13 ต.ค. 2559

เครื่องตรวจจับโลหะ ฝีมือคนไทย

 
เครื่องตรวจจับโลหะ ฝีมือคนไทย
เครื่องตรวจจับโลหะ ฝีมือคนไทย

เครื่องตรวจจับโลหะ ฝีมือคนไทย


ที่ จังหวัดชุมพร ได้เกิดเรื่องสุดฮือฮาขึ้น เมื่อผู้ช่วยผู้คุมเรือนจำประจำจังหวัดชุมพรรายหนึ่ง สามารถผลิต เครื่องตรวจจับโลหะ (Metal Detector) และมือถือขึ้นมาใช้ได้สำเร็จ ฝีมือคนไทย ด้วยเงินเพียง 2,000 บาท แต่มีประสิทธิภาพ เทียบเท่ากับเครื่องตรวจโลหะระดับสากล ทราบชื่อผู้ประดิษฐ์เครื่องมือดังกล่าวคือ นายเดชชาติ ชนก ผู้ช่วยพนักงานราชทัณฑ์เรือนจำจังหวัดชุมพร หนุ่มจบ ปวช.จากช่างซ่อม สอบทำงานเป็นผู้ช่วยราชทัณฑ์ คิดค้นประดิษฐ์เครื่องตรวจจับโลหะ มือถือ ระเบิด ราคาถูกแค่ 2 พันบาท นวัตกรรมไทยคุณภาพเทียบต่างประเทศ ไม่สิ้นเปลืองงบใช้ได้จริงในเรือนจำชุมพร

เครื่องตรวจโลหะ รางวัลรองชนะเลิศ
เครื่องตรวจโลหะเครื่องนี้สามารถตรวจวัตถุระเบิด มือถือ และวัตถุต้องสงสัยอื่นๆ ฝีมือคนไทยที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ สิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ ระดับประเทศ กรมราชทัณฑ์ เมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา โดยนายเดชชาติ เผยว่า เครื่องตรวจจับโลหะ (Metal Detector) ชนิดนี้มีการประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาเพื่อประมวลผลตรวจจับโลหะและมือถือโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนประกอบทำด้วยท่อพีวีซีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว ความยาว 1.5 เมตร ตรงกลางทำเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาด 6 นิ้ว จำนวน 2 กล่อง ภายในมีแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ประมวลผลคลื่นนำสัญญาณความถี่เพื่อตรวจจับโลหะ  และระบบแปลงสัญญาณเสียง

ตรวจโลหะ วัตถุต้องสงสัย
นายเดชชาติ ชนก ผู้คิดค้นประดิษฐ์ เครื่องตรวจจับโลหะ (Metal Detector) ดังกล่าวได้สาธิตโชว์การใช้งานโดยนำโหลแก้วความลึกประมาณ 12 นิ้ว หรือ 30 เซนติเมตร มาใส่ดินโดยไม่มีวัสดุใดๆ ภายในโหล เมื่อใช้เเครื่องตรวจโลหะวัตถุต้องสงสัยดังกล่าวตรวจจับหาวัสดุ การทำงานของระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปตามปกติไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ จากนั้นได้เปลี่ยนเป็นนำโทรศัพท์มือถือฝังไว้ใต้ก้นโหลแก้วดังกล่าว และเมื่อใช้เครื่องตรวจโลหะปรากฏว่า มีสัญญาณเสียงดังเตือนขึ้นทันที ได้ยินอย่างชัดเจนเพื่อแสดงให้รู้ว่ามีโลหะวัตถุต้องสงสัยซุกซ่อนฝังดินไว้ภายในโหลแก้วดังกล่าว

ตรวจจับโลหะ ใช้งานได้จริง
หลักการทำงานง่ายๆ และใช้ได้จริงสามารถตรวจจับโลหะที่ฝังอยู่ใต้ดินลึกเกิน 30 เซนติเมตรได้เป็นอย่างดี พร้อมสวิตช์เปิด-ปิด สวิตช์เร่งสัญญาณเสียงและรูเสียบลำโพงแบบหูฟัง บริเวณส่วนปลายทำเป็นรูปวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้ว ตั้งฉากกับพื้น ภายในมีแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์คลื่นนำสัญญาณความถี่ตรวจจับโลหะ โดยสามารถตรวจจับโลหะวัตถุต้องสงสัยที่ฝังอยู่ใต้ดินลึกเกิน 30 เซนติเมตร เคยนำไปทดลองเปรียบเทียบกับเครื่องตรวจจับโลหะ(Metal Detector)ที่ผลิตจากต่างประเทศแล้วมีความแม่นยำใกล้เคียงกัน ตอนนี้กรมราชทัณฑ์ได้นำไปใใช้งานได้จริงกับเรือนจำจังหวัดชุมพรแล้ว

สิ่งประดิษฐ์ ฝีมือคนไทย
นายกรีฑา แก้วแทศ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดชุมพร กล่าวว่า บางครั้งการตรวจค้นวัตถุต้องสงสัยและโทรศัพท์มือถือในเรือนจำทำได้ลำบากและล่าช้า เรือนจำจังหวัดชุมพร มีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะจัดซื้อเครื่องตรวจจับโลหะ(Metal Detector) จากต่างประเทศที่มีราคาแพงหลายหมื่น จนถึงหลักแสนบาท จึงมอบหมายให้ นายเดชชาติ ซึ่งมีความรู้คิดค้นประดิษฐ์ตรวจโลหะฝีมือคนไทย เพื่อใช้ตรวจสิ่งของที่จะส่งเข้าภายในเรือนจำ และใช้ตรวจค้นเรือนนอนผู้ต้องขังที่จะต้องต้องดำเนินการทุกเดือน หลังจากประดิษฐ์เครื่องตรวจโลหะใช้งานในเรือนจำจังหวัดชุมพรแล้ว ได้ส่งเข้าร่วมประกวดสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ฝีมือคนไทย เมื่อปลายปี 2558 ได้รางวัลรองชนะเลิศ ระดับประเทศเมื่อปลายปีที่ผ่านมาด้วย (2558) จากกรมราชทัณฑ์อีกด้วย

Cr.ข่าว MThai

12 ต.ค. 2559

สนามบินสคิปโฮล เนเธอร์แลนด์


สนามบินสคิปโฮล เนเธอร์แลนด์
สนามบินสคิปโฮล เนเธอร์แลนด์
รายงาน หนังสือพิมพ์ของฝรั่งเศสเปิดเผย ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ สนามบินสคิปโฮล (Schiphol) ซึ่งเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเนเธอร์แลนด์ ห่างจากกรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 9 กม. เคยตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย พร้อมกับเหตุวินาศกรรมกลางกรุงปารีส 3 จุด เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว เช่นเดียวกัน แต่กลุ่มคนร้ายกลับเปลี่ยนแผน โดยมีผู้สมรู้ร่วมคิดกับขบวนการก่อการร้ายสองคน เดินทางจากกรุงบรัสเซลส์ไปยังกรุงอัมสเตอร์ดัม มีเป้าหมายที่จะก่อเหตุในสนามบินสคิปโฮล (Schiphol) เพียงแต่ ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงได้ยกเลิกแผนการดังกล่าว

ข่าวแจ้งว่า ผู้สมรู้ร่วมคิด 2 คน ได้แก่ นายโซฟิอาน อายารี วัย 23 ปี ได้ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา ขณะหลบซ่อนตัวอยู่ที่อำเภอโมเลนเบค ในกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม ส่วนนายโอซามา คราเยม ชาวซีเรียถือสัญชาติสวีเดน ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่อำเภอลาเกน ในเบลเยียม โดยนายคราเยมได้มีภาพปรากฏในวิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่สถานีรถไฟใต้ดินกรุงบรัสเซลส์ กับนายคาลิด เอล บาคราวี มือระเบิดฆ่าตัวตายที่สถานีรถไฟใต้ดินมาลเบค กรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา

นายอายารี และ นายคราเยม ได้เดินทางไปประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยรถบัสยูโรไลน์ด้วยเอกสารประจำตัวปลอม โดยซื้อตั๋วเดินทางแบบเที่ยวเดียว จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนคดีปราบปรามการก่อการร้ายของฝรั่งเศส ระบุว่า นายคราเยม ได้ให้ปากคำในครั้งแรกว่า ได้จองห้องพักโรงแรมที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ก่อนจะยอมรับว่า ได้เดินทางกลับกรุงบรัสเซลส์ ในวันเดียวกัน พร้อมกับ นายโซฟิอาน อายารี โดยไม่ได้ไปวางระเบิดที่สนามบินสคิปโพล

ก่อนหน้านี้ (เมษายน 2559) เนเธอร์แลนด์เคยสั่งปิดสนามบินสคิปโฮล (Schiphol) ในกรุงอัมสเตอร์ดัม นาน 4 ชั่วโมง พร้อมส่งตำรวจทหารกว่า 20 นาย ลาดตระเวนพื้นที่โดยรอบสนามบิน หลังเกิดสถานการณ์ต้องสงสัย จนนำไปสู่การจับกุมชายคนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ ทางการยังไม่แถลงถึงสาเหตุของการจับกุมที่แน่ชัดระบุเพียงว่า ชายคนดังกล่าว ทำให้เกิดการเปิดสัญญาณเตือนภัยที่เป็นเท็จ และสร้างความแตกตื่นภายในสนามบิน สุดท้าย สนามบินกลับมาเปิดตามปกติแล้ว ซึ่งในระหว่างตรวจตรานั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อเที่ยวบิน  รวมถึงบริการรถไฟที่เชื่อมต่อมายังสนามบินแต่อย่างใด โดยทางการจัดวางกำลังเข้ม หวั่นเกิดเหตุซ้ำรอยเหตุโจมตีสนามบินในเบลเยียม ก่อนหน้านี้

Cr.ไทยรัฐ,Synergy | Facebook

11 ต.ค. 2559

ยุติรับธนบัตร ประเทศแรกของโลก


ยุติรับธนบัตร ประเทศแรกของโลก
ยุติรับธนบัตร ประเทศแรกของโลก
จากข้อเสนอของรัฐบาลเดนมาร์กที่ต้องการให้ร้านค้าส่วนใหญ่ในเดนมาร์ก ยุติการรับธนบัตรและเหรียญ แล้วหันมาใช้การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องรูดบัตร ทำให้เชื่อว่าเดนมาร์กน่าจะเป็นประเทศแรกในโลกที่เลิกใช้ธนบัตรและเหรียญ

โดยรัฐบาลได้ประกาศเสนอให้ร้านค้าเกือบทั้งหมดทั่วประเทศ ไม่รับซื้อขายสินค้าด้วยธนบัตรและเหรียญภายในเดือน ม.ค.2559  การยุติใช้ธนบัตรและเหรียญในการช็อปปิ้ง-ซื้อสินค้าของรัฐบาลเดนมาร์กในครั้งนี้ อาจทำให้เดนมาร์กกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่โละทิ้งธนบัตรและเหรียญ

เงื่อนเวลาดังกล่าวถือว่าไม่เร็วจนเกินไป เมื่อปริมาณการใช้เงินสดหรือธนบัตรของชาวสแกนดิเนเวียน อันประกอบด้วย 3 ประเทศ ได้แก่ นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก เหลือเพียงแค่ 6% ของการจับจ่ายทั้งหมด โดยบรรดาชาวสแกนดิเนเวียน 3 ประเทศดังกล่าว ถือเป็นพลเมืองผู้นำเทรนด์การชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์(เครื่องรูดบัตร) ระดับโลก

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังกำหนดให้ผู้ให้บริการอย่างโรงพยาบาล ร้านขายยา และร้านรับส่งไปรษณีย์ ยังต้องรับเงินสดหรือ ธนบัตร อยู่ ซึ่งข้อบังคับดังกล่าว จะต้องร่างเป็นกฎหมายเพื่อรองรับต่อไป

การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์(เครื่องอ่านบัตร) ซึ่งรวมทั้งเครดิตการ์ดนั้น ในมุมของผู้บริโภคบางราย อาจมองว่าไม่สะดวก โดยเฉพาะคนที่คุ้นชินกับการใช้และถือเงินสดหรือธนบัตร แต่สำหรับร้านค้าแล้ว การใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยสร้างความสะดวกและลดความเสี่ยงลงได้มาก โดยนอกจากลดต้นทุนในการเก็บและขนย้ายเงินแล้ว ยังลดปัญหาการโจรกรรม ยักยอกเงินได้ชะงัดอีกด้วย

นาย Micheal Busk-Jepsen ผู้อำนวยการบริหารสมาคมธนาคารแห่งประเทศเดนมาร์ก กล่าวว่า สังคมที่ไม่ใช้เงินสดหรือธนบัตร ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป ไม่นานจากนี้ เชื่อว่าโลกที่ไม่ต้องใช้เงินสดหรือธนบัตรจะเกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างพร้อม โดยเฉพาะผู้บริโภค

แม้ว่าปัจจุบัน ร้านค้าในเดนมาร์กทั้งหมดจะรับเงินสดหรือธนบัตรจากลูกค้า แต่ผู้บริโภคชาวเดนมาร์กส่วนใหญ่กลับไม่นิยมใช้เงินสดกันแล้ว  โดยประชาชนเดนมาร์กเกือบ 40% ใช้จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือของตน ทั้งการโอนเงินระหว่างกันและการใช้ซื้อหาสินค้า เช่นเดียวกับพลเมืองสแกนดิเนเวียนในอีก 2 ประเทศ อันได้แก่ นอร์เวย์และสวีเดน

จากข้อมูลของธนาคารกลางนอร์เวย์ ปัจจุบันพลเมืองของ 3 ประเทศสแกนดิเนเวียนใช้เงินสดแค่ 6% ของการจับจ่ายทั้งหมด ในสวีเดนแม้แต่หนังสือพิมพ์ข้างทางที่ขาย โดยพวกไร้บ้าน ยังสามารถซื้อผ่านบัตรเครดิตได้ ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา คนยังใช้เงินสดอยู่ถึง 47%

ขณะเดียวกัน ความนิยมในการจับจ่ายใช้สอยที่ไม่ใช้เงินสด ยังแพร่กระจายไปยังประเทศยุโรปอื่นๆด้วย จากข้อมูลของธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) ระบุว่า การใช้จ่ายที่ไม่ใช้เงินสดเพิ่มขึ้น 6% ในปี 2556 และในปี 2557 ที่ผ่านมา การใช้จ่ายที่ไม่ใช้เงิน มีสัดส่วนแซงการใช้จ่ายด้วยเงินในอังกฤษเป็นครั้งแรก

แม้ว่าสหประชาชาติก็ยังร่วมกับมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ สนับสนุนการผลักดันให้สังคม ใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก) มากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายและสร้างความเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม การใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ ก็ยังเป็นอุปสรรคสำหรับคนบางกลุ่ม เช่น คนสูงวัยที่ถนัดใช้เงินสด หรือกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงระบบการจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องรูดบัตร ) เช่น ไม่มีเครดิตการ์ด ขณะเดียวกันปัญหาการฉ้อโกงก็ยังเป็นเรื่องใหญ่และถือเป็นข้อกังวล

โดยข้อมูลจากธนาคารกลางยุโรป ระบุว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องรูดบัตร) มีอัตราการฉ้อโกงมากขึ้น โดยในปี 2555 มีมูลค่า 1,300 ล้านยูโร หรือประมาณ 49,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า.

Cr.ไทยรัฐ

10 ต.ค. 2559

เทคโนโลยี Internet of Things


เทคโนโลยี Internet of Things
เทคโนโลยี Internet of Things
งาน Computex Taipei ที่ผ่านมา ณ กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน ยักษ์ใหญ่แห่งโลกไอทีอย่าง intel ไม่พลาดที่จะเสิร์ฟนวัตกรรมคอมพิวเตอร์ในรูปแบบใหม่ โดยในปีนี้อินเทล (intel) มาในแนวคิด "ไลฟ์สไตล์แบบใหม่ การใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด" (Smart Living - the New Lifestyle) พร้อมโซลูชั่น Internet of Things (IoT) ที่กำลังจะเปลี่ยนวิถีชีวิตในอนาคตของนุษย์ให้สอดประสานไปกับเทคโนโลยี IoT อย่างผสานลงตัว สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์ไอทีมากมาย เช่น เครื่องสแกนแบบพกพา  ที่ชาร์ตแบตเตอร์รีมือถือ  หรือ จักรยานรักษ์โลก เป็นต้น

เมื่อทุกสิ่งที่คุณหยิบจับในชีวิตประจำวันกลายเป็นการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้คุณสามารถสั่งการ หรือควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัวเช่นใช้ เครื่องสแกน ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการสั่งเปิด-ปิดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ดูแลประสิทธิภาพของอุปกรณ์โรงงาน ชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย และไม่เว้นแม้แต่การบริหารจัดการภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ชาวบ้าน ประชาชนคนธรรมดาที่ไม่รู้ซึ้งถึงโลกไอทีนัก อาจจะนึกสงสัยว่า Internet of Things (IoT) สามารถทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตได้บ้าง วันนี้ขอยกตัวอย่างนวัตกรรมสุดล้ำที่สามารถใช้งานได้จริง เรียงร้อยเป็นเรื่องราวเข้าใจง่ายๆ ปราศจากภาษาคอมพ์ไกลตัว โดยเริ่มจาก...

1.ชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย (Wireless Charging Battery)

สำหรับใครบางคน การพกเพาเวอร์แบงก์ (Power Bank) ขนาดใหญ่ มองหาปลั๊กสำหรับชาร์จ หรือหยิบสายชาร์จพร้อมหัวชาร์จไปทุกที่ทุกทางอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากไปสักหน่อย

แต่เทคโนโลยีการชาร์จแบต หรือ ที่ชาร์ตแบตสํารอง กำลังได้รับการพัฒนาให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันมากขึ้น ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายพร้อมกันนั้น intel ยังมีข้อตกลงกับบริษัท ไฮเออร์ จากประเทศจีน เพื่อติดตั้งระบบชาร์จไร้สายในร้านอาหาร โรงแรม ร้านกาแฟ และสนามบินทั่วประเทศจีน เพราะฉะนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ เรื่องชาร์จๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องไม่ยุ่งยากอีกต่อไป

หากอุปกรณ์ของคุณไม่รองรับการชาร์จไร้สายนั้น คุณก็สามารถอัพมือถือของคุณให้รองรับการชาร์ตไร้สายได้ โดยหาซื้อเคสที่ออกแบบเข้ากับมือถือ และรองรับ Wireless Charging ได้ โดย Intel กำลังร่วมมือกับผู้ผลิตมือถือ ผู้ดูแลเครือข่าย และและร้านค้าต่างๆ เพื่อออกแบบอุปกรณ์ชาร์จแบตไร้สายให้ทำงานได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

2.การประชุมเสมือนจริง 3 มิติ (Intel RealSense 3D )

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่คาดว่าจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คือ กล้อง Intel RealSense 3D ซึ่งถูกออกแบบให้มีเซ็นเซอร์ความลึกที่ดีที่สุด กล้อง full color ความละเอียดที่ 1080p โดยมีความสามารถในการจับการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ ตรวจจับใบหน้าเพื่อเข้าใจการเคลื่อนไหวและอารมณ์ และทำให้สามารถแยกแยะท่าทางต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ

ฉะนั้น จะส่งผลดีอย่างเห็นได้ชัดในแง่ของการประชุมผ่านวิดีโอ ซึ่งเทคโนโลยี Intel RealSense จะทำให้การประชุมหารือในองค์กรที่เสมือนจริง โดยผู้จัดการประชุมสามารถส่งรหัสไปยังผู้ร่วมประชุม พร้อมกับกำหนดได้ว่า จะให้ใครเข้าถึงเน็ตเวิร์กขององค์กรได้ อีกทั้งยังสามารถแชร์หน้าจอออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เข้าร่วมประชุมที่อยู่ในที่ต่างๆ ให้สามารถโต้ตอบกัน หรือส่งไฟล์ให้กันและกันได้อย่างสะดวกราบรื่น

3.สแกนใบหน้าแทนรหัสผ่าน (Face scanning password)

ไม่ต้องจำ Password ให้วุ่นวาย! สแกนใบหน้าเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ไอที Internet of Things (IoT) ยังถูกพัฒนาให้จดจำใบหน้าของเจ้าของอุปกรณ์ไอที เพียงแค่คุณสแกนใบหน้า โดยไม่ต้องจำรหัสผ่านในการเข้าถึง ก็สามารถเข้าถึงอุปกรณ์เครื่องโปรดของคุณได้ทันที ซึ่งขอบอกว่า นวัตกรรมที่ว่านี้ แม้ว่าจะมีผู้ไม่หวังดีใส่หน้ากาก หรือผู้มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเจ้าของอุปกรณ์ไอที ใครคนนั้นก็ไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างแน่นอน

4.บ้านอัจฉริยะ (Smart Home)

บ้านอัจฉริยะ สะดวก สบาย ประหยัด  เจ้าของบ้านสามารถควบคุมเครื่องใช้ต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม โดยสามารถสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เปิดปิดแอร์ เปิดปิดไฟ หรือแม้แต่ปิดกาต้มน้ำร้อนก็สามารถทำได้ อีกทั้งยัง สามารถแจ้งเตือนเจ้าของบ้านเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าเสีย หรือมีชิ้นส่วนต้องเปลี่ยน พร้อมช่วยติดต่อไปยังศูนย์บริการหลังการขาย

5.จักรยานชาญฉลาด (U bike)

U bike จักรยานชาญฉลาด รักษ์โลก!  ว่าด้วยเรื่องยานพาหนะที่คอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง อย่าง “U bike” จักรยานเช่าสาธารณะที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุดจากชาวไต้หวันและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากรุงไทเป โดยผู้ใช้สามารถขับขี่ซอกแซกไปตามซอกซอยต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย และถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางท่องเที่ยวทั่วกรุงไทเป พร้อมทั้งตอบโจทย์ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรให้แก่สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมสุขภาพผู้ใช้งานอีกด้วย

โดยการใช้งานก็แสนจะง่ายดาย เพียงแค่นำ EasyCard ซึ่งเป็นบัตรเงินสดอเนกประสงค์ของไต้หวันโดยเฉพาะ แตะบัตรไปที่แท่นด้านข้างจักรยาน ดึงจักรยานออกมา และเมื่อถึงเวลาจะคืนก็เข็นจักรยานเสียบเข้าไปในช่อง แล้วแตะบัตรเพื่อคำนวณหักค่าเช่าอัตโนมัติออกจากบัตร

แม้ว่าการขับเคลื่อน Internet of Things (IoT) นั้น จะให้ทั้งความสะดวกสบายง่ายดายไปเสียทุกอย่าง แต่บนประโยชน์มหาศาลก็ยังมีความเสี่ยงที่แฝงตัวอยู่ด้วย เพราะถ้าระบบรักษาความปลอดภัยของอินเทอร์เน็ตยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอ การติดตั้งซอฟต์แวร์เช่น อินเทล เซ็คเคียวริตี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ มิฉะนั้นเทคโนโลยีอาจนำมาสู่ภัยร้ายโดยไม่รู้ตัว....

Cr.ไทยรัฐ

7 ต.ค. 2559

5 ความเทห์ Samsung S6


5 ความเทห์ Samsung S6
5 ความเทห์ Samsung S6

1.กล้องเทพ

 หลายๆ คนเจอปัญหาการถ่ายรูปตอนแสงน้อย รูปนั้นอาจจะเบลอ จนต้องมาปรับแต่งแอพอีกหลายรอบ (บางทีถ่ายกลางวันเนี่ยแหละ แต่มันย้อนแสง เอ๊า ทำไมไม่ย้ายฝั่งหล่ะ ก็ฉันจะเอาวิวฝั่งนี้ เข้าใจมั้ย!) แต่ Samsung Galaxy S6 จะทำให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป ด้วยรูรับแสงที่กว้างถึง ƒ1.9 ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง (แล้วไอ้เจ้า ƒ1.9 นี่มากแค่ไหนอ่าาา พอดีนู๋ไม่เข้าใจศัพท์เทคนิค) ก็เอาง่ายๆว่า iPhone 6 มีรูรับแสงขนาด ƒ2.2 อ่ะค่าคุณขา แต่ Samsung Galaxy S6 จัดมาให้ถึง f/1.9 (มากกว่ากี่เท่าตัวก็นับนิ้วเอานะจ้ะ)

 ความสามารถของความกว้างรูรับแสงที่มีขนาด ƒ1.9 หมายถึง การเปิดรูรับแสงที่กว้างขึ้น ทำให้แสงสามารถเดินทางผ่านไปยังจอรับภาพได้มากขึ้นนั้นเอง เมื่อเราถ่ายภาพในที่มืด เจ้า ƒ1.9 จึงเป็นตัวช่วยอย่างดี ที่ทำให้การถ่ายภาพในที่มืดของเรา ชัดเจนกว่าเดิม เปิดรูรับแสง ในที่มืด รูกว้าง หน้าชัดเป๊ะ

ซึ่งคุณภาพของกล้อง Samsung Galaxy S6 จะช่วยให้ภาพที่เราถ่ายออกมาแจ่มสุดๆจนเพื่อนอิจฉา (ระวังเพื่อนขโมย อันนี้พี่เตือน!!) เอาเป็นว่าต่อไปนี้ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางวัน กล้องนี้ก็พึ่งพาอาศัยได้ ไม่ต้องแบกกล้องใหญ่ไปให้ปวดหลัง แต่จะเหนื่อยหน่อยนะ เพราะเพื่อนจะบอกให้เราถ่ายแล้วส่งรูปให้ด้วยยยยย


 รับรองว่าทั้งคุณและคนที่คุณรักก็จะไม่พลาดการเก็บภาพในโมเม้นท์สำคัญๆอีกต่อไป!  (และไม่ต้องเหนื่อยใช้แอพเพิ่มแสงในภาพ ขาวจนแทบไม่เห็นอะไรเลยในรูป #ร้องไห้หนักมาก) 

 ยังค่ะ ยังไม่พอ ความเทพของกล้อง Samsung Galaxy S6 ไม่ได้มีแค่ถ่ายชัดในที่มืด ที่มาพร้อมกับความละเอียดของกล้องหลัง16 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล และยังมีระบบป้องกันภาพสั่นอัจฉริยะ (บางทีเจอดาราคนโปรดอยากถ่ายรูปด้วย เพื่อนถ่ายออกมาให้แต่รูปสั่นรัวๆ #ร้องไห้หนักมาก) ปาดน้ำตาสะบัดบ๊อบ ไปลองกล้อง Samsung Galaxy S6 แล้วพบกับชีวิตใหม่ภาพใหม่ ลงfacebook, IG ไปเรียก like กระจาย!

 แต่เอาจริงๆ สำหรับยุคนี้กล้องกล้องก็สำคัญไม่แพ้กล้องหน้า แน่นอนคนรักการ selfie จะต้องหลงรัก Samsung Galaxy S6 สุดๆ ด้วยเลนส์ที่มีความสว่างสูง และฟังก์ชั่น HDR อัตโนมัติ ช่วยให้ภาพเซลฟี่ของคุณมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ว่าแต่ HDR  คืออะไรคะพี่ขา เล่าให้ฟังหน่อยสิ .. ฟังชั่น HDR นี้ ย่อมาจาก High Dynamic Range ซึ่งมันหมายถึงช่วงของความมืด – ความสว่างที่สิ่งใดๆสามารถสร้างขึ้นมา พูดง่ายๆ ว่าภาพที่ผ่านกระบวนการ HDR จะแสดงรายละเอียดออกมาอย่างครบถ้วน

2. จอเทพ

หน้าจอขนาด 5.1นิ้ว ความละเอียดสูงถึง 2560x1440 (577 ppi)  เทพแค่ไหนก็ขอกระซิบเบาๆว่า  (( iPhone6 ความละเอียดจออยู่ที่ 326 ppi )) เท่านั้นนะจ้ะ พูดเลยว่าเป็นมือถือที่มีความละเอียดจอที่ดีที่สุดในขณะนี้ แถมยังผลิตจากกระจกจอ Gorilla Glass4 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ทนทานต่อการตกมากกว่าเดิม ทั้งหมดนี้จะให้ประสบการณ์การมองที่คมชัดอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด และหน้าจอที่ปรับได้อย่างชัดเจนทั้งในร่มและกลางแจ้ง ทำให้คุณถ่ายภาพได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว สำหรับการใช้งานของนักธุรกิจ หรือกราฟฟิคดีไซเนอร์ที่ต้องทำงานรับส่ง email บอกเลยว่าไม่ต้องพกโนตบุคให้หนักอีกต่อไป จอภาพของ Samsung Galaxy S6   จะให้ประสิทธิภาพการทำงานกับคุณได้ ไม่แพ้จอคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว

3. แบตเตอรี่เทพ

ฟังชั่นนี้มนุษย์ power bank จะต้องปลื้ม รู้มั้ยว่าชาร์ต แบตสำรอง แค่ 10 นาที ต่อชีวิตแบตเตอรี่คุณได้ถึง 4 ชั่วโมง หรือเพื่อความบันเทิงก็ซื้อเพิ่ม powerbank ไป และยังไม่พอ Samsung Galaxy S6   ยังมีโหมดประหยัดพลังงานสูงสุด (Ultra Power Saving Mode) เมื่อต้องการ Save แบตแบบสุดๆ ซึงระบบนี้จะลดระดับระบบการประมวลผลลง ให้เหลือแต่การใช้งานที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เช่น ถ้าเหลือแบตอยู่ 10% แล้วเปลี่ยนมาใช้ mode นี้ โทรศัพท์ของเราจะอยู่ stand by ได้ถึง 24 ชม. เลยทีเดียว oh พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก

เท่านั้นยังไม่พอ Samsung Galaxy S6  ยังมาพร้อมฟังชั่น ที่ชาร์ตแบตสํารอง แบบไร้สายอีกด้วย โดยตัวแท่นชาร์จนี้มีขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาสะดวก ดีไซน์ทันสมัย ล้ำอีกแล้ว (เก๋ขนาดนี้ระวังเพื่อนขโมย เราเตือนคุณจริงๆ นะ!

4. ดีไซน์เทพ

รู้มั้ยว่าวัสดุของ Samsung Galaxy S6  ใช้กระจกมาผสานกับโลหะ ออกแบบอย่างบรรจงประณีต ออกมาเป็นตัวเครื่องที่สวยงามไร้ที่ติ  โดยเฉพาะ Samsung Galaxy S6 edge ที่มี ดีไซน์หรูหรา เป็นมือถือจอโค้ง ระดับ Hi-End มีหน้าจอแสดงผลแบบขอบจอโค้งทั้งสองด้าน “เป็นครั้งแรกในโลก”  แต่ 10 ปากว่า ไม่เท่าตาเห็น อธิบายตรงนี้ไปก็อาจจะรู้สึก เออสวยดีนะ แนะนำให้ไปลองลูบๆ คลำๆ ดูซักครั้ง รับรองจะประทับใจมิรู้ลืม (ถ้าเพื่อนใกล้ตัวมี แนะนำให้ยืมเพื่อนมาจับดูซักครั้ง แต่ยืมแล้วอย่าติดใจจนลืมคืนหล่ะ!)

 คุณค่าของงาน Design ยังไม่หมดจ้า ตัวสีของเครื่องเห็นวิบแว๊บวับแบบนี้ นางใช้ Dynamic reflective color ทำให้เวลาแสงมาตกกระทบที่ตัวเครื่องเกิดความรู้สึกไม่จำเจ เครื่องสะท้อนแสงคล้ายเราถือเครื่องประดับเสริมบารมี
Dynamic reflective color

เคยสงสัยไหม  นอกจากดีไซน์ของขอบข้างที่กลมมนแล้วเนี่ย มันมีประโยชน์อะไรอีกนะ รู้หรือไม่ว่า เจ้าขอบมนๆเนี่ย มีฟีเจอร์ที่ทำมาเพื่อตอบสนองการใช้งานที่ง่าย และเพิ่มความสะดวกให้มากยิ่งขึ้น ด้วย People edge และ Edge lighting

Edge screen คือ บริเวณ ขอบจอโค้งมน อันเป็นที่อยู่อาศัยของ People edge และ Edge lighting

People edge คือ พื้นที่สำหรับ Short cut application เรียกใช้งานแอพที่เราใช้บ่อยได้โดยไม่ต้องปลดล๊อคหน้าจอ นอกจากนี้ยัง สามารถใส่เบอร์โทรคนสำคัญได้ถึง 5 รายชื่อ พร้อมสีที่เปลี่ยนไปของแต่ละรายชื่อ

People lighting คือ ทับเสริมของ People edge ถ้ามีสายโทรเข้า, ข้อความจาก 1 ใน 5 ของบุคคลในรายชื่อนี้ ก็จะมีการเรื่องแสงตามที่ที่จอ Edge screen ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ทันทีว่าเป็นใครที่ทำการติดต่อเข้ามา

5.สั่งงานด้วยเสียงระดับเทพ “S Voice”

ฟังก์ชั่น S Voice ใหม่ ที่พร้อมรับคำสั่งจากเสียงของคุณทุกเวลา ทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานแอปได้อย่างสะดวกรวดเร็วในเวลาไม่กี่วินาที ไม่ว่าคุณจะกำลังทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือขับรถอยู่  เก๋กู๊ดราวกับมีเลขาส่วนตัวเลยทีเดียว!

นี่แค่คุณสมบัติ 5ข้อเด่นๆ ของ Samsung Galaxy S6 ที่เลือกมาเล่าในวันนี้ จริงๆแล้วยังมีลูกเล่นอะไรอีกมากมายให้ลองใช้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบซัมซุง เพย์ (Samsung Pay) ที่จะทำให้คุณลืมการพกบัตรเครดิตออกจากบ้านไปเลย และฟังชั่นน่าใช้อื่นๆ อีกมากมาย ไม่เชื่อ ลองไปสัมผัสดู


Cr.ข่าวสด,Synergy | Twitter

6 ต.ค. 2559

เทคโนโลยี่ RFID

 
เทคโนโลยี่ RFID
เทคโนโลยี่ RFID

เทคโนโลยี่ RFID


RFID ย่อมาจากคำว่า Radio Frequency Identification เป็นระบบที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เพื่อวัตถุประสงค์หลักในการใช้งานที่ระบบฉลากแบบบาร์โค้ดไม่สามารถใช้การได้ โดยจุดเด่นของ RFIDคือ ความสามารถในการอ่านข้อมูลของฉลากได้โดยที่ไม่ต้องมีการสัมผัส (Contactless) สามารถอ่านข้อมูลได้แม้ในทัศนวิสัยไม่ดี ทนความเปียกชื้น แรงสั่นสะเทือน การกระทบกระแทก และยังสามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง ซึ่งในปัจจุบันได้มีการนำ RFID มาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นในบัตรชนิดต่างๆ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตร ATM บัตร เข้า-ออกสำนักงานหรืออาคารที่พัก ลานจอดรถ ฉลากสินค้า หรือแม้กระทั่งการฝังลงในตัวของสัตว์เพื่อเก็บประวัติของสัตว์ตัวนั้นๆ เป็นต้น


ระบบ RFID จะมีองค์ประกอบหลักๆด้วยกัน 3 ส่วน คือ
1. ป้าย (Tag, Transponder) คือ ตัวจัดเก็บและส่งข้อมูล ภายใน Tag จะ ประกอบด้วยขดลวดที่ทำหน้าที่เป็นสายอากาศและวงจรไมโครชิพที่ทำหน้าที่เป็น ตัวเก็บข้อมูล โดยจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุชิ้นนั้นๆเอาไว้ และจะส่งสัญญาณหรือข้อมูลไปตอบสนองที่ตัวอ่าน ซึ่ง Tag นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งในรูปของบัตร เหรียญ ฉลาก หรือแม้แต่เป็นไมโครชิพที่ใช้ในการฝังภายในร่างกายหรือตัวสินค้าโดยทั่วไปแล้ว Tag จะมี 2 ประเภท

Active Tag
     - ต้องมีแหล่งพลังงานในตัว เพื่อจ่ายพลังงานให้กับวงจรไมโครชิพและส่งสัญญาณให้กับตัว Reader
     - ใช้งานในย่านความถี่ 455MHz, 2.4GHz หรือ 5.8GHz และสามารถอ่านได้ในระยะ 60-300 ฟุต
     - ส่วนใหญ่ใช้ในงานขนาดใหญ่ๆ เช่น ตู้คอนเทรนเนอร์ โกดังสินค้าขนาดใหญ่ รถรางต่างๆ ท่าเรือ ฯลฯ
     - มีอายุใช้งานจำกัด และไม่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้

Passive Tag
     - ไม่มีแหล่งพลังงานในตัว อาศัยคลื่นวิทยุมาเหนี่ยวนำให้เกิดเป็นพลังไฟฟ้า
     - ราคาถูก ทนทาน ไม่ต้องดูแลรักษามาก
     - ใช้ได้ทั้งความถี่ต่ำจนถึงความถี่สูง
     - อ่านข้อมูลได้ในระยะใกล้ๆ เหมาะกับระบบเข้า-ออกของสถานที่ต่างๆ ระบบป้องกันขโมยสินค้า ฯลฯ
     - อายุการใช้งานยาวนานมาก

2. Reader คือ อุปกรณ์ที่ใช้อ่าน หรือเขียนข้อมูลลงในตัว Tag โดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ ภายใน Reader จะประกอบด้วยเสาอากาศ เพื่อใช้รับ-ส่งสัญญาณ, ภาครับภาคส่งสัญญาณวิทยุ, วงจรควบคุมการอ่าน-เขียนข้อมูล และส่วนที่ต่อกับคอมพิวเตอร์ ตัว Reader นั้นก็มีหลากหลายรูปแบบเช่นกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน มีทั้งแบบมือถือ ติดผนัง หรือแบบตั้งพื้นขนาดใหญ่

3. ฮาร์ดแวร์ หรือ ระบบที่ใช้ประมวลผล คือ ส่วนที่จะทำการประมวลผลข้อมูลที่ได้มาจากป้าย (Tag) หรือ จะสร้างข้อมูลเพื่อส่งไปยังป้าย (Tag) หรือ ว่าจะเป็นที่เก็บระบบฐานข้อมูล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบที่เรานำเอาไปใช้ เช่น ระบบการจัดการฟาร์มปศุสัตว์ ระบบคลังสินค้า ระบบขนส่ง ระบบการบริหารทรัพยากรต่างๆ เป็นต้น

หลักการทำงานเบื้องต้น
การสื่อสารระหว่าง Tag กับ Reader จะเป็นการสื่อสารที่อาศัยคลื่นความถี่วิทยุ โดยตัว Reader จะส่งคลื่นวิทยุออกมาตลอดเวลา และเมื่อ Tag ผ่านเข้ามาอยู่ในขอบเขตระยะส่งสัญญาณของ Reader เมื่อ Tag ได้รับคลื่น ขดลวดภายใน Tag นั้นนอกจากจะเป็นเสาอากาศแล้ว ยังทำหน้าที่แปลงคลื่นกลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อใช้เลี้ยงวงจรไมโครชิพของตัว Tag เพื่ออ่าน หรือบันทึกข้อมูลลงในวงจรไมโครชิพภายใน Tag จากนั้นจะส่งข้อมูลที่ผ่านการแปลงจากไมโครชิพกลับมาโดยผ่านเสาอากาศด้วยการเหนี่ยวนำคลื่นความถี่ไปที่ Reader อีกครั้ง และ Reader จะส่งข้อมูลไปยังหน่วยประมวลผลหลักของคอมพิวเตอร์เพื่อถอดรหัสแล้วนำข้อมูลที่ถอดได้ไปใช้งานต่อไป โดย Reader กับคอมพิวเตอร์จะติดต่อสื่อสารกันผ่านทาง LAN หรือ ส่งผ่านทางความถี่วิทยุทั้งอุปกรณ์มีสายและไร้สาย

Cr.ข่าวสาร Update ,Synergy | Facebook

บาร์โค้ด เทคโนโลยีใกล้ตัว


บาร์โค้ด เทคโนโลยีใกล้ตัว
บาร์โค้ด เทคโนโลยีใกล้ตัว
ใครยังไม่เคยซื้อสินค้าจากห้าง หรือร้านสะดวกซื้อ กันบ้าง? เชื่อว่าอัตราส่วนของคำตอบดังกล่าวคงอยู่ที่ 0.00001% เพราะนอกจากความศิวิไลซ์ที่กระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ ปัจจุบัน ร้านค้าน้อย-ใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ในรูปแบบซื้อสะดวกและทันสมัยก็ได้ขยายตัวไปทั่วทุกแห่งหนของประเทศแล้ว

ชีวิตประจำวันแต่ละคนจะต้องวนเวียนอยู่กับ "บาร์โค้ด (Barcode)" แบบไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่คุณซื้อสินค้าก็จะมีพนักงานขายใช้ เครื่องอ่านบาร์โค้ด อ่านรหัสบนตัวสินค้า แล้วคุณรู้จักประวัติ ความเป็นมาของเจ้าเทคโนโลยีนี้แค่ไหน เราจะพาไปหาคำตอบ…

หนึ่งในเทคโนโลยี ใกล้ตัวที่เราได้พบเห็นและเรียกว่าผูกพันอยู่กับวิถีการจับจ่ายของเรา แต่อาจไม่เคยรู้ที่มาที่ไปก็คือ "บาร์โค้ด" (Barcode) ซึ่งเราได้รวบรวมเรื่องน่ารู้และความเป็นมาของบาร์โค้ดมาฝากกัน!

10 ข้อ คลายสงสัยเกี่ยวกับ "บาร์โค้ด (Barcode)"

1. ต้นแบบเทคโนโลยี บาร์โค้ด (Barcode) มาจากแนวคิดของ Wallace Flint นักศึกษามหาวิทยาลัย Harvard ในปี 1932 ซึ่งใช้บัตรเจาะรูเป็นตัวกำหนดรหัสสินค้าแล้วนำไปตอกในเครื่องอ่าน ต่อมา Bernard Silver นักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยี Drexel ได้นำมาพัฒนาต่อ โดยใช้หมึกเรืองแสงและการฉายแสง UV แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากไม่เสถียรในการใช้งานและต้นทุนสูง

2. Joseph Woodland ได้ช่วยเหลือ Bernard Silver จนทำให้ทั้ง 2 คน สามารถจดสิทธิบัตรการออกแบบ บาร์โค้ด (Barcode)เป็นครั้งแรก ในวันที่ 7 ต.ค.1952 โดยมีรูปแบบในขั้นแรกเป็นวงกลมคล้ายแผ่นปาเป้า ซึ่งถูกนำไปทดลองใช้งานเป็นครั้งแรกที่ร้านค้าเครือ Kroger ในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ปี 1967

3. ในเดือนมิ.ย. 1974 เครื่องสแกนบาร์โค้ด ก็ถูกพัฒนาขึ้นสำเร็จ ทั้งยังมีการปรับปรุงให้ บาร์โค้ด (Barcode)กลายเป็นลักษณะแบบแท่งและมีตัวเลขเช่นเดียวกับในปัจจุบัน

4. เพียง 26 วัน หลังจากเครื่องสแกนบาร์โค้ดหรือบางที่เรียกว่า เครื่องยิงบาร์โค้ด ถูกพัฒนาขึ้น ก็มีการนำไปใช้งานจริงเป็นครั้งแรกในซุปเปอร์มาร์เก็ตทันที โดยสินค้าแรกที่ถูกสแกน คือ หมากฝรั่ง Wringley

5. การทำงานของบาร์โค้ดใช้รูปแบบของแถบสีดำและขาวที่มีความกว้าง-ถี่ แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวเลขที่กำกับอยู่ด้านล่าง การอ่านข้อมูลจะอาศัยหลักการสะท้อนแสงของเครื่องสแกน เพื่อนอ่านข้อมูลสู่คอมพิวเตอร์

6. ความสะดวก รวดเร็ว และน่าเชื่อถือ รวมถึงโอกาสผิดพลาดเพียง 1 ใน 10,000,000 ทำให้ระบบบาร์โค้ดได้รับความนิยมไปทั่วโลก

7. ประเทศไทยมีบาร์โค้ดใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2530 โดยสภาอุตสาหกกรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบสิทธิ์นายทะเบียนรับสมัครสมาชิกจดทะเบียนบาร์โค้ด ซึ่งทำให้ระบบดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในทันที

8. "รหัสแท่ง" คือ ชื่อภาษาไทยของบาร์โค้ด

9. การสแกน QR Code ก็ถือเป็นบาร์โค้ดประเภทหนึ่ง โดยถือเป็นบาร์โค้ด 3 มิติ ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ตามยุคสมัยที่มีความเจริญมากขึ้น

10. จากการใช้งานเพื่อสแกนสินค้าในยุคแรกได้ใช้ ปัจจุบันบาร์โค้ดถูกนำไปใช้ในหลากลายช่องทาง อาทิ เกม การแอดเพื่อนบนโซเชียล หรือการดูรายละเอียดเพิ่มเติมของสินค้า

Cr. FHM, Asia21st

10 ก.ย. 2559

สมาร์ทโฟน ทำได้มากกว่า โทรศัพท์


ยุคสมัยตอนนี้มันก็เปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนมาก เมื่อก่อนมือถือทำได้แค่ รับสาย โทรเข้า โทรออก ส่งข้อความ แต่สมัยนี้มือถือ ถูกเรียกว่าสมาร์ทโฟนไปแล้ว เพราะทำอะไรได้หลายอย่าง จนบางทีก็นึกไม่ถึงเลยก็ว่าได้ และวันนี้ MacThai ได้นำ 1ุ6 สิ่งที่เราไม่คิดว่าสมาร์ทโฟนจะสามารถทำได้นอกจากการทำหน้าที่เป็นแค่ โทรศัพท์

1) โปรเจคเตอร์
สมาร์ท โฟนสมัยนี้สามารถใช้เป็น Mini Projector เอาไว้ดูหนังหรือพรีเซ็นต์งาน โดยไม่ต้องซื้อเครื่องโปรเจคเตอร์ใหญ่ ๆ อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น Samsung Galaxy Beam ที่เป็นโปรเจคเตอร์ในตัวเลย และสำหรับไอโฟนก็มีเช่นกันแต่ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมมาต่อเพิ่ม

2) หมวกกันน็อค
หมวก กันน็อคที่ว่านี้จะมีเซ็นเซอร์จาก ICEdot’s Crash ซึ่งจะฝั่งสมาร์ทโฟนเข้าไปในหมวก เพื่อตรวจจับแรกกระแทก เมื่อมีอุบัติเหตุ ก็จะแจ้งเตือนพร้อมแนบตำแหน่งจาก GPS ให้คนที่ต้องการเรารู้ เหมาะกับนักกีฬาผาดโผน

3) รีโมท คอนโทรล
รีโมทของ iPhly นี้จะเป็นเคสไว้ใช้กับไอโฟนซึ่งจะทำให้ไอโฟนของคุณเป็นรีโมททีวี แอร์ หรือจะเป็นรีโมทบังคับเครื่องบินของเล่นต่าง ๆ

4) กล้องวงจรปิดสำหรับหนูน้อย
กล้องวงจร ปิดสำหรับดูเด็กทารก ก็มีมากมายหลายยี่ห้อในตลาด ซึ่งมันสามารถจะดูลูกน้อยของคุณได้ตลอดเวลาผ่าน กล้อง IP Camera ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนผ่านสมาร์ทโฟนของคุณ นอกจากนี้ยังสามารถคุยกับลูก หรือสั่งให้กล้องหมุนไปรอบ ๆ แบบระยะไกลได้

5) Fitness Tracker
ขณะ นี้เทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง และนี่เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่จะจดบันทึกพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการออกกำลัง กายของเรา ซึ่ง Fitness Tracker สมัยนี้สามารถ วัดชีพจร วัดความเครียด หรือแม้กระทั่งวัดปริมาณแสง UV (UV Meter)ได้

6) ที่ล็อคประตูบ้าน
Lockitron เป็นบริษัทที่ผลิตที่ล็อคประตูอัจฉริยะ (Digital Door Lock) ซึ่งมันสามารถเปิดล็อคกลอนประตูไฟฟ้าผ่านสมาร์ทโฟนโดยไม่ต้องใช้กุญแจ แจ้งเตือนไปที่สมาร์ทโฟนเมื่อมีคนมาเคาะประตู เป็นต้น

7) สัตว์เลี้ยงแสนรู้
สมาร์ท โฟนเดี๋ยวนี้สามารถเป็นสัตว์เลี้ยงแก้เหงาได้ด้วย โดยจะนำสมาร์ทโฟนฝังเข้าไปในตุ๊กตา ทำให้ตุ๊กตานั้นเหมือนมีชีวิตขึ้นมา สามารถพูดคุยได้ ร้องเพลงได้ หรือตุ๊กตาที่เคยเห็นอาจจะเป็น เฟอร์บี้ ที่เคยฮิต ๆ กัน

8) บัตรเครดิตและบัตรสมนาคุณต่าง ๆ
ปัจจุบันโลก มันเปลี่ยนไป สมัยนี้ไม่มีใครเค้าพกบัตรเป็นสิบ ๆ ใบในกระเป๋าสตางค์กันแล้ว เดี๋ยวนี้มีเพียงแค่สมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก็สามารถเป็นเครื่องรูดบัตร แลกแต้มได้แล้ว และบริการเก็บบัตรต่าง ๆ ไว้ในไอโฟนของแอปเปิลนั่นก็คือ Passbook

9) ตัวติดตามเอาไว้หาของหาย
ตัว นี้จะเป็นเซ็นเซอร์เล็ก ๆ เท่าเหรียญ หรือเป็นบัตร เอาไว้ห้อยติดกับพวงกุญแจ ใส่ไว้ในกระเป๋าตังค์ หรือว่าจะให้ลูก ๆ พกติดตัวก็ได้ โดยเราจะสามารถหาของเหล่านี้ได้จากสมาร์ทโฟน เพียงแค่กด เซ็นเซอร์ตัวนี้ก็จะมีเสียงร้องออกมาให้เราได้ยิน

10) รีโมทควบคุมรถ
รถ ยนต์สมัยใหม่ ๆ จะสามารถสั่งงานจากสมาร์ทโฟนได้ทันที เช่น เปิดล็อค ปิดประตู บีบแตร แจ้งเตือนเมื่อยางแบน เครื่องยนต์เสียตรงไหน มันก็จะส่งข้อมูลพร้อมพิกัด ให้ศูนย์ซ่อมรถมาซ่อมให้เรา ขณะที่เราจอดเสียอยู่กลางทาง

11) เครื่องรูดบัตรเครดิต
Square เป็นบริษัทที่ทำเครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็กไว้ใช้กับสมาร์ทโฟน ไอโฟน ไอแพต เมื่อเราเปิดร้านขายของ เราไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องรูดบัตรขนาดใหญ่ ๆ อีกแล้ว มีสมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก็สามารถรูดบัตรได้แล้ว

12) เซ็นเซอร์วัดสภาพแวดล้อม
นี่เป็นเซ็นเซอร์วัดสภาพแวดล้อมของ Sensordrone ซึ่งสามารถวัดคุณภาพอากาศ แก๊สรั่ว อุณหภูมิ ความชื้นของอากาศและส่งไปที่สมาร์ทโฟนได้

13) เครื่องให้อาหารสัตว์
เครื่องให้อาหารสัตว์เดี๋ยวนี้สามารถตั้งเวลาให้อาหารสัตว์เลี้ยงของคุณผ่านสมาร์ทโฟนได้แล้ว ไม่ว่าคุณจะอยู่ไหนก็ตาม

14) สวิตซ์เปิด-ปิดไฟ
หลอดไฟในปัจจุบันมี Wi-Fi ในตัวซึ่งทำให้สามารถเป็นไฟอัตโนมัติ เปิด-ปิด หรือเปลี่ยนสีไฟ ได้จากสมาร์ทโฟนของเรา

15) รีโมทกล้องถ่ายรูป
ปัจจุบัน กล้องถ่ายรูปก็มี Wi-Fi หรือ NFC ในการเชื่อมต่อกับมือถือของเรา ไว้ส่งรูปเข้าสมาร์ทโฟนและแชร์รูปผ่านโซเชียลมีเดียร์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นรีโมท สายลั่นชัตเตอร์ และระบุตำแหน่งเพื่อใส่ไปใน EXIF ของภาพ

16) เครื่องตั้งเวลาปิด-เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องตั้ง เวลาปิด-เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือ Thermostat จะเป็นตัวตัดกระแสไฟฟ้าในเวลาที่เรากำหนด เช่นตั้งเวลาเปิด-ปิดแอร์ หรือตั้งอุณหภูมิของแอร์ให้เข้ากับอากาศภายนอก เพื่อทำให้ประหยัดไฟได้สูงสุด

และนี่เป็น 16 สิ่งที่สมาร์ทโฟนทำได้แล้วในปัจจุบัน แต่คุณอาจจะยังไม่รู้ โดยส่วนใหญ่แล้วเทคโนโลยีจะเข้าไปในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น อนาคตเราจะเห็น ทีวี ตู้เย็น รถ แอร์ พัดลมต่อ Wi-Fi และเชื่อมต่อกับมือถือของเราเพื่อสั่งงานด้วยเสียง และนี่เป็นเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Internet of Things” (IoT)

ซึ่งแอ ปเปิลก็ได้รุกตลาด IoT นี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยใช้ชื่อว่า HomeKit คือสร้างเครื่องมือให้นักพัฒนาได้ใช้ไอโฟนควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้านได้

Cr. MacThai,Synergy | Facebook

กล้องวีดีโอ




กล้องวีดีโอ GoPro เป็นกล้องที่เหมาะ สำหรับงานการถ่ายทำภาพเคลื่อนไหวโดยเฉพาะ มีขนาดเล็กถึงเล็กมาก สามารถนำไปติดตั้งด้านหน้าของรถแข่ง บนหมวกของนักแข่งรถ รวมทั้งติดตั้งบนเครื่องบินได้อย่างง่ายและสะดวกมากรองรับการ view ผ่านอุปกรณ์โมบายด้วย App ไม่ว่าจะเชื่อมต่อกับ App เป็น IP Camera ก็ได้ สามารถเชื่อมต่อ facebook twitter youtube หรือ อีเมล์ก็ได้   ใครอยากลองและสนใจก็ลองสอบถามราคาพิเศษได้จากร้านกล้อง แต่คงต้องเป็นร้านพิเศษสักนิด ราคาส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับหลักหมื่นขึ้นไป


GoPro เตรียมเปิดตัวโดรนของตัวเอง พร้อมอุปกรณ์เสริมติดตั้งกล้องได้ถึง 6 ตัว ใช้ถ่ายรอบด้านและแบบ VR (Virtual Reality หรือ เสมือนจริง) รองรับการใช้งานแบบ กล้อง IP Camera ได้อย่างลงตัว พร้อมเปิดตัวโดรนแบบ 4 ใบพัด พร้อมทั้งอุปกรณ์เสริมที่สามารถติดตั้งกล้อง GoPro ได้ถึง 6 ตัวสำหรับการถ่ายแบบ VR


กล้อง GoPro หลังจากที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และถูกนำไปประกอบติดตั้งเพื่อใช้งานกับโดรน (Drone) เป็นเหตุให้ GoPro คิดจะพัฒนาโดรนของตัวเองออกมาซะเลย  ล่าสุด CEO ของ GoPro อย่าง Nick Woodman กล่าวเองว่าบริษัทฯ มีแผนที่จะสร้างโดรนของตัวเอง ซึ่งเป็นโดรน (Drone)แบบ 4 ใบพัด หรือ quadrocopter


ปกติก่อนที่ทาง GoPro จะคิดพัฒนาโดรนของตัวเอง กล้อง GoPro นั้นสามารถติดตั้งกับโดรนยี่ห้ออื่นๆได้ ทาง GoPro เองจึงคิดว่า จะดีกว่ามั้ย ถ้า GoPro มีโดรนเป็นของตัวเอง คาดว่าโดรนของ GoPro เองจะมาประมาณปีหน้า แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องราคา หรือสเปคของโดรน


นอกจากโดรน (Drone)แล้ว GoPro กำลังพัฒนาอุปกรณ์เสริมที่สามารถติดตั้งกล้อง GoPro ได้ถึง 6 ตัวเลย ทำให้สามารถถ่ายรูปภาพนิ่ง หรือ วิดีโอได้รอบทิศทางแบบ 360 องศา หรือจะใช้ถ่ายแบบ VR (Virtual Reality หรือ เสมือนจริง) ซึ่งทาง Nick Woodman นำมาปรับใช้กับตัวต้นแบบรุ่นแรกๆ คาดว่า final product จะยังไม่มาจนกว่าจะครึ่งปีหลังของปี 2015 นี้


Cr.แบไต๋ไอที

9 ก.ย. 2559

สถานีเรดาร์ โซล่าเซลล์


พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานจากธรรมชาติ ที่ได้มาจากดวงอาทิตย์ ไม่มีมลพิษครับ เป็นพลังงานทดแทนที่มีศักยภาพสูง สามารถนำมาใช้อย่างไม่หมดสิ้นตามความต้องการของเรา จะนำมาเพื่อผลิตไฟฟ้าหรือทำความร้อน โคมไฟโซล่าเซลล์ (Solar Cell)ให้แสงสว่าง และแม้กระทั่งทำความเย็นก็ยังได้

ใน ปัจจุบันถูกนำมาใช้แพร่หลายทั่วโลกเลยทีเดียวครับ  สำหรับประเทศไทยเรานั้นก็ได้มีการประยุกต์ใช้ทั้งหน่วยงานเอกชน ประชาชน แม้นแต่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทน เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ด้วยแผงโซล่าเซลล์ (Solar Cell) นั่นเองครับ

ศูนย์ป้องกันทางอากาศ สถานีเรดาร์ (Radar) ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในสถานีรายงานดอยอินทนนท์จังหวัดเชียงใหม่เป็นจุดสูงที่สุด ของประเทศไทยด้วยระดับ 2,568 เมตร จากระดับน้ำทะเล และต้องปฏิบัติภารกิจตลอด 24 ชั่วโมง

ปัจจุบันกองทัพอากาศได้เร่ง รัดจัดการให้มีการใช้พลังงานทดแทน ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนพื้นที่ 60 ตารางเมตร บนหลังคาอาคารแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยพร้อมเก็บสำรองพลังงานไว้ใน แบตเตอรี่เพื่อทดสอบความพร้อมในการจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบด้วยขนาด 800 kW ประมาณเดือนสิงหาคมนี้

สถานีเรดาร์ (Radar)ดอยอินทนนท์จะเปิดการผลิตและใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้า โดยแผงโซลาร์เซลล์ สำหรับเป็นพลังงานทดแทนได้ทันทีที่ผลการทดสอบแล้วเสร็จเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานยิ่งขึ้น

เนื่องจากตลอด หลายปีที่ผ่านมาสถานีเรดาร์ (Radar)แห่งนี้ต้องพึ่งพากระแสไฟฟ้าจากสายส่งจากตัวเมืองเชียงใหม่มาสู่เส้น ทางขึ้นดอยที่สูงชันในสภาพป่าที่สมบูรณ์ บางครั้งจึงเกิดปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้องเพราะต้นไม้ถูกฟ้าผ่ามีกิ่งก้านหัก พาดสายไฟแรงสูงทำให้ต้องใช้ไฟสำรองจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเป็น เชื้อเพลิงระหว่างการซ่อมสายไฟ

พลังงานแสงอาทิตย์ยังจะช่วยลดภาระค่า ใช้จ่ายและความยุ่งยากให้กองทัพอากาศในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปเก็บสำรอง ไว้ เช่นเดียวกับสถานีถ่ายทอดโทรคมนาคมและสถานีเรดาร์ (Radar)บนภูกระดึง ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นพื้นที่ที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า จึงต้องอาศัยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพียงสถานเดียว ซึ่งนอกจากจะมีภาระค่าใช้จ่ายสูงมากแล้ว ยังยุ่งยากเพราะไม่มีเส้นทางอื่นใดในการขนส่งนอกจากทางอากาศเท่านั้น เพื่อให้ภารกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีวันหยุด

โครงการ ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อใช้งานในสถานีถ่ายทอดโทรคมนาคมในส่วนที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงรวม 4 แห่ง และระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซลาร์เซลล์สำหรับใช้งานระบบเรดาร์ (Radar)กองทัพอากาศรวม 15 หน่วย ซึ่งถือว่ามีส่วนช่วยเสริมเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้กับหน่วยงานความ มั่นคงของชาติเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีหน่วยราชการอื่นนำพลังงาน แสงอาทิตย์ ที่ใช้แผงโซลาร์เซลล์มาเป็นทางเลือกก่อนหน้านี้ เป็นโครงการติดตั้งเสาไฟพร้อมโคมส่องสว่างแบบ โคมไฟโซล่าเซลล์ (Solar Cell) กับโครงการพัฒนาระบบแสงสว่างด้วยชุดโคมส่องสว่างแบบแอลอีดี (LED) ซึ่ง ศอ.บต. เป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง ที่เป็นหน่วยงานความมั่นคงที่ได้จัดทำดำเนินการแล้วเสร็จครบทั้งหมดแล้ว เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

โดยที่โครงการในชุดเดียวกันนี้ คือโครงการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ด้วยแผงโซลาร์เซลล์แบบ รถเคลื่อนที่ ในฐานปฏิบัติการที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ กอ.รมน. ก็ได้เริ่มการผลิตรถพ่วงเคลื่อนที่ต้นแบบ กำลังอยู่ระหว่างการประกอบและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ โดยคาดหมายว่าจะแล้วเสร็จสามารถส่งมอบแก่หน่วยงานความมั่นคงแห่งนี้ประมาณ ปลายปี 2558 นี้

ประโยชน์ของพลังงานแสงอาทิตย์
1.พลังงานที่ไม่มีวันหมด เป็นพลังงานจากธรรมชาติ ที่ได้มาจากดวงอาทิตย์
2.พลังงานที่สะอาด พลังงานไฟฟ้าที่ได้จากโซล่าเซลล์ (Solar Cell)นั้นไม่เกิดมลพิษทางอากาศ
3.ผลิตไฟฟ้าได้ทั่วทุกมุมโลก ขอแค่เพียงมีแสงจากดวงอาทิตย์เท่านั้น
4.แหล่งผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ไหน ก็สามารถนำมาใช้งานได้ที่นั่นเลย ถ้าแสงอาทิตย์ไปถึง
4.สร้างไฟฟ้าได้ทุกขนาด เพิ่มกำลังได้ตามจำนวนแผงโซล่าเซลล์ (Solar Cell)

Cr.ไทยรัฐ

8 ก.ย. 2559

แบตสํารอง iphone


Power Bank หรือ แบตเตอรี่สำรอง จึงกลายเป็นแก็ดเจ็ต(Gadget)ที่หลายคนพกติดตัวไว้เพื่อไม่ให้ประสบปัญหาแบ ตมือถือหมดกลางทาง ในความเป็นจริงแล้วเราไม่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟมากขนาดนั้น เอาแค่ซัก 2-3 เท่าของแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนก็เกินพอแล้ว(โดยส่วนใหญ่แบตเตอรี่สมาร์ทโฟนจะ อยู่ที่ 2000-3000 mAH) เพราะยิ่งจุไฟได้มากเท่าไหร่ตัวเครื่อง Power Bank ก็จะยิ่งใหญ่และหนักกระเป๋ามากขึ้นเท่านั้น

ใครที่รักความสะดวกพก พา การเลือกใช้พลังงานน้อยๆก็น่าสนใจ จากประสบการณ์การใช้งานจริง 3000 mAH ก็ยืดอายุสมาร์ทโฟนให้แบตเต็มได้อีก 1 รอบพอดี ถ้าไม่จำเป็นต้องชาร์จหลายเครื่องหรือต้องชาร์จหลายวัน เลือกตัวเล็กหน่อยก็ได้ครับ

หนึ่งในโครงการจาก Kickstarter กับ CoBattery เคสและแบตเตอรี่สำรอง(Power Bank) สำหรับ iPhone 5, 5S และ 6 ซึ่งมีจุดที่การสับเปลี่ยนแบตเตอรี่สำรองด้านหลังได้รวดเร็ว ดึงออกแล้วสลับกับแบตเตอรี่สำรองอีกก้อนก่อนจะนำก้อนเดิมไปใส่แท่น ที่ชาร์ตแบตสํารอง iphone เพื่อชาร์จไฟ โดยใน1 ก้อนจะสามารถชาร์จโทรศัพท์ได้ประมาณ 2.5 รอบ


สำ หรับเคสของ CoBattery ใช้พลาสติกกันกระแทกเป็นวัสดุในการผลิต ป้องกัน iPhone ได้แม้จะร่วงหรือตกกระทบรุนแรง มีน้ำหนักเบา เมื่อชั่งรวมกับแบตเตอรี่สำรอง ( Power Bank )แล้วจะหนักเพียง 73 กรัม


นอก จากนี้เจ้าของโครงการอ้างว่าหากใช้งาน CoBattery อยู่ตลอดจะช่วยรักษาและยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ของ iPhone ให้ยาวนานขึ้นมากกว่าเดิมมากเนื่องจากไม่ต้องชาร์จกับไฟบ้านโดยตรง

อย่างไรก็ดี CoBattery ยังอยู่ในระหว่างการระดุมทุนเท่านั้นและไม่มีการวางจำหน่าย คาดว่ามีราคาประมาณ 60 ดอลลาร์ (2,020 บาท)


Cr.ที่นี่มีเดีย

7 ก.ย. 2559

Poke ball ล่า Pokemon Go


ใครที่เล่นเกม Pokemon Go มาสักพักจนเจอโปเกม่อน (Pokemon Go) CP 500+ จะเริ่มรู้สึกว่าการจับโปเกม่อน (Pokemon Go)มันเริ่มลำบากมากขึ้น ตอนต้นเกมเพียงแค่เราโยนบอลให้โดนเฉยๆ ก็จับได้ง่ายๆ แล้ว เหล่าเทรนเนอร์ถูกใจ“Poke ball” ของจริงใช้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนล่าโปเกม่อน (Pokemon Go)แถมพ่วงพาวเวอร์แบงก์กันแบตเตอรี่หมด

วันนี้ถือเป็น Gadget ที่เหล่าเทรนเนอร์ ต้องกรีดร้อง สำหรับ “Poke ball” ของจริงใช้ล่าโปเกม่อน (Pokemon Go)ที่ไม่ได้มีแต่ในเกม โดยจะทำหน้าที่เป็นคอนโทรลเลอร์สำหรับจับโปเกม่อน (Pokemon Go)ในเกม “Pokemon Go” โดยจะมาพร้อมกับ Bluetooth ในตัว สำหรับใช้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน   โปเกม่อน (Pokemon Go)แต่ละชนิดจะมีอัตราความสำเร็จในการจับแตกต่างกัน โดยจะคิดเป็นค่าพื้นฐาน เช่น ฟุชิกิบานะ (Venusaur) มีโอกาสจับสำเร็จพื้นฐานอยู่ที่ 4% ซึ่งจะนำไปคำนวณเพิ่มเติมจากปัจจัยอื่นๆ ในภายหลัง นอกจากนี้เลเวลของเทรนเนอร์เองก็มีผลกับการจับโปเกม่อน (Pokemon Go)ด้วย หากเรากับโปเกม่อน (Pokemon Go)ที่เจอมีเลเวลต่างกันมาก ก็จะยิ่งจับยากยิ่งขึ้น

โปเกม่อน (Pokemon Go)บางตัวแม้จะจับไม่ยาก แต่ก็มีอัตราหนีสูง ทำให้เรามีโอกาสโยนบอลแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เช่น เคซี (Abra) ที่มีอัตราการหนี 99% เมื่อเจอกับโปเกม่อน (Pokemon Go)แบบนี้ ให้เราโยน Berries และใช้ลูกบอลระดับสูงสุดที่มีในการจับเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จให้สูงที่สุด หรือหากใครมั่นใจว่าปา Curved Ball ไม่พลาด ก็ปาได้เลย

นอกจากนี้“Poke ball”  ยังมีเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหว ที่เหล่าเทรนเนอร์สามารถโยนได้จริง เพียงแค่ทำท่าให้ดูเหมือนจะโยนลูกบอลออกไปเท่านั้น ลูกบอลที่อยู่ในเกมก็จะถูกโยนออกไปด้วยเช่นกัน ถือเป็นการเพิ่มความสมจริงในการเล่นให้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ภายใน Poke Ball ยังมีแบตเตอรี่สำรอง ที่ทำให้สามารถใช้เป็นที่ชาร์จแบตเตอรี่ขณะออกตามล่าหาโปเกม่อน (Pokemon Go)ได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มวางจำหน่ายได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2017 ราคาอยู่ที่ 55 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,900 บาท


Cr.ข่าว TNN24,Synergy | Facebook

Solar Charger บางสุดในโลก


Solar Cell Charger” ที่ชาร์จเก็บไฟด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่บางเฉียบที่สุดในโลก !!!

เชื่อ ว่าหลายคนคงเคยจะได้ยินเรื่องของพลังงานโซล่าเซลล์ (Solar Cell)กันมาบ้างแล้ว แต่ยังไงมันก็ยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวคนธรรมดาอย่างเราอยู่ดี เพราะด้วยการติดตั้งและบริษัทที่เชี่ยวชาญในการทำนั้นยังมีไม่มาก แต่วันนี้มีสิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่งที่จะทำให้เราเข้าใกล้กับพลังงาน Solar Cell ได้ง่ายมากขึ้นสิ่งประดิษฐ์ที่ว่านี้มีชื่อว่า “Solar Paper”  ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ได้รับการระดมทุนจากเว็บไซต์ start-up ชื่อดังอย่าง Kickstarter

“Solar Paper” คือที่ชาร์จแบตเตอรี่สำรอง พลังงาน โซล่าเซลล์ (Solar Cell) ที่บางที่สุดในโลก โดยเจ้า Solar Paper สามารถใช้งานได้กับหลากหลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน (Smartphone) โน๊ตบุ๊ค หรือแม้กระทั่งกล้องบางประเภท ขนาดของมันก็พอๆกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหญ่ๆประมาณ iPhone 6 Plus หรือ Samsung Galaxy Note 4 แต่จะมีความหนาแค่เพียง 1.5 มิลลิเมตรเท่านั้น

ที่ ชาร์จแบตพวกอุปกรณ์สมาร์ทโฟน (Smartphone) หรือที่หลายๆคนอาจจะเรียกมันว่าแบตเตอรี่สำรอง (Power Bank) ที่ทำมาจากโซล่าเซลล์นั้น น่าสนใจไม่ใช่น้อย แต่หลายๆคนก็อาจจะสงสัยว่า มันจะหนักมั้ย? หรือมันจะใหญ่เทอะทะไปมั้ย?  เพราะคิดว่าแผงโซล่าเซลล์ต้องใหญ่ๆ ถึงจะเก็บไฟได้เยอะๆ

เมื่อแบตของ Solar paper หมดลงคุณก็สามารถชาร์จแบตฯ ให้กับมันได้ด้วยการนำ Solar Paper วางไว้กลางแดด ถึงแม้ว่าแหล่งพลังงานของ  Solar Paper จะมาจากแสงอาทิตย์แต่มันก็สามารถให้พลังงานกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ไม่ต่างจากปลั๊กไฟที่บ้านเลย

หากอยากจะเพิ่มปริมาณความจุพลังงาน แสงอาทิตย์ให้กับ Solar Paper ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการเพิ่มแผ่น Solar Paper ต่อกันไปเรื่อย ๆ ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดถือเป็นการเก็บสำรองไฟฟ้า Solar Collector ที่มีประโยชน์ ถ้าจะใช้งานก็แค่เปิดแผงออกมา แล้วก็เสียบเข้ากับอุปกรณ์ของคุณเพื่อเริ่มการชาร์จไฟ และไม่ว่าจะชาร์จกับแดดกลางแจ้ง หรือแม้แต่ชาร์จกับไฟในห้อง ก็ใช้ได้

นอก จากจะช่วยประหยัดค่าไฟที่บ้านคุณแล้ว Solar Paper ยังช่วยประหยัดพลังงาน และไม่สร้างมลพิษให้กับโลกอีกด้วย ล่าสุด เจ้า Solar Cell Charger ราคาอยู่ที่ 69 ดอลล่าร์ (ประมาณ 2,350 บาท) ซึ่งตัวเดียวน่าจะเพียงพอที่จะชาร์จไฟให้กับโทรศัพท์ แบตเตอรี่สำรอง (Power Bank) หรืออุปกรณ์เล็กๆที่กินไฟไม่มาก ส่วนแท็ปเล็ต หรือ กล้องถ่ายรูป อาจต้องใช้ประมาณ 3 – 4 แผงเลย ถ้าจะชาร์จไฟให้เต็ม ซึ่งสามารถซื้อแยกได้ แล้วเอามาติดกันแบบแม่เหล็กได้


Cr.Marketeer

6 ก.ย. 2559

ตลาดแท็บเล็ต (tablet) ปี 2016


ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว iPad ได้เปลี่ยนโฉมหน้าการปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาบนโลกออนไลน์ไปอย่างถาวร มันช่วยอำนวยความสะดวกในการรับชมสื่อบันเทิงและการสร้างสรรค์เนื้อหาอย่างไม่รู้จบ มันฆ่า Flash ตายทั้งเป็น มันทำลายเน็ตบุ๊กจนไม่เหลือซาก มันตีตลาดโน้ตบุ๊กจนถอยร่นไม่เป็นท่า ทุกฝ่ายต่างยกย่องว่ามันคือสุดยอดนวัตกรรมปฏิวัติโลก และเป็นผลงานโบว์แดงชิ้นสุดท้ายจากมันสมองของ Steve Jobs ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจผู้ผลิตพัฒนาแท็บเล็ตลักษณะเดียวกันตามออกมามากมาย

หันกลับมาดูที่ตลาดแท็บเล็ต (tablet)กันบ้าง ไม่เพียงแต่ Apple เท่านั้นที่ประสบปัญหายอดขายแท็บเล็ตลดลง แต่ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Samsung ก็ประสบปัญหาเดียวกัน โดยรายงานล่าสุดพบว่า ยอดขายแท็บเล็ตของบริษัทลดลงกว่าร้อยละ 18.4 ในไตรมาสล่าสุด นักวิเคราะห์หลายฝ่ายคิดว่า สาเหตุที่ยอดขายแท็บเล็ตแบรนด์ใหญ่ๆ ลดลงเป็นเพราะการเข้ามาตีตลาดของแท็บเล็ตราคาถูกจากประเทศจีน

นอกจากการเข้ามาตีตลาดของแบรนด์จีนแล้ว ความนิยมของสมาร์ทโฟน(smartphone)จอใหญ่ อาทิ iPhone 6 Plus และ Samsung Galaxy Note ก็มีส่วนทำให้ยอดขายของแท็บเล็ตลดลงเช่นกัน โดยรายงานจาก IDC ระบุว่า ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ยอดขายสมาร์ทโฟน(smartphone)จอใหญ่ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดขายแท็บเล็ตกลับเพิ่มขึ้นน้อยมาก หรือไม่เพิ่มเลย เพราะทุกวันนี้ฟังก์ชั่น ของสมาร์ทโฟน(smartphone)กับแท็บเล็ตต่างเหมือนกันแทบทุกกระเบียดนิ้ว ผู้บริโภคคงหาเหตุผลที่จะซื้อแท็บเล็ตมาใช้ได้ยากในเมื่อสมาร์ทโฟน(smartphone)ที่อยู่ในมือสามารถทำทุกอย่างได้เหมือนกัน ประเด็นนี้สอดคล้องกับรายงานของเว็บฯ ข่าวไอที Gigwire.com ที่ระบุว่า อัตราการใช้งาน iPad ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ iPhone 6/6 Plus เปิดตัว โดยผลการสำรวจดังกล่าว



ตลาดแท็บเล็ต (tablet)เป็นตลาดที่น่าเป็นห่วงมากกว่าตลาดอื่นมากที่สุด เพราะในปีนี้ IDC คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนยอดขาย 850,000 เครื่อง มีอัตราลดลงถึง 40% หรือมีมูลค่า 7,400 ล้านบาท ลดลง 37% จากปี 2558 มีจำนวน 1.4 ล้านเครื่อง มูลค่า 11,000 ล้านบาท  ตลาดแท็บเล็ต (tablet)เคยขึ้นสู่จุดพีคที่สุดเมื่อปี 2557 ที่มีจำนวนยอดขายถึง 3.15 ล้านเครื่อง แล้วก็ค่อยๆ ตกลงมาเรื่อยๆ ทุกปี ซึ่งปัญหาหลักที่ให้แท็บเล็ตค่อยๆ ลดความนิยมก็เพราะว่าเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถใช้ดูหนังฟังเพลงได้ และเทคโนโลยีก็ก้าวหน้า สมาร์ทโฟน(smartphone)สามารถทำได้ทุกอย่าง

ณัฐชนน บุญสอน นักวิเคราะห์ตลาดไคลเอนด์ดีไวซ์ ไอดีซี ประเทศไทย กล่าวว่า “แท็บเล็ตเป็นเทรนด์ที่ตกเหมือนกันทั่วโลก เพราะด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วมากทั้งสมาร์ทโฟน(smartphone)และคอมพิวเตอร์พีซี ทำให้สามารถทำงานได้มากกว่าแท็บเล็ต และใช้งานสะดวกกว่า ทำให้หลายคนเลือกใช้ไม่สมาร์ทโฟน(smartphone) หรือไม่ก็คอมพิวเตอร์ไปเลยมากกว่า” และยิ่งในตอนนี้ก็มีเทรนด์ของโน้ตบุ๊กแบบถอดจอได้ หรือแบบไฮบริดก็สามารถใช้แทนแท็บเล็ตได้เช่นกัน ทำให้แท็บเล็ตถึงกับตกที่นั่งลำบาก ตลาดมีการติดลบอย่างต่อเนื่อง แต่เทรนด์ของแท็บเล็ตก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ 1.หน้าจอส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ 7 นิ้ว ไม่ใหญ่ ไม่เล็กไปกว่านี้ 2.ในสิ้นปีนี้แท็บเล็ตจะรองรับ 4G และไวไฟได้ และ 3.ตลาดมีการตกเหมือนกันทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย

Cr.ข่าว Positioning

ต้นแบบมือถือ 4จี ‘ควอลคอมม์’



ควอลคอมม์’ โชว์ต้นแบบมือถือ 4จี
การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อก้าวไปสู่ 4จี ของบริษัท ควอลคอมม์ เทคโนโลยีส์อินคอร์ปอเรทเต็ด(Qualcomm) ผู้พัฒนาด้านเทคโนโลยีระบบ 3จี 4จี เทคโนโลยีด้านการสื่อสารไร้สายและหน่วยประมวลผล (ชิปเซ็ต)สเน็ปดราก้อนที่ใช้ในในอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ“


นายแมนทอช มัลโฮตร้า ประธานประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บริษัท ควอลคอมม์ เทคโนโลยีส์อินคอร์ปอเรทเต็ด(Qualcomm) กล่าวว่า ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวไกลทำให้วันนี้โทรศัพท์มือถือเป็นเหมือน คอมพิวเตอร์พกพา โดยปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ใช้หน่วยประมวลผลสเน็ปดราก้อนของควอลคอมม์ที่รองรับระบบ 3จี 4จี และใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แล้วกว่า 1 พันล้านชิ้น


ในปี พ.ศ. 2561 ทั่วโลกจะมีการเชื่อมต่อด้วยระบบ 3จีและ 4จี ผ่านอุปกรณ์สื่อสารมากถึง 5.2 พันล้านผู้ใช้งาน โดย 80% ของโทรศัพท์มือถือที่จำหน่ายทั่วโลกจะเป็นสมาร์ทโฟน (Smartphone)


ขณะ ที่คอนเท้นท์ที่มากับสมาร์ทโฟนกำลังพัฒนาให้สามารถเชื่อมต่อการทำงานเข้ากับ อุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ ได้ เช่น เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายในบ้าน ข้อมูลการดูแลสุขภาพ รถยนต์และอุปกรณ์พกพาอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ซึ่งนำไปสู่เรื่องของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเข้ากับทุกสิ่งหรือที่เรียก ว่า อินเทอร์เน็ตออฟ เอเวอรี่ธิงส์ (Internet of Everything (IoE)” นายแมนทอชกล่าว


วันนี้หน่วยประมวลผลสเน็ปดราก้อนของควอลคอมม์มีอยู่ในอุปกรณ์สื่อสารทั้งระดับราคาสูงและราคาถูก ซึ่งความหลากหลายของเทคโนโลยีที่ควอลคอมม์พัฒนาจะทำให้ผู้บริโภคทุกระดับมีโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี นอกจากนี้ควอลคอมม์ยัง ออกแบบโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ผู้ผลิตรายเล็ก ๆ มาซื้อสิทธิ หรือไลเซ่นส์ (License) เพื่อนำไปผลิตและทำให้โทรศัพท์มือถือมีราคาถูก สามารถขายให้กับผู้มีรายได้น้อย  สามารถนำไปต่อยอดเป็น กล่องทีวีดิจิตอล กล่องแอนดรอย (Android TV Box) ซึ่งควอลคอมม์ใช้เงิน 20% ของรายได้ต่อปีในการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์


นายสุวิทย์ พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจประจำประเทศไทย บริษัท ควอลคอมม์ฯ กล่าวถึงทิศทางเทคโนโลยี 4จี ในประเทศไทยว่า จากตัวเลขพบว่า เดือน ธ.ค. 2557 ประทศไทยมีโทรศัพท์มือถือที่รองรับการใช้งาน 4จี อยู่ 14.1% โดยเดือน เม.ย. 2558 เพิ่มเป็น 18% และคาดว่าในเดือน ธ.ค. 2558 จะมีโทรศัพท์มือถือที่รองรับการใช้งาน 4จี ในไทยมากถึง 30.7% จากการคาดการณ์ยอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือในไทย 16-18 ล้านเครื่องในปี 2558


สำหรับปัจจัยการเติบโตของโทรศัพท์มือถือที่รองรับ 4จี ในไทย เกิดจากผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ (Smartphone) เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆโดยช่วงกลางปีนี้จะเริ่มเห็นโทรศัพท์มือถือรองรับ 4จี ที่มีราคาถูกวางจำหน่าย “ควอลคอมม์(Qualcomm)ทำต้นแบบโทรศัพท์มือถือที่รองรับการใช้งาน 4จี โดยใช้หน่วยประมวลผลควอลคอมม์เอ็ม เอสเอ็ม 8909 หน้าจอ 4.5 นิ้ว กล้องหลัง 5 เมกะพิกเซล กล้องหน้า 2 เมกะพิกเซลรองรับปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชั่นล่าสุด และใช้งานได้กับโครงข่าย 4จี แอลทีอี บนคลื่นความถี่ 2100/180 เมกะเฮิรตซ์ โดยราคาต้นทุนต่อเครื่องอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 2,000 บาท” นายสุวิทย์ กล่าว


แม้ราคาโทรศัพท์มือถือเครื่องต้นแบบที่รองรับ 4จี จะมีราคา 2,000 บาท แต่เมื่อผู้ผลิตนำไปผลิตจะบวกกำไรเข้าไปด้วยดังนั้นราคาขายจึงขึ้นอยู่กับ ผู้ผลิตว่าจะกำหนดราคาอยู่ที่เท่าไหร่ ขณะนี้มีผู้ผลิตจากประเทศจีนมาซื้อสิทธิเพื่อไปผลิตแล้วคาดจะวางจำหน่ายใน เดือน มิ.ย. นี้หรือช่วงกลางปี ส่วนประเทศไทยหากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอปเรเตอร์) จะนำเข้ามาจำหน่ายโดยติดต่อผ่านผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือจีนก็อาจได้เห็น โทรศัพท์มือถือที่รองรับ 4จีราคาถูก


การก้าวเข้าสู่เทคโนโลยี 4จี จะเร็วกว่าการเปลี่ยนผ่านจากช่วง 2จี สู่ 3จี และเรื่องของราคาก็จะถูกลงเร็วกว่า ส่วนการก้าวเข้าสู่ 4จี ของไทย จะคึกคักเกิดจากการประมูลคลื่นความถี่ 1800/900 เมกะเฮิรตซ์เพื่อรองรับการใช้งาน 4จี การจำหน่ายอุปกรณ์ที่รองรับ 4จี ในราคาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ และการที่โอปเรเตอร์ช่วยกันผลักดันเรื่องของ 4จี และนำเทคโนโลยีเข้าถึงผู้ใช้งานอย่างแพร่หลาย ใครมีงบน้อยอดใจรออีกนิดเดี๋ยวโทร ศัพท์มือถือที่รองรับ 4จี ในราคาย่อมเยาก็มา.

Cr.เดลินิวส์

3 ก.ย. 2559

สมาร์ทวอทช์ (Smart Watch)


คอนเซ็ปต์นาฬิกาสมาร์ทวอทช์อัจฉริยะของเวลโลกราฟคือ อุปกรณ์เก็บข้อมูลสุขภาพของผู้สวมใส่ โดยออกแบบมาให้มีเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งบ่งบอกได้ถึงความแข็งแรงของสุขภาพ ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลจากตัวเรือนหรือใช้งานคู่กับแอพ Wellograph ซึ่งดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการไอโอเอส แอนดรอยด์และวินโดวส์


เป็น ปีแห่งเครื่องประดับบนข้อมือที่สุดแสนอัจฉริยะอย่างแท้จริง โดยเฉพาะแวร์เอเบิลประเภทสมาร์ทฟิตเนสแทรคเกอร์ ซึ่งฟังก์ชันการติดตามผลการเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก ที่สุด เช่นเดียวกับ "เวลโลกราฟ” (Wellograph) แวร์เอเบิลดีไวซ์สัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศ


"เป้า หมายในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เวลโลกราฟจะแบรนด์สินค้าสำหรับคอนซูเมอร์เทคโนโลยีสัญชาติไทยที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักในตลาดโลก" คำประกาศของ สารสิน บุพพานนท์ ผู้ก่อตั้งบริษัท เวลโลกราฟ จำกัด ที่ประสบความสำเร็จจากการขาย เครื่องสแกน หนังสือ “Bookdrive” ทั่วโลกมาแล้ว


ปั้นนวัตกรรมในตลาดโลก

“ข้อมูลสำคัญที่สุด คือข้อมูลเกี่ยวกับหัวใจของเรา ผมมองว่า สมาร์ทวอทช์ติดตัวไปกับเราได้ทุกที่ มันจะรู้ว่าเรามีกิจกรรมอะไรยังไงบ้าง แล้วมันก็จะเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพโดยตรง สมาร์ทวอทช์ข้อ มือเรือนนี้จึงถูกออกแบบมาให้มี Heart Rate Sensor เป็นคอร์เทคโนโลยีของเราที่บอกได้ว่า ผู้สวมใส่มีอัตราการเต้นของหัวใจเท่าไหร่ มีสุขภาพแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน มีความเครียดอยู่รึเปล่า ประเมินได้ว่าอายุสุขภาพที่แท้จริงเป็นเท่าไหร่ ทั้งหมดดูจากการเต้นของหัวใจได้เลย”


ปัจจุบันหน้าร้านของเวลโลก ราฟอยู่ในช็อปไอที และเป็นที่ตอบรับจากกลุ่มวัยรุ่นและผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี เพราะตลาดเมืองไทยเปิดรับสินค้าเทคโนโลยีเร็ว สังเกตได้จากการเข้ามาของสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์สวมใส่ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ( wearable) ที่จะมีฟังก์ชันใหม่ๆ ออกมาดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคกลุ่มนี้ ทั้งแบรนด์เนมดังๆ เป็นจำนวนมากมีมูลค่า 1,000 ล้านบาท


เขาบอกว่า โอกาสธุรกิจคิดใหม่ของสมาร์ทวอทช์เพื่อ สุขภาพที่เริ่มขึ้นได้ อาศัยจุดแข็งการเป็นสินค้านวัตกรรมสัญชาติไทยที่มีคุณภาพระดับโลกทั้งใน เรื่องของเทคโนโลยีและดีไซน์ ซึ่งได้รับรางวัลจากเวทีในต่างประเทศมาแล้ว ขณะเดียวกันไลฟ์ไสตล์ผู้บริโภคยุคนี้ก็พร้อมจ่ายเพื่อซื้อความพิเศษกันมาก ขึ้น เหมือนเช่นที่ผ่านมาเกี่ยวกับสินค้า เครื่องสแกนแบบพกพา ที่สามารถทำยอดขายได้ดีในต่างประเทศ
"เรา มองเห็นเทรนด์เทคโนโลยีนี้มา 4-5 ปีที่แล้วว่า อุปกรณ์แวร์เอเบิลจะเข้ามามีบทบาทในอีก 10 ปีต่อจากนี้ในแง่ของการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญฟังก์ชันจะแอดวานซ์มากกว่านาฬิกาสมาร์ทวอทช์ทั่วไป ผมต้องการโฟกัสและพัฒนาการใช้ wearableในเรื่องสุขภาพโดยเฉพาะ"


ฟังก์ชันสุดล้ำหัวใจการพัฒนา

ไอ เดียของออกแบบเน้นมินิมอลดีไซน์ที่สวมใส่ได้ในทุกโอกาส ทีมงานออกแบบให้ตัวเรือนชั้นบนเป็นสแตนเลส ชั้นล่างเป็นอะลูมิเนียม หน้าจอแซฟไฟล์คริสตัลที่ป้องกันรอยขีดข่วน สามารถถอดเปลี่ยนสายได้สะดวกโดยเลือกได้ว่าจะใช้สายหนังในชีวิตประจำวัน หรือสายสปอร์ตเมื่อต้องการใส่ออกกำลังกาย แบตเตอรี่นาน 7 วัน


"แม้ จะยังใหม่และต้องใช้เวลาสื่อสารกับตลาด แต่การตีโจทย์ให้แตกตั้งแต่ต้น ทำให้เวลโลกราฟได้รับการตอบรับจากตลาดระดับหลักหมื่นเรือน หลังจากเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา" สารสินกล่าวและว่า สัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศ 20 % ต่างประเทศ 80% ซึ่งตลาดหลักเป็นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ส่วนตลาดในประเทศอาจไม่หวือหวาส่วนหนึ่งจากสภาพเศรษฐกิจ ในอนาคตสัดส่วนในประเทศไทยอาจลดลงเหลือ 5% แต่จะขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น


สารสิน วิเคราะห์ว่า 5-10 ปีต่อจากนี้ ดีไซน์สมาร์ทวอทช์จะ บางและเล็กแต่มีความสามารถมากขึ้น แบตเตอรีอยู่ได้นานขึ้น ฟังก์ชันต่างๆอจะเพิ่มขึ้น ส่วนคุณสมบัติการบอกเวลาจะกลายเป็นฟังก์ชันพื้นฐานที่ต้องมีแต่ไม่ใช้เป็น จุดขายเพราะสามารถดูเวลาในมือถือ แต่ที่หลายคนยังสวมใส่สมาร์ทวอทช์เนื่องจากรู้สึกถึงความเท่หรือบ่งบอกฐานะ บุคลิกภาพและรสนิยม เหมือนการต่อยอด เครื่อง Scanner มาเป็นแบบพกพากระทัดรัด สะดวกสบายกว่าแบบเดิม ๆ


"ผม มั่นใจว่า Heart Rate Sensor จะเป็นฟังก์ชันพื้นฐานในอุปกรณ์ wearable เหมือนกับฟังก์ชันกล้องถ่ายรูปที่ต้องมีในสมาร์ทโฟน ขณะที่เวลโลกราฟเองก็จะต้องมีไอเดียในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความล้ำหน้า ต้องโดดเด่นไม่เหมือนใคร เพื่อก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของตลาด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามันจะเป็นในรูปไหนได้ในตอนนี้" วิศวกรนักคิดกล่าวทิ้งท้าย

Cr.กรุงเทพธุรกิจ

นวัตกรรมใหม่ ไทยคม


ที่ผ่านมานี้ บมจ.ไทยคม แสดงผลงานนวัตกรรมใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้คู่ค้ารวมถึงนักเรียนนักศึกษา ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาชมความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมของบริษัท โดยรวบรวมโซลูชั่นบริการด้านบรอดแบนด์และบรอดแคสต์(Broadcast & Broadband) ที่กำลังพัฒนาและเปิดให้บริการแก่ลูกค้าแล้ว อาทิ โซลูชั่น สมาร์ทโฮม(Smart Home) สมาร์ทคอนโดและโฮเทล(Smart Condo & Hotel)

สมาร์ท ดีไวซ์ (Smart Device) ที่จะนำมาแสดง มีการให้บริการทีวีดิจิตอล อินเตอร์แอคทีพ ทั้งไฮบริดแคสต์(Hybridcast) และ วีดิโอ ทู ดาต้า(VDO To Data) ที่จะช่วยให้ผู้ชมรายการโทรทัศน์สามารถสั่งซื้อขายสินค้าที่ปรากฏหน้าจอได้ ทันทีผ่านทางออนไลน์

นวัตกรรมสมาร์ทโฮม(Smart Home) ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมอุปกรณ์ในบ้านผ่านสมาร์ทโฟน(Smartphone)  ทั้งเปิด-ปิดไฟ หรือ ไฟอัตโนมัติ (Motion Sensor Light) เครื่องปรับอากาศ รวมถึงติดซิปอาร์เอฟไอดี (RFID)  หรือเทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สายระยะสั้น ติดไว้ที่ซองอาหารหรือขวดน้ำในตู้เย็น เพื่อนำไปแตะหน้าแท็บเล็ต (Tablet)ของตู้เย็นสำหรับตรวจสอบของคงเหลือและคุณค่าทางโภชนาการ ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดสอบ

สิ่งเหล่านี้นำมาจัดแสดงในงานไทยคมอินโนเวชั่นเดย์ ที่ผ่านมานี้ชูนวัตกรรมบรอดคาสต์(Broadcast) และบรอดแบนด์(Broadband) ภายใต้คอนเซ็ปต์ เข้าถึง คมชัด สัมผัสได้ใกล้ตัวคุณ เน้นบริการที่จะเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น

นอกจาก นี้ยังเพิ่มในส่วนการรับชมรายการโทรทัศน์มัลติสกรีน สามารถรับชมได้ทุกหน้าจอ ทั้งจากโทรทัศน์สมาร์ทโฟน(Smartphone)  หรือแท็บเล็ต (Tablet) ผ่านการเชื่อมต่อสัญญาณบรอดแบนด์(Broadband) ทั้งบริการ ตัวรับสัญญาณ WiFi ผ่านดาวเทียมบนเครื่องบินของนกแอร์  รวมถึงทางเรือเฟอร์รี่ทั้ง 6 ลำที่ประเทศญี่ปุ่น  และกำลังพัฒนาให้สามารถให้บริการได้บนรถทัวร์ต่อเชื่อมผ่าน USB WiFi ซึ่งมีความเร็วในการดาวน์โหลดอยู่ที่ 50 เมกะบิตต่อวินาที

รวม ทั้งเทคโนโลยีด้านการโฆษณาดิจิตอลต่างๆ ทั้งป้ายโฆษณาดิจิตอล การรับชมสถานที่ท่องเที่ยวผ่านภาพพาโนรามา360องศา ซึ่งจะทำให้การโฆษณาต่างๆมีความน่าสนใจมากขึ้น

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทไทยคม กล่าวว่า
ปัจจุบัน เทคโนโลยีได้เข้ามามีอิทธิพลกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคและถูกปรับเปลี่ยนให้ เข้ามาตอบสนองความต้องการ รวมถึงสร้างโอกาสทางธุรกิจขึ้นมากมาย ในช่วง 2–3 ปีนี้

ไทยคมจึงได้ปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากการเป็นผู้ให้บริการ ดาว เทียม ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านโทรคมนาคมและบรอดแคสต์(Broadcast) กลายเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นครบวงจร รวมเทคโนโลยีทั้งด้านบรอดแคสต์และบรอดแบนด์(Broadcast & Broadband)ไว้ด้วยกัน กลายเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแพลตฟอร์มดาวเทียม ตอบสนองความต้องการของทุกภาคอุตสาหกรรม

ปัจจุบันรายได้ของไทยคมอยู่ อันดับที่ 8 ของโลกในแง่ของบริษัทให้บริการดาวเทียม และการที่ไทยคมเสริมด้วยนวัตกรรมต่างๆ จะทำให้เหนือกว่าบริษัทดาวเทียมอื่นๆ แม้จะมีจำนวนดาวเทียมไม่เท่าที่อื่น โดยจะเน้นสร้างพันธมิตรในส่วนนี้และมองว่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีของไทยคม. พร้อมตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะมีรายได้ในส่วนนี้ถึงร้อยละ 20 จากรายได้ทั้งหมด

Cr.ไทยรัฐ,Synergy | Facebook

1 ก.ย. 2559

บัตรเครดิต ยุคดิจิตอล



บัตรเครดิตยุคดิจิตอล บน สมาร์ทโฟน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆ....!!!

สำหรับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคดิจิตอลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี บัตรเครดิตที่ เคยเป็นเรื่องทันสมัยตอนนี้ก็ดูเหมือนกำลังจะเป็นของล้าสมัยไปแล้ว เมื่อการทำธุรกรรมทางการเงิน การใช้จ่าย รวมถึงการเข้าถึงบริการต่างๆสามารถใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ ทั้งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต มือถือ ทั้งสมาร์ทโฟน และแอนดรอยด์ ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ธนาคารและบริษัทบัตรเครดิตต้องพยายามพัฒนาระบบปฏิบัติการรวมถึงแอพพลิเคชั่นต่างๆให้ทันสมัย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าหรือผู้บริโภคให้ได้

ธีรยุทธ์ สิริกุลวิริยะวาณิช ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง บริษัทบัตรเครดิตกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี บอกว่า การพัฒนาเว็บ แอพพลิเคชั่น (Web Application) ของบริษัทบัตรเครดิต หัวใจสำคัญก็คือ เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกผู้ถือบัตร ให้สามารถบริหารจัดการการเงินได้คล่องตัว

“ต้อง ยอมรับว่า เทคโนโลยีต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่บริษัทเคยทำระบบที่เรียกว่า Click KTC ให้ผู้ถือบัตรเรียกดูข้อมูลบัญชีของบัตรที่ถืออยู่ได้ทุกประเภท ทั้งรายการรูดบัตรเครดิต ดูคะแนนสะสม ดูโปรโมชั่นต่างๆ เพิ่มวงเงิน เพียงแค่คลิก (Click) ก็สามารถที่จะจัดการเรื่องทั้งหมดได้ โดยใช้แค่ Username และ Password”

ธีรยุทธ์ บอกว่า ที่ผ่านมามีการพัฒนาระบบที่เรียกว่า Virtual Credit Card หรือบัตรเครดิตเสมือนจริงคำว่าเสมือนจริงก็คือไม่มีตัวบัตรจริงๆ แต่มีผู้ถือบัตรที่สามารถทำธุรกรรมการเงินผ่าน เครื่องอ่านบัตร ไม่ว่าจะเป็นโอนเงิน ถอนเงิน หรือใช้จ่ายซื้อสินค้าบนออนไลน์ โดยสามารถสร้างบัตรของตัวเองที่เป็น Virtual Credit Card ได้ 1 ใบ เป็นโมเดลที่มีการให้บริการในต่างประเทศมานานแล้ว

“ที่น่าสนใจขณะนี้ไม่ใช่เรื่องของการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบออนไลน์เท่านั้น ปีที่แล้วในวงการธุรกิจการเงินและบัตรเครดิตมี การพูดถึงเรื่องของ อี-วอลเล็ต (e-Wallet) อย่างกว้างขวางมากขึ้นในต่างประเทศ ขณะนี้ ไปไกลถึงขนาดที่เงินในกระเป๋าเงินส่วนใหญ่ถูกโอนย้ายเข้าไปอยู่ในกระเป๋า เงิน ดิจิตอล หรือดิจิตอล วอลเล็ต (Digital Wallet) ที่เรา สามารถจะบริหารจัดการกระเป๋าเงินใบใหม่ในระบบออนไลน์ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกก็ตาม”

ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคที ซี ยังบอกด้วยว่า กระเป๋าเงินดิจิตอล ที่ว่านี้ มีการพัฒนามาจากการเปิดตัวของ แอปเปิล เปย์ (Apple Pay) เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดกระแสสั่นสะเทือนวงการเงินในโลกดิจิตอลไม่น้อย อาจถือได้ว่าเป็นเจ้าแรกของการบุกเบิกเรื่อง ดิจิตอล วอลเล็ต หรือกระเป๋าเงินดิจิตอลก็ว่าได้ และแอปเปิลเองก็เตรียมพร้อมที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ด้วยโมเดลที่คล้ายกับในสหรัฐอเมริกา ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ทั้งบริษัทบัตรเครดิตและผู้ที่ถือบัตรเครดิตต้องเตรียมพร้อม

“ผมมองว่าการพัฒนาของ อี-วอลเล็ต (e-Wallet) ที่จะกลายเป็นการใช้จ่ายรูปแบบใหม่ เมื่อนำมาผสมผสานกับบัตรเครดิต อนาคตเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพกบัตรเครดิตหรือกลัวการปลอมแปลง แฮ็กข้อมูลในบัตรเครดิต หรืออะไรที่เป็นการโจรกรรมข้อมูลในบัตรเครดิตอีกต่อไป” ธีรยุทธ์บอก พร้อมกับอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นอีกว่า ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ว่านั้น ก็เพราะบัตรเครดิตจะย้ายมาอยู่บนโมบาย และโมบายกลายเป็นบัตรเครดิตที่สามารถไปแตะกับ เครื่องรูดบัตร ที่รับชำระบัตรเครดิตเพื่อชำระเงินได้ อันนี้เป็นเทรนด์ที่น่าสนใจมาก

ผู้ ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคทีซี ยังบอกด้วยว่า แต่ระบบว่านี้ยังไม่แพร่หลายมากนักในเมืองไทย เนื่องจากร้านค้าต่างๆยังไม่มีเครื่องอ่านที่รองรับการใช้งานผ่านแพล็ตฟอร์ม นี้ แต่เชื่อว่าอีกไม่นานก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นเทรนด์ที่มาเร็วมาก

นอกจากกระเป๋าเงินดิจิตอล (Digital Wallet) แล้ว ในอนาคตโลกการใช้จ่ายและการทำธุรกรรมทางการเงินของมนุษย์ออนไลน์จะก้าวไปสู่ ความเป็น ดิจิตอล เพอร์ส (Digital Purse) หรือ ดิจิตอล เพอร์เชส (Digital Purchases) ที่เป็นเสมือนการบริหารจัดการทาง การเงินบนดิจิตอล เมื่อถึงเวลานั้น ผู้บริโภคจะสามารถบริหารจัดการและทำธุรกรรมการเงินต่างๆทั้งโอนเงิน จ่ายเงิน ชำระค่าสินค้าและบริการ ดูข้อมูลต่างๆด้านการเงินผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก

ฟังแล้วอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ อนาคตของมนุษย์ในโลกออนไลน์ จะไม่มีทั้งเงินสด บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต ฯลฯ มีแค่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว...ก็เนรมิตทุกอย่างได้

Cr.ไทยรัฐ

"3G & 4G " สังคมก้มหน้า



"3G & 4G "  จุดเปลี่ยนสังคมก้มหน้า

สังคม เมืองและสังคมชนบท จุดเปลี่ยนจากเดิมไปสู่ โซเชียวบนมือถือหรือสังคมก้มหน้า ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ หรือเฉพาะจังหวัดใหญ่ ๆ อีกต่อไปที่การใช้งานโมบายอินเทอร์เน็ตเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่ในประเทศไทยต่างเห็นประโยชน์ของการใช้สมาร์ทดี ไวซ์ (Smart Device) หลากหลายรูปแบบ และมีความต้องการซื้อสูง ไม่ว่าจะเป็นไวไฟพกพา ( Pocket WiFi ) เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์เข้าถึงอินเทอร์เน็ต

ประมูล 3G & 4G จุดเปลี่ยน

โทรศัพท์ มือถือระบบ 3G 4G เกิดขึ้นในปี 2555 และ 2559 ตามลำดับทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพราะราคาการใช้โมบายอินเทอร์เน็ตถูกลง ประกอบกับสมาร์ทดีไวซ์ (Smart Device)ขยับราคาลงมามาก จนในสิ้นปี 2556 ที่โครงข่ายครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ มีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือเพิ่มเป็น 93.1 ล้านเลขหมาย และมีผู้ใช้งาน 3G มากถึง 55.5 ล้านเลขหมาย

ล่าสุดในสิ้นปีที่ผ่านมา มีปัจจัยบวกเข้ามาทั้งจากราคาแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตที่ราคาเพียง 29 บาท/วัน และสมาร์ทดีไวซ์ (Smart Device) มีราคาเหลือ 1,000-2,000 บาท ทำให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศไทยไปไกลถึง 96 ล้านเลขหมาย และมีคนใช้งาน 3G มากกว่า 77 ล้านเลขหมาย และกำลังแข่งกันก้าวสู้ 4G ในอีกเร็ว ๆ นี้

สังคมก้มหน้าจาก ปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดผู้ใช้ 3G และ 4G โตเร็ว คือเกิดการบอกต่อประโยชน์จากผู้ใช้คนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง ตัวอย่าง เช่น ลูกสอนแม่ให้ใช้ไลน์ (Line)เพื่อติดต่อสื่อสาร หรือใช้ยูทูบ (Youtube) รับสื่อบันเทิงรูปแบบต่าง ๆ พอใช้จริงก็เกิดประโยชน์อย่างชัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือจากเดือนละ 500 บาท เหลือเพียง 200-300 บาท  เพราะพวกเขาเชื่อมต่อผ่าน ไวไฟพกพา (Pocket WiFi)ใช้ร่วมกันในบ้าน  เมือออกนอกบ้านก็มีไวไฟฟรีตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อใช้ไลน์ (Line)ในการโทรหากัน ส่วนเรื่องยูทูบ (Youtube)ก็ทำให้ดูหนังหรือฟังเพลงเมื่อไรก็ได้ จากเดิมที่ต้องเฝ้าดูรายการต่าง ๆผ่านโทรทัศน์เท่านั้น

พฤติกรรมภูธรสังคมก้มหน้า

"เอ็ม อินเตอร์แอคชั่น" ได้สำรวจผู้ที่ใช้สมาร์ทดีไวซ์น้อยกว่า 12 เดือน จำนวน 100 ตัวอย่าง ในภาคเหนือ, กลาง, ตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าการใช้โมบายอินเทอร์เน็ตกระจายอยู่ในทุกระดับรายได้ โดยเหตุผลที่ขยับเข้ามาใช้งาน จากเครื่อข่ายมือถือ 3G ครอบคลุมพื้นที่ สามารถรับข่าวสารได้รวดเร็วกว่าสื่อปกติ

แม้นไม่มีโทรศัพท์บ้านก็สามารถใช้ระบบ 3G และ 4G รองรับการเชื่อมต่อผ่าน ไวไฟพกพา (Pocket WiFi) ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าจะเป็นการกดติดตามแฟนเพจบนเฟซบุ๊ก (Facebook), สามารถติดต่อสื่อสารกับคนในครอบครัวผ่านไลน์ (Line) โซเซียลมีเดียอื่น ๆ และประยุกต์ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กกับลักษณะงาน เช่น สร้างกลุ่มเพื่อติดต่อระหว่างคนในองค์กร

เมื่อเจาะไปที่การค้าขาย สินค้าผู้ใช้ในเฟซบุ๊ก (Facebook),อินสตาแกรม (Instagram) และไลน์ (Line)ในการซื้อขายสินค้า ใช้ตู้เอทีเอ็มเป็นช่องทางชำระผ่านการโอนเงิน ตั้งแต่ราคาสินค้า 500-2,000 บาทเท่านั้น ไม่มีการใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ  หรือไลน์ (Line)ช็อปเหมือนในหัวเมืองใหญ่ เพราะยังมองว่าขั้นตอนในการใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซค่อนข้างยุ่งยาก และการพูดคุยกับผู้ขายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก่อนโอนเงินจากบัญชีธนาคารผ่านเอทีเอ็มนั้นง่าย และสะดวกมากกว่า แล้วการรับสินค้าง่ายดายจาก EMS ส่งตรงถึงบ้าน

ฟรีไวไฟ (Free WiFi) จุดพลุโมบายเน็ต

เมื่อ ผู้บริโภคใช้ชีวิตอยู่บนหน้าจอเกือบตลอดเวลา สังคมก้มหน้าทำให้สื่อดั้งเดิมเช่น หนังสือพิมพ์ และคลื่นวิทยุ แทบไม่มีการใช้งานในต่างจังหวัด เพราะสามารถเสพสื่อผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กที่เร็วกว่าสื่อเดิม รวมถึงฟังเพลงผ่านยูทูบ (Youtube)แบบไม่มีโฆษณา และมีเสียง ดีเจ.คั่นเหมือนในวิทยุ ทำให้ธุรกิจเหล่านี้อยู่ยากขึ้น ที่สำคัญการขยายตัวของ "ฟรีไวไฟ (Free WiFi)" ตามร้านอาหารและร้านตัดผม ทำให้ผู้ใช้ในต่างจังหวัดใช้สมาร์ทดีไวซ์เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์เหล่านี้ได้ เช่นกัน ซึ่งร้านค้าเหล่านี้ก็อาศัย "ฟรีไวไฟ (Free WiFi)" ปล่อยสัญญาณไวไฟผ่านไวไฟพกพา (Pocket WiFi) เป็นตัวดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการในร้าน

คนในต่างจังหวัดมองเรื่อง ค่าใช้จ่ายต้องมาก่อนดังนั้นอะไรที่ฟรีพวกเขาก็จะมองก่อน ซึ่งเมื่อเทียบความคุ้มค่าระหว่างสมาร์ทโฟนราคาหลักพันกับโทรทัศน์ และวิทยุที่รวมราคาก็พอ ๆ กัน เขาก็เลือกสมาร์ทโฟนก่อน เพราะซื้อครั้งเดียวทำได้ทุกอย่าง  ทำให้คนต่างจังหวัดอ่านหนังสือพิมพ์น้อยลง และแทบไม่ฟังวิทยุ ส่วนบริการที่กำลังบูมคือเรื่องดิจิทัลต่าง ๆ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งจึงมีความสำคัญมากขึ้น


Cr.ประชาชาติธุรกิจ

31 ส.ค. 2559

ออฟฟิศ คอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์

 

ออฟฟิศ คอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์


ทุกวันนี้ มีการนำ คอนเทนเนอร์หรือตู้ขนส่งสินค้า ดัดแปลงเป็นร้านค้าให้เห็นไม่น้อย แต่แทบทั้งหมด ยังเน้นดีไซน์ค่อนข้างเรียบ ในขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกภายใน ยังไม่ตอบสนองการใช้งานอย่างดีที่สุด นี่เป็นช่องว่างให้สถาปนิกหนุ่ม จากรั่วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นโอกาสที่จะเข้ามาเติบเต็มทำเป็นออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์
      
ด้วยการนำเสนอทางเลือกแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) สามารถจะมีสำนักงาน หรือร้านค้าแนวโมเดิร์น สร้างจากตู้คอนเทนเนอร์ ทั้งสวยงาม แข็งแรง เป็นคอนเทนเนอร์ เสร็จรวดเร็วภายใน 1 เดือน มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม และที่สำคัญในงบประมาณคุ้มค่าได้ เริ่มต้นที่ 2 แสนบาท

เจ้าไอเดียดังกล่าว คือสถาปนิกหนุ่ม นายชิดพันธุ์ วัฒนพรมงคล จบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีประสบการณ์เปิด สำนักออกแบบทศภูมิ รับออกแบบสิ่งปลูกสร้างต่างๆ มานับสิบปี ซึ่งจากการทำงานที่ผ่านมา รู้ดีว่า สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก หรือ เอสเอ็มอี (SMEs) ที่ต้องการจะมีสำนักงาน หรือร้านค้าที่สวยงามโดดเด่นเป็นของตัวเอง เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะต้องใช้ต้นทุนสูงมาก และมักประสบปัญหาเรื่องความรับผิดชอบของช่างก่อสร้าง จึงผุดไอเดีย ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์
      
จากที่เราเห็นปัญหานี้ เลยพยายามหาเทคโนโลยีการก่อสร้างที่สามารถทำได้ในต้นทุนที่ประหยัดกว่า เพื่อเอสเอ็มอี (SMEs)จะสามารถมีออฟฟิศ หรือร้านค้าที่สวยได้ในต้นทุนที่เหมาะสม เลยสนใจใช้ ตู้คอนเทนเนอร์หรือตู้ขนส่งสินค้า เพราะพื้นฐานเป็นวัสดุเหล็กชนิดกันสนิมที่มีความแข็งแรงสูง ทนแดดทนฝน อายุการใช้งานยาวนาน สามารถออกแบบแล้วสร้างสำเร็จรูปนำมาวางในพื้นที่ได้ทันทีทำเป็นออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ โดยไม่ต้องมีเสา หรือคาน ช่วยประหยัดและลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง เขา อธิบาย

 จากแนวคิดออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ ดังกล่าว เป็นที่มาของการเปิดบริษัท ไฮฟ คอร์ปอเรชั่น (Hiife corporation) รับออกแบบและก่อสร้างอาคารและออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ จากตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งความพิเศษของไฮฟ คอร์ปอเรชั่นที่มากกว่างานก่อสร้างจากตู้คอนเทนเนอร์ทั่วไปนั้น เขาแยกเป็น 2 ด้าน คือ ภายนอก และภายใน กล่าวคือ    

ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ สำหรับ ภายนอก นั้น ดีไซน์มุ่งเป็นแนว โมเดิร์น พลิกโฉมให้เห็นว่า ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์สามารถสร้างสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าแค่ทรงสี่เหลี่ยมทั่วไป โดยอาศัยประสบการณ์การเรียนวิชาสถาปัตยกรรม และการทำงานจริงมากว่า 10 ปี มาใช้ในการสร้างสรรค์แล้วติดตั้งโซล่าเซลล์ลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าได้ดีที่เดียว    

ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ ส่วน ภายใน นั้น มุ่งประโยชน์ใช้สอยให้สมบูรณ์ที่สุดควบคู่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะคัดนวัตกรรมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคารที่ดีเลิศจากทั่วโลกมาไว้รวมกัน โดยเรียกว่า ระบบอาคารอัจฉริยะ (Smart building automation) ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ ที่มีการ ติดตั้งแผง โซล่าเซลล์ ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า บุฉนวนและมีระบบหมุนเวียนของน้ำ ช่วยลดอุณหภูมิภายใน และ ระบบการสื่อสารอัจฉริยะ(Internet of things) เช่น ระบบเซ็นเซอร์ เพื่อความปลอดภัยของผู้สูงอายุ และการสั่งงานอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ภายในอาคารผ่านแอพพลิเคชั่น เป็นต้น

ทั้งนี้ การก่อสร้างออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์จะเป็นอาคารสำเร็จรูป(Prefabication design and construction) คือหลังจากออกแบบเสร็จสิ้นแล้ว จะก่อสร้างออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์จนแล้วเสร็จในโรงงาน แล้วจึงค่อยนำมาวางในตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งวิธีนี้ ช่วยให้ก่อสร้างได้รวดเร็ว ทำเสร็จได้ภายในเวลา1 เดือน    

การออกแบบและก่อสร้างออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์ สำเร็จรูป จะช่วยแก้ปัญหาฝีมือช่าง ช่วยควบคุมระยะเวลาและงบประมาณในการก่อสร้างให้แก่ลูกค้าได้ โดยวางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไว้ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ที่ต้องการมีออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์ไปใช้ประกอบธุรกิจ เช่น ทำออฟฟิศ ทำอพาร์ทเมนต์ให้เช่า ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรม รีสอร์ต เป็นต้น

ซึ่งจะสามารถจะควบคุมค่าใช้จ่ายได้ในการก่อสร้างออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์ได้ง่ายกว่าการสร้างด้วยวัสดุอิฐหินปูนแบบทั่วไป และการเสร็จอย่างรวดเร็วตามกำหนด ก็จะไม่เกิดปัญหางบบานปลาย และเอสเอ็มอี (SMEs) สามารถนำออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์ไปหารายได้ตามเวลาที่วางแผนไว้ เขา เผย    

สถาปนิกหนุ่ม ชิดพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ค่าก่อสร้าง ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์นั้น ตู้คอนเทนเนอร์ที่ทำเป็นสำนักงาน กำหนดไว้ ขนาดยาว 6 เมตร เริ่มต้นที่ 200,000 บาท และตู้คอนเทนเนอร์ที่ทำเป็นที่พักอาศัย โซล่าเซลล์ กำหนดไว้ ขนาดยาว 6 เมตร เริ่มต้นที่ 250,000 บาท ซึ่งราคาดังกล่าว หากเทียบพื้นที่เท่ากัน ถ้าสร้างโดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 1 ตู้ ต้นทุนจะใกล้เคียงกับการสร้างด้วยอิฐหินปูน แต่หากยิ่งสร้างโดยตู้คอนเทนเนอร์มากขึ้นเท่าไร ต้นทุนการก่อสร้างออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์หรือที่พักอาศัย โซล่าเซลล์จะลดลงเรื่อยๆ เพราะการก่อสร้างด้วยตู้คอนเทนเนอร์เป็นลักษณะกึ่งอุตสาหกรรม ยิ่งทำมากต้นทุนจะยิ่งลด

สำหรับที่มาของออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์นั้น เขาเผยว่า มีซับพรายเออร์ส่งตู้คอนเทนเนอร์มาให้จากท่าเรือ โดยจะคัดตู้คอนเทนเนอร์ที่ไม่เคยขนส่งสินค้าอันตราย และต้องมีอายุการใช้งานมาไม่เกิน 5 ปี โดยราคาตู้คอนเทนเนอร์ที่ซื้อมานั้น ตู้ขนาดยาว 6 เมตร ประมาณ 50,000 บาท ส่วนตู้คอนเทนเนอร์ขนาดยาว 12 เมตร ราคาประมาณ 80,000 บาท ส่วนการนำมาออกแบบและก่อสร้างนั้น ทั้งหมดมีทีมงานช่างของตัวเอง ซึ่ง ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์นั้นที่สร้างเสร็จแล้ว รับประกันอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 20 ปี

ทั้งนี้ ธุรกิจ ไฮฟ คอร์ปอเรชั่น นับเป็น Start up หน้าใหม่อย่างแท้จริง โดยเริ่มโครงการ ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์นั้น เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา ทำตลาดเบื้องต้นโดยเข้าร่วมโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Start up) ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อสร้างเครือข่ายกับนักธุรกิจ และเอสเอ็มอี (SMEs)หน้าใหม่ที่มีความต้องการมีอาคารสำนักงาน หน้าร้าน หรือกำลังแสวงหาการลงทุนทำอพาร์ทเมนต์ โรงแรม และรีสอร์ต เป็นต้นด้วยราคาประหยัดรวดเร็ว จึงเกิดไอเดีย ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์นั้นเอง    

ชิดพันธุ์ สถาปนิกหนุ่ม เผยด้วยว่า ขณะนี้กำลังเจรจาก่อสร้างอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์ให้กับลูกค้าอยู่ประมาณ 2-3 ราย นอกจากนั้น กำลังก่อสร้างอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์ต้นแบบ อยู่ย่านสมุทรสาคร โดยเป็นอาคารโซล่าเซลล์ที่ทำจาก 4 ตู้คอนเทนเนอร์ งบประมาณก่อสร้างรวม 1.2 ล้านบาท โดยจะมีทั้งร้านกาแฟ และออฟฟิศอยู่ด้วยกัน เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าโมเดลธุรกิจนี้ สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้    

เนื่องจากนี่เป็นช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เราจึงกล้าการันตีต่อลูกค้าว่า ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จากตู้คอนเทนเนอร์ที่สร้างขึ้น อายุการใช้งานมากกว่า 20 ปีขึ้นไป และมีระบบอำนวยความสะดวกทั้งภายในและภายนอกสมบูรณ์ครบวงจรพร้อมโซล่าเซลล์แทนค่าไฟฟ้า แต่การพูดด้วยปาก ลูกค้าย่อมไม่มั่นคง ดังนั้น อาคารโซล่าเซลล์ที่เรากำลังสร้างขึ้น จะเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า สามารถใช้งานได้จริงๆ เขาระบุ

ทั้งนี้ เป้าหมายของธุรกิจออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์นั้น ในปีนี้ (2559) คาดรายได้รวมประมาณ 3 ล้านบาท และหวังเติบโตแบบทวีคูณในปีต่อๆไป และสามารถทำรายได้ถึงร้อยล้านภายใน 4 ปี ซึ่งมั่นใจว่า มีโอกาสเป็นไปได้สูง เพราะออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์ได้รับความสนใจอย่างสูง ทั้งจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs)ชาวไทย รวมถึง มีนักธุรกิจขอเข้าร่วมลงทุนแล้ว

Cr.ข่าวผู้จัดการ,Synergy | Facebook

30 ส.ค. 2559

แวร์เอเบิล (wearable)



แวร์เอเบิล(Wearable Device) อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ Jawbone ที่ออกมาจับตลาดกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้งาน Activity Tracker หรือ อุปกรณ์ที่จะคอยวัดกิจกรรมในแต่ละวันอย่าง ก้าวเดิน การนอนหลับ การออกกำลังกาย เพื่อนำมาคำนวนผลภายในแอปพลิเคชันช่วยให้ผู้ใช้รักษาสุขภาพ นั้นคือ แวร์เอเบิล Up Move

จุดเด่นของ แวร์เอเบิล Up Move จะอยู่ที่ขนาดที่เล็กทำให้พกพาติดตัวได้ง่าย และที่สำคัญคือเลือกวิธีการพกพาได้หลากหลายกว่า Up หรือ Up 24 เนื่องจากออกแบบมาเป็นทรงกลมเล็กๆ ที่สามารถนำมาใส่กับสายรัดข้อมือไว้ที่ข้อมือ หรือนำไปติดกับคลิปหนีบเพื่อติดตามส่วนอื่นของเสื้อผ้าก็ได้ โดยแบตเตอรีสามารถใช้งานได้นานถึง 6 เดือน
     
การออกแบบและสเปก
อย่างที่กล่าวไปแต่แรกว่า Jawbone แวร์เอเบิล Up Move ถูกออกแบบมาให้พกพาได้สะดวก ด้วยรูปลักษณ์ทรงกลม เหมือนเป็นกระดุมขนาดเล็ก ที่มีขนาดรอบตัวอยู่ที่ น้ำหนักราว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้จะเลือกใส่กับคลิปหนีบ หรือสายรัดข้อมือ  เมื่อใส่เข้าไปในคลิปหนีบ แวร์เอเบิล Up Move จะเป็นเหมือนอุปกรณ์ติดตามตัวทั่วไป โดยการยึดติดถือว่าค่อนข้างแน่นหนา จากการที่ตัวคลิปหนีบทำจากยาง และค่อนข้างแข็ง ทำให้เมื่อหนีบกับชุดที่สวมใส่ก็จะยึดติดอยู่ตลอดเวลาไม่กลัวตกหล่น

ขณะ ที่ถ้าใช้งานเป็นสายรัดข้อมือ (มีให้เลือกหลายสี) ก็จะใส่ไว้ที่ข้อมือได้เหมือนนาฬิกาทั่วไป และด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา และมีขนาดเล็กทำให้ใส่แล้วไม่รู้สึกรำคานมากนัก ที่สำคัญคือสามารถใช้ใส่ติดตัวได้ตลอดเวลาแม้ตอนอาบน้ำ เพราะตัว แวร์เอเบิล Up Move ทำมาให้กันน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถใส่ว่ายน้ำได้

 หน้าปัด LED
จะมีไฟ LED ที่สามารถบอกสถานะการใช้งาน และไฟแสดงเวลาได้ โดยใช้การกระพริบของไฟเพื่อบอกสถานะต่างๆ โดยใช้ทิศทางของเข็มนาฬิกาในการบอกข้อมูลต่างๆ สำหรับสเปกภายในของ แวร์เอเบิล Up Move จะมีเซ็นเซอร์ X-Motion เป็นหลัก และช่องใส่แบตเตอรีที่สามารถใช้เหรียญหมุนออกมาได้

เมื่อ หมุนออกมาจะพบกับแบตเตอรีแบบเม็ดกระดุม ขนาด cr2032 ซึ่งภายในกล่องจะมีอุปกรณ์ที่เป็นแผ่นพลาสติกมาให้ใช้หมุนด้วย และภายในของตัวเครื่องก็จะมีชื่อแบรนด์ กับสถานที่ผลิต ทั้งนี้ในการใส่คืนจะมีร่องให้หมุนกลับตามจุดสัญลักษณ์ เพื่อป้องกันกรณีโดนละอองน้ำด้วย
     
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
ภายในตัว แวร์เอเบิล Up Move จะมีจุดที่น่าสนใจอยู่หลักๆ 3 ส่วนด้วยกันคือ การนับก้าว และการวัดนอน ที่สามารถสลับโหมดได้ด้วยการกดหน้าปัดค้างไว้สักพัก จนมีไฟกระพริบรอบๆหน้าจอ หลังจากนั้นก็จะมีสัญลักษณ์รูปคนเดินสำหรับการวัดก้าวเดิน และพระจันทร์ขึ้นสำหรับการวัดนอน  

 โดยขณะอยู่ในโหมดใดก็ตาม ถ้ากดหน้าจอ 1 ครั้ง จะมีการแสดงผลเป็น % ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแต่ละวัน อย่างสมมุติตั้งเป้าหมายเดินไว้ 10,000 ก้าว เมื่อเดินไป 4,000 ก้าว เมื่อกดหน้าปัดก็จะมีไฟกระพริบบอกที่สี่นาฬิกา คิดเป็น 40% เช่นเดียวกับการนับช่วงเวลาการนอนก็จะมีการแสดงผลใกล้เคียงกัน
     
ถัด มาคือการกดที่หน้าจอติดกัน 2 ครั้ง จะเป็นการแสดงผลนาฬิกา โดยจะมีการกระพริบหน้าจอ 2 ครั้ง ครั้งแรกบอกชั่วโมง ครั้งที่ 2 บอกนาที โดยจะเป็นเวลาแบบประมาณการณ์ +- ใน 5 นาที ตามช่องเข็มนาฬิกาทั้ง 12 ช่องนั่นเอง
     
สุดท้ายคือ การจับช่วงเวลาการทำกิจกรรม โดยการกดที่หน้าจอ 2 ครั้ง เพียงแต่เมื่อกดครั้งที่ 2 ให้กดปุ่มค้างจนมีไฟกระพริบรอบๆหน้าปัด เพื่อเข้าสู่โหมด Activity Tracker ในช่วงที่ออกกำลัง เมื่อเสร็จจากช่วงเวลาดังกล่าวก็ให้กดซ้ำแบบเดิมเพื่อเข้าสู่โหมดนับก้าว ปกติ หลังจากนั้นค่อยเข้าไปเลือกรูปแบบกิจกรรมภายในแอปบนสมาร์ทโฟน

การ ใช้งานหลักอื่นๆต้องไปใช้งานบนแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้ทั้ง iOS และ Android สามารถเข้าไปดาวน์โหลด UP ได้จากในสโตร์เพื่อติดตั้งและเชื่อมต่อ แวร์เอเบิล Up Move เข้ากับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ 4.0
     
โดย ตัวแอปพลิเคชัน UP จะรองรับอุปกรณ์ในส่วนของ Fitness Tracker จาก Jawbone ทุกรุ่นอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเคยใช้งาน Jawbone Up รุ่นอื่นๆมา ก็จะมีอินเตอร์เฟสการใช้งานใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลเป้าหมายการเดินหรือนอนในแต่ละวันเป็นเปอเซนต์

ที่ มีเพิ่มขึ้นมากับแอปรุ่นใหม่ตัวนี้คือเรื่องของการ Coach หรือการแนะนำการออกกำลังกาย แน่นอนว่าผู้ใช้จำเป็นต้องเข้าไปตั้งค่าก่อนว่า เป้าหมายในการนอน อยู่ที่เวลากี่ชั่วโมง โดยจะมีค่ามาตรฐานมาให้อยู่ที่ 7-9 ชั่วโมง ขณะที่จำนวนก้าวเดินก็จะมีค่ามาตรฐานมาอยู่ที่ 10,000 ก้าว สุดท้ายเป็นการตั้งค่าน้ำหนัก โดยในจุดนี้จะมีให้เลือกด้วยว่าต้องการลดน้ำหนัก เพิ่มน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนัก
     
หน้าจอแสดงผลสามารถกดเข้าไปดูสถิติย้อน หลังได้ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนว่ามีช่วงใดถึงเป้าหมายที่กำหนดบ้าง นอกจากนี้กรณีที่ไม่ได้มีการตั้ง Activity แต่มีการเคลื่อนไหวติดต่อกัน ตัวแอปก็จะขึ้นมาให้ตั้งเช่นเดียวกันว่าช่วงเวลาดังกล่าวไปทำอะไรมา

ใน ขณะที่กำลังออกกำลังกาย เมื่อเข้าสู่ Activity Mode ที่จะทำการจับเวลาแล้ว ภายหลังจากออกกำลังกายเสร็จผู้ใช้สามารถเข้ามาตั้งค่าได้ว่าไปทำกิจกรรมใดมา ไม่ว่าจะเป็นเดิน ยกน้ำหนัก วิ่ง ครอสเทรนนิ่ง เดินขึ้นเขา คาดิโอ ขี่จักรยาน โยคะ เล่นเครื่องกีฬา พิลาทิส บาสเกตบอล ว่ายน้ำ เทนนิส เต้น ฟุตบอล สกี หรือจะใส่ชนิดกีฬาเพิ่มเองก็ได้
     
ถัดมาคือการเลือก ว่ากิจกรรมที่ออกไปอยู่ในระดับเท่าใด มีให้เลือกตั้งแต่ Easy Moderate In The Zone Difficult และ Gut Buster รวมไปถึงการเลือกตั้งระยะเวลาที่เริ่ม คิดเป็นกี่นาทีเป็นต้น ซึ่งปริมาณเหล่านี้จะถูกนำไปคำนวนด้วยแอปทั้งหมด เพื่อช่วยให้สามารถทำกิจกรรมได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ภายในแอปนอกจากตั้งเป้าจำนวนก้าว และชั่วโมงการนอนแล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าไปกรอกข้อมูลอาหารที่ทานได้ โดยจะมีทั้งการค้นหาจากฐานข้อมูลของ Up หรือจะกรอกข้อมูล พร้อมถ่ายภาพอาหารเข้าไปใหม่ก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็น เครื่องอ่านบาร์โค้ด เพื่อเข้าถึงข้อมูลอาหารต่างๆได้ เพียงแต่ในประเทศไทยอาจจะยังไม่รองรับ

 สุดท้ายมาดูกันในส่วนของการตั้งค่า จะมี 2 ส่วนคือบริเวณปุ่มมุมขวาบน ไว้สำหรับกดดูว่ามีการเชื่อมต่อข้อมูลกับ แวร์เอเบิล Up Move ครั้งล่าสุดเมื่อใด และสามารถเข้าไปดูรายละเอียดตัว แวร์เอเบิล Up Move หรือเข้าไปทำการเชื่อมต่อใหม่ หรือลบข้อมูลก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกตั้งโหมดการนอน โหมดจับเวลา และตั้งการแจ้งเตือนต่างๆได้ด้วย
     
อีกฝั่งหนึ่งคือการเข้าไป ตั้งค่าที่จะมีให้เลือกทั้งข้อมูลส่วนตัวอย่างเป้าหมาย และน้ำหนักที่กล่าวไป กับค่าความเป็นส่วนตัวในการแชร์ข้อมูล ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีการเชื่อมต่อกับโซเชียลเน็ตเวิร์ก และมีเพื่อนใช้งานร่วมกันก็จะเกิดเป็นคอมมูนิตี้ขึ้นมา และนำค่าต่างๆมาวัดแข่งขันกันได้
     
นอกจากนี้ก็จะมีให้เลือก ตั้งค่าการแจ้งเตือน รวมไปถึงการเลือกเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันสุขภาพอันอื่นๆที่เป็นพันธมิตรกัน เพื่อช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
     
       จุดขาย
     
       - ตัวแอปพลิเคชันได้มาตรฐาน พร้อมฟังก์ชัน Coach ที่จะคอยแนะนำตลอด
       - สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการพกพาได้ทั้งคลิปหนีบ หรือเป็นสายรัดข้อมือ
       - สามารถเป็น เครื่องสแกนบาร์โค้ด    
       - ใช้งานได้ต่อเนื่องราว 6 เดือน โดยสามารถเปลี่ยนแบตได้ด้วยตนเอง
       - ราคาจับต้องได้
     
       ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
     
       - มีการตัดฟังก์ชันอย่างการแจ้งเตือนออกไป ทำให้เลือกเป็นแค่อุปกรณ์วัดสุขภาพเท่านั้น
       - กันน้ำได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถแช่น้ำได้
     
       ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
     
  ด้วยการที่ Jawbone ต้องการออกผลิตภัณฑ์ที่มาจับกลุ่มผู้ใช้งานระดับเริ่มต้น จึงเกิดเป็น แวร์เอเบิล Up Move ขึ้นมา ในการเจาะตลาดผู้ที่ต้องการอุปกรณ์เพื่อจับการเคลื่อนไหวเป็นหลัก ในราคา 2,590 บาท ไม่ใช่กลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทวอช เพราะเชื่อว่าในอนาคต Jawbone ก็จะมีผลิตภัณฑ์ในระดับไฮเอนด์ตัวอื่นเข้ามาจับตลาดนั้นอยู่แล้ว
     
ทำให้ความสามารถของ แวร์เอเบิล Up Move เองแทบจะโดนจำกัดลงเหลือแค่การนับก้าว วัดการนอน และจับกิจกรรม รวมกับการดูนาฬิกาเท่านั้น แต่ก็แลกมากับการใช้งานแบตเตอรีที่ยาวนานขึ้น โดยทาง Jawbone เคลมไว้ว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องราว 6 เดือน ซึ่งถ้าแบตหมดก็สามารถถอดเปลี่ยนได้ ไม่จำเป็นต้องเสียบกับสายชาร์จ เพราะใช้แบตเตอรีขนาดมาตรฐานที่มีขายทั่วไป
     
 ดังนั้น ถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้งานที่รักสุขภาพ ไม่ได้เน้นความไฮเทคเป็นพิเศษ ก็เชื่อว่า แวร์เอเบิล Up Move จะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าต้องการอุปกรณ์เพื่อการตรวจจับที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้อย่างการวัด อัตราการเต้นของหัวใจ การแจ้งเตือนข้อมูลต่างๆจากสมาร์ทโฟน ก็จะมีตัวเลือกอื่นๆในตลาดอีกพอสมควร

Cr.ผู้จัดการ