต่ในอนาคตจะต้องเชื่อมถึงกันหมด

Cr.ประชาชาติธุรกิจ

แวร์โซว จดหมายลาตาย

 
แวร์โซว จดหมายลาตาย
แวร์โซว จดหมายลาตาย


แวร์ โซว โพสต์บ่นเพราะเหนื่อย
 
จากกรณีที่มีข่าวว่า นักแสดงสาว แวร์โซว โพสต์เฟซบุ๊กรำพึงรำพันถึงชีวิตตัวเอง พร้อมฝากลูกให้ญาติดูแล ทางครอบครัวติดต่อไม่ได้ เกรงว่านักแสดงสาวจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย โดยข้อความในเฟซบุ๊กนั้น ระบุว่า 


"สุขสันต์วันเกิดนะนูป เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ป้าดาวดาวขอให้สมหวังในชีวิตคู่ เฮียเป็นคนดีมากนะ ป้าจุ๋มลุงกบอยู่เป็นเพื่อนกันตราบนานเท่านานนะ จูนดูแลตัวเองดี ๆ อย่าดุพี่หลงมากหละ คนดีลูกเลือกชีวิตของลูกเองแล้ว ความยาก ความสนุก นั่นคือ ตัวตนของหนู เต็มที่กับสิ่งที่เลือกแล้วผลจะเป็นยังไงต้องรับให้ได้ จะสตอ สตรอง แม่รักลูกเสมอ แม่...แวร์รักแม่นะ ถ้าแม่จะไม่ได้เลี้ยงแวร์มาเลย แม่ไม่ช่วยตัวเองและลูกหลานเลย มีแต่เรื่องเข้าบ้านตลอด ความอดทนคนเรามีนก็มีที่สิ้นสุด วันนี้แวร์เหนื่อย หมดแรง กำลังใจไม่เหลือ ตอนนี้แวร์มีหนี้ บ้าน คอนโด รถ โดยประมาณ 4,000,000 บาท ฝากพี่หมี พี่หมู ลุงจง ป้าหวาน น้องแหม่ม ดูแลหลานแทนพี่แวร์ด้วยนะคะ ส่วนผู้ใหญ่ท่านใดเมตตาเอ็นดูคนดีรบกวนฝากน้องด้วยนะคะ พี่แวร์บริจาคดวงตาร่างกายและอวัยวะทุกส่วนให้สภากาชาดไทยทั้งหมดแล้วนะคะ หวังว่าคงพอมีประโยชน์กับผู้ที่ต้องการถ้ามีอะไรเกิดขึ้นต้องรบกวนทุกคนแล้ว นะคะ ส่วนป้าแอนประกันที่ทำไว้ขอนะคะความจริงใจ บาปกรรมมันตามทัน เพราะไม่รู้จะอยู่หรือจะตาย หยุด! เถอะค่ะ รักป้าแตพี่บ๊วยน้อง พ.ศ. เราคือครอบครัว แวร์ไม่ได้เก่ง แวร์ไม่ได้แกร่ง แต่แวร์มีสัญชาตญาณของความเป็นคนและแม่ ที่สำคัญแวร์บ้าไม่มีใครเป็นอย่างแวร์ได้ เพราะธรรมชาติมีหนึ่งเดียวในโลก คล้ายแต่ไม่เหมือน มนุษย์ทุกคนคือศิลปะชิ้นเอกของโลก รักทุกคน แต่ทนตัวเองไม่ไหวสังคมดัดจริต ประดิษฐ์ภาพลักษณ์ หลอกได้แม้กระทั่งโลกสวยสโลว์ไลฟ์ หน้าตานิสัยที่แท้จริงของตัวเองยังไม่รู้จักเลย อยู่ไปก็เหนื่อยเปล่า เปลืองอากาศ เปลืองทรัพยากร เปลือง...? สวัสดีจ้า รักทุกคนจ้า“




แวร์โซว ได้เปิดเผยว่า ไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ได้จะลาตายตามที่ข่าวบอก ข้อความที่โพสต์ไป เป็นเพราะน้องคนดี ลูกสาวดื้อ เขากำลังเข้าสู่วัยรุ่น เราก็ลองไม้อ่อน ไม้แข็ง ลองมาสารพัดวิธี คือเขาเป็นลูกดาราก็จริง เราเลี้ยงเขาปกติ แต่เวลาเราไปข้างนอก ใครขอถ่ายรูปทักทาย เราในฐานะนักแสดงก็ต้องคุย พอเขาเกิดมา เขาก็ได้รับสิ่งเหล่านี้ กลายเป็นที่รู้จัก ซึ่งมันก็เป็นดาบสองคม ทำให้เขาคิดว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้รู้จักกันหมด แต่เราจะสอนเขาตลอดว่า ใครให้อะไรอย่าไปกิน ทำอะไรต้องมองซ้ายมองขวา อย่าไปหยิบของใคร คือเขาดื้อ 


คิดว่าอะไร ๆ ก็ต้องเขาก่อนเราก็จะคอยบอกว่าตอนนี้ คนดีโตแล้วนะ ทำแบบนั้นไม่ได้แล้วนะ สอนให้เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร สอนตามชีวิตจริงเลยว่าชีวิตต้องเจออะไรบ้างเราเหนื่อย เราก็เวิ่นเว้อของเราไป ที่โพสต์ก็จะเป็นการอวยพรวันเกิดพี่สาวคนโต อวยพรหลาน อวยพรพี่สาวคนที่สองที่กำลังจะแต่งงาน แม่แวร์ก็อายุ 65แล้ว สุขภาพไม่ดี ลูกหลานก็กลุ้มใจ แล้วลูกเขา 10 ขวบครึ่งจะ 11 ขวบแล้วกำลังเข้าสู่วัยรุ่น วัยลองของ เราก็จะสอนเขาว่า ถ้าวันนี้แม่นอนหลับไปและตื่นมาปกติ เราก็จะอยู่ด้วยกันต่อไป แต่ถ้าแม่หลับไปแล้วเส้นเลือดในสมองแตกไม่ตื่นขึ้นมา เขาจะทำอย่างไรแม่เป็นอะไรไป เขาจะอยู่อย่างไร 

เราเอาความจริงมาสอนกันที่เขียนไปทั้งหมด เพื่อที่เขาเอามาอ่านแล้วจะได้รู้และจัดการกับชีวิตตัวเองได้ ว่าแม่ทำอะไรไว้ยังไงบ้าง ทำประกันไว้ที่ไหนบ้าง มันเป็นวิธีการสอนลูก และก็เป็นวิธีคิดที่ให้คนที่ติดตามเรา จะได้นำไปสอนลูกได้ด้วย 

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าลูกดื้อนี่ดื้ออย่างไร? แวร์ โซว กล่าวว่า เขาเป็นเด็กฉลาดแต่ดื้อ ถ้าฉลาดแล้วไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ทำประโยชน์นี่ก็ดีไป แต่นี่จะออกแนวโกง เราใช้ไม้อ่อนไม่ได้ เมื่อก่อนเขาไม่ดื้อเลย ตอนเด็ก ๆ น่ารัก มาเป็นตอนเข้าโรงเรียน แต่เราไม่โทษโรงเรียนเพราะคนร้อยพ่อพันแม่ ครูอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง เช่นเขาเห็นกระเป๋าคนอื่นเปิดอยู่ก็จะไปหยิบของคนอื่นมา แวร์ โซว ก็เลยตัดสินใจเอาลูกออกมาเรียนเป็นโฮมสคูล แล้วก็ใช้เทียบวุฒิกับทางกระทรวงศึกษาฯเอา 

ตอนนี้เขาก็เทียบได้อยู่ ป.5 ถ้าเขาสอบเทียบได้ ป.6 เขาอาจจะไปเรียนในโรงเรียนปกติได้ เพราะค่านิยมคนไทยเราต้องมีวุฒิการศึกษาเพื่อสมัครงาน แวร์ โซ กล่าวต่อว่า ไม่มีการคิดสั้นใด ๆ ทั้งสิ้น ที่ข่าวบอกว่า ครอบครัวติดต่อแวร์ โซวไม่ได้ก็ไม่จริง เพราะใช้เบอร์นี้ตลอดไม่เคยเปลี่ยน เมื่อวานยังไปเดินเดอะมอลล์ บางกะปิ อยู่เลย งานละครก็ยังมีอยู่ มีที่รับเชิญในละคร "เหยี่ยวรัตติกาล" และเพิ่งมีช่อง 8 มาขอคิวละครเรื่องใหม่ ตอนนี้บทที่ได้รับเครียด ๆ ทั้งนั้น ชีวิตแวร์ โซวก็ยังเครียดอีก แต่ไม่ได้จะเรียกร้องความสนใจอะไร ตอนนี้ก็ลบโพสต์ออกไปแล้ว เพราะเริ่มรู้สึกว่ามันจะไปกันใหญ่ แต่แวร์ โซวยืนยันว่าไม่มีอะไร..“




Cr.เดลินิวส์,Synergy | Facebook ,e-news ,เล่าสู่กันฟัง ,

21 พ.ย. 2558

กล้องวงจรปิดนกฮูก


กล้องวงจรปิดนกฮูก
สำหรับใครที่กำลังมองหาอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยให้กับบ้านของคุณ เดี๋ยวนี้เรามีเทคโนโลยีทางด้านความปลอดภัยมากมาย ซึ่งระบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นกล้องวงจรปิด(กล้อง IP Camera)แล้ว ล่ะ แต่ด้วยลักษณะของกล้องวงจรปิด(กล้อง IP Camera)ทั่วไปอาจจะดูไม่ค่อยงามซักเท่าไหร่ แต่หน้าตากล้องที่วางขายก็เป็นที่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมแบบเดิมๆ แต่เดียวนี้ไม่แล้วเพราะมีกล้องวงจรปิดนกฮูก(IP Camera)

เพราะฉะนั้นแล้วหากอยากจะมีกล้องดีๆ ซักตัวติดไว้ที่บ้าน พร้อมกับดีไซน์อันน่ารักเฉพาะตัว เจ้ากล้องวงจรปิดนกฮูก(IP Camera) เจ้านกฮูกน้อยตัวนี้คือคำตอบสุดท้ายแล้วล่ะ!!  มันเป็นกล้องวงจรปิดนกฮูก(IP Camera)ระวังภัยเป็นกล้องจิ๋วที่สามารถติดไว้ตรงไหนก็ได้ในบริเวณบ้าน แถมยังมีความสามารถที่น่าสนใจสุดๆ เลยล่ะ อย่างเช่นการตรวจจับการเคลื่อนไหว หากมีอะไรเคลื่อนไหวผ่านหน้ากล้อง(ดวงตาก็ขยับมองตามด้วยนะ) ก็จะทำการส่งอีเมล์แจ้งเตือนทันที รวมไปถึงการปรับแต่งสีสันดวงตาของเจ้านกฮูกน้อยผ่านสมาร์ทโฟน การดูกล้องผ่านสมาร์ทโฟน ถ่ายรูปภาพ และอื่นๆ

แก็ตเจ็ต(Gadget) เจ๋งๆ ที่น่ารักที่สุดในโลก! อันนี้มีชื่อเรียกว่ากล้องวงจรปิดนกฮูก Ulo ถูกพัฒนาขึ้นโดยนาย Vivien Muller ชาวฝรั่งเศส ที่มีดีไซน์ฉีกกฏกล้อง โดยมาพร้อมกับดีไซน์น่ารัก รูปทรงคล้ายนกฮูกตากลมโต แถมยังมีระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว  เพื่อรักษาความปลอดภัยด้วยนะ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีวางขายอย่างเป็นทางการนะครับ โดยยังเป็นโปรเจ็คระดมทุน KickStarter อยู่ตอนนี้

จุดเด่นของกล้องวงจรปิดนกฮูก Ulo คือเป็นกล้องวงจรปิด(IP Camera)ดีไซน์น่ารัก รวมไปถึงยังมีความฉลาดมาก เพราะในหลายๆ ฟีเจอร์ เราสามารถควบคุมได้ด้วยสมาร์ทโฟนของเราครับ ไม่ว่าจะเป็นโหมดการตรวจจับการเคลื่อนไหว ที่เมื่อมีวัตถุเคลื่อนไหวขณะเราเปิดโหมด Alert Mode อยู่ เจ้ากล้องวงจรปิดนกฮูก(IP Camera)ตัวน้อยก็จะบันทึกคลิปวีดีโอ แล้วอีเมลหาคุณทันที รวมไปถึงยังมีโหมด Live Video ที่ให้คุณชมภาพในห้องแบบ real time

ที่ทำให้มันดูโดดเด่นก็คือความน่ารักนี่แหละ เลนส์กล้องวงจรปิดนกฮูกก็เป็นเหมือนกับดวงตาของนกฮูก กระพริบตาแป๋วๆ ยิ่งเวลาแบตเตอรี่ใกล้หมดก็จะแสดงอาการเหนื่อย ตาปิด อะไรแบบนี้ น่ารักมากๆ เลยแฮะ การใช้งานก็ง่าย ๆ เพียงแตะเบาๆ ที่หัวกล้องวงจรปิดนกฮูก(IP Camera) ก็จะเป็นการเปิด หรือปิดทันที เมือเปิดใช้งาน Alert Mode สามารถบันทึกภาพสิ่งเคลื่อนไหว แล้วส่งให้คุณทันที แม้นแต่การเปลี่ยนสีสัน หรือรูปแบบดวงตาของกล้องวงจรปิดนกฮูกสามารถทำได้ด้วยสมาร์ทโฟน หรือเพียงแค่ตั้งกล้องวงจรปิดนกฮูกไว้ในห้องนอนลูก อยู่ที่ไหนก็สามารถเฝ้าดูคนที่คุณรักได้ตลอดเวลา

ในความน่ารัก ก็ยังแฝงความน่ากลัวไว้ด้วยนะครับ เพราะถ้าสาวๆ ซื้อแล้วเอากล้องวงจรปิดนกฮูก(IP Camera)ไปแอบตั้งไว้ในห้องแฟน แล้วบอกว่าเป็นแค่ตุ๊กตาตั้งโชว์เฉยๆ ให้รู้ไว้เลยว่าคุณซวยแล้วแน่นอน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน นะครับ

อย่างไรก็ตามเจ้ากล้องวงจรปิดนกฮูก Ulo นี้ยังเป็นเพียงแค่โครงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้ผลิตวางจำหน่ายอย่างจริงจัง ซึ่งหากมีการผลิตออกมาเป็นที่เรียร้อยแล้วค่าตัวจะอยู่ที่ 7,743 บาท (199 ยูโร) แต่หากใครสนใจร่วมลงทุนตอนนี้ก็จะได้ส่วนลด 50% เหลืออยู่ที่ 3,852 บาท (99 ยูโร)

Cr.Mthai,CatDumb

วัดระดับออกซิเจนในเลือด


นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์ เนียที่เบิร์กลีย์ในสหรัฐ คิดค้นพัฒนาเซ็นเซอร์อินทรีย์ตรวจวัดออกซิเจนในเลือด เพียงปิดปลายนิ้วได้แบบผ้าพันแผลก็สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องวัดออกซิเจน ในเลือดที่ปลายนิ้วได้แล้ว เหมาะสำหรับใช้ดูแลผู้ป่วยภายในบ้าน โรงพยาบาล หรือแม้แต้ใช้กับนักกีฬา  ในรูปแบบเซ็นเซอร์อินทรีย์ที่ยืดหยุ่นปิดปลายนิ้วได้แบบผ้าพันแผล ทำให้กระบวนการยุ่งยากน้อยลงและติดตามได้อย่างต่อเนื่อง

การรักษา ระดับออกซิเจนในเลือดให้คงที่เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสมดุลของร่างกายเพื่อ แก้ปัญหาภาวะหายใจลำบากและอวัยวะอื่นๆ ผู้ป่วยจำเป็นต้องตรวจสอบระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดอยู่เสมอ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินระดับออกซิเจนในร่างกาย แต่ปัญหาเกิดจากขาดแคลนระบบการตรวจสอบและเครื่องวัดออกซิเจนในเลือด นอกจากนั้นอุปกรณ์เหล่านี้ยังค่อนข้างเทอะทะแพงและมีใช้เฉพาะแต่ในโรงพยาบาล

ระดับ ออกซิเจนในเลือดต่ำเป็นภาวะหนึ่งที่พบบ่อย จำเป็นต้องวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องเพื่อลดความพิการและอัตราการตายจาก การขาดออกซิเจน การสังเกตอาการจากการตรวจร่างกายเพื่อประเมินระดับออกซิเจนในเลือดมีข้อ จำกัดและมีความผิดพลาดสูง

เครื่องวัดออกซิเจนในเลือดทั่วไปใช้หลอดไฟ LED ที่ยิงทั้งแสงอินฟราเรดและแสงสีแดงผ่านบางส่วนของร่างกาย ซึ่งมักจะเป็นปลายนิ้วหรือติ่งหู ให้แสงผ่านจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งพร้อม ๆ กัน เนื่องจากเลือดที่อุดมไปด้วยออกซิเจนจะดูดซับแสงอินฟราเรดมากขึ้น ส่วนเลือดที่มีระดับออกซิเจนต่ำสีเข้มกว่าจะดูดซับแสงสีแดงมากขึ้น ตัวเซ็นเซอร์รับสัญญาณประเมินอัตราส่วนของแสงทั้งสองชนิด และบ่งชี้ระดับออกซิเจนเลือดได้

ทีมนักวิจัยใช้ไฟสีแดงและสีเขียวแทน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือดเช่นเดียวกัน หลอดไฟ LED สีเขียวและสีแดงทำจากวัสดุอินทรีย์และถูกรวมไว้บนชิ้นส่วนพลาสติกที่มีความ ยืดหยุ่นสำหรับติดตามร่างกาย สามารถติดตามตรวจวัดสัญญาณชีพจร และปริมาณออกซิเจนในเลือดผู้ป่วยได้ต่อเนื่องตลอดเวลา

นักวิจัยได้ ทดสอบอุปกรณ์ต้นแบบกับเครื่องวัดออกซิเจนทั่วไป พบว่า การอ่านค่ามีความถูกต้องเท่าเทียมกันประโยชน์ข้อสำคัญของเซ็นเซอร์อินทรีย์ ที่พัฒนาขึ้นใหม่คือราคาถูกกว่าเครื่องวัดออกซิเจนในโรงพยาบาลทั่วไปมาก และไม่ต้องฆ่าเชื้อก่อนใช้งานซ้ำ นักวิจัยบอกว่า เซ็นเซอร์อินทรีย์อาจจะมีราคาถูกพอที่ใช้งานเพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งไปเหมาะ สำหรับใช้ดูแลผู้ป่วยภายในบ้าน โรงพยาบาล หรือแม้แต้ใช้กับนักกีฬา

Cr.โลกวันนี้

20 พ.ย. 2558

จดจำใบหน้าของ Facebook


จดจำใบหน้าของ Facebook
ตอน นี้ทาง Facebook กับความสามารถใหม่ใน Facebook Messenger ที่จะเข้ามายุ่งย่ามเรื่องส่วนตัวของเราอีกครั้ง กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่จดจำใบหน้าของ Facebook ที่ชื่อว่า Photo Magic เป็นระบบจดจำใบหน้าแล้วเป็นเหมือนเครื่องสแกนแบบพกพา ใน Facebook แล้วหารูปเพื่อนในเครื่องเราเพื่อเสนอการแชร์แบบอัตโนมัติได้ในทันที หรือเครื่องสแกนภาพที่เราถ่ายมาในเครื่องโทรศัพท์มือถือของเราและแจ้งเตือน ส่งภาพเหล่านั้นให้กับเพื่อนๆที่อยู่ในภาพนั้น

จริงๆ แล้วเป็นฟังชั่นจดจำใบหน้าของ Facebook ที่จะเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายและความสนุกในการแชร์ภาพระหว่างสังคมออนไลน์ นั้นเองครับ ความสามารถใหม่ใน Facebook Messenger กำลังจะมาหาพวกท่านแล้วครับ เป็นความสามารถที่ตัวแอพจะเข้าไปทำหน้าที่เป็นเครื่องสแกนแบบพกพาทำ การสแกนหน้าบุคคลจากภาพถ่ายของเราที่บันทึกเข้าไปในอัลบั้มภาพ และระบบจะทำการค้นหาเปรียบเทียบใบหน้าจากบุคคลที่เรารู้จักใน Facebook เมื่อมีการค้นพบก็จะถูกหยิบขึ้นมาแนะนำให้เราทำการแชร์ออกไปยังเพื่อนคนนั้น ได้ในทันที

เมื่่อเราเปิดคุณลักษณะการทำงาน จดจำใบหน้าของ Facebook (Photo Magic) ดังกล่าว ถ้ามีการบันทึกภาพใหม่ๆ เข้าไปในอัลบั้ม จะมี POP-UP แจ้งเตือนแสดงขึ้นมาว่ามีการค้นพบใบหน้าของบุคคลที่เรารู้จัก เพื่อให้เรากดส่งหาเขาได้ทันทีโดยไม่ต้องไปเปิดค้นหารายชื่อเพื่อนใน Messenger ซะก่อน ซึ่งในปัจจุบันระบบนี้ยังใช้ได้แค่ในระบบปฏิบัติการ Android ในประเทศออสเตรเลียเท่านั้นครับ สำหรับเครื่องที่ใช้ระบบ iOS และผู้ใช้งานในภูมิภาคอื่นๆ จะตามมาเร็วๆ นี้

หลายคนอาจจะห่วงใน เรื่องของการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวด้วยการจดจำใบหน้าของ Facebook (Photo Magic) นั้น แต่ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ Lexy Franklin ได้ออกมายืนยันแล้วว่า เราสามารถกำหนดการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของบริการจดจำใบหน้าของ Facebook และปิดการจดจำใบหน้าของ Facebook และการแจ้งเตือนดังกล่าวได้ด้วยตัวคุณเอง และแน่นอนว่า

ต่อไปนี้เวลาเราถ่ายภาพเพื่อนๆเรา ฟีเจอร์จดจำใบหน้าของ Facebook (Photo Magic) นี่จะแจ้งเตือนโดยถามว่าต้องการจะแชร์ภาพนี้ให้เพื่อนคนนี้คนนั้นหรือเปล่า ฟีเจอร์จดจำใบหน้าของ Facebook นี่จะเป็นเครื่องสแกนแบบพกพาแล้วสแกนทุกๆครั้งที่เราถ่ายภาพ ฟีเจอร์สามารถปิดได้จากการตั้งค่า ส่วนสำหรับใครที่ชอบแชตชอบแชร์ ก็เป็นการทำงานที่น่าจะสะดวกสบายมากกว่าเดิมเยอะเลยครับสำหรับการส่งภาพให้ เพื่อนของเราด้วยการแชร์แบบอัตโนมัติได้ในทันที

Cr.AppDisqus

สำรวจสิ่งมีชีวิตดาวอังคาร


ภารกิจสำรวจสิ่งมีชีวิตดาวอังคาร ExoMars จากองค์กรตัวแทนอวกาศยุโรป European Space Agency’s (ESA)  เป็นการร่วมงานกันระหว่างชาติยุโรปหลายประเทศและรวมถึงสหพันธ์รัสเซียด้วย ได้มียานสำรวจใหม่ออกแบบโดยยุโรป สำรวจลงจอดที่พื้นดาวอังคารในปี 2018  ภารกิจ ExoMars โดย ESA นี้จะสร้างความฉงนให้กับ NASA ถึงวันแห่งชัยชนะของอวกาศยุโรปนี้ แล้วได้มีการ tweet บอกต่ออกไปมากมายถึงวันแห่งชัยชนะของอวกาศยุโรปในครั้งนี้

เราจะได้ เห็นยานสำรวจสิ่งมีชีวิตดาวอังคาร ExoMars ลงจอดที่พื้นดาวอังคารในปี 2018 ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเดินทางเป็นเวลา 9 เดือน โดยวัตถุประสงค์ก็เพื่อค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทุกชนิด โดยมีการวิเคราะห์ตัวอย่างทางธรณีวิทยาของดาวอังคารด้วยเครื่องมือล้ำยุค

พื้นที่ เป้าหมายยานสำรวจสิ่งมีชีวิตดาวอังคาร ExoMarsคือบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรที่เรียกว่า Oxia Planum นั้นเต็มไปด้วยผลึกแร่ไฮเดรตซึ่งมีปฏิกิริยากับน้ำในภาวะของเหลวมาอย่างยาว นานเท่านั้นถึงเกิดขึ้นได้ แม้ว่าเรื่องนี้ยังต้องผ่านผู้ใหญ่สูงสุดของ ESA ก่อน แต่กลุ่มทำงาน LSSWG ก็ยืนยันว่า Oxia Planum น่าจะเป็นตัวเลือกระดับต้นๆ

พื้นที่รองลงมา คือ Aram Dorsum และ Mawrth Vallis ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพคล้ายๆ กันกับ Oxia Planum แต่เป็นที่ตั้งของทางไหลของน้ำเก่าแก่ขนาดยักษ์และเป็นที่สะสมของโคลนหนา ขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ สองพื้นที่นี้จะถูกพิจารณาก็ต่อเมื่อโครงการเกิดมีปัญหาเลื่อนหรือมีการ เปลี่ยนแปลงเท่านั้น ถ้ายานสำรวจสิ่งมีชีวิตดาวอังคาร ExoMars ถูกส่งไปถึงดาวอังคารในปี 2020 สองพื้นที่นี้จะง่ายกว่าในการเข้าถึง มากกว่า Oxia Planum ซึ่งจะต้องใช้เวลาไปถึงปี 2021

Dr. Peter Grindrod ผู้เชี่ยวชาญด้านดาวอังคาร องค์กรอวกาศสหราชอาณาจักร และมหาวิทยาลัย Birkbeck ในลอนดอน เห็นด้วยในทางบวกอย่างที่สุดเกี่ยวกับตัวเลือกของสถานที่ลงจอดยานสำรวจสิ่ง มีชีวิตดาวอังคาร ExoMars ว่าการที่สามารถเข้าถึงกลุ่มหินเก่าแก่ที่มีหลักฐานของน้ำ ซึ่งเป็นสภาวะแวดล้อมที่สามารถอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตได้

ยานสำรวจ สิ่งมีชีวิตดาวอังคาร ExoMars นี้มีส่วนอุปกรณ์ในการช่วยค้นหาที่สำคัญคือ หัวสว่านขุดเจาะของมัน ซึ่งสามารถขุดลึกได้ถึง 2 เมตร (6.6ฟุต) ซึ่งตามรายงานว่า ทางน้ำไหลในดาวอังคารถูกยืนยันว่า ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งที่พื้นผิวและใต้ดิน ซึ่งสร้างความหวังเรื่องการค้นพบรูปแบบสิ่งมีชีวิตเบื้องต้นอยู่ที่แหล่ง พื้นที่ที่อุดมไปด้วยน้ำเหล่านี้ตามที่กล่าวมา

อย่างไรก็ตาม ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารนั้นเบาบางกว่าของโลกมาก และดาวอังคารก็ไม่มีสนามแม่เหล็กเหมือนกับของเรา ซึ่งแปลว่า รังสีดวงอาทิตย์ทรงพลังก็สามารถเข้ามาทำลายผิวดาวอังคารซึ่งเป็นไปได้อย่าง มากว่าจะทำลายสิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนพื้นผิวไปด้วย แต่ด้วยการขุดลึกลงไปใต้พื้นผิว หวังว่ายานสำรวจสิ่งมีชีวิตดาวอังคาร ExoMars จะเจอร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่หลบพ้นจากรังสีอันตรายนี้บ้าง

มัน จะเป็นครั้งแรกที่ยานสำรวจสิ่งมีชีวิตดาวอังคาร ExoMars ได้เข้าถึงแหล่งที่ลึกลงไป ซึ่งมันน่าตื่นเต้นด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว แต่เราก็ควรที่จะศึกษาภาพกว้างของการวิวัฒนาการของดาวอังคาร โดยเข้าใจธรณีวิทยาของพื้นที่ลงจอดดังกล่าวให้มากๆ  Dr Grindrod กล่าว และเสริมว่า หวังว่าภาพที่ออกมาจะน่าตื่นตาตื่นใจสุดๆด้วย!

แม้ว่า ภารกิจยานสำรวจสิ่งมีชีวิตดาวอังคาร ExoMars จะดูเรื่องการค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตที่อยู่กับน้ำ แต่มันก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปยังแหล่งที่เรียกกันว่าเป็น “พื้นที่พิเศษ” ที่มีการสังสัยว่าเป็นแหล่งของน้ำที่ปนเปื้อนไปด้วยจุลชีพที่กำเนิดบนโลก ตามสัญญาว่าด้วยอวกาศ ปี 1967 Outer Space Treaty of 1967

Cr.วิชาการ

19 พ.ย. 2558

วิธีลดโรคอ้วนลงพุง


วิธีลดโรคอ้วนลงพุง

ข้อมูล ล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า คนไทยประมาณ 17.4 ล้านคน หรือร้อยละ 26 ของประชากรไทย มีน้ำหนักเกิน โดยในจำนวนดังกล่าวพบว่า ผู้หญิงอ้วนมากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า และประเทศไทยยังถือเป็นหนึ่งในห้าประเทศจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนลงพุงมากที่สุดอีกด้วย นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า คนไทยอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปป่วยเป็นโรคอ้วนลงพุงถึงจำนวนร้อยละ 32.1 หรือจำนวน 16.1 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ชายร้อยละ 18.6 และผู้หญิงร้อยละ 45

ผู้หญิง อ้วนมากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า และประเทศไทยยังถือเป็นหนึ่งในห้าประเทศจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนลงพุงมากที่สุดอีกด้วย  คนเรารับประทานอาหารเข้าไปในแต่ละวันมากมายหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น แป้ง น้ำตาล เนื้อสัตว์ ไข่ ขนม นม เนย น้ำหวาน หากพลังงานที่ได้รับเกินความต้องการร่างกายจะสะสมอาหารส่วนเกินเหล่านั้นใน รูปไขมัน เมื่อสะสมมากขึ้นก็จะกลายเป็น “โรคอ้วนลงพุง” ขึ้นได้ ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย

จากงานสัมมนา “เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก เวลเนส ทัวร์ ครั้งที่ 4” ขึ้น ใน 14 ประเทศ 21 เมืองทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของผู้คนอย่างง่าย ๆ เพื่อช่วยให้มีสุขภาพที่ดีและแอ๊คทีฟมากขึ้น ที่ได้รับคำแนะนำจาก ดร.เฟล็คชเนอร์-มอร์ส หัวหน้าคณะผู้วิจัยด้านโภชนาการและโรคอ้วนลงพุง ณ มหาวิทยาลัยอูล์ม ที่เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมนี ให้ความรู้ในหัวข้อเรื่อง “ใช้ชีวิตอย่างไร ให้ปลอดภัยจากโรคอ้วนลงพุง ภัยเงียบที่อันตรายถึงชีวิต” ดร.เฟล็คชเนอร์-มอร์ส กล่าวถึงโรคอ้วนลงพุงและแนะนำวิธีลดโรคอ้วนลงพุง

สาเหตุ ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะน้ำหนักเกิน หรือเกิดโรคอ้วนลงพุงได้ คือ อายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป จะมีมวลกล้ามเนื้อลดลงและมีความต้องการพลังงานลดลง ถ้าหากรับประทานอาหารในปริมาณเดิมจะมีโอกาสน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนได้ง่าย ขึ้น อีกทั้งเรื่องเพศ ผู้หญิงจะมีโอกาสอ้วนง่ายกว่าผู้ชาย เพราะมีมวลไขมันมากกว่า และมีมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่า

การมีมวลกล้าม เนื้อน้อยทำให้ร่างกายนำพลังงานมาใช้ได้น้อยลงทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่าย การรับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย รวมทั้ง การรับประทานโดยไม่คำนึงถึงจำนวนแคลอรีที่อยู่ในอาหาร หรือที่เรียกว่าตามใจปาก และขาดการออกกำลังกาย หรือมีการออกกำลังกายที่น้อย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคไขมันในเลือดสูง รวมทั้ง มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่าง ขึ้นได้

ในส่วนของ โรคอ้วนลงพุง คือ ภาวะที่ไขมันสะสมในช่องท้อง หรืออวัยวะในช่องท้องมากเกินไป จนทำให้หน้าท้องยื่นออกมาชัดเจน ส่งผลทำให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคเบาหวาน หัวใจ และหลอดเลือด ขึ้นได้

เกณฑ์ในการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วนลงพุงหรือไม่ มีทั้งหมด 5 เกณฑ์ ผู้ที่อยู่ในเกณฑ์ของอาการอ้วนลงพุงที่สามารถวัดได้จากเครื่องวัดไขมัน สามารถวัดน้ำหนักไขมัน น้ำหนักกระดูก น้ำหนักกล้ามเนื้อ และน้ำหนักรวมของร่างกายได้ จะมีความผิดปกติต่อไปนี้ร่วมกัน 3 ข้อขึ้นไป
-ความยาวของเส้นรอบเอว คนในประเทศแถบเอเชีย ผู้ชายมีรอบพุง 90 เซนติเมตรขึ้นไป ผู้หญิงมีรอบพุง 80 เซนติเมตรขึ้นไป
-ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด สูงกว่า 150 มก./ดล. (มิลลิกรัม/เดซิลิตร) หรือ 1.7 มิลลิโมลต่อลิตร
-ระดับ ไขมันเอชแอลดี คอเลสเตอรอลในเลือด ผู้ชายต่ำกว่า 40 มก./ดล. หรือ 1.0 มิลลิโมลต่อลิตร ผู้หญิงต่ำกว่า 50 มก./ดล. หรือ 1.3 มิลลิโมลต่อลิตร
-ความดันโลหิต มีค่า 130/85 มม.ปรอท หรือมากกว่า ที่วัดได้จากเครื่องวัดความดัน
-ระดับ น้ำตาลในเลือด ขณะอดอาหารตอนเช้า 100 มล./ดล. หรือมากกว่า หรือเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งบุคคลได้รับการรักษาในความผิดปกตินั้น ๆ อยู่ ต้องนำมานับเข้าเกณฑ์การเป็นโรคอ้วนลงพุงร่วมด้วย

ดร.เฟล็คชเนอร์-มอร์ส หัวหน้าคณะผู้วิจัยด้านโภชนาการและโรคอ้วนลงพุง ประเทศเยอรมนีอธิบายการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อหลีกเลี่ยงโรคอ้วนลงพุง และโรคอ้วนลงพุงให้ฟังว่า สามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการได้รับโภชนาการที่สมดุล ซึ่งคนเราควรออกกำลังกายทุกวันอย่างน้อยวันละ15 นาที พร้อมทั้งแนะนำรูปแบบของการออกกำลังกาย 3 รูปแบบ ที่ควรทำควบคู่กันไป

-บอดี้ คอมโพสิชั่น เทรนนิ่ง(Body Composition Training) เป็นการฝึกด้วยการใช้กล้ามเนื้อต้านกับน้ำหนัก เช่น การยกน้ำหนัก เพื่อการสร้างมวลกล้ามเนื้อ ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์แบบพิเศษหรือจะใช้ฟรีเวท เช่น ดัมเบล หรือบาร์เบล ซึ่งช่วยปกป้องระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ช่วยป้องกันปัญหาเกี่ยวกับหลัง รวมทั้ง ช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้ ควรจะทำสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง ใช้เวลา 30-60 นาที โดยมีการวอร์มอัพร่างกายก่อนประมาณ 10 นาที
-การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ หรือแอโรบิก(Cardio/Aerobic Exercise) เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เพื่อฝึกความทนทานซึ่งสามารถทำได้ทุกวัน จะช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น รวมทั้ง ช่วยนำออกซิเจนเข้ามาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น และช่วยให้ความดันโลหิตลดลง ระบบการทำงานของอวัยวะหลัก ได้แก่ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย การนอนหลับ การตื่น และระบบอื่น ๆ ดีขึ้น
-การออกกําลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น สามารถทำได้ที่บ้านทุกวันตั้ง แต่ 10 นาทีขึ้นไป เช่น การเล่นโยคะ การรำมวยจีน สำหรับการเริ่มต้นง่าย ๆ อาจออกกำลังกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หลังจากสองถึงสามสัปดาห์ถัดไปเมื่อรู้สึกว่าโอเคหรือชอบ ก็อาจเพิ่มเวลาการฝึกเป็น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ไม่มีกฏตายตัวว่าควรจะใช้เวลาในการฝึกเท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญกว่าการฝึกครั้งละมากๆ คือการฝึกอย่างสม่ำเสมอ

ด้าน โภชนาการ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดไขมันส่วนเกิน ได้แก่ กลุ่มธัญพืชที่ผ่านการขัดสีแล้ว เช่น แป้ง ขนมปัง เนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อที่ผ่านการแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม ลูกชิ้น อาหารทอดต่าง ๆ เช่น ไก่ทอด เฟรนช์ฟราย รวมถึงเครื่องดื่มที่เติมรสหวานต่าง ๆ

“นอก จากจะเลือกอาหารที่ดีแล้ว การกำหนดปริมาณอาหารที่ควรได้รับก็มีความสำคัญ เพราะแต่ละคนมีความต้องการพลังงานในแต่ละวันในปริมาณที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ซึ่งหากเราอยากทราบว่าตัวของเราเองต้องการปริมาณพลังงานเท่าไหร่ต่อวัน อาจตรวจในเบื้องต้นได้จากเครื่องวัดองค์ประกอบในร่างกาย (Body Composition Analyzer) เมื่อได้ค่าแล้วก็จะรู้ในเบื้องต้นว่าร่างกายของเราต้องการพลังงานมากน้อย กิโลแคลอรีต่อวัน ส่วน การลดน้ำหนักต้องใช้เวลา ต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ลองคิดอย่างง่าย ๆ ว่า กว่าน้ำหนักตัวเราจะขึ้นมาใช้เวลาพอสมควร เพราะฉะนั้นการจะกำจัดน้ำหนักส่วนเกินออกก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน” ดร.เฟล็คชเนอร์-มอร์ส กล่าวทิ้งท้าย.“

Cr.เดลินิวส์,Synergy | YouTube ,doly news ,

แคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลา


นักวิจัยมหิดล เดินหน้าวิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ดูดซึมดีกว่า ราคาถูกกว่า เตรียมตีตลาดแคลเซียมนำเข้า พ่วงงานวิจัยกระดูกเทียมนาโนคอมโพสิทช่วยผู้ป่วยกระดูกหักฟื้นเร็ว คาดเห็นผลิตภัณฑ์ภายในปีหน้า

ผู้สูงวัยมักเกิดกระดูกหักจากกระดูก พรุน มวลกระดูกที่เปราะบางแม้เพียงลื่นหกล้มก็หักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุจะมีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตจาก ภาวะแทรกซ้อน ดังนั้นจึงควรมี เครื่องวัดไขมัน มวลน้ำ มวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อ มวลกระดูกในร่างกาย จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุเพราะจะช่วยให้รู้ว่าขณะนี้มีความสมดุล หรือไม่เพียงใด การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกทุกปี เพื่อป้องกันกระดูกทรุดตัว เสริมความแข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย ทานอาหารแคลเซียมสูงตั้งแต่อายุยังน้อย แต่อีกไม่ช้าเราก็จะเห็นแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลาที่วิจัยจากไทยเรา นี่เอง
     
ศ.ดร.นทีทิพย์ กฤษณามระ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ได้รับทุนเมธีวิจัยดีเด่น จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วเป็นอันดับที่ 32 ของโลก และเร็วเป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย งานวิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุจึง เป็นเทรนด์ ที่นักวิจัยเริ่มหันมาให้ความสนใจ
     
นักวิจัยให้ ข้อมูลว่าผลงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ระบุว่าภายในเกล็ดปลาอุดมไป ด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัสและคอลลาเจน  เกล็ดปลาส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ในการวิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลา เป็นเกล็ดของปลายี่สก โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ส่วนย่อยด้วยกัน เริ่มจากการวิจัยส่วนประกอบของเกล็ดปลายี่สก ที่เป็นการศึกษาคุณลักษณะของแร่ธาตุภายในด้วยการนำเกล็ดไปปลาทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคแล้วทำให้แห้ง ก่อนจะนำมาสกัดเอาเฉพาะแร่ธาตุที่อยู่ภายใน
     
ผล การทดลองแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลา ซึ่งขณะนี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการเป็นที่เรียบร้อยแล้วระบุว่า เกล็ดปลายี่สก 1 กรัมให้แคลเซียมมากถึง 434 มิลลิกรัม ซึ่งสูงเทียบเท่ากับแคลเซียมที่มีในเปลือกไข่ 1 ฟอง อีกทั้งยังมีคอลลาเจนและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณสูง และปริมาณฟอสเฟตที่ได้ก็ไม่สูงเกินเกณฑ์ที่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสียจากการ ผลิต ศ.ดร.นทีทิพย์ กล่าว
     
ส่วนการทดลองแคลเซียมและคอลลาเจน จากเกล็ดปลา ยังวิจัยเพื่อการหาค่ามาตรฐานว่าในร่างกายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมว่า สามารถรับแคลเซียมได้ดีสุด ที่ปริมาณเท่าไร โดยการให้แคลเซียมกับหนูทดลองแม่ลูกอ่อนในระยะให้นม เทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ให้แคลเซียม และกลุ่มที่ให้แคลเซียมในรูปแบบของแคลเซียมคลอไรด์
     
นักวิจัย อธิบายว่า เหตุที่เลือกต้องเลือกแม่หนูช่วงให้นมมาเป็นกลุ่มทดลองแคลเซียมและคอลลาเจน จากเกล็ดปลา เพราะป็นภาวะที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายของแม่หนูต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติและมีการ หลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) สำหรับช่วยดูดซึมแคลเซียม
     
ผล การทดลองสรุปว่า หนูแม่ลูกอ่อนดูดซึมแคลเซียมจากเกล็ดปลาได้ดีกว่าแคลเซียมจากอาหารเสริมทั่ว ไปซึ่งอยู่ในรูปของแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดใจให้กับวงการวิจัยแคลเซียมพอสมควร
     
มาก ไปกว่านั้นการทดลองชุดนี้ยังศึกษาไปถึงการเจริญเติบโตของลูกหนูตั้งแต่แรก เกิดไปจนถึงตัวโตเต็มวัยอายุ 27 สัปดาห์ด้วย เพื่อศึกษาเปรียบเทียบว่าหนูที่ได้รับนมซึ่งมีส่วนประกอบของแคลเซียมและคอ ลลาเจนจากเกล็ดปลาจากเกล็ดปลา มีพัฒนาการของกระดูกเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับลูกหนูที่ได้รับน้ำนมจากแม่ที่กินแคลเซียมแบบปกติ โดยการฉีดแคลซีน (Calcine) ที่จะเข้าไปเป็นฉลากแสดงผลยังกระดูกชิ้นเป้าหมาย

การ วิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลา เราไม่ได้ได้จบแค่ที่ตัวผลิตภัณฑ์ แต่เรายังได้องค์ความรู้อย่างอื่นอีกมากมายจากงานวิจัย เช่น สมดุลแคลเซียมของแม่หนู, เคมีในเลือด, อัตราการสร้าง การสลาย และความแข็งของกระดูก รวมไปถึงอะมิโนแอซิดมีผลต่อการดูดซึม ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ลูกศิษย์ในแล็บทั้งระดับปริญญาโทและเอกร่วมกันต่อยอด โดยขณะนี้เราได้ตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการไปแล้ว 3 ฉบับ และกำลังอยู่ในช่วงจดสิทธิบัตรกระบวนการผลิต และคาดว่าปีหน้าน่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแคลเซียมจากเกล็ดปลา ศ.ดร.นทีทิพย์กล่าว
     
ส่วนการวิจัยท้ายสุด ศ.ดร.นทีทิพย์ ระบุว่า เป็นส่วนของการทำกระดูกเทียม จากวัสดุนาโนคอมโพสิท แทนการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเป็นการทำตั้งแต่การออกแบบโครงร่างและออกแบบลักษณะการยึดเกาะกัน ของกระดูกด้วยหลักการทางฟิสิกส์ ซึ่งได้นักวิจัยด้านฟิสิกส์วัสดุอย่าง ผศ.ดร.วีรพัฒน์ พลอัน ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เข้ามาร่วมทีม โดยมี ศ.ดร.นททิพย์และทีมวิจัยเป็นผู้ดูแลด้านชีววิทยา ซึ่งขณะนี้กระดูกชิ้นต้นแบบผลิตได้สำเร็จแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นการพัฒนาประสิทธิภาพ โดยคาดหมายว่าจะออกสู่สายตาคนทั่วไปได้ในไม่ช้า  

Cr.ผู้จัดการ

18 พ.ย. 2558

แก้โรควูบเป็นลม


แก้โรควูบเป็นลม
แพทย์ของโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยหลุยส์ปาสเตอร์ ที่สาธารณรัฐสโลวัก ได้บอกแนะนำแก้โรควูบเป็นลมแก่ผู้คนทั่วไปว่า หากรู้สึกจะเกิดอาการวูบ เป็นลมหรือหมดสติชั่วคราว ให้พยายามสูดจมูกอย่างคนคัดจมูก หรือสูดอากาศหายใจ แค่นั้นก็อาจจะแก้การเป็นลมแบบบ่อยที่สุดแบบนี้ได้

แพทย์ โรคหัวใจของโรงพยาบาลกล่าวว่า การเกิดอาการวูบเป็นลม เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ เป็นตัวขัดความสุขในชีวิต ยิ่งกว่านั้นหากผู้นั้นเกิดหกล้ม ก็จะทำให้ได้รับบาดเจ็บ เดินเหินไม่สะดวก และไม่อาจจะช่วยเหลือผู้อื่นและตัวเองได้ ซึ่งอาจจะทำให้ผู้นั้นรู้สึกซึมเศร้า จึงแนะนำวิธีแก้โรควูบเป็นลมได้ทันท่วงที่

ทางโรงพยาบาลได้มุ่งจะ ศึกษาอาการโรควูบเป็นลมเรื่องนี้เป็นพิเศษและแนะวิธีแก้โรควูบเป็นลม ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อคนไข้ลุกขึ้นโดยเร็วๆ หรือยืนเป็นเวลานาน มันทำให้ความดันโลหิตตก และหัวใจเต้นช้าลงซึ่งวัดได้จากเครื่องวัดความดัน ก็จะเกิดอาการเป็นลมหมดสติไปพักหนึ่ง

นัก วิจัยได้พยายามศึกษาว่า การสูดอากาศหายใจ จะสามารถแก้โรควูบเป็นลมและป้องกันอาการนี้ได้ทันท่วงทีหรือไม่ โดยได้ศึกษากับคนไข้หญิง วัย 56-62 ปี กลุ่มหนึ่ง โดยให้นอนบนเตียงนอนที่ลาดเอียง เป็นมุม 60 องศา พร้อมเครื่องวัดความดัน เพื่อติดตามคอยวัดความดันโลหิต และอัตราการเต้นของหัวใจด้วย เมื่อจับได้ว่าความดันโลหิตของผู้ใดเริ่มตก ก็จะบอกให้เขารีบสูดอากาศหายใจ หรือสูดจมูกอย่างคนคัดจมูกทันที โดยหุบปากเอาไว้ และระบายลมออกมา

นาย แพทย์ผู้ศึกษาในเรื่องนี้กล่าวว่าวิธีแก้โรควูบเป็นลมนั้น เราเชื่อว่า การสูดหายใจอย่างหนัก จะทำให้เกิดผลในการสกัดกั้นอาการไม่ให้ทรุดลง และยังคงยืนระดับอยู่ได้ จึงทำให้ไม่เป็นลม ปกติผู้ที่มีอาการเช่นนี้บ่อยๆ จะได้รับคำแนะนำ เวลาจะลุกขึ้นยืน ควรจะทำช้าๆ

เดี๋ยวนี้เราจะคอย บอกคนไข้ว่าวิธีแก้โรควูบเป็นลมนั้น ให้สูดอากาศหายใจ หรือสูดจมูกอย่างคนคัดจมูก จะป้องกันไม่ให้เป็นลมได้ ผู้ที่รู้ตัวว่าเวลาจะเป็นลม เมื่อมีอาการอ่อนเพลีย เหงื่อออก ตาพร่า ขอแนะนำให้พยายามเคลื่อนไหวขัดขวางเอาไว้ อย่างเช่น ขัดตะหมาด และใช้มือจับยึดอะไรให้แน่น เพื่อทำให้หัวใจและความดันโลหิตสูบฉีดแรงขึ้น.

Cr.ไทยรัฐ

ชาร์จไฟรถยนตร์ไร้สาย


 ชาร์จไฟรถยนตร์ไร้สาย
พัฒนาการของรถยนต์หาใช่ขับเคลื่อนเร็วออกตัวไวเพียงอย่างเดียวหรือมี อุปกรณ์ทันสมัยมากมายในรถไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง GPS  แต่การพัฒนาระบบเครื่องยนต์ที่ไม่ต้องง้อน้ำมันถือเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่ ช่วยลดปัญหามลพิษแถมช่วยให้โลกไม่ร้อนเร็วเกินควร แต่อุปสรรคสำคัญของรถยนต์ที่วิ่งด้วยระบบไฟฟ้าคือระยะเวลาในการวิ่งที่จำกัด สั้นกว่ากางวิ่งด้วยน้ำมัน จึงทำให้ผู้ขับขี่ต้องแวะหา ที่ชาร์ตแบตสํารองกลางทางเพื่อให้รถยนต์สามารถวิ่งต่อได้อีกครั้ง แต่ถ้าเป็นไปได้เราจะได้เห็นมี ที่ชาร์ตแบตสํารอง บนถนนไฮเวยกันบ้าง

ความ ลำบากผู้ขับขี่ต้องแวะเสียบปลั๊กกลางทางเพื่อให้รถยนต์สามารถวิ่งต่อได้นี้ กำลังจะหมดไป เพราะนโยบายจากกระทรวงคมนาคมของประเทศอังกฤษ กำลังทดสอบเทคโนโลยีการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบไร้สายผ่านพื้นถนนไฮเวย์ (Dynamic Wireless Power Transfer) โดยที่เราไม่ต้องลงจากรถเสียบปลั๊ก แนวคิดชาร์จไฟรถยนตร์ไร้สายบนถนนนี้ต้องการกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนได้ในระยะทางที่ไกลกว่า เดิม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แอนดริวโจนส์ได้กล่าวว่า “มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่เราสามารถพัฒนาระบบการชาร์ทไฟในขณะที่รถขับ เคลื่อนบนท้องถนน รัฐบาลตัดสินใจทุ่มงบประมาณกว่า 500 ล้านปอนด์ในช่วงระยะเวลา 5 ปีเพื่อให้ประเทศอังกฤษอยู่ในแถวหน้าของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีชาร์จไฟรถ ยนตร์ไร้สายบนถนน ผลลัพธ์ของมันนอกจากจะช่วยสร้างงานแล้วยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้ดียิ่งขึ้นด้วย”

การทดสอบชาร์จไฟรถยนตร์ไร้สายบนถนนอย่างเป็นทาง การจะเริ่มต้นภายในปีนี้ กินระยะเวลาประมาณ 18 เดือน โดยทีมงานจะติดตั้งเทคโนโลยีการชาร์จไฟระบบไร้สายบนรถยนต์และพื้นถนน ถ้าการทอสอบประสบความสำเร็จ ทางภาครัฐก็พร้อมที่จะติดตั้งระบบการชาร์จไฟรถยนตร์ไร้สายบนถนนนี้บนถนน ไฮเวย์

นอกจากนี้ยังมีการวางแผนติดตั้งจุดชาร์ทไฟแบบเสียบปลั๊กใน ทุกๆ 20 ไมล์บนมอเตอร์เวย์ เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาเลือกใช้รถยนต์จากพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น อีกหนึ่งแนวคิดรักษ์โลก ที่ช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานจากน้ำมันอย่างเป็นระบบ โดยภาครัฐมอบความสะดวกสบายเพื่อสนับสนุนให้คนหันมาใช้รถยนต์จากพลังงานไฟฟ้า มากขึ้นและพร้อมลงทุนชาร์จไฟรถยนตร์ไร้สายบนถนนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

Cr.กรุงเทพธุรกิจ

รถเข็นไฟฟ้าแบบปรับยืน

 รถเข็นไฟฟ้าแบบปรับยืน
อีกหนึ่งผลงานสิ่งประดิษฐ์รถเข็นไฟฟ้าแบบปรับยืนด้วยระบบไมโครคอนโทรลเลอร์(Micro controller) เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยพิการ หรือผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรงช่วงล่าง ให้สามารถช่วยเหลือตัวเอง และช่วยแบ่งเบาภาระให้ผู้ดูแล จากความร่วมมือของสองสถาบันอย่าง มทร.ธัญบุรี กับ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ
     
ดร.เดชฤทธิ์ มณีธรรม อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า โครงการรถเข็นไฟฟ้าแบบปรับยืนด้วยระบบไมโครคอนโทรลเลอร์(Micro controller)นี้เกิดขึ้นมาจากแนวคิดของ ผศ.นพ.นิยม ลออปักษิณ ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อ.องครักษ์ ที่เห็นว่าควรจะมีอุปกรณ์สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วย กล้ามเนื้ออ่อนแรง (ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปถึงด้านล่าง) ที่ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ไม่สามารถลุกยืน หรือจับสิ่งของได้ด้วยตัวเอง ให้มีการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถแบ่งเบาภาระให้กับญาติหรือผู้ดูแลได้ จึงเป็นที่มาของการประดิษฐ์รถเข็นไฟฟ้าแบบปรับยืนได้ด้วยระบบไมโคร คอนโทรลเลอร์ โดยความร่วมมือของทั้งสองสถาบัน
     
"รถเข็นแบบปรับ ยืนได้ด้วยระบบไมโครคอนโทรลเลอร์(Micro controller) สามารถใช้เป็นรถเข็นไฟฟ้าแบบทั่วไป แต่สามารถยืดขึ้นเพื่อพยุงให้ผู้ป่วยสามารถลุกยืนขึ้นได้ โดยมีไมโครคอนโทรลเลอร์(Micro controller)เป็นชุดควบคุมการทำงานทั้งระบบ การควบคุม มี 2 ลักษณะ คือ คันโยก (Joy Stick) และชุดควบคุมระยะไกล (Remote Control) สามารถเคลื่อนที่ได้ 4 ทิศทางคือ เดินหน้า ถอยหลัง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา สามารถปรับระดับให้ผู้ป่วยลุก-ยืน โดยมีสายรัดประคองตัวบริเวณหน้าท้องและหัวเข่าขณะนั่งหรือยืนขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการเคลื่อนตัวและลุกยืนของผู้ป่วย"
     
ดร.เดช ฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ในปัจจุบันมีผู้ป่วยที่พิการ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงช่วงล่าง มีความต้องการใช้รถเข็นไฟฟ้าแบบปรับยืนได้ เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ดูแล แต่เนื่องจาก เครื่องที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูงมาก ทำให้ผู้ป่วยบางส่วนไม่มีโอกาสได้ใช้ ในขณะที่รถเข็นไฟฟ้าแบบปรับยืนด้วยระบบไมโครคอนโทรลเลอร์(Micro controller)ที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ มีราคาต้นแบบของเครื่องประมาณ 35,000 บาทเท่านั้น ซึ่งทางศูนย์การแพทย์ มศว.และ มทร.ธัญบุรี หวังว่า เครื่องมือที่ประดิษฐ์รถเข็นไฟฟ้าแบบปรับยืนจะสามารถรองรับผู้ป่วยได้อย่าง ทั่วถึงและเท่าเทียม

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ เอแอลเอส (ALS –Amyotrophic Lateral Sclerosis) เป็นโรคเกี่ยวกับเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวเสียหรือเสื่อมไป โรค ALS พบน้อยมาก โดยพบได้เพียง 4 ถึง 6 ต่อประชากร 100,000 คน และโอกาสที่จะพบผู้ป่วยรายใหม่มีเพียง 1.5 ถึง 2.5 ต่อประชากร 100,000 คนต่อปี โรคนี้เป็นกับผู้ใหญ่วัยใดก็ได้ แต่จะพบบ่อยขึ้นตามอายุ ซึ่งอายุเฉลี่ยของผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 65 ปี มักเป็นในเพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่หากผู้ใดเป็นโรคนี้แล้ว จะมีความยากลำบากในการดำรงชีวิตอย่างมากทีเดียว

Cr.ผู้จัดการ

เทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO


เทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO
เทคโนโลยีไวไฟ(WiFi) ที่เราใช้มาตลอดในปัจจุบันเราเรียกว่า SU-MIMO (single-user multiple-input and multiple-output) คือในช่วงเวลาหนึ่ง ตัวเราเตอร์ (Router)จะสามารถรับ-ส่งข้อมูลกับอุปกรณ์ตัวรับสัญญาณ WiFi ได้แค่ 1 ตัวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ตัวรับสัญญาณ WiFi หลายๆ ตัว ตัวเราเตอร์ (Router)ก็จะส่งสัญญาณสลับไปสลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่ส่งพร้อมกันทุกๆ อุปกรณ์ ทำให้เมื่อมีอุปกรณ์มาก ตัวเราเตอร์ (Router)หมุนไปคุยกับทุกคนไม่ทัน ก็ทำให้เกิดอาการเน็ตสะดุดขึ้น จึงมีการพัฒนาเป็นเทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO

ในวงการไวไฟ(WiFi) เริ่มมีเทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO เข้ามา แต่ก่อนเราเริ่มต้นใช้เทคโนโลยี MIMO (multiple-input and multiple-output) กันมาตั้งแต่ปี 2007 แล้วนะครับ ตั้งแต่มาตรฐาน 802.11n ที่เริ่มใช้เทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO นี้ ทำให้ ตัวเราเตอร์ (Router)มีเสาอากาศหลายต้นเพื่อส่งสัญญาณพร้อมกันหลายคลื่น และเครื่องรับก็รับพร้อมกันหลายคลื่น ให้ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น

เทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO นี้เราก็จะเห็นเลขอย่าง 1×1, 2×2 หรือ 3×3 อยู่ในสเปกของอุปกรณ์ตัวรับสัญญาณ WiFi ที่รับคลื่น เช่นเราใช้ ตัวเราเตอร์ (Router) ที่รองรับการส่งสัญญาณ 3 สตรีม และใช้อุปกรณ์ที่รองรับ 3×3 ด้วย ความเร็วที่ได้ก็จะสูงสุดตามที่ ตัวเราเตอร์ (Router)ทำได้ครับ แต่ส่วนใหญ่พวกสมาร์ทโฟนก็จะเป็นแบบ 1×1 ทั้งนั้นเพราะมีพื้นที่ในเครื่องน้อย

เทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO มีข้อดี/ข้อด้อยอย่างไร

เทคโนโลยี ใหม่ MU-MIMO (multi-user multiple-input and multiple-output) นั้นแก้ไขข้อจำกัดของเทคโนโลยีเดิมคือ ตัวเราเตอร์ (Router)1 ตัวสามารถรับส่งข้อมูลกับหลายๆ อุปกรณ์พร้อมกัน ซึ่งนั้นก็สามารถคุยกับอุปกรณ์ได้พร้อมๆ กัน 3 ตัวในเวลาเดียวกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้รับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นแล้ว ยังทำให้ ตัวเราเตอร์ (Router)สามารถรองรับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้มากกว่าเดิมด้วยไม่ว่าจะผ่าน USB WiFi หรือตัวรับสัญญาณ WiFi  เหมือนมี ตัวเราเตอร์ (Router)หลายตัวในเครื่องเดียว

แต่ ข้อจำกัดของเทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO ก็อยู่ที่นอกจากตัว ตัวเราเตอร์ (Router) จะต้องรองรับมาตรฐานนี้แล้ว อุปกรณ์ที่ใช้งานก็ต้องรองรับมาตรฐานนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าหากเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนในตอนนี้ที่ยังไม่มีตัวไหนรองรับเทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO การทำงานก็จะเป็น SU-MIMO ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐานเทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO นี้น้อยมาก

ฝั่ง ตัวเราเตอร์ (Router) ก็แทบจะมีแค่ Linksys EA8500 ที่ใช้ชิป Qualcomm QCA9980 รุ่นเดียวที่รองรับ ส่วนฝั่งอุปกรณ์ตอนนี้้เรารู้แค่โน้ตบุ๊ก Acer E-series เท่านั้นที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO นอกจากนี้ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ MU-MIMO นั้นจะอยู่ที่ฝั่งดาวน์โหลดเป็นหลัก ฝั่งอัปโหลดจะไม่ได้เห็นความแตกต่างที่มากมายนัก

Cr.แบไต๋

นิค ยูโฟร์ เลือดโชกตั๊นหน้าคู่กรณี


นิค ยูโฟร์
นิค ยูโฟร์ เลือดโชกตั๊นหน้าคู่กรณี

 “นิค ยูโฟร์” เผยนาทีโดนรุมกระทืบ 4 ต่อ 1 จนหน้าแหกพังยับเลือดโชกตอนตี 3 ยอมรับตั๊นหน้าคู่กรณีก่อน บอกเขม่นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวดิสเครดิตร้าน เผยเพิ่งลาออกจากตำแหน่งการตลาด รับไม่ได้โกงค่าคอมมิชชั่นลูกน้อง แขวะใช้เงินลงทุนเปิดร้าน 20 ล้าน แต่ไม่มีปัญญาจ่ายค่าคอมมิชชั่นลูกน้องแค่ 700 บาท ฮึ่ม!! แจ้งความแน่
      
    โพสต์ภาพใบหน้า“นิค ยูโฟร์”บวมปูดเลือดอาบคล้ายถูกทำร้ายเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา ทำเอาแฟนคลับพากันตกใจอยู่ไม่น้อย สำหรับอดีตบอยแบนด์ “นิค ยูโฟร์” นิคณภัทร อัศวะชานนท์ พร้อมแคปชั่น “นี่คือสิ่งที่กูปกป้องผลประโยชน์ให้คนของกูในสิ่งที่มึงโกง....แต่สิ่งที่พวกมึงทำกับกุ คือทำแบบนี้ มึงจำภาพนี้ของกุไว้ดี ๆ นะ Rebbeat Rabbeat เกษตร-นวมินทร์ กูทำงานให้ใจมึงแค่ไหน !!!!”
      
     ล่าสุดผู้สื่อข่าวบันเทิงได้ต่อสายตรงขอสัมภาษณ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งนี้อดีตนักร้องบอยแบนด์“นิค ยูโฟร์”เผยว่าตนมีเรื่องเขม่นกับเจ้าของร้าน Rebbeat และลาออกจากตำแหน่งการตลาดเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ยอมรับว่าพลั้งมือต่อยหน้าคู่กรณีก่อน แต่เชื่อว่าอีกฝ่ายตั้งใจยกพวกมารุมกระทืบตนอยู่แล้ว
      
       “ตอนนี้ผมกำลังจะเดินทางเข้าไปตรวจร่างกายและเดินทางไปแจ้งความต่อที่ สน.โคกคราม โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ร้าน Rebbeat “นิค ยูโฟร์”ก็เข้าเที่ยวธรรมดา ก็มีผู้จัดการร้านเชิญผมออกมา และออกมาหน้าร้านก็เจอคนประมาณ 4 - 5 คน ยืนรออยู่หน้าร้าน ซึ่งก็เป็นคนของร้าน ย้อนกลับไปผมเคยทำการตลาดให้กับร้านนี้ และผมก็ออกไป เนื่องจากทางร้านได้มีการเบี้ยวไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเด็กในทีมงานของผม ซึ่งผมก็ไม่พอใจที่ว่าทำไมไม่จ่ายเงินให้น้อง ๆ ผม และจะให้ผมมายืนรับเงินเดือนคนเดียวเหรอ”
      
       “และพอผมออกมาก็มีเป็นตามธรรมชาติลูกค้าเข้าร้านน้อยลง และที่ไปเที่ยวเมื่อคืน ก็เพราะว่าที่ร้านมีคอนเสิร์ตและก็มีน้อง ๆ ซึ่งเขาก็ไปก่อนเราแล้ว และพอเขาเจอเราหมายถึงคนที่มีเรื่องกับผมนี่แหละ เขาก็บอกว่าเราจะทำลายร้าน ดิสเครดิสร้าน ซึ่งถ้าผมจะทำลายจริง ๆ ผมทำตั้งแต่วันที่เขาไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับน้อง ๆ ผมแล้วมั้ย แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเขากลับไป”      
      
       ซึ่งเมื่อคืน“นิค ยูโฟร์”ก็ไปเที่ยวปกติ ก็มีตั้ม ดาจิม มีอ๊อฟ วงดีเซมเบอร์ เพราะทั้ง 2 คนเป็นการตลาดของผม พวกเราก็เข้าไปเที่ยวปกติเหมือนลูกค้าทั่วไป ซึ่งถ้าเราคิดอะไรไม่ดี เราคงไม่เข้าไปเที่ยวหรอกมั้งครับ แต่กลับกลายเป็นว่าทางร้านมาเจ้าคิดเจ้าแค้น เอาคนมากระทืบ เพราะว่าผมเข้าไปถึงที่ร้านประมาณเที่ยงคืนกว่า ๆ และโดนกระทืบตอนตี 3 กว่า

       ระหว่างที่อยู่ในร้านก็กินดื่มปกติ ยังเจอลูกค้าที่คุ้นเคย ชนแก้วปกติ ไม่ได้แสดงอาการที่จะไปชิงลูกค้าของทางร้านเขาเลย เพราะ“นิค ยูโฟร์”เพิ่งออกมาวันที่ 5 พย. ที่ผ่านมาและก็ยังไม่ได้ทำที่ไหน แค่เพียงคุย ๆ ยังไม่ได้ตกลงว่าจะทำที่ไหน ส่วนที่ผมเช็กอินที่ร้านแถวรัชดา ก็คือเขาเรียกผมเข้าไปคุย เขาอยากให้ทีมเราเข้าไปทำการตลาดให้ แต่ร้านเขายังปิดอยู่ยังไม่ได้เปิด เพราะเขาเห็นว่าเราจากที่ Rebbeat แล้วไง
      
       และในช่วงเวลาที่อยู่ในร้าน“นิค ยูโฟร์”ก็สังเกตไปว่าก็มีโต๊ะของญาติเจ้าของร้าน ที่เป็นทอมและกลุ่มผู้ชายเขามองมาที่โต๊ะ และทำหน้าแบบไม่พอใจ ผมก็ยังงง ๆ ว่ามองทำไมกัน ซึ่งกลุ่มผู้ชายกลุ่มนี้แหละที่รออยู่หน้าร้านเพื่อจะกระทืบผม หลังจากนั้นพอตี 3 ผู้จัดการก็เชิญเราเข้าไปคุยในห้องคาราโอเกะ ซึ่งเราก็รู้จักกับผู้จัดการร้านคนนี้มาก่อน เพราะเราเคยทำงานด้วยกันและก็เคยมีประเด็นกันอยู่แล้วด้วย
      
        เขาก็พูดว่าเขารู้นะว่าเรา“นิค ยูโฟร์” คุยในไลน์กลุ่มกับน้อง ๆ ที่ทำการตลาดกันยังไง ผมก็เลยตอบกลับไปว่าเฮ้ย...บอย (ผู้จัดการร้าน) เรื่องที่ผมคุยในกลุ่มไลน์มันคือเรื่องจริง และเรื่องที่คุยคือเรื่องที่ผมรับไม่ได้ว่าทำไมไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับน้อง ๆ เพราะน้องบางคนกับเงินแค่ 600 - 700 บาทมันมีค่ากับพวกเขามากแค่ไหน และคุณทำร้านมูลค่ากว่า 20 กว่าล้านบาท คุณจะมาโกงเงินจำนวนอันน้อยนิดแค่นี้ทำไมล่ะ พอถามว่าทำไมไม่จ่ายก็โยนกันไป โยนกันมา”
      
       และก็มีคนแคปหน้าจอที่คุยกันในไลน์กลุ่มตลาดไปให้เจ้าของร้านดู บอยก็เลยบอกว่าเจ้าของร้านเห็นแล้วไม่พอใจ บอกว่า“นิค ยูโฟร์”จะทำลายร้านใช่ไหม เพราะอย่างที่ผมบอก ถ้าผมจะทำลายร้าน ผมทำตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาขึ้นเมื่อคืนหรอก เพราะพอผมออกมาแล้ว ก็ยังมีคนโทร.มาจองกับผม ผมก็เลยยังฝากให้รีเซฟชั่นจองโต๊ะให้เลย เพราะถ้าเจตนาไม่ดี และผมจะจัดการจองโต๊ะให้เขามั้ยล่ะ ผมบอกลูกค้าคนนี้ไปเลยดีกว่ามั้ยว่าผมไม่ได้ทำแล้ว ไม่ต้องเข้าไปหรอก พูดอย่างนี้ไม่ดีกว่าเหรอ ซึ่งตั้งแต่ลาออกจากร้านไป ผมก็ไม่ได้โปรโมตอะไร แต่ถ้าใครจะเข้าไป ผมก็แนะนำว่าให้ไปติดต่อคนนี้นะ”
      
        หลังจากคุยจบตรงห้องคาราโอเกะแล้ว “นิค ยูโฟร์”จะย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ผมกับบอยนี่มีประเด็นเขม่นกันอยู่แล้ว มันบอกว่าให้ผมกลับไปได้แล้ว ผมก็ไม่ยอม ไม่พอใจว่าทำไมต้องไล่กันขนาดนี้ “นิค ยูโฟร์”ก็เลยชกมันไปทีหนึ่ง ซึ่งอันนี้ผมยอมรับว่าผมต่อยบอยก่อน ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับร้านเลยเป็นประเด็นส่วนตัวกันมากกว่า พอต่อยเสร็จการ์ดก็ลากไปนอกร้าน ก็เลยเจอกลุ่มผู้ชาย 4 - 5 คนที่เห็นว่ายืนอยู่ตรงโต๊ะของญาติเจ้าของร้านที่เขม่นเราก่อนหน้านี้รออยู่ ซึ่งผมว่าถ้าไม่มีประเด็นว่าชกหน้าบอยก่อนหน้านี้ “นิค ยูโฟร์”มั่นใจว่ากลุ่มผู้ชายเหล่านี้ก็รออยู่หน้าร้าน คือเขาเตรียมตัวรอเพื่อจะเจอผมอยู่แล้ว เพราะผมว่าพวกเขากะจะเล่นผมอยู่แล้ว และจริง ๆ แล้วการ์ดของร้านกับเราไม่มีอะไรกัน รู้จักกันมาตั้งแต่ทำงานที่ร้านนี้แล้ว ซึ่งก็เป็นมิตรกับทุกคน แต่กลุ่มผู้ชายที่รออยู่หน้าร้านไม่ใช่การ์ดของร้าน แต่เป็นกลุ่มของญาติเจ้าของร้านที่เตรียมมา
      
       ตอนที่“นิค ยูโฟร์”ชกบอย มันก็พูดว่ามาตัว ๆ กันที่หน้าร้านเลยไหม ผมก็บอกว่าได้เลย ผมก็เลยบอกว่ามันเรื่องส่วนตัวของผมกับบอย คนอื่นอย่ายุ่ง และพอมาเจอกลุ่มผู้ชายที่รออยู่หน้าร้าน ก็เลยเดินเขามาล็อกแขนผม และก็รุมกระทืบกันหน้าร้าน ส่วนที่มีน้องคนหนึ่งบอกว่าการ์ดไม่ช่วยเลย ผมจะบอกว่าการ์ดไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยครับ เพราะคนที่มากระทืบคือญาติเจ้าของร้าน ซึ่งมันเกิดเรื่องนอกร้าน และเขาก็ไมได้ห้าม แต่ก็ไม่ได้ช่วย”
      
       ส่วนเพื่อนที่มากับ“นิค ยูโฟร์” รู้ตอนที่ผมโดนกระทืบเรียบร้อยแล้ว และตอนนั้นก็มีน้องที่รู้จักกัน มันมานั่งสูบบุหรี่ที่หน้าร้าน มันก็เข้ามาช่วย ซึ่งน้องคนที่เข้ามาช่วยก็โดนหางเลขไปด้วย และพอโดนเสร็จผมก็ดินไปที่รถ การ์ดก็เอากุญแจรถของผมไป ขับรถมาส่งผมข้างนอก โดยไม่ให้เราขับรถออกมาเอง ซึ่งผมก็งงว่าทำไมไม่ให้ผมขับออกมาเอง พอน้อง ๆ ที่ไปเที่ยวด้วยกัน ถามว่าเราเป็นอะไรบ้าง ผมก็บอกว่ากลับก่อนแล้วกัน”
      
       ตอนนี้“นิค ยูโฟร์”กำลังคุยกับผู้ใหญ่อยู่ว่าจะเอายังไง แต่ตอนนี้ก็เตรียมจะไปตรวจร่างกายและเตรียมไปแจ้งความ เพราะตอนโทร.มาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังเตรียมไปแจ้งความ แต่อยู่ดี ๆ เลือดก็ไหลออกมาจากจมูก เพื่อนผมก็เลยบอกว่าให้ไปเช็กร่างกายก่อน และเอาใบตรวจร่างกายไปลงบันทึกประจำวัน แจ้งความกันไป ซึ่งผมโดนเยอะมาก
      
       “นิค ยูโฟร์”เริ่มเข้าไปทำงานตั้งแต่ร้านเปิดประมาณเดือนก.ค. เริ่มเข้าไปตั้งแต่ร้านเปิด ผมข้าไปดูการตลาดให้ร้าน และออกมาประมาณวันที่ 5 พ.ย. รับเงินเดือนเสร็จก็ออกเลย เพราะอย่างที่บอกไปว่ารับไม่ได้กับการที่เขาไม่จ่ายเงินให้น้อง ๆ ในทีมของผม เพราะทีมการตลาดของผมมี 3 คน ซึ่งน้องอีกคนเขาก็เจอปัญหามากมาย เขาก็เลยลาออกมาหมดแล้ว
      
        ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ออกมากับทางร้านด้วยเรื่องไม่ดี เราออกมาคุยกันรู้เรื่องแล้ว เราบริสุทธิ์ใจพอ ที่ออกเพราะทัศนคติไม่ดี ทำงานด้วยกันไม่ได้ ผมก็เลยลาออกเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้เป็นมิตร และก็ไม่ได้เป็นศัตรู แต่ในเมื่อน้อง ๆ อยากมาเที่ยว ก็มาเที่ยวได้ ไม่ใช่ว่าจะบอกน้อง ๆ ไม่ต้องมาร้านนี้อีกเลย มันไม่ใช่ไง เพราะเราทำงานกลางคืนแบบนี้ สักวันยังไงมันก็ต้องเจอกันอยู่ดี วงการนี้มันแคบ เพราะผมเข้าไปเที่ยวก็บริสุทธิ์ใจ เหมือนลูกค้าทั่วไป แต่ทางบอยหรือว่าญาติเจ้าของร้านคนนั้น เจ้าคิดเจ้าแค้นผมเอง ซึ่งผมรู้เลยว่าที่ผมถูกรุมกระทืบไฟเขียวมาจากใคร มาจากคนที่เขม่นผมตั้งแต่ทีแรกในร้านแล้ว “นิค ยูโฟร์” กล่าว

Cr.ผู้จัดการ,Synergy | Facebook ,เล่าสู่กันฟัง ,e-news