"วิดีโอสตรีมมิ่ง" (วิดีโอออนดีมานด์) เป็นการนำข้อมูลในรูปแบบของภาพและเสียงส่งผ่านทางอินเทอร์เน็ตในระบบเครื่อ ข่ายไวไฟ(WiFi)หรือ 4G กลายเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากกว่า เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่จะดูที่ไหน เมื่อไรก็ได้
จากรายงาน การศึกษาประจำปีฉบับล่าสุด Ericsson ConsumerLab TV & Media Report 2015 ที่ศึกษาพฤติกรรม และสัมภาษณ์ผู้บริโภคกว่า 22,500 คน ใน 20 ประเทศ ระบุว่า 1 ใน 3 (35%) ของการรับชมทีวีทั่วโลกเป็นระบบวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi เพราะเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา และการรับชมวิดีโอบนสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นถึง 71% ตั้งแต่ปี 2012 โดยเกือบ 2 ใน 3 ของเวลาทั้งหมดที่วัยรุ่นรับชมทีวีและวิดีโอจะชมผ่านอุปกรณ์โมบายต่าง ๆ
"บัญญัติ เกิดนิยม" ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า กระแสการรับชมรายการต่าง ๆ ของผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้ว โดยมีสมาร์ทดีไวซ์ที่ราคาลดลงเป็นตัวแปรหลักที่มาพร้อมกับความเร็ว และความครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ผู้บริโภคเป็นผู้เลือกรายการต่าง ๆ ที่ชื่นชอบด้วยตนเอง และยอมจ่ายเงินเพื่อรายการที่มีคุณภาพ แตกต่างจากในอดีตที่มองว่าเป็น "ของฟรี" ทำให้มีผู้ให้บริการวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi เกิดขึ้นจำนวนมาก
การ เติบโตของวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi อ้างอิงจากพฤติกรรมการรับชมรายการผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่กินเวลา 30 ชั่วโมง/สัปดาห์ โดยดูหนังซีรีส์รายการต่าง ๆ และหนังแบบออนดีมานด์ทางทีวีสูงกว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากปี 2011 ที่อยู่ที่ 2.9 ชั่วโมง และเป็นการรับชมซีรีส์และภาพยนตร์เป็นหลัก รองลงมาเป็นการรับชมช่องโทรทัศน์ปกติในรูปแบบออนไลน์
นอกจากนี้ การที่ผู้บริโภคมีระบบ 4G ทำให้มีทางเลือกในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากขึ้น เพราะการรับชมวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi จะทำผ่านตัวรับสัญญาณ WiFi ที่ส่งมาจากอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูง โดยกว่า 50% ของผู้บริโภคต่างดูวิดีโอออนดีมานด์ผ่านระบบวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi อย่างน้อยวันละครั้ง เพิ่มจากปี 2012 ซึ่งมีเพียง 30%
กลุ่มวัยรุ่น (อายุ 16-34 ปี) จะดูทีวีส่วนใหญ่บนสมาร์ทโฟน แล็ปทอป หรือแท็บเลต คิดเป็นประมาณ 53% ของเวลาการดูทีวีและวิดีโอทั้งหมด ซึ่งจำนวนผู้บริโภคที่ดูวิดีโอบนสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นถึง 71% และสูงขึ้นเป็น 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับปี 2012 ก็จะดูวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFi เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ประเทศที่มี 4G แล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และเกาหลีใต้ ต่างมีการใช้ดาต้าเติบโต 2.5-4 เท่า เมื่อเทียบกับตอนที่ให้บริการ 3G เพราะเมื่อความเร็วอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคจะกล้าตัดสินใจที่จะนำสัญญาณอินเทอร์เน็ตมารับชมวีดีโอสตรีมมิ่ง บนWiFi มากขึ้นจากเดิมที่กลัวว่าจะดูได้ไม่ต่อเนื่อง และเสี่ยงต่อความเร็วที่จะลดลงอย่างมาก โดยในสหรัฐอเมริกามีการรับชมสตรีมมิ่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์มือถือสูงถึง 29% ปัจจัยนี้เองทำให้มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2563 การใช้โมบายดาต้าเพื่อรับชมวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFiจะสูงถึง 60% ของโครงข่ายโทรศัพท์มือถือทั้งหมด หรือเติบโต 13 เท่าตัว
ในทางกลับ กัน การรับชมรายการผ่านโทรทัศน์จะหดตัวลงอย่างช้า ๆ จนในปี 2563 ลงมาเท่ากับการรับชม "วิดีโอสตรีมมิ่งบน WiFi" โดยเหลือเพียงคนอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือคนที่อยู่นอกเขตเมือง ส่วนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นจะให้ความสำคัญกับการรับชมแบบวีดีโอสตรีมมิ่ง บนWiFiมากกว่า รองลงมาเป็นการรับชมคอนเทนต์ละเมิดลิขสิทธิ์และการรับชมอะไรก็ตามผ่านยู ทูบ(Youtube) ทำให้การรับชมโทรทัศน์ยุคก่อนที่ประกอบด้วยฟรีทีวี ระบบการอัดรายการและเพย์ทีวีต่างต้องปรับตัวเพื่อสร้างความแตกต่างไป จากบริการวีดีโอสตรีมมิ่งบนWiFiและดูผ่านยูทูบ(Youtube)ให้ได้
"ตอน นี้การรับชมแบบวิดีโอสตรีมมิ่งบน WiFi เริ่มเหนือกว่าช่องทางปกติเพราะเริ่มใช้โมเดลเอ็กซ์คลูซีฟในการให้รับชมซี รีส์หรือภาพยนตร์ก่อนที่จะเข้าไปฉายในช่องปกติเสียอีก จากที่อีริคสันเข้าไปสำรวจผู้บริโภคกว่า 20,000 คน ใน 40 ประเทศ พบว่ามีเพียง 5% เท่านั้นที่ไม่เคยรับชมบริการสตรีมมิ่ง และกว่า 87% ของผู้ใช้งานเข้าใช้วิดีโอสตรีมมิ่งบน WiFi สัปดาห์ละครั้ง และมีถึง 50% ที่เข้าใช้งานวิดีโอสตรีมมิ่งบน WiFi เป็นประจำทุกวันเพื่อรับชมรายการต่าง ๆ ที่ตนเองชื่นชอบ"
สำหรับในประเทศไทย การรับชมสตรีมมิ่งกำลังเติบโตขึ้นเช่นกัน สังเกตจากผู้ให้บริการประเภทนี้เข้ามาทำตลาดมากกว่า 5 ราย นอกจากนี้ สังคมเมือง หรือการใช้ชีวิตแบบคนเมือง เริ่มกระจายเข้าสู่จังหวัดต่าง ๆ นอกจากนี้การใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เชื่อมต่อผ่านUSB WiFi ทำได้ง่ายขึ้นและความเร็วไวไฟก็เร็วมากขึ้น ทำให้ตรงกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ แต่ด้วยปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้ราคาค่าบริการสตรีมมิ่งในประเทศไทยยังอยู่ในอัตราที่ต่ำเพื่อกระตุ้น การรับชม แตกต่างจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้สูงถึง 100 เหรียญสหรัฐ/เดือน (ราว 3,600 บาท)
Cr.ประชาชาติ