นักวิจัยมหิดล
เดินหน้าวิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
ดูดซึมดีกว่า ราคาถูกกว่า เตรียมตีตลาดแคลเซียมนำเข้า
พ่วงงานวิจัยกระดูกเทียมนาโนคอมโพสิทช่วยผู้ป่วยกระดูกหักฟื้นเร็ว
คาดเห็นผลิตภัณฑ์ภายในปีหน้า
ผู้สูงวัยมักเกิดกระดูกหักจากกระดูก พรุน มวลกระดูกที่เปราะบางแม้เพียงลื่นหกล้มก็หักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุจะมีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตจาก ภาวะแทรกซ้อน ดังนั้นจึงควรมี เครื่องวัดไขมัน มวลน้ำ มวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อ มวลกระดูกในร่างกาย จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุเพราะจะช่วยให้รู้ว่าขณะนี้มีความสมดุล หรือไม่เพียงใด การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกทุกปี เพื่อป้องกันกระดูกทรุดตัว เสริมความแข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย ทานอาหารแคลเซียมสูงตั้งแต่อายุยังน้อย แต่อีกไม่ช้าเราก็จะเห็นแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลาที่วิจัยจากไทยเรา นี่เอง
ศ.ดร.นทีทิพย์ กฤษณามระ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ได้รับทุนเมธีวิจัยดีเด่น จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วเป็นอันดับที่ 32 ของโลก และเร็วเป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย งานวิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุจึง เป็นเทรนด์ ที่นักวิจัยเริ่มหันมาให้ความสนใจ
นักวิจัยให้ ข้อมูลว่าผลงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ระบุว่าภายในเกล็ดปลาอุดมไป ด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัสและคอลลาเจน เกล็ดปลาส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ในการวิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลา เป็นเกล็ดของปลายี่สก โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ส่วนย่อยด้วยกัน เริ่มจากการวิจัยส่วนประกอบของเกล็ดปลายี่สก ที่เป็นการศึกษาคุณลักษณะของแร่ธาตุภายในด้วยการนำเกล็ดไปปลาทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคแล้วทำให้แห้ง ก่อนจะนำมาสกัดเอาเฉพาะแร่ธาตุที่อยู่ภายใน
ผล การทดลองแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลา ซึ่งขณะนี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการเป็นที่เรียบร้อยแล้วระบุว่า เกล็ดปลายี่สก 1 กรัมให้แคลเซียมมากถึง 434 มิลลิกรัม ซึ่งสูงเทียบเท่ากับแคลเซียมที่มีในเปลือกไข่ 1 ฟอง อีกทั้งยังมีคอลลาเจนและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณสูง และปริมาณฟอสเฟตที่ได้ก็ไม่สูงเกินเกณฑ์ที่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสียจากการ ผลิต ศ.ดร.นทีทิพย์ กล่าว
ส่วนการทดลองแคลเซียมและคอลลาเจน จากเกล็ดปลา ยังวิจัยเพื่อการหาค่ามาตรฐานว่าในร่างกายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมว่า สามารถรับแคลเซียมได้ดีสุด ที่ปริมาณเท่าไร โดยการให้แคลเซียมกับหนูทดลองแม่ลูกอ่อนในระยะให้นม เทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ให้แคลเซียม และกลุ่มที่ให้แคลเซียมในรูปแบบของแคลเซียมคลอไรด์
นักวิจัย อธิบายว่า เหตุที่เลือกต้องเลือกแม่หนูช่วงให้นมมาเป็นกลุ่มทดลองแคลเซียมและคอลลาเจน จากเกล็ดปลา เพราะป็นภาวะที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายของแม่หนูต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติและมีการ หลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) สำหรับช่วยดูดซึมแคลเซียม
ผล การทดลองสรุปว่า หนูแม่ลูกอ่อนดูดซึมแคลเซียมจากเกล็ดปลาได้ดีกว่าแคลเซียมจากอาหารเสริมทั่ว ไปซึ่งอยู่ในรูปของแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดใจให้กับวงการวิจัยแคลเซียมพอสมควร
มาก ไปกว่านั้นการทดลองชุดนี้ยังศึกษาไปถึงการเจริญเติบโตของลูกหนูตั้งแต่แรก เกิดไปจนถึงตัวโตเต็มวัยอายุ 27 สัปดาห์ด้วย เพื่อศึกษาเปรียบเทียบว่าหนูที่ได้รับนมซึ่งมีส่วนประกอบของแคลเซียมและคอ ลลาเจนจากเกล็ดปลาจากเกล็ดปลา มีพัฒนาการของกระดูกเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับลูกหนูที่ได้รับน้ำนมจากแม่ที่กินแคลเซียมแบบปกติ โดยการฉีดแคลซีน (Calcine) ที่จะเข้าไปเป็นฉลากแสดงผลยังกระดูกชิ้นเป้าหมาย
การ วิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลา เราไม่ได้ได้จบแค่ที่ตัวผลิตภัณฑ์ แต่เรายังได้องค์ความรู้อย่างอื่นอีกมากมายจากงานวิจัย เช่น สมดุลแคลเซียมของแม่หนู, เคมีในเลือด, อัตราการสร้าง การสลาย และความแข็งของกระดูก รวมไปถึงอะมิโนแอซิดมีผลต่อการดูดซึม ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ลูกศิษย์ในแล็บทั้งระดับปริญญาโทและเอกร่วมกันต่อยอด โดยขณะนี้เราได้ตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการไปแล้ว 3 ฉบับ และกำลังอยู่ในช่วงจดสิทธิบัตรกระบวนการผลิต และคาดว่าปีหน้าน่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแคลเซียมจากเกล็ดปลา ศ.ดร.นทีทิพย์กล่าว
ส่วนการวิจัยท้ายสุด ศ.ดร.นทีทิพย์ ระบุว่า เป็นส่วนของการทำกระดูกเทียม จากวัสดุนาโนคอมโพสิท แทนการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเป็นการทำตั้งแต่การออกแบบโครงร่างและออกแบบลักษณะการยึดเกาะกัน ของกระดูกด้วยหลักการทางฟิสิกส์ ซึ่งได้นักวิจัยด้านฟิสิกส์วัสดุอย่าง ผศ.ดร.วีรพัฒน์ พลอัน ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เข้ามาร่วมทีม โดยมี ศ.ดร.นททิพย์และทีมวิจัยเป็นผู้ดูแลด้านชีววิทยา ซึ่งขณะนี้กระดูกชิ้นต้นแบบผลิตได้สำเร็จแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นการพัฒนาประสิทธิภาพ โดยคาดหมายว่าจะออกสู่สายตาคนทั่วไปได้ในไม่ช้า
Cr.ผู้จัดการ
ผู้สูงวัยมักเกิดกระดูกหักจากกระดูก พรุน มวลกระดูกที่เปราะบางแม้เพียงลื่นหกล้มก็หักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุจะมีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตจาก ภาวะแทรกซ้อน ดังนั้นจึงควรมี เครื่องวัดไขมัน มวลน้ำ มวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อ มวลกระดูกในร่างกาย จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุเพราะจะช่วยให้รู้ว่าขณะนี้มีความสมดุล หรือไม่เพียงใด การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกทุกปี เพื่อป้องกันกระดูกทรุดตัว เสริมความแข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย ทานอาหารแคลเซียมสูงตั้งแต่อายุยังน้อย แต่อีกไม่ช้าเราก็จะเห็นแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลาที่วิจัยจากไทยเรา นี่เอง
ศ.ดร.นทีทิพย์ กฤษณามระ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ได้รับทุนเมธีวิจัยดีเด่น จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วเป็นอันดับที่ 32 ของโลก และเร็วเป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย งานวิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุจึง เป็นเทรนด์ ที่นักวิจัยเริ่มหันมาให้ความสนใจ
นักวิจัยให้ ข้อมูลว่าผลงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ระบุว่าภายในเกล็ดปลาอุดมไป ด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัสและคอลลาเจน เกล็ดปลาส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ในการวิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลา เป็นเกล็ดของปลายี่สก โดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ส่วนย่อยด้วยกัน เริ่มจากการวิจัยส่วนประกอบของเกล็ดปลายี่สก ที่เป็นการศึกษาคุณลักษณะของแร่ธาตุภายในด้วยการนำเกล็ดไปปลาทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคแล้วทำให้แห้ง ก่อนจะนำมาสกัดเอาเฉพาะแร่ธาตุที่อยู่ภายใน
ผล การทดลองแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลา ซึ่งขณะนี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการเป็นที่เรียบร้อยแล้วระบุว่า เกล็ดปลายี่สก 1 กรัมให้แคลเซียมมากถึง 434 มิลลิกรัม ซึ่งสูงเทียบเท่ากับแคลเซียมที่มีในเปลือกไข่ 1 ฟอง อีกทั้งยังมีคอลลาเจนและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณสูง และปริมาณฟอสเฟตที่ได้ก็ไม่สูงเกินเกณฑ์ที่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสียจากการ ผลิต ศ.ดร.นทีทิพย์ กล่าว
ส่วนการทดลองแคลเซียมและคอลลาเจน จากเกล็ดปลา ยังวิจัยเพื่อการหาค่ามาตรฐานว่าในร่างกายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมว่า สามารถรับแคลเซียมได้ดีสุด ที่ปริมาณเท่าไร โดยการให้แคลเซียมกับหนูทดลองแม่ลูกอ่อนในระยะให้นม เทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ให้แคลเซียม และกลุ่มที่ให้แคลเซียมในรูปแบบของแคลเซียมคลอไรด์
นักวิจัย อธิบายว่า เหตุที่เลือกต้องเลือกแม่หนูช่วงให้นมมาเป็นกลุ่มทดลองแคลเซียมและคอลลาเจน จากเกล็ดปลา เพราะป็นภาวะที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายของแม่หนูต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติและมีการ หลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) สำหรับช่วยดูดซึมแคลเซียม
ผล การทดลองสรุปว่า หนูแม่ลูกอ่อนดูดซึมแคลเซียมจากเกล็ดปลาได้ดีกว่าแคลเซียมจากอาหารเสริมทั่ว ไปซึ่งอยู่ในรูปของแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดใจให้กับวงการวิจัยแคลเซียมพอสมควร
มาก ไปกว่านั้นการทดลองชุดนี้ยังศึกษาไปถึงการเจริญเติบโตของลูกหนูตั้งแต่แรก เกิดไปจนถึงตัวโตเต็มวัยอายุ 27 สัปดาห์ด้วย เพื่อศึกษาเปรียบเทียบว่าหนูที่ได้รับนมซึ่งมีส่วนประกอบของแคลเซียมและคอ ลลาเจนจากเกล็ดปลาจากเกล็ดปลา มีพัฒนาการของกระดูกเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับลูกหนูที่ได้รับน้ำนมจากแม่ที่กินแคลเซียมแบบปกติ โดยการฉีดแคลซีน (Calcine) ที่จะเข้าไปเป็นฉลากแสดงผลยังกระดูกชิ้นเป้าหมาย
การ วิจัยแคลเซียมและคอลลาเจนจากเกล็ดปลา เราไม่ได้ได้จบแค่ที่ตัวผลิตภัณฑ์ แต่เรายังได้องค์ความรู้อย่างอื่นอีกมากมายจากงานวิจัย เช่น สมดุลแคลเซียมของแม่หนู, เคมีในเลือด, อัตราการสร้าง การสลาย และความแข็งของกระดูก รวมไปถึงอะมิโนแอซิดมีผลต่อการดูดซึม ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ลูกศิษย์ในแล็บทั้งระดับปริญญาโทและเอกร่วมกันต่อยอด โดยขณะนี้เราได้ตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการไปแล้ว 3 ฉบับ และกำลังอยู่ในช่วงจดสิทธิบัตรกระบวนการผลิต และคาดว่าปีหน้าน่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแคลเซียมจากเกล็ดปลา ศ.ดร.นทีทิพย์กล่าว
ส่วนการวิจัยท้ายสุด ศ.ดร.นทีทิพย์ ระบุว่า เป็นส่วนของการทำกระดูกเทียม จากวัสดุนาโนคอมโพสิท แทนการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเป็นการทำตั้งแต่การออกแบบโครงร่างและออกแบบลักษณะการยึดเกาะกัน ของกระดูกด้วยหลักการทางฟิสิกส์ ซึ่งได้นักวิจัยด้านฟิสิกส์วัสดุอย่าง ผศ.ดร.วีรพัฒน์ พลอัน ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เข้ามาร่วมทีม โดยมี ศ.ดร.นททิพย์และทีมวิจัยเป็นผู้ดูแลด้านชีววิทยา ซึ่งขณะนี้กระดูกชิ้นต้นแบบผลิตได้สำเร็จแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นการพัฒนาประสิทธิภาพ โดยคาดหมายว่าจะออกสู่สายตาคนทั่วไปได้ในไม่ช้า
Cr.ผู้จัดการ