30 ส.ค. 2558

ทีมไทภูเขียว สุดยอด


ทีมไทภูเขียว สุดยอด
ทีมไทภูเขียว สุดยอด

ในที่สุดการแข่งขันการแสดงในรายการไทยแลนด์ ก็อตทาเลนต์ ซีซั่น 5 ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ที่เปิดโอกาสให้คนไทยที่มีความสามารถหรือพรสวรรค์ ไม่จำกัดรูปแบบจากทั่วประเทศ มาประชันความสามารถนานกว่า 5 เดือน ได้ดำเนินมาถึงรอบชิงชนะเลิศ เมื่อเวลา 17.45 น. วันที่ 30 ส.ค.

ผู้เข้าแข่งขันเข้ารอบสุดท้าย ทั้งหมด 10 ทีม ประกอบไปด้วย
TGT01 ทีมแฮนด์เมด TGT02 พีช พรรษยา TGT03 ทีม ณ อัศจรรย์ TGT04 ชบาแก้ว TGT05 ทีมสาวสะบัด TGT06 ทีมสะบัดลาย TGT07 ทีมครีโยคะ TGT08 ทีมบางกอก แดนซ์ อะคาเดมี TGT09 ทีมไฮไลท์และ TGT10 ทีมไทภูเขียว มารวมกันที่เวิร์คพอยท์สตูดิโอ จ.ปทุมธานี เพื่อจะแสดงความสามารถกันอีกครั้งในรอบสุดท้ายนี้ ท่ามกลางกองเชียร์แฟนคลับจำนวนมากให้กำลังใจผู้เข้าแข่งขันจนแน่นสตูดิโอและ มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ

เมื่อเริ่มการแข่งขัน ทั้ง 10 ทีม ต่างงัดความถนัดออกมาโชว์กันอย่างสุดฝีมือ เพื่อให้ชนะใจผู้ชมที่ต้องตัดสินผ่านการโหวต อาทิ TGT04 ชบาแก้ว สาวน้อยตัวกลม วัย 6 ขวบ มาในมาดของผู้นำเต้นออกกำลังกาย ด้วยท่วงท่าลีลาพลิ้วไหวและเซ็กซี่

TGT06 ทีมสะบัดลาย มาแสดงละครขุนช้างขุนแผน ในชีวิตหลังความตายของนางวันทอง ที่ใช้ทักษะการร่ายรำ ผสานกับเสียงโอเปร่า

TGT08 ทีมบางกอก แดนซ์ อะคาเดมี กลุ่มนักบัลเล่ต์สาว ที่ออกมาโชว์พร้อมเพรียง ในคอนเซปต์การรำแพนหางของนกยูง ฯลฯ ท่ามกลางกองเชียร์ของแต่ละทีม ที่ส่งเสียงเชียร์กันอย่างคึกคักและสนุกสนานไปกับการแสดงของแต่ละทีม

ขณะที่กรรมการทั้ง 4 คน ได้แก่ เบนซ์-พรชิตา ณ สงขลา ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค เบน-ชลาทิศ ตันติวุฒิ และกาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ ก็ตกตะลึงในแต่ละโชว์ของผู้แข่งขัน พร้อมกับวิจารณ์กันอย่างออกรส
กระทั่งเวลา 20.00 น. พิธีกรรายการไทยแลนด์ ก็อตทาเลนต์ น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ได้ประกาศผลทีมที่ได้คะแนนสูงสุด 5 ทีม โดยไม่เรียงลำดับคะแนน ซึ่งได้แก่ TGT04 ชบาแก้ว TGT05 ทีมสาวสะบัด TGT06 ทีมสะบัดลาย TGT08 ทีมบางกอก แดนซ์ อะคาเดมี และ TGT10 ทีมไทภูเขียว ซึ่งเรียกเสียงกรี๊ดจากกองเชียร์ของทั้ง 5 ทีมดังห้องส่งด้วยความดีใจ

ก่อนที่น้าเน็กจะประกาศทีมที่เข้ามาถึงรอบ 3 ทีมสุดท้าย ตามด้วยประกาศทีมที่ได้คะแนนสูงสุดจากมหาชนทั่วประเทศ ซึ่งเท่ากับคว้าแชมป์ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ซีซั่น 5 รับเงินรางวัล 10 ล้านบาท จากเรโซนาและเรโซนาเมนไปครองอย่างเป็นเอกฉันท์ ได้แก่ TGT10 ทีมไทภูเขียว ส่วนผู้ที่มีคะแนนโหวตเป็นอันดับ 2 คือ TGT04 ชบาแก้ว ได้เงินรางวัลเงินสด 500,000 บาท และ TGT06 ทีมสะบัดลาย ได้รับคะแนนโหวตเป็นอันดับ 3 ได้เงินรางวัลเงินสด 200,000 บาท ขณะเดียวกัน ผู้เข้าแข่งขันที่เข้ารอบรองชนะเลิศทั้งหมด 30 โชว์ ได้สิทธิเซ็นสัญญากับบีอีซี เทโร มิวสิคเอ็นเตอร์เทนเมนต์

Cr.ไทยรัฐ,Synergy | Facebook ,เล่าสู่กันฟัง ,

รถสำรวจดวงจันทร์คันแรกของโลก


รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER
รถสำรวจดวงจันทร์คันแรกของโลก


วันประวัติศาสตร์ ณ วันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1972 (พ.ศ 2515) ยานอพอลโล 16 ออกเดินทางไกลในระยะทาง 384,404 กิโลเมตร เป็นการเดินทางไปดวงจันทร์ครั้งแรกของปี ค.ศ. 1972 และเป็นการเดินทางไปลงบนดวงจันทร์ครั้งที่ 5 ของโครงการอพอลโล ถึงแม้ยานอวกาศอพอลโลจะมีประสบการณ์ในการเดินทางไปดวงจันทร์มาแล้วหลายครั้ง แต่จุดมุ่งหมายของ NASA สำหรับการท่องอวกาศในครั้งนี้คือนำรถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVERออกวิ่งสำรวจและเก็บตัวอย่างของหินบนดวงจันทร์เพื่อนำมันกลับมา วิเคราะห์ถึงส่วนประกอบและแร่ธาตุที่อยู่ในหินรวมถึงการตรวจสอบสภาพ ภูมิประเทศในบริเวณที่ยานโอเรียนร่อนลงจอด

รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER เกิดขึ้นจากมันสมองของทีมวิศวกรของ NASA ในโครงการสำรวจอวกาศ MERCURY ที่มีไอเดียในการใช้รถสำรวจน้ำหนักเบาเพื่อเก็บตัวอย่างของวัตถุบนดวงจันทร์ เช่นดิน, ฝุ่น เศษหินที่เกิดจากการชนปะทะของอุกาบาตซึ่งมีอยู่ทั่วไปบนพื้นผิวของดวงจันทร์ นักบินอวกาศไม่สามารถนำหินเหล่านั้นกลับมาได้ในปริมาณมากๆ เนื่องจากน้ำหนักและเวลาในการออกไปเดินสำรวจที่มีข้อจำกัดในพื้นที่ที่กว้าง ใหญ่ไพศาลในบริเวณที่ยานร่อนลงจอด รวมถึงสภาวะแรงโน้มถ่วงที่น้อยกว่าบนพื้นโลกถึงหนึ่งในหกทำให้การเคลื่อนที่ ด้วยการเดินเท้าของนักบินอวกาศจะช้าลงและไม่สามารถไปได้ไกลจากตัวยาน การลงทุนสร้างจักรกลที่สามารถขับเคลื่อนไปในสภาพแรงโน้มถ่วงที่น้อยกว่าบน โลกมาก และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในยุค 1970 ยังคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากและใช้เงินงบประมาณสูงมาก โครงการรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ใช้เงินในการพัฒนาและสร้างสูงถึง 38 ล้านเหรียญ ซึ่งในยุคนั้นถือได้ว่ามีมูลค่ามหาศาลเลยทีเดียว

รถสำรวจ ดวงจันทร์ LUNAR ROVER ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมดสี่คัน สามคันที่ออกเดินทางไปสำรวจดวงจันทร์ถูกจอดทิ้งไว้ในบริเวณที่ยานร่อนลงจอด อีกหนึ่งคันที่เหลืออยู่และเป็นรถต้นแบบถูกนำมาจัดแสดงไว้ที่สถาบัน SMITHSONIAN ในกรุง WASHINGTON  รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER เกิดจากการร่วมมือกันของวิศวกรจาก NASA, บริษัทอากาศยานยักษ์ใหญ่ของอเมริกัน BOEING และค่ายรถชั้นนำ GENERAL MOTOR หรือ GM เนื่องจากมีเวลาในการคิดค้น พัฒนาและสร้างไม่มากนัก รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ทั้งสี่คันจึงถูกสร้างขึ้นในเวลาเพียง 17 เดือนด้วยความรีบเร่ง ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำหน้ามาก พวกมันทั้งสี่คันถูกประกอบจากอะลูมินัมอัลลอยที่วัดขนาดและประกอบด้วย เครื่องมือวัด ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) ที่ลงตัว มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ระบบขับเคลื่อนและบังคับเลี้ยวเป็นอะลูมินัมอัลลอยทั้งหมด ล้อของ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ทำจากเส้นใยอะลูมิเนียมเส้นเล็กๆ นำมาถักให้เป็นรูปล้อทรงกลมวัดขนาดให้เหมาะสมเนื่องจากการใช้ยางจริงในการ วิ่งจะมีน้ำหนักมากจนเกินจากปริมาตรน้ำหนักตัวรถที่วิศวกรทำการคำนวณกันไว้ ในการบรรทุกไปกับตัวยานบริเวณด้านข้างในห้องสำหรับเก็บของขนาดเล็กที่ต้อง พับเก็บตัวรถทั้งคันและนำออกมาประกอบเมื่อถึงจุดหมาย

รถสำรวจดวง จันทร์ LUNAR ROVER จะถูกพับเก็บไว้บริเวณด้านข้างของยานสำรวจโอเรียนในระหว่างการเดินทางไปดวง จันทร์ น้ำหนักโดยรวมของตัวรถทั้งคันอยู่ที่ 200 กิโลกรัม และจะเพิ่มเป็น 250 กิโลกรัมเมื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริม ระบบกล้องโทรทัศน์ที่ถูกติดตั้งอยู่บนตัวรถจะถ่ายทอดสดการทำงานของนักบิน อวกาศและสภาพความเป็นไปรอบๆตัวยาน เพื่อจะให้เจ้าหน้าที่และเหล่าบรรดาวิศวกรที่คอยควบคุมการออกเดินบนพื้นผิว ของดวงจันทร์สามารถเฝ้ามองดู และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับนักบินอวกาศในทันทีที่พบกับปัญหา การที่มีฝุ่นฟุ้งกระจายจากการเคลื่อนที่ของล้อ ก็หมายถึงตัวกล้องที่ติดตั้งอยู่จะต้องได้รับการทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา ล้อแต่ละข้างของ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ถูกขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ให้กำลังสูงจาก แบตเตอรี่สำรอง ขนาด 36 โวลต์จำนวนสองลูก ซึ่งเพียงพอต่อการวิ่งเป็นระยะทางถึง 40 ไมล์ ด้วยความเร็ว 11 ไมล์ต่อชั่วโมง และสามารถไต่ขึ้นเนินที่มีความชันถึง 35 องศาได้อย่างสบาย โดยให้นักบินอวกาศขับ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ทแยงไปมาเป็นรูปตัวเอสเพื่อไต่ขึ้นเนินที่มีความชันไม่มากนัก

เมื่อ นำมันออกวิ่งบนพื้นผิวของดวงจันทร์ที่มีแรงดึงดูดน้อยกว่าโลกหนึ่งในหกจะทำ ให้มันเหลือน้ำหนักเพียง 41 กิโลกรัมเท่านั้นจากน้ำหนักรถทั้งคันที่ 250 กิโลกรัมบนโลก  จากรายงานของนักบินอวกาศที่ทำการขับขี่พบปัญหาจากการออกแบบคือบังโคลนของตัว รถจึงจำเป็นที่จะต้องถอดออกเนื่องจากฝุ่นบนดวงจันทร์ที่ถูกล้อของยาน LUNAR MOVER ตะกุยจนฟุ้งกระจายและเกาะติดไปทั่วบริเวณบังโคลนและตัวล้อ ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายนี้มาจากแร่กราไฟต์และมันจะเกาะติดไปทั่วทั้งคันจนไม่ สามารถขับเคลื่อนได้อีก หากเป็นแรงดึงดูดปกติบนโลก ปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้โดยง่าย แต่ในสภาวะอุณหภูมิ 108 องศาเซลเซียส ซึ่งแม้แต่น้ำยังกลายเป็นไอ และแรงดึงดูดที่ต่ำกว่าบนพื้นโลกถึงหนึ่งในหก ฝุ่นผงเหล่านี้กลับก่อให้เกิดปัญหาใหญ่จนตัวรถไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ อีกหากไม่ได้รับการแก้ไขดัดแปลงบริเวณบังโคลน ชุดนักบินอวกาศของ NASA จะลดความร้อนจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ในอวกาศที่ไม่มีชั้นบรรยากาศ คอยกรองรังสีคอสมิคอันรุนแรงและอันตรายบนดวงจันทร์ด้วยการฉาบสารสีขาวซึ่งจะ ช่วยสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์ หากตัวรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER มีฝุ่นผงกราไฟต์เกาะติดอยู่ก็จะทำให้การสะท้อนความร้อนที่เกิดขึ้นทำได้ไม่ ดีนัก อุณหภูมิภายในชุดนักบินอวกาศจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การ ขับขี่รถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ไปบนพื้นผิวของดวงจันทร์โดยการใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ ติดอยู่ในล้อแต่ละข้างทั้งสี่ตัวเป็นไปด้วยความยากลำบาก บางครั้งล้อปะทะเข้ากับก้อนหินที่มีอยู่ทั่วไปบนดวงจันทร์ทำให้มันลอยขึ้น จากพื้นบ่อยครั้ง จุดประสงค์ของรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ทั้งสามคันที่นำขึ้นไปในการสำรวจพื้นผิวของดวงจันทร์สามครั้ง (ยานโอเรียนสามารถบรรทุกรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ได้ครั้งละหนึ่งคันเท่านั้น) ทำให้นักบินอวกาศสามารถขับออกไปสำรวจพื้นที่ได้ไกลกว่าการเดินเท้า ตัวแบตเตอรี่สำรองพลังงานสูงทำให้สามารถเดินทางเป็นระยะทางไกลถึง 36 กิโลเมตร แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณออกซิเจนที่ทำให้นักบินอวกาศไม่กล้าที่จะขับมัน ไปไกลจนถึงระยะทางขนาดนั้นเนื่องจากกังวลว่า ถ้าเกิดปัญหาขึ้นกับตัวรถในขณะที่ขับมันออกไปไกลจากตัวยานและไม่สามารถแก้ไข ได้ อาจต้องเดินเท้ากลับไปที่ตัวยานซึ่งเป็นระยะทางไกลมากและอาจก่อให้เกิด เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เช่นระบบออกซิเจนในชุดนักบินอวกาศที่ขัดข้อง การออกสำรวจอวกาศในครั้งนี้คงต้องจบลงและกลายเป็นเพียงสุสานราคาแพงบนดวง จันทร์ก็อาจเป็นได้

เวลา 19.15 น. ของวันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน ยานโอเรียนส่วนบนเตรียมตัวเดินทางออกจากดวงจันทร์เพื่อกลับสู่โลกหลังจาก เสร็จสิ้นภารกิจ กล้องโทรทัศน์บนรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ซึ่งจอดทิ้งไว้ใกล้ๆ ยานโอเรียนส่วนล่าง จับภาพการเดินทางขึ้นจากดวงจันทร์ของยานโอเรียนบนจอโทรทัศน์ที่สถานีอวกาศ ฮุสตันมองเห็นยานพุ่งตัวขึ้นไป ทิ้งฝุ่นตลบอยู่ที่พื้นดิน จอห์น ยัง, ชาร์ล ดุ๊ก และโธมัส แมททิงลี ลูกเรือของอพอลโล 16 เดินทางกลับถึงโลกในวันที่ 27 เมษายน รวมนับตั้งแต่เดินทางออกจากโลก จนกลับถึงโลก 265 ชั่วโมง 51 นาที 05 วินาที

จากภารกิจการสำรวจพื้นผิวของดวงจันทร์ด้วยความช่วยเหลือ ของรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ทำให้นักบินอวกาศสามารถเก็บตัวอย่างของ ฝุ่น และเศษหิน กลับมายังโลกได้น้ำหนักถึง 113 กิโลกรัม และภารกิจสุดท้ายของรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ก็เสร็จสิ้นลงเมื่อมันถูกขับขี่ไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างจากยานสำรวจโอเรียน พอสมควร ณ จุดนั้นเองที่กล้องโทรทัศน์ที่ติดอยู่บนรถได้ทำการถ่ายทอดสดผ่านสายตาของ มนุษย์บนโลกกว่าพันล้านคน ให้เห็นนักบินอวกาศทั้งสองนาย กำลังขุดเจาะพื้นผิวของดวงจันทร์อย่างอ่อนระโหยโรยแรง ภาพของนักบินทั้งสองคนกำลังก้าวขึ้นไปบนยานโอเรียนเพื่อเดินทางกลับสู่โลก และภาพในช่วงสุดท้ายก่อนที่ระบบกล้องถ่ายทอดสดบนตัวรถจะยุติการทำงานลงเป็น ภาพยานโอเรียนส่วนบนจุดระเบิดเครื่องยนต์พร้อมทั้งพุ่งทะยานขึ้นสู่อวกาศอัน มืดมิดเพื่อเดินทางกลับบ้านโดยมีรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ถูกจอดทิ้งไว้ให้เป็นประวัติศาสตร์ในการสำรวจอวกาศยุคแรกๆ ของมนุษยชาติ

Cr.ไทยรัฐ,NASA

29 ส.ค. 2558

เครื่องยนต์ที่ทันสมัยสุดในเครื่องบิน


เครื่องยนต์ที่ทันสมัยสุดในเครื่องบิน
เครื่องยนต์ที่ทันสมัยสุดในเครื่องบิน


เครื่องยนต์ Gas Turbine ถูกคิดค้นและสร้างขึ้นเป็นเครื่องแรกของโลกในปี ค.ศ. 1930 โดยนักบินทดสอบชาวอังกฤษ Frank Whittle ซึ่งนับไ้ด้ว่ามันคือเครื่องยนต์กังหันไอพ่นเครื่องแรกที่เกิดจากมันสมองและ ความอัจฉริยของมนุษย์สมัยนั้น  ในสมัยนั้นก็คงไม่มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมืออำนวยความสะดวกเหมือนสมัย นี้ ที่มีทั้งเครื่องมือวัดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper ) ฯลฯ

แต่ อย่างไรก็ตาม เครื่องเจ็ตต้นแบบเครื่องแรกของโลกก็ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้งานบนอากาศยานแต่ อย่างใดเนื่องจาก Frank Whittle สร้างเจ้าเครื่องยนต์พลังสูงตัวนี้ด้วยขนาดที่เล็กเพื่อการทดสอบการทำงานแต่ เพียงอย่างเดียว เครื่องยนต์ชนิดนี้ต่อมาในภายหลังถูกเรียกว่า Turbo Jet Engine

อีก 6 ปีต่อมา ในช่วงปีค.ศ. 1936 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Dr.Hans Von Ohain ได้ทำการสร้างเครื่องยนต์ Gas Turbine เพื่อนำไปใช้งานกับเครื่องบินทดสอบ Heinkel He178 ของกองทัพอากาศเยอรมัน ซึ่งกลายเป็นอากาศยานแบบแรกของโลกที่ติดตั้งเครื่องยนต์เจ็ตหรือเครื่องแบบ Gus Turbine และทำการขึ้นบินเพื่อประเมินประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ Gus Turbine รวมถึงทดสอบสมรรถนะที่มีความแตกต่างจากเครื่องยนต์แบบลูกสูบในด้านของพลัง และการขับเคลื่อน

GP7200 เกิดจากการพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ให้แรงขับดันสูงเพื่อใช้ในเครื่องบินพาณิชย์ขนาดยักษ์ของบริษัท Airbus รุ่น A380 โดยความร่วมมือในการค้นคว้า ทดสอบและพัฒนาระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการบินและการผลิตเครื่องยนต์ อากาศยาน นั่นก็คือบริษัท Pratt & Whitney และบริษัท GE Aircraft Engines

การรวมตัวกันของ Engine Alliance LLC บริษัทลูกที่แตกแขนงมาจาก Boeing มันเป็นเครื่องยนต์ Turbofan ที่ผลิตขึ้นใหม่หมดโดยใช้ส่วนประกอบของตัวเครื่องร่วมกันนำมาประกอบกันอย่าง เหมาะสม ด้วยเครื่องมือและเครื่องวัดขนาด(Vernier)ทีทันสมัย ทั้งสองบริษัทซึ่งเป็นการนำเอาข้อดีของเครื่องยนต์ที่ผลิตโดย Pratt & Whitney และบริษัท GE Aircraft Engines มาร่วมกันพัฒนาเพื่อทำให้เกิดเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่มีคุณลักษณะเหมาะสมที่ จะนำไปใช้งานในเครื่องบินโดยสารที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่โตที่สุดในโลกอย่าง Airbus A380

เครื่องยนต์ Turbofan GP7200 ถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท Engine Alliance ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการร่วมกันของ Pratt & Whitney กับ GE Aircraft Engines ดังกล่าวนั้น ทำให้เครื่องยนต์รุ่นล่าสุดนี้มีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในวงการบินในด้านการใช้ งาน และกลายเป็นจุดแข็งของทั้งสองบริษัท ไม่ว่าจะเป็นข้อดีในระบบต่างๆ จากเครื่องยนต์ในตระกูล GE90-115B ซึ่งประจำการอยู่ภายใต้ปีกของเครื่องบินโดยสารไฮเทคอย่าง Boeing777

เครื่อง ยนต์รุ่นนี้สามารถผลิตแรงขับดันมหาศาลจนขึ้นสู่ทำเนียบสถิติโลกในด้าน เครื่องยนต์ Turbofan ที่มีกำลังมากที่สุดในโลกเมื่อปีค.ศ. 2001 ด้วยแรงขับดันที่มากถึง 115,000 lbs

หลักสำคัญที่สุดในการทำงานของ เครื่องยนต์ Gus Turbine คือระบบควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์ เนื่องจากเครื่องยนต์ชนิดนี้มีช่วงของการทำงานกว้างมากในด้านความสูงและความ เร็ว รวมถึงอุณหภูมิและปัจจัยต่างๆ ที่มีค่าไม่คงที่และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในระหว่างทำการบิน โดยจะส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ อัตราการจ่ายเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้จึงต้องผ่านการคำนวณและทดสอบอย่าง หนัก

การสั่งการด้วยสมองกลคอมพิวเตอร์ที่มีความแม่นยำสูงสุด จากกล่องควบคุมของเครื่องยนต์ GP7200 วิศวกรของ Engine Alliance ได้นำเอาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของเครื่องยนต์รุ่น GE90 และ CFM มาควบรวมเป็นระบบ Fadec III ซึ่งทำการปรับปรุง เพิ่มระบบการตรวจสอบ รวมถึงการวิเคราะห์ปัญหา สามารถช่วยลดการซ่อมบำรุงและเข้าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปัญหาความล่าช้าในการบินซึ่งมักเกิดการ Delay ในระหว่างการเตรียมขึ้นทำการบินเดินทางลดลง

GP7200 เป็นเครื่องยนต์ที่มีความทันสมัยมากที่สุดแล้วในยุคนี้สำหรับการใช้งานใน กิจการบินของพลเรือนในรูปแบบพาณิชย์ มันถูกพัฒนาจนได้รับความเชื่อถือในระดับสูงสุด เป็นเครื่องยนต์ที่เหมาะเป็นเครื่องบินโดยสารและเครื่องบินลำเลียงทางทหาร ซึงต่างจับตามองด้วยความต้องการนำมาใช้งานจากคุณสมบัติดีเยี่ยมหลายประการ

เครื่อง ยนต์ GP7200  ที่มีความทันสมัยมากที่สุดในปัจจุบันนี้ ได้กลายมาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับวงการบินพาณิชย์ในการเลือกใช้เครื่องยนต์ ที่มีประสิทธิภาพและสมรรถนะโดยรวมโดดเด่นกว่าเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนแบบอื่นๆ นับรวมแล้วมันมียอดสั่งซื้อเพื่อนำไปใช้งานถึง 230 ลำจากสายการบินชั้นนำทั่วโลก.

Cr.ไทยรัฐ,อาคม รวมสุวรรณ

นาฬิกาชีวิต


นาฬิกาชีวิต
นาฬิกาชีวิต


เวลาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตอยู่ของคนเรา เราใช้ตารางเวลาเป็นตัวกำหนดการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน ตั้งแต่ตื่นนอน ไปทำงานตามเวลา นัดหมายประชุม นัดคุยธุระ กินข้าวกลางวัน จนกระทั่งเลิกงานกลับบ้าน กินอาหารเย็น และเข้านอน

ทั้งหมดเป็นตาราง เวลาที่เรากำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต แต่บางทีการกำหนดตารางเวลาที่ฝืนธรรมชาติในตัวของเรามากไปก็สร้างผลเสียต่อ สุขภาพและร่างกายของเราได้เหมือนกัน เช่น การทำงานกลางคืนแล้วนอนตอนกลางวัน กินข้าวสังสรรค์กันจนดึกดื่นเลยเวลานอน การกินอาหารไม่เป็นเวลา ฯลฯ

ร่าง กายของเราก็มีตารางเวลาของมันเหมือนกันครับ เขาเรียกว่า “Circadian Rhythm”  คำว่า Circadian หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อเอามาอธิบายการทำงานของร่างกายคนภายใต้คำว่า “Circadian Rhythm” จึงมีความหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของคนเราภายในรอบ 24 ชั่วโมง

ตัวอย่าง เช่น เราจะเริ่มง่วงในตอนประมาณ 3 ทุ่ม และหลับได้ลึกตอนประมาณตีสอง จากนั้นก็จะไปตื่นเอาตอน 6หรือ 7 โมงเช้า เราจะหิวตอนเช้า เที่ยง และเย็น ตอนกลางคืนเราจะปัสสาวะน้อยครั้งกว่ากลางวัน (ยกเว้นคนเป็นเบาหวาน) สิ่งเหล่านี้หมุนเวียนเป็นวัฏจักรไปทุกๆวัน

ที่เป็นเช่นนี้เขาเชื่อ ว่าเพราะมนุษย์เกิดมาบนโลกที่มีรอบเวลามืดสว่างรวมกันเป็น 24 ชั่วโมง เขาพบว่า ความมืดและสว่างมีผลต่อเซลล์กลุ่มหนึ่งในสมองของมนุษย์ เซลล์กลุ่มนี้จะควบคุมอวัยวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ตับ ไต กล้ามเนื้อ ระบบภูมิคุ้มกันโรค ระบบฮอร์โมน และระบบสืบพันธุ์ ให้ทำงานเข้ากับรอบเวลา 24 ชั่วโมงนี้พอดี  การฝืนตารางเวลาทำงานของร่างกายจะมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย และถ้าฝืนนานๆเข้าความผิดปรกติของร่างกายแบบถาวรก็จะตามมา

ความมืด จะทำให้การทำงานของร่างกายเข้าสู่โหมดของการพักผ่อน ในขณะที่แสงสว่างจะปลุกให้ระบบต่างๆของร่างกายตื่นตัว พร้อมที่จะทำงาน คนที่เคยไปต่างประเทศอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาจะทราบดี เพราะเวลาของที่นั่นต่างจากบ้านเราแบบกลางวันเป็นกลางคืน กว่าร่างกายของเราจะปรับตัวทำงานตามเวลาของที่นั่นได้ บางทีก็เล่นเอาหลายวัน และในช่วงที่ร่างกายกำลังปรับตัวอยู่นั้นรู้สึกทรมานไม่น้อยทีเดียว

แต่ ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็กำลังฝืนตารางเวลาของร่างกาย หรือ “Circadian Rhythm” ที่ว่านี้ หลายคนไม่กินอาหารเช้า หรือถ้ากินก็แค่กาแฟถ้วยกับขนมปังแผ่น เพราะคิดว่านี่คือวิถีชีวิตของคนสมัยใหม่ แต่ดันนัดกันไปกินมื้อเย็นอย่างเต็มที่ แถมสนุกสนานท่ามกลางแสงไฟต่อจนดึกดื่น

หลายคนชอบลุยงานตอนกลางคืน ทำตัวเป็นนกฮูกจนฟ้าแจ้ง แล้วไปหลับเอาตอนกลางวัน ด้วยเหตุผลว่ากลางคืนมันเงียบดี หรือหลายคนก็เล่นไลน์ เล่นเฟซบุ๊คจนดึกดื่น กว่าจะเข้านอนได้ก็เลยเที่ยงคืนไปนานโข

แสงแดดในตอนเช้าจะกระตุ้น ให้ Circadian Rhythm ทำงานได้ตามปรกติ นั่นแปลว่าระบบหัวใจ ระบบตับไตไส้พุง ระบบภูมิต้านทานโรคของเรา ก็จะทำงานได้ตามปรกติ การไม่เจอแสงแดดในตอนเช้าเลย โอกาสที่การทำงานของระบบเหล่านี้จะรวนก็ย่อมมีเช่นเดียวกัน

ในเวลา กลางคืนระบบ Circadian Rhythm ควรจะเข้าสู่โหมดของการพักผ่อน แต่เรากลับให้มันเจอแสงไฟจากร้านอาหาร ไฟจากคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต หรือสมาร์ตโฟนอยู่อีก นานเข้าระบบมันก็รวนได้

อาหารเช้าคืออีกสิ่ง หนึ่งที่กระตุ้น Circadian Rhythm ให้ทำงานได้ตามปรกติ การไม่กินอาหารเช้า แถมไปหนักเอามื้อเย็น มื้อดึก ซึ่งเป็นเวลาที่ควรจะเข้าสู่โหมดพัก นานเข้า Circadian Rhythm ก็เป๋ได้

ตอนนี้ก็เริ่มชัดเจนแล้วว่าโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ สาเหตุสำคัญอันหนึ่งมาจากการที่ Circadian Rhythm ถูกรบกวนเป็นเวลานานๆจนทำงานบกพร่องไปนี่แหละ  มีการศึกษาในหนูทดลองพบว่า หนูกลุ่มที่เลี้ยงโดยให้โดนแสงและมีอาหารให้กินอยู่ตลอดเวลาจะมีน้ำหนัก เพิ่มมากกว่ากลุ่มที่เลี้ยงตามปรกติ แม้ปริมาณอาหารที่ให้ในทั้ง 2 กลุ่มจะเท่ากันก็ตาม

การปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับนาฬิกาภายในร่างกาย ของเราหรือ Circadian Rhythm จึงมีความจำเป็น เพราะมันหมายถึงชีวิตและสุขภาพของเรานั่นเอง แล้วควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร

เอ มิลี เลเบอร์-วาร์เรน แห่ง CUNY Graduate School of Journalism เสนอข้อปฏิบัติไว้ในนิตยสาร Scientific American Mind ฉบับกันยายน/ตุลาคม 2558 ดังนี้

1.ให้ร่างกายได้สัมผัสกับแสงแดดในตอนเช้า และกินอาหารเช้า ก่อนเข้านอนสัก 2-3 ชั่วโมงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงที่สว่างมากๆ ห้องนอนควรจะมีความมืดพอ และอย่าให้มีแสงจากพวกเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายเข้ามากวนหรือหาเครื่องมือวัดแสง(LUX Meter)ตรวจดูว่ามีความเข็มของแสงมากไปไหม การทำแบบนี้จะช่วยให้ Circadian Rhythm ทำงานได้ตามปรกติ

2.เข้า นอน-ตื่นนอนให้เป็นเวลาทุกวัน แม้จะเป็นวันหยุดไม่ต้องออกจากบ้านไปไหนก็ตาม เพื่อให้ Circadian Rhythm ยังสามารถรักษาจังหวะปรกติของมันเอาไว้ได้

3.แสง จากคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต สมาร์ตโฟน มี “บลู ไลท์” เยอะ ไม่ต่างไปจากแสงดวงอาทิตย์ในตอนเช้า นั่นแปลว่ามันสามารถกระตุ้นให้ Circadian Rhythm ทำงานแบบในตอนเช้าได้ ควรหลีกเลี่ยงแสงเหล่านี้ในช่วงเย็นหรือก่อนเข้านอน หรือถ้าจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้ควรหาเครื่องป้องกันแสงชนิดนี้มาใช้ ลดความเข้มของแสง หรือวัดค่าความเข้มแสง(LUX Meter)จากเครื่องมือวัดแสง เพื่อหาความเหมาะสมของแสงที่เราจะได้รับ

4.กินอาหารเช้าทุกวัน และงดอาหารรอบดึกเด็ดขาด

5.ทำงานให้เต็มที่ทั้งวัน แต่ก่อนนอนควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักๆ

ธรรมชาติ ย่อมมีเหตุผล แต่ความที่เราไม่รู้ บางทีเราก็ไปฝืน ซึ่งโดยความจริงแล้วก็เพราะเราอยากให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นกับชีวิตของเรานั่น แหละ แต่ในเมื่อเรารู้แล้วว่าการฝืนธรรมชาติก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า เราก็ควรที่จะปรับตัวเราเองให้สอดคล้องไปกับธรรมชาติ ก็แค่นั้นเอง

Cr.โลกวันนี้,นพ.อุดม เพชรสังหาร

28 ส.ค. 2558

ปลอกคอสุนัข LED


ปลอกคอสุนัข LED
ปลอกคอสุนัข LED


หนึ่งในโครงการระดมทุนผ่าน Kickstarter ที่น่าสนใจอยู่ในขณะนี้ คือการสร้าง Buddy ปลอกคอแอลอีดีสำหรับสุนัข ที่มาพร้อมไฟอัตโนมัติ LED ในตัว พร้อมเซ็นเซอร์ต่างๆ รวมถึงตัวบอกตำแหน่ง GPS ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหลงทางหายไปไหน

ไฟ อัตโนมัติ LED ที่ติดอยู่ตรงปลอกคอนั้นจะช่วยให้เป็นจุดสังเกตได้ง่ายในที่มืดหรือยาม กลางคืน ส่วนบรรดาเซ็นเซอร์ที่ฝังอยู่ในปลอกคอ Buddy นั้นก็มีทั้งตัววัดอุณหภูมิ, ตัวติดตามกิจกรรมของสุนัข (คล้ายๆ กับสายรัดข้อมือที่วัดการเดิน-วิ่ง ของคน) และเซ็นเซอร์ระบุตำแหน่ง(GPS) ทั้งยังมีหน้าจอ OLED ขนาดเล็กที่จะแสดงค่าอุณหภูมิร่างกายของสุนัข และตัวเลขปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่มันกินเข้าไป รวมถึงปริมาณพลังงานที่มันเผาผลาญด้วยการออกกำลังกายด้วย

ตัวปลอกคอ แอลอีดี Buddy สามารถเชื่อมต่อกับแอพบนสมาร์ทโฟนได้ทั้ง iOS และ Android ผ่านทางบลูทูธ (ต่อกับ Apple Watch ก็ได้) โดยผู้ใช้สามารถตั้งค่าสีของหลอดไฟ LED  ที่ติดอยู่ตรงปลอกคอได้ ทั้งยังสามารถตรวจดูความเป็นไปของเจ้าตูบเพื่อนรักได้จากข้อมูลในแอพ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณอาหารที่มันกินเข้าไป, การออกกำลังกาย รวมทั้งการจดบันทึกนัดหมายกับสัตวแพทย์ นอกจากนี้ผู้ใช้ยังกำหนดขอบเขตพื้นที่วิ่งเล่นของมันได้ด้วย โดยหากสุนัขออกไปเพ่นพ่านนอกพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ในแอพก็จะมีการแจ้งเตือนบอก ผู้ใช้ในทันที

ที่ล้ำไปกว่านั้น ปลอกคอแอลอีดี Buddy ยังสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ระบบบ้านอัจฉริยะอย่างเช่น ตัวปรับอุณหภูมิห้อง Nest สามารถปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับสุนัขได้โดยอัตโนมัติ โดยอาศัยจากค่าที่ปลอกคอ Buddy วัดได้ หรือจะทำการเชื่อมต่อกับหลอดไฟ Philips Hue Bulbs ทำให้หลอดไฟเปิดปิดอัตโนมัติ ในห้อง เมื่อสุนัขเข้าหรือออกนอกพื้นที่ที่กำหนดได้เช่นกัน หรือจะเชื่อมต่อกับระบบกลอนประตูไฟฟ้า(Digital Door Lock)ก็ได้ ทำให้สุนัขสามารถเข้าออกเขตประตูได้โดยที่เจ้าของไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดทุก ครั้ง

ปลอกคอแอลอีดี Buddy ถูกออกแบบโดยเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทาน สามารถกันน้ำได้ ทำงานโดยอาศัยแบตเตอรี่สำรองซึ่งมีอายุใช้งานได้นาน 2 สัปดาห์ต่อการชาร์จในแต่ละครั้ง

แผนการระดมทุนสร้าง Buddy นี้ตั้งเป้าเอาไว้ที่ 385,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งถือว่าเยอะเอาเรื่องเลยทีเดียว โดยขณะนี้ได้เงินไปยังไม่ถึงครึ่งทาง พร้อมกับเวลาที่เหลือสำหรับการระดมทุนอีก 16 วัน ใครที่ชอบใจอยากสนับสนุนโครงการนี้ก็เข้าไปกดสั่งจองปลอกคอ Buddy เพื่อสนับสุนเงินแก่ทีม Sueaker ผู้พัฒนา Buddy ได้ในหน้าโครงการ โดยราคาถูกสุดตอนนี้ลดครึ่งราคาเหลือชิ้นละ 245 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 6,400 บาท) จากราคาปกติที่ตั้งไว้ 490 ดอลลาร์ออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังมีปลอกคอแอลอีดี Buddy รุ่นอืนๆ ที่ลดทอนฟีเจอร์บางประการออกไป ได้แก่ Buddy Lite และ Buddy Fit ซึ่งจะขายอยู่ที่ 245 และ 325 ดอลลาร์ออสเตรเลียตามลำดับ

Cr.แบไต๋,Engadget

พลังงานแสงอาทิตย์ลอยบนผิวน้ำ

พลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ
พลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ


พลังงานแสงอาทิตย์ถูกใช้งานอย่างมากแล้วในหลายส่วนทั่วทุกมุมโลก เช่นมาทำเป็นโคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ หรือแบตเตอร์รีสำรองพลังแสงอาทิตย์ ฯลฯแถมมีศักยภาพในการผลิตพลังงานมากพอสมควร หากใช้ประโยชน์และนำมาพัฒนาอย่างเหมาะสม พลังงานแสงอาทิตย์ก็สามารถนำมาใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าหรือ สำหรับทำความร้อน หรือแม้แต่ทำความเย็น หรือแสงสว่างตามที่กล่าวมาแล้ว ศักยภาพในอนาคตของพลังงานแสงอาทิตย์นั้นถูกพัฒนาไปอีกขึ้นหนึ่งโดยประเทศที่ ถูกจำกัดด้วยพื้นที่ อย่างประเทศสิงค์โปร

ปัจจุบันต้องยอมรับว่าสิงคโปร์มีความเชี่ยวชาญการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ บนบก มากแล้ว ไม่ว่าจะติดตั้งบนหลังคา หรือ สิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ อย่างซุปเปอร์ทรี ตั้งอยู่ในสวนมารีนาเบย์ กระชากความสนใจจากผู้คนทั่วโลกด้วยความก้าวหน้าล่าสุดของประเทศ  ส่วนผลผลิตไฟฟ้าจาก 30 เมกะวัตต์เมื่อปลายปี 2557 คาดว่าปลายปีนี้จะเพิ่มเป็น 130 เมกะวัตต์ และเพิ่มเป็น 350 เมกะวัตต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือประมาณร้อยละ 5 ของความต้องการในช่วงชั่วโมงใช้ไฟฟ้าสูงสุด

ในอนาคตสิงคโปร์จะใช้พลังงานที่ได้จากธรรมชาติและสะอาด โดยเฉพาะแสงอาทิตย์กับลม ซึ่งขณะนี้พลังงานแสงอาทิตย์ของสิงคโปร์ก้าวหน้าอย่างมาก เพราะการวิจัยได้พ้นขั้นพื้นฐานไปแล้ว คือจากการผลิตและติดตั้ง ขยับไปที่ผลกระทบที่อาจเกิดจากการใช้ เพื่อขยายการผลิตและใช้ให้ได้มากกว่าเดิม

โครงการหนึ่งที่กำลังวิจัย คือ การติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าลอยน้ำในบ่อน้ำและอ่างเก็บน้ำ เพื่อค้นหาวิธีนำแผงโซลาร์เซลล์ไปใช้ประโยชน์ ถ้าทำสำเร็จสิงคโปร์จะมีพื้นที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มมากขึ้นบนพื้นผิว น้ำ สามารถให้พลังงานไฟฟ้า หรือแสงสว่างผ่านโคมไฟโซล่าเซลล์ตามชายฝั่งยามคำคืน หรือเก็บสำรองพลังงานไฟฟ้าไว้ในแบตเตอร์รีสำรองได้

ฟัง ดูแล้วง่าย แต่ความจริงไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะปรกติน้ำกับไฟไม่ค่อยเป็นมิตรกันอยู่แล้ว ในน้ำยังมีวัชพืชและสัตว์ที่อาจส่งผลกระทบได้ จึงต้องค้นคว้าระบบบริหารจัดการที่ทำให้ไม่กระทบระบบการติดตั้ง โดยระบบที่ทดลองมีขนาด 5 กิโลวัตต์ ไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่งตรงไปยังพื้นที่บนบกผ่านเคเบิลใต้น้ำ ซึ่งทั้งหมดผลิตในสิงคโปร์ ทั้งยังได้รับการบริจาคจากบริษัทผู้ผลิตอีกด้วย

ส่วน อีกโครงการเป็นการวิจัยการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อค้นหาว่าแผงโซลาร์เซลล์ควรอยู่เหนือน้ำเท่าไรเพื่อให้การผลิตมี ประสิทธิภาพสูงที่สุด หลักการคือยิ่งอุณหภูมิเย็นมากเท่าไร ประสิทธิภาพจะยิ่งมากเท่านั้น นี่เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมสิงคโปร์จึงสนใจติดตั้งระบบในบ่อน้ำและอ่างเก็บน้ำ ทั้งยังคิดจะติดตั้งในทะเล เพราะโครงการนี้มีการวิจัยผลกระทบที่น้ำทะเลมีต่อระบบรวมอยู่ด้วย

ทั้ง นี้ ทั้ง 2 โครงการใช้งบประมาณ 11 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือเกือบ 300 ล้านบาท โดยผู้นำในการวิจัย ได้แก่ สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติกับองค์การจัดการน้ำแห่งชาติ ส่วนผู้บริหารจัดการโครงการคือ สถาบันวิจัยพลังงานแสงอาทิตย์แห่งสิงคโปร์

ขณะ ที่บริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์และอุปกรณ์ต่างพากันก่อตั้งกลุ่มเข้าร่วมการวิ จัย โดยคาดการณ์ว่าภายในปีหน้ากลุ่มดังกล่าว 6 กลุ่ม จะติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าลอยน้ำที่ใช้แผงโซลาร์เซลล์ได้สำเร็จ ซึ่งจะดึงดูดให้บริษัทต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในด้านที่สิงคโปร์ยังไม่ เชี่ยวชาญเข้ามาร่วม เพื่อยกระดับการวิจัยให้มากขึ้นจนสามารถนำระบบลอยน้ำไปติดตั้งในทะเลได้

ปริมาณ การผลิตอาจยังดูน้อย แต่ถ้าดูผลพลอยได้ทั้งการสร้างองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ การสร้างโอกาส สร้างคน และสร้างงาน ถือว่ามีมากจนไม่อาจประเมินได้ ยังไม่รวมถึงด้านความมั่นคงที่ใช้แผงโซลาร์เซลล์แบบพกพาและใช้ประจำหน่วยรบ ที่กำลังมีการพัฒนาอย่างขะมักเขม้นด้วยพลังงานแสงอาทิตย์

Cr.โลกวันนี้,อยากใช้พลังงานแสงอาทิตย์

27 ส.ค. 2558

ไหว้สารทจีนให้ดี รับโชคมากมาย


ไหว้สารทจีนให้ดี รับโชคมากมาย
ไหว้สารทจีนให้ดี รับโชคมากมาย

“สารท” แปล ว่า...กลาง เทศกาล สารทจีนคือเทศกาล
ในเดือน 7 ของจีนที่อยู่ในช่วงกลางปี “วันสารทจีน” คือวันที่ 15 เดือน 7 ของจีน...วันกลางเดือนของเดือนกลางปี

จิตรา ก่อนันทเกียรติ เก็บข้อมูลไหว้เจ้ามานาน พบข้อมูลใหม่ถึงจังหวะการเลือกวันไหว้ของคนจีนที่น่าสนใจว่ามีการตั้งใจที่ จะไหว้ในวันที่ 1 เดือน 1 ของจีน คือ “วันตรุษจีน”...ไหว้วันที่ 3 เดือน 3 ของจีน คือไหว้ วันเกิดตั่วเหล่าเอี๊ย–ศาลเจ้าพ่อเสือ...ไหว้วันที่ 5 เดือน 5 ของจีน คือ เทศกาลไหว้บะจ่าง
ไหว้วันที่ 7 เดือน 7 ของจีน คือ ไหว้แม่ซื้อพ่อซื้อที่วัดเล่งเน่ยยี่... ไหว้วันที่ 9 เดือน 9 ของจีน คือ วันเกิดปั๊กเต้าบ้อ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลกินเจ...ไหว้วันที่ 11 เดือน 11 ของจีน เป็นการ ไหว้วันเกิด “ตี่จั่งอ๊วงผ่อสัก”...พระโพธิสัตว์ที่โปรดสัตว์อยู่ในนรก

ส่วนการ “ไหว้พระจันทร์”...เป็นการไหว้เข้าคู่กับการ...“ไหว้พระอาทิตย์” ฮ่องเต้ต้องไหว้พระอาทิตย์กลางฤดูใบไม้ผลิคือ 15 เดือน 2 ของจีน แล้วไหว้พระจันทร์กลางฤดูใบไม้ร่วงคือ 15 เดือน 8 ของจีน
กับอีกเหตุผลของการไหว้พระจันทร์ หลังจากที่มีการสวดเพื่อปิดประตูนรกในวันสิ้นเดือน 7 ของจีน จิตรา พบว่า กว่าวิญญาณจะกลับลงไปหมดคือก่อนวันไหว้พระจันทร์ 1 วัน การไหว้พระจันทร์จึงเป็นการไหว้เพื่อให้เป็นมงคลหลังสารทจีน นี่คือธรรมเนียมไหว้สารทจีนที่มีตำนานเรื่องเล่าอยู่หลายเรื่องในมุมหนึ่ง ที่เป็นเรื่องของช่วงเวลา

“พ้อต่อ” แปลว่า...การบอกทางวิญญาณทั้งหมดให้ไปอยู่ในที่สมควร
การไหว้ “ไป๊ฮ้อเฮียตี๋” หรือไหว้สัมภเวสี...ผีไม่มีญาติ เพื่อเปลี่ยนพลังร้ายจากการตายไม่ดีหรือตายโหง ให้เป็นพลังดี ที่อำนวยคุณให้ทำมาค้าขึ้น กรณีตัวอย่างเกิดขึ้นที่ห้องแถวขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในย่านเยาวราช ปกติลูกจีนจะไหว้ผีไม่มีญาติที่หน้าบ้านด้านนอกบ้าน แต่ทำไมร้านขายของที่ตกแต่งหรูหรานี้ จึงไหว้ผีไม่มีญาติภายในบ้านที่ด้านหลังห้องแถว คำตอบคือ...นี่คือการไหว้ตามจุดเดิมที่อาม่าเคยไหว้มาหลายสิบปี

ที่ตรงนี้ดั้งเดิมคือหน้าห้องแถวด้านนอกเหมือนที่ทุกบ้านไหว้กัน... แต่ไหว้แล้วเวิร์กคือทำมาค้าขึ้นไม่น่าเชื่อ เมื่อร่ำรวยมีเงินแล้วจึงคุยกับเจ้าของที่ซึ่งเมื่อฟังนามสกุลแล้วจะร้องอ๋อ ว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ ขอสร้างเป็นห้องแถวใหม่ขนาดใหญ่ จาก 2 ห้องเล็กๆกลายเป็น 5 คูหาใหญ่ๆ ที่แม้นหน้าตาห้องแถวจะเปลี่ยนไปแต่อาม่าก็ยังไหว้จุดเดิม

เมื่ออาม่าเสียไป...สะใภ้ก็สืบทอดธรรมเนียมไหว้เหมือนเดิมทุกประการ รวมถึงการแก้เคล็ดที่ต้องเชิญ...“อย่างว่า” มารับเครื่องเซ่น ในการไหว้ผีไม่มีญาติของบ้านนี้ จึงมีการไหว้เกลือห่อหนึ่ง ไหว้เสร็จก็จัดการโปรยเกลือเพื่อให้ “อย่างว่า”...ออกไปให้พ้นบริเวณบ้านเรานี่คือตัวอย่างชัดๆของคนที่ไหว้ผีไม่ มีญาติแล้วได้ร่ำรวยและทำให้เจ้าของธุรกิจนี้ไม่ใช่แค่ไหว้ผีไม่มีญาติช่วง สารทจีนเท่านั้น แต่วันไหว้สิ้นปีก่อนเข้าตรุษจีนก็ไหว้ด้วย

ปีแรกหลังการเกิดเหตุเผาเมืองที่สี่แยกราชประสงค์ จิตราบอกผู้บริหารที่ใกล้ชิดเจ้าของห้างแห่งหนึ่งให้ไหว้สัมภเวสี...ส่วนปี นี้การไหว้สารทจีนที่สี่แยกราชประสงค์ อยากจะแนะนำให้ไหว้แบบเทศกาลพ้อต่อของภูเก็ต

“พ้อต่อ”...เป็นคำสำเนียงจีนฮกเกี้ยน จีนแต้จิ๋วคือ “ผู่ตู้”...พ้อแปลว่าข้าม ต่อแปลว่าทั้งหมด พ้อต่อจึงหมายถึงการพาทั้งหมดข้ามไป หมายถึงการบอกทางวิญญาณให้ข้ามไปอยู่ที่สมควร...เป็นธรรมเนียมที่พัฒนามาจาก ธรรมเนียม “ปั่งจุ้ยเต็ง” หรือการลอยกระทงสายในวันที่ 15 เดือน 7 ของจีน
เพื่อบอกทางวิญญาณของคนจีนในอดีตในลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง เพื่อให้วิญญาณเร่ร่อนรู้ทางไป ไม่อยู่หลอกหลอนหรือทำร้ายผู้คน เป็นธรรมเนียมที่ตั้งใจบอกทางวิญญาณไปสู่ที่ชอบๆ โดยคนจีนมีการทำบุญให้วิญญาณพวกนี้ก่อนไปหรือเป็นการกล่อมให้อยู่อย่างสงบ แล้วเปลี่ยนจากพลังไม่ดีให้เป็นพลังดี ที่บันดาลโชคลาภ

อีกประวัติหนึ่งของภูเก็ตที่น้อยคนจะรู้หรือลืมเลือนไปแล้วคือ... ภูเก็ตเมื่อหลายร้อยปีก่อน มีความเป็นป่าดงดิบที่มีโรคภัยไข้เจ็บและสัตว์ดุร้ายที่มีขนาดใหญ่...ดุมากๆ เช่น งูยักษ์ขนาดงูอนาคอนดา
หนังสือที่ลูกหลานคนภูเก็ตเขียนเล่าถึงการสร้าง ศาลเจ้าแม่เจ็ดดาว หรือ ศาลเจ้าชิดเชี่ยว เขียนโดยคุณภาพร เนตรอนงค์ ว่าสร้างขึ้นเพื่อข่มอาถรรพณ์วิญญาณพลังงูร้ายที่ตายทับถมกันแล้วพัฒนาพลัง ร้ายขึ้นมา มีคำเฉพาะเรียกว่า “เจ้าพญางูร่างสิงทับสมิงคา” อย่างไรก็ตาม จิตราพบว่าภูเก็ตมีการสร้างศาลเจ้าที่ตั้งเทพต้องถือว่าค่อนข้างดุอีกแห่ง คือ...ศาลเจ้าเซ่งเต็กเบ่ว ตั้งองค์พญายมในปางดุมากๆคือ...พญายมสามเศียรหน้าลาย

“เมื่อบวกกับคำบอกที่เล่าต่อกันมาว่าในช่วงสารทจีน ห้ามออกจากบ้านในยามโพล้เพล้ เพราะอาจถูกวิญญาณเร่ร่อนทำให้โชคร้ายได้ ซึ่งยามโพล้เพล้...เป็นเวลาที่ใกล้กับการระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์พอดี”

ถึง ตรงนี้ต้องบอกว่ามี 3 เหตุผลที่แนะนำให้ดูและทำตามเทศกาลไหว้พ้อต่อของภูเก็ตคือ หนึ่ง...วันไหว้ไม่จำเป็นต้องเป็นวันที่ 15 เดือน 7 ของจีน แต่เป็นวันใดก็ได้ที่อยู่ในช่วงเดือน 7 จีน
เดือน 7 ของจีนมีคำจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “กุ้ยโจ่ย”...แปลว่าเทศกาลผี ประตูนรกจะเปิดในวันที่ 1 เดือน 7 ของจีน...ในปี 2558 ตรงกับวันที่ 14 สิงหาคม และจะปิดประตูนรกในวันสิ้นเดือนตรงกับวันที่ 12 กันยายน 2558

สอง...เป็นการจัดไหว้รวมโดยชุมชน หรือต่างฝ่ายต่างไหว้ก็ได้เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ก็ไหว้ของตัวเอง เกษรพลาซ่าก็ไหว้ของตัวเอง โรงแรมแกรนด์ไฮแอทก็ไหว้ของตัวเอง โรงพยาบาลตำรวจก็ไหว้ของตัวเอง ฯลฯ

และ สาม...เป็นตัวอย่างภูมิปัญญาจีนที่จัดธรรมเนียมไหว้อย่างประณีตพิถีพิถันมาก
เริ่มจากโต๊ะไหว้มี 2 ชุด...ชุดหนึ่งเป็นโต๊ะไหว้ใหญ่มีเต็นท์บังแดด สำหรับไหว้ “ไป๊ฮ้อเฮียตี๋” หรือผีไม่มีญาติที่มีศักดิ์ว่าเป็นบรรพบุรุษที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนนี้มา ก่อน...ของไหว้มีครบทั้งของคาวหวาน ผลไม้ไหว้

ตั้งไหว้หน้าองค์พญายมที่ทำจากกระดาษเงินทององค์ใหญ่มาก มีการตั้งจำนวนชามและตะเกียบถ้วยชาเป็นจำนวน 12 ชุด ตามจำนวน 12 นักษัตร

โต๊ะไหว้อีกชุดเป็นโต๊ะไม่ใหญ่ แต่น่าสนใจว่า...ตั้งไหว้ผีเร่ร่อนที่อาจลมเพลมพัดมา กับไหว้เผื่อสำหรับวิญญาณที่ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร กับวิญญาณที่ก่อนตายอาจเสียด้วยโรคที่สังคมรังเกียจ เช่น โรคเรื้อน หรือคนที่รูปลักษณ์พิกลพิการ เมื่อเสียแล้วก็ยังกลัวการเป็นที่รังเกียจ ก็ยังอยากแยกตัวจากหมู่ใหญ่

สำหรับการจัดจานชามที่โต๊ะเล็ก จะจัดจานชามตะเกียบช้อนน้ำชา 36 ที่ เก้าอี้ 12 ตัว มีอ่างน้ำพร้อมผ้าเช็ดมือ พร้อมกับข้าวอีก 12 ถ้วย...หมากพลู บุหรี่ และผักสด

ในการจัดโต๊ะไหว้ที่สี่แยกราชประสงค์ จิตราอยากให้จัดของไหว้แบบไม่ลืมธรรมเนียมว่า...ต้องมีอาหารเจ 1 ชุด และมีของไหว้สำหรับผีไม่มีญาติที่ชอบทำอาหารทานเอง คือ...มีถ่าน เกลือ ข้าวสาร น้ำ และน้ำมันกับของไหว้ที่จัดใหญ่ใหญ่ยักษ์เรียกว่า...ภูเขา 5-8 ลูก คือ...ภูเขาเงิน ภูเขาทอง ภูเขาบะหมี่ ภูเขาผักบุ้ง ภูเขาซาลาเปา ภูเขาผ้าขาวม้า ฯลฯ อวยพรให้ร่ำรวยมีมากมายเป็นภูเขาเลากา

“...ของไหว้ต่างๆในเทศกาลพ้อต่อของภูเก็ตจะแจกให้กับคนที่อยากมารับของ ไหว้ และทำให้ที่ภูเก็ตมีอีกธรรมเนียมสารทจีนที่ไม่เหมือนที่อื่น พัฒนามาจากขนมไหว้เต่าแดงของจีนฮกเกี้ยน การทำขนมไหว้เป็นเต่าใหญ่ยักษ์ เขียนชื่อนามสกุล กับคำอวยพร เช่น จิตรา ก่อนันทเกียรติ...มั่งมีศรีสุข...เฮงๆ...รวยๆ”
“เรื่องไหว้เจ้า”...ไม่เชื่อเลยก็ประมาท เชื่อเต็มร้อย...ก็ประมาท เพราะมีความละเอียดในความไม่รู้...ว่าไม่รู้ เช่น ในการบอกทางให้วิญญาณไปที่ชอบๆอาจไม่ได้ไปได้หมด “วิญญาณ”...ก็น่าจะเหมือนคนที่บุญวาสนาไม่เท่ากัน...อาจไปได้เลยหรือไปได้ เร็ว หรือ...ต้องอยู่เป็นบริวารเมืองต่อไป.

Cr.ไทยรัฐ,Synergy | Facebook ,doly news ,

26 ส.ค. 2558

สอนวิธีจีบหญิง ให้อยู่หมัด




สอนวิธีจีบหญิง ให้อยู่หมัด
สอนวิธีจีบหญิง ให้อยู่หมัด

ผู้ชาย “โสด”ในจีนถือเป็นอะไรที่ยากลำบากในการหาคู่ครอง ยิ่งกว่าสาวขึ้นคานในไทย ไม่ใช่แค่พวกเขาจะต้องดิ้นรนกับความไม่เท่าเทียมกันระหว่างจำนวนชาย 118ต่อหญิง110 เท่านั้น แต่อาตี๋ทั้งหลายจะต้องเผชิญกับความกดดันของสังคมให้ต้องหล่อ มีบ้านและดูสุขุมนุ่มลึกอีกด้วย 


แต่นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่ยากที่สุด ส่วนที่ดูเหมือนจะทรมานมากสำหรับบางคนก็คือการเข้าหาสาว เพื่อชวนไปออกเดตด้วย ท่ามกลางการถูกกดดันจากที่บ้าน ผู้ชายจีนบางคนก็หลบเลี่ยงไม่ยอมออกไปจีบสาวสักที สุดท้ายต้องยอมรับชะตากรรมให้ที่บ้านจับคลุมถุงชน แต่งงานกับใครก็ได้ ตามประเพณีที่มีมาแต่ดั้งเดิม 

เมื่อเหตุการณ์เข้าขั้นวิกฤตในการหาคู่เช่นนี้ อาตี๋ทั้งหลายเขาหาทางออกกันยังไง... เว็บไซต์หนังสือพิมพ์จีน “หนานฟาง” ให้ข้อมูลไว้ว่า ตี๋หลายพันคนตัดสินใจตบเท้าเข้าลงทะเบียนเรียนใน “โรงเรียนสอนจีบหญิง” (ไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อ) ทำให้ธุรกิจแนวนี้กำลังมีแนวโน้มที่สดใสขึ้นในจีน 

ที่โรงเรียนสอนจีบหญิง อาตี๋จะได้รับการฝึกอบรมมารยาทที่ดีและความรู้อื่นๆที่จะเปลี่ยนจาก “ตาทึ่ม”ขึ้นคานไม่มีใครเอา ให้กลายเป็นหนุ่มดูดีที่มีชีวิตแต่งงานสมหวัง รายวิชาที่เปิดสอนและน่าสนใจลงเรียนก็ได้แก่ วิชาวินิจฉัยรัก วิชาหาแฟน วิชาสรรหาภรรยา/สามี วิชาพารักกลับมาและวิชาว่าด้วยการสร้างรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูดี ส่วนค่าเล่าเรียนต่อหลักสูตรก็เริ่มจากระดับหลายร้อยหยวนไปจนถึง 20,000 หยวน (715,400 บาท) แพงมาก!!!! 

 และวิชาหลักที่เรียนตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ก็จะอยู่ที่ 7,000 หยวน (250,390บาท) ต่อคอร์ส...หึหึ ถ้ามหาวิทยาลัยเปิดสอนวิชาพวกนี้ได้ ค่าเรียนคงไม่แพงขนาดนี้ ครูผู้สอนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะให้คำแนะนำแก่ลูกศิษย์แบบไม่กั๊ก 

หนึ่งในนั้นคือ “ฟ่าน เฉิน” อธิบายว่า การจีบหญิง ไม่ใช่แค่หลับหูหลับตา ตามจีบเอาใจอย่างเดียว แต่ฝ่ายชายต้องทำตัวเองให้ดูดี มีมารยาท แล้วเดี๋ยวผู้หญิงที่เขาชอบ ก็จะหันมาชอบเขาด้วย ครูอีกคนหนึ่งซึ่งใช้นามแฝงว่า “วานเดอร์” ยังกล่าวได้ไว้ว่า พวกที่ออกตัว “ขอเป็นฝ่ายดูแลเธอ” ป้อนข้าว ป้อนยายามป่วยไข้ จะได้รับรางวัลจากสาวที่หมายปองให้อยู่ในโซน “เพื่อน”เท่านั้น 

โซเชียลมีเดียสำคัญฝุดๆ 
บทเรียนหนึ่งที่โรงเรียนให้ความสำคัญคือ “การใช้โซเชียลมีเดีย” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สาวๆประทับใจได้ และเพื่อที่จะให้ได้ผลตามที่คาดหวัง ครูจะบอกให้นักเรียนของพวกเขา ทำตัวดูยุ่งเข้าไว้บนโลกออนไลน์ ส่วนรูปโปรไฟล์ต้องเป็นสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดในสามโลก (สำหรับเราเอง) ฉากหลังอาจจะเป็นอะไรที่ดูคลาสสิคและหรูหราได้ แต่ต้องไม่โกหก เพราะผู้หญิงมีญาณหยั่งรู้มากกว่าที่ผู้ชายคิดเสมอ พวกเธอจะตัดสินอาตี๋ทั้งหลายจากรายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้ ฟังดูเหมือนบ้าวัตถุ แต่ยอมรับเถอะว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง 

กลยุทธ์ “น้ำร้อน” 
ส่วนมากโรงเรียนเหล่านี้จะไม่ค่อยเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรใน โรงเรียนสักเท่าใดเพราะเป็นเอกลักษณ์และความลับที่จะดึงดูดนักเรียน แต่ครูผู้ไม่ประสงค์ออกนามแอบเผยกับหนังสือพิมพ์ “ไชน่า ยูธ เดลี” ถึงกลเม็ดเล็กๆน้อยๆมัดใจสาว ด้วยกลยุทธ์ “น้ำร้อน”ว่า หากนักเรียนมีโอกาสเดินเข้าไปในไนท์คลับไฮโซสักแห่ง ให้ออกปากสั่งน้ำร้อนสองแก้วกับพนักงานเสิร์ฟทันทีเมื่อเท้าเหยียบก้าวข้าม ประตูมา จากนั้นให้มองหาสาวที่อยากคุยด้วย และเมื่อขณะกำลังคุยอยู่กับเธอ พนักงานก็จะเดินนำน้ำร้อนสองแก้วเข้ามาเสิร์ฟพอดี มันจะดูเหมือนกับว่า คุณเป็นลูกค้าไฮโซขาประจำ ที่ไม่ต้องเอ่ยปากสั่ง พนักงานแค่เห็นคุณเข้ามาก็จะพินอบพิเทาเอาของที่ต้องการมาให้ทันที ก่อนจะออกไปจากคลับอย่าลืมเข้าไปพูดคุยกับพนักงานอย่างเป็นกันเองด้วย จะได้เนียนขึ้นไปอีกขั้น...หมวยนี่ อึ้งไปเลยครัช เขาสอนกันแบบนี้เลยนะ 

สื่อท้องถิ่นบอกว่า ในหลักสูตรของโรงเรียนสอนจีบหญิงจะมีลูกเล่นแพรวพราวแบบนี้อยู่เยอะมาก เพื่อให้อาตี๋ขึ้นคานทั้งหลายได้พบรักเสียที อย่างไรก็ตาม คุณครูวานเดอร์ยังเล่าอีกว่า นักเรียนของเขามีเหตุผลที่เข้ามาเรียนที่โรงเรียนกันคนละแบบ 

 ร้อยละ 90 ของนักเรียนที่เข้ามาเรียน กลับไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อการจีบหญิง แต่พวกเขาต้องการทักษะอย่างอื่นในชีวิตมากกว่า อาตี๋เหล่านี้อยากเรียนเทคนิคแพรวพราวนี่แหละ แต่ไม่ได้ต้องการจะเอาไปใช้เพื่อให้ใครเจ็บปวดแต่เขาเรียนเพื่อเอาไว้ปกป้อง ตัวเอง 

 ครูวานเดอร์ยังรู้ดีถึงบุคคลิกภาพนักเรียน ส่วนมากพวกเขาเป็นพวกที่ไม่ค่อยชอบตัวเองสักเท่าใด ส่วนใหญ่เป็นพวกพูดไม่ค่อยเก่ง ไม่รู้ความต้องการของตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย อะไรก็ตามที่ครูสอนไป คนพวกนี้จะตอบว่า “ได้ๆๆ” พร้อมกับพยักหน้างึกๆ....เอ่อ ครูคะ หมวยเล็กว่าบรรยากาศมันคุ้นๆ เหมือนห้องเรียนปกติที่ไทยเลย 

นอกจากนี้ นักเรียนยังแต่งตัวไม่เป็นและไม่มีประสบการณ์การเข้าหาสาวมาก่อนด้วย แม้จะอายุปาเข้าไป 30 ปีแล้ว แต่ก็ยังดูโง่งม รวมทั้งหน้าที่การงานก็ยังไม่มั่นคง และโชคร้ายที่นี่เป็นภาพสะท้อนสภาพของผู้ชายจีนส่วนใหญ่เสียด้วย ส่วนโชคดีคือ แม้จะมีข้อบกพร่องอยู่เยอะ แต่คนพวกนี้รู้ตัวเองและต้องการการเปลี่ยนแปลง เพราะการแข่งขันหาคู่และแรงกดดันจากสังคมที่สูงขึ้น ตามสถิติชี้ว่า ตี๋ที่เกิดในช่วง 20 ปีที่แล้ว จะมีสิทธิ์ขึ้นคานตลอดชีวิตในอัตราส่วน 1 ใน 6 แต่ปัจจุบันอัตรานี้ถูกปรับขึ้นเป็น 1 ใน 7 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

หมวยเล็กก็เพิ่งรู้ว่าที่จีนมีการเปิดโรงเรียนประเภทนี้กันอย่างเป็นล่ำเป็น สัน คงคล้ายๆกับโรงเรียนพัฒนาบุคคลิกภาพในบ้านเรา โรงเรียนพวกนี้จะสอนให้จีบหญิงโดยใช้กลเม็ดเด็ดพรายอะไรก็ทำกันไป แต่อย่าเอามาใช้หลอกลวงคนอื่นเป็นพอ หมวยเล็กรู้สึกว่า คนที่ไปเรียนคงไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ แต่ก็ยังน่าชื่นชมที่รู้ตัวและต้องการได้รับคำแนะนำเพื่อแก้ไข เพราะบางปัญหาเราไม่สามารถแก้มันได้ด้วยตนเอง จนกว่าจะมีคนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ขอให้เฮียทั้งหลายพบคู่ที่ถูกใจ สมหวังเร็วๆนะคะ.“



Cr.เดลินิวส์,เล่าสู่กันฟัง ,Synergy | Facebook ,





25 ส.ค. 2558

“แตงโม” อยากมีลูกชื่อ “เจ้าหยุน”

 
“แตงโม” อยากมีลูกชื่อ “เจ้าหยุน”
“แตงโม” อยากมีลูกชื่อ “เจ้าหยุน”


“แตงโม ภัทรธิดา” เผยชีวิตช่วงผ่านมรสุม รับเจอมาหนักติดกันหลายครั้ง ทั้งข่าวลือพ่อพาไปเร่ขายตัว เพื่อนหักหลังเอาเอทีเอ็มไปกดเงินจนสูญ 4 แสน อุบัติเหตุรถคว่ำ ก่อนมาถึงเหตุการณ์คิดสั้นฆ่าตัวตาย บอกพระเจ้าส่งของขวัญ ส่งแสงสว่างมาให้ แต่สุดท้ายริบคืน ตั้งเป้าอยากมีลูกโดยวิธีวิทยาศาสตร์ไม่ง้อสามี ตั้งชื่อล่วงหน้า “น้องเจ้าหยุน” ตามชื่อจีนของ “โตโน่”

เป็นนางเอกที่มีข่าวฮือฮาตลอดเวลาจริงๆ สำหรับ “แตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์” ล่า สุดเจ้าตัวได้ออกมาเปิดใจในรายการตีสิบเดย์ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2558 เปิดใจชีวิตที่ผ่านมรสุมหนักๆ ติดกันหลายครั้งถึงขั้นกินยาฆ่าตัวตาย โดยมีการแชร์คลิปดังกล่าวลงยูทิวบ์และมีแฟนๆ เข้าไปชมกันเป็นจำนวนมาก
      
       ทั้งนี้เจ้าตัวได้เปิดใจว่าชีวิตที่ผ่านมาเจอเรื่องค่อนข้างสมบุก สมบันสำหรับผู้หญิงในวงการบันเทิงคนหนึ่ง สมัยตนเข้ามาในวงการไม่มีนางเอกสู้คน เป็นยุคนางเอกเรียบร้อย แต่ตนเป็นคนที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สร้างภาพ แล้วไปเก็บกดเอาด้านหลัง ตนคิดว่าจะเป็นตัวเองตั้งแต่ต้น หากเรียบร้อย หวานใสไม่ได้ ก็จะเป็นคนห้าวๆ แบบนี้ ต่อหน้าทุกคน บวกกับช่วงยุคสมัยเปลี่ยนมานิยมนางเอกสู้คน ตนเลยผ่านตรงนั้นมาได้ ด้วยบุคลิกชอบพูดเยอะ พูดหมด พูดตรงเกินไป ไม่อยู่ในความพอดี
      
       นอกจากนี้แตงโมได้เผยถึงช่วงที่เสียใจหนักๆ ในชีวิต โดยระบุว่าตนเสียใจกับข่าวคุณพ่อพาตนไปขายตัว เป็นช่วงเฮิร์ตมากเพราะรู้สึกว่าพ่อไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ทำไมถึงเล่นกันถึงพ่อ ทำไมวงการโหดร้ายจัง ต่อมาตนถูกเพื่อนผู้หญิงซึ่งมีความสนิทหลายปี ไปไหนมาไหนตลอดเวลา ตนไว้ใจ และเวลาให้ใจเพื่อนจะให้ถึงร้อย แต่เพื่อนคนดังกล่าวแอบเอาเอทีเอ็มตนไปกดเรื่อยๆ ทำอยู่เป็นปี ตนมารู้ทีหลัง หมดไปทั้งหมด 4 แสนบาท หลังจากนั้นเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ แต่กระดูกไม่หัก มีผิวหนัง ผิวหน้าที่ต้องเย็บต้องซ่อม
      
       นางเอกดังเผยว่าตลอดเวลาที่ประสบปัญหามาตั้งแต่เล็กยันโต ตนเป็นโรคประจำตัวคือโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ตัวเอง มารู้ตอนโต ตอนเข้าวงการ มันเลยยิ่งทำให้เป็นคนเซ้นซิทีป มีกำแพงป้องกันตัวเองสูง เวลาเจอคำถามที่แรง หรือคำถามที่กระทบจิตใจหนักๆ มักตอบโต้ด้วยคำที่รุนแรงเป็นกำแพงโดยอัตโนมัติ
      
       สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดนั้นตนถือว่าหนักมาก มันเกิดจากวูบเดียวที่ตนควบคุมไม่ได้ ถ้าชีวิตใช้สมองกับหัวใจในความสมดุลมันก็ควบคุมได้ แต่เวลาไหนที่ตนผิดหวังตนใช้ใจมากกว่าสมอง มันแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย ตั้งแต่เข้าวงการมาทุกคนจะเห็นว่าตนมีแฟน ตนทุ่มเทและผิดหวังทุกครั้ง ก็เลยคิดว่าการมีแฟนคงไม่ใช่เรื่องที่คลิกสำหรับตน แต่สิ่งหนึ่งที่อยากทำมากๆ คืออยากมีลูก อยากมีสายสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับตน ย้ำตอนนั้นไม่อยากมีสามีแต่อยากมีลูก แพลนไว้ว่าจะมีลูกด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ตอนนี้เปิดบัญชีให้ลูกเรียบร้อยแล้ว ส่วนตั้งชื่อลูกว่า “เจ้าหยุน” เพราะอดีตสามีเป็นคนตั้ง เป็นชื่อจีนของอีกฝ่าย ก่อนยืนยันไม่ใช่เหตุผลที่อยากเอาไปจับผู้ชาย เพราะเคยมีคนด่าตนว่าจับผู้ชายเพราะท้องหรือเปล่า
      
       ทั้งนี้สาวแตงโมได้เผยอีกว่าตอนแรกตั้งใจไม่มีสามี อยากใช้ชีวิตคนเดียว เรียกว่าขยาดแล้วก็ได้ แต่พระเจ้าส่งคนๆ หนึ่งมามันเลยเป็นคนที่ใช่ กลายเป็นแสงสว่าง เป็นความหวังครั้งใหม่ เปลี่ยนความคิดว่านั่นคือของขวัญจากพระเจ้า พื้นเพอดีตสามีคล้ายพ่อตนมาก หน้าตาก็ยังคล้ายเป็นเหตุผลสนับสนุน แล้วความหวังทั้งหมดของตนก็เลยแขวนไว้ที่คนๆ หนึ่ง ตนเปรียบความรักเหมือนบ้านใหญ่หลังหนึ่ง ที่หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ เป็นที่คุ้มกันของเรา นั่นคือความรักของโม
      
       เราตัดสินใจแต่งงานกันเร็ว การเรียนรู้จักนิสัยใจคอทุกด้านมันน้อย เราพอใจกันในรูปลักษณ์ภายนอก คำมั่นสำคัญ หรือเรียกว่าช่วงโปรโมชั่นสเต็ปที่หนึ่ง พอถึงสเต็ปที่สองเราก็รู้ว่าบางทัศนคติเรามองไม่ตรงกันเกี่ยวกับตัวเราและ ลูก ต่างคนต่างผิดหวังซึ่งกันและกัน ความอิ่มเอมใจลดน้อยลง ซึ่งเป็นทุกคู่ แต่คู่เราไม่สู้ต่อแค่นั้นเอง
      
       นอกจากนี้แตงโมย้ำว่ามันหนักสำหรับตน เพราะตนมองว่าการใช้ชีวิตคู่จากสองคนรวมกันเป็นหนึ่งคน วันหนึ่งพอแยกออกเป็นสองโดยที่ตนยังยอมรับไม่ได้ ตนก็เลยรู้สึกกว่าหนักมาก ตนคิดว่าบางพฤติกรรมที่ไม่น่ารักสำหรับอดีตสามี พระเจ้าริบของขวัญนั้นคืน ตอนนี้ตนไม่กล้าหวังในสิ่งที่อยู่บนโลกชั่วคราว แต่หวังในความรักของพระเจ้า ทุกวันนี้เชื่อว่าเรายังรักกันอยู่  


Cr.ผู้จัดการ ,Synergy | Facebook ,เล่าสู่กันฟัง ,

ช่อง 3 ปะทะ ช่อง 7สี ???


พระเอกช่อง 3 เล่นหนังคู่กับ นางเอกช่อง 7สี ???
พระเอกช่อง 3 เล่นหนังคู่กับ นางเอกช่อง 7สี ???

ช่อง 3 มีซีรีส์ “4 หัวใจแห่งขุนเขา” “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” ช่อง ทรูโฟร์ยู ก็มีบ้างเหมือนกันเมื่อผุดโปรเจกต์ยักษ์ทำซีรีส์วีรกรรมของ ทหาร 3 เหล่าทัพ นำพระเอกฮอตนางเอกฮิตจากวิกหมอชิตและวิกหนองแขมมาประชันกันอย่างที่ไม่เคยมี ใครทำได้มาก่อน อีกทั้งยังแว่วว่ากล้าทุ่มทุนมหาศาลถึง 150 ล้านบาท ทีเดียว

โปรเจกต์นี้ยังถูกปิดเงียบ! แต่ก็โยงได้จากข่าว อั้ม-อธิชาติ ไม่ต่อสัญญากับช่อง 3 เพื่อมาช่วยภรรยา นัท มีเรีย เป็นผู้จัดละครทางช่องทรูโฟร์ยู ซึ่งละครที่ นัท ทำเป็นหนึ่งในซีรีส์นี้นั่นเอง ส่วนดารานักแสดงทั้งหมดดูได้จากในแคมเปญใหม่ “TRUE SMART LIFE SMART CITY” ที่นายใหญ่ค่ายทรู ศุภชัย เจียรวนนท์ แถลงข่าวในวันนี้ ซึ่งมีดาราดังต่างค่ายมาร่วมงานทั้ง ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่, แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์, นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี, แอนดริว เกร็กสัน, อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์ และ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ซึ่งพระเอกนางเอกทั้งหมดนี้จะมีส่วนร่วมแสดงในซีรีส์โปรเจกต์ยักษ์ดังกล่าว ด้วย

เริ่มจากซีรีส์เรื่องแรก “จ้าวเวหา” ที่ นัท จะมาเป็นผู้จัดฯ โดย อั้ม-อธิชาติ รับบทเป็น “เสืออากาศ” ประกบกับ นุ่น-วรนุช ส่วนซีรีส์เรื่องที่ 2 และ 3 นั้นจะทำทีหลัง เนื่องจากนางเอกของเรื่องคือ ใหม่–ดาวิกา และ แพนเค้ก–เขมนิจ ยังติดสัญญาวิก 7 สี ซึ่งคาดว่าน่าจะหมดสัญญาในเดือน ต.ค.นี้ หลังจากนั้นก็จะเดินหน้าเร่งถ่ายให้เสร็จไล่เลี่ยกัน ส่วนพระเอกนั้นอิมพอร์ตมาจากช่อง 3 ทั้งคู่ โดย ติ๊ก–เจษฎาภรณ์ จะประกบกับ ใหม่ ส่วน แอนดริว เกร็กสัน ก็จะคู่กับ แพนเค้ก

สำหรับการคว้า ใหม่ กับ แพนเค้ก มาเล่นช่องทรูโฟร์ยูครั้งนี้เรียกได้ว่ามาแบบเหนือเมฆไม่มีใครคาดคิดทีเดียว เพราะทุกคนต่างคาดการณ์ว่า หลังหมดสัญญากับวิกหมอชิตแล้ว 2 นางเอกซุป’ตาร์จะต้องมุ่งตรงไปเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับยักษ์ใหญ่อย่างช่อง 3 แน่นอน เพราะมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่กลับพลิกล็อกซะงั้น! สาเหตุที่ แพนเค้ก กับ ใหม่ ตัดสินใจมาเปิดซิงนางเอกฟรีแลนซ์ครั้งแรกที่ช่องทรูโฟร์ยูเป็นเพราะมี “สัญญาใจ” ในเรื่องการเป็นพรีเซ็นเตอร์ซึ่งคาดว่าน่าจะได้เห็นหน้า แพนเค้ก กับ ใหม่ ในสินค้าทรูเร็วๆนี้

ส่วน 2 พระเอกนั้นไม่ได้เซ็นสัญญาผูกมัดกับช่อง 3 อยู่แล้ว มีแค่สัญญาใจจึงไม่มีปัญหา โดยเฉพาะ ติ๊ก มีความสัมพันธ์อันดีกับค่ายทรูอยู่แล้วจากที่เคยเล่นซีรีส์เรื่อง “รักนี้ชั่วนิรันดร์” ทาง ทรูวิชั่นส์มาก่อน และยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ กล่องทรูดิจิตอล เอชดี อีกด้วย ซึ่งการโคจรมาเจอกันของพระเอกกับนางเอก 2 วิกครั้งนี้เป็นเรื่อง “มิสชั่นอิมพอสซิเบิ้ล” เป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเรื่องจริง ดังนั้น คาดว่าน่าจะดึงดูดให้คอละครตั้งตารอชมอย่างใจจดใจจ่อแน่นอน.

Cr.ไทยรัฐ ,e-news ,Synergy | Facebook ,เล่าสู่กันฟัง ,

23 ส.ค. 2558

ท็อป พิพัฒน์ ฉลองวิวาห์ นุ่น ศิรพันธ์


ท็อป พิพัฒน์ ฉลองวิวาห์ นุ่น ศิรพันธ์
ท็อป พิพัฒน์ ฉลองวิวาห์ นุ่น ศิรพันธ์

หลังจากที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (23 สิงหาคม) ได้มีพิธีหมั้นแบบไทย ผูกข้อมือตามประเพณีทางภาคเหนือ สำหรับคู่รักดารา "นุ่น ศิรพันธ์" และ "ท็อป พิพัฒน์" ที่คบหาดูใจมานานกว่า 8 ปีเต็ม ล่าสุดเมื่อเวลา 17.00 น. วันเดียวกัน ทั้งคู่ได้ควงแขนกันออกมาแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ก่อนจะเข้าร่วมพิธีฉลองมงคลสมรส

ภายในงานยังคงเน้นคอปเซ็ปต์เก๋ๆ ตามแบบสไตล์รักษ์โลก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ณ โรงแรม แลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้กับบ้านเจ้าบ่าว มีรถไฟฟ้าบีทีเอส ผ่านเพื่อให้แขกได้เดินทางมาร่วมงานได้สะดวกและลดจำนวนรถยนต์ที่จะมาร่วมงานด้วย
นุ่น ศิรพันธ์ มาพร้อมกับชุดเจ้าสาวมือสอง ซึ่งเข้ากับคอนเซ็ปต์ลดการใช้วัสดุตัดเย็บชุดใหม่ ขณะที่ ท็อป พิพัฒน์ เอง ก็สวมชุดเจ้าบ่าวที่ตัดใหม่ โดยตั้งใจใช้สูททรงคลาสสิก เพื่อสามารถนำไปใส่ออกงานอื่นๆ ได้อีกในอนาคต

ส่วนของการ์ดเชิญของงานแต่ง ผลิตจากกระดาษสีน้ำตาลที่สามารถรีไซเคิลได้มากกว่ากระดาษฟอกขาวทั่วไป สามารถนำซองกลับมาใช้ต่อได้อีก เช่นเดียวกับ สมุดเขียนอวยพรหน้าพิธี ยังทำมาจากกระดาษที่ใช้แล้ว นำมาใช้ใหม่เพื่อลดปริมาณกระดาษ

บรรยากาศพิธีจัดเลี้ยงเป็นไปอย่างเรียบง่าย และต้องรบกวนสิ่งแวดล้อมและสร้างขยะเหลือทิ้งให้น้อยที่สุด ดอกไม้ประดับตกแต่ง ถูกจัดเป็นกระถางเล็กๆ เพื่อให้แขกนำกลับไปปลูกต่อที่บ้านได้ เน้นเสิร์ฟอาหารออร์แกนิกและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ ทั้งหมด

อีกทั้งยังมีข้อแตกต่างจากงานวิวาห์ทั่วไป เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่เลือกใช้ เค้ก 7 ชั้น แต่เปลี่ยนเป็นการปลูกต้นไม้แทน สำหรับนักดนตรีมาบรรเลงเพลงเพื่อสร้างบรรยากาศภายในงาน ยังเป็นนักดนตรีที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นอีกด้วย

ท็อป: ตอนเช้าเป็นพิธีในครอบครัวครับ เป็นญาติๆ
นุ่น: ตามประเพณีค่ะ พอเหมาะพอควร นุ่นชอบเพราะมีผูกข้อไม้ข้อมือ มาจากเชียงใหม่
ท็อป: รู้สึกดีครับ เคยผูกตอนไปถ่ายรายการ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอแบบนี้ อวยพรสดๆ
นุ่น: นุ่นน้ำตาไหล สบตาแม่ไม่ได้เลย ต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยให้งานสมบูรณ์แบบ พี่ท็อปก็น้ำตาไหล
ท็อป: ปฏิญาณกับน้องชายนุ่นครับ ผมเข้าไปอยู่ในครอบครัวทหาร มี 3 ข้อ พูดไปด้วยความตื่นเต้นตอนนั้น 1.ให้เชื่อฟังคำสอนขอภรรยา 2.ให้เคารพภรรยา 3.ให้รักษาสมบัติครอบครัว เหมือนพลโทเลิศพันธ์ คุณพ่อคุณนุ่นครับ
บอกเรื่องสินสอดได้ไหม?
ท็อป: ที่บ้านจัดให้นุ่นตามสมควรครับ ไม่ได้มากมายและน้อยเกินไป สิ่งสำคัญคือการให้เกียรติและความรักที่ให้เขามากกว่า
นุ่น: แหวนเพชร 3 กะรัตค่ะ จริงๆ ไม่ต้องห่วงนะคะ หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ทุกคนเป็นพยานเนอะ เขายกบริษัทให้แล้ว (ยิ้ม)
ท็อป: โอนเป็นชื่อเขาเลยครับ เป็นคนมีอำนาจในการเซ็นต์ทั้งหมด ผมเลยไม่อยากบอกว่าวันนี้ให้อะไรบ้าง ผมเชื่อใจเขา มี 2 บริษัทครับ
จดทะเบียนสมรสแล้วหรือยัง?
นุ่น: ยังเลยค่ะ รอดูฤกษ์อีกทีหนึ่ง
ธีมงานในวันนี้เราคิดกันเองใช่ไหม?
ท็อป: ผมคิดภายในใต้เงื่อนไขของพ่อแม่ด้วย และเอาเรื่องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาเสริมใส่ เราไม่ได้ช่วยกันคิด แต่เป็นสิ่งที่เราสองคนชอบนำมาจัด
ทายาทเตรียมมีเลยไหม?
ท็อป: ยังไม่ได้คิดเลยครับ สารภาพว่ายังไม่แน่ใจจะเป็นพ่อที่ดีได้ไง แต่สามีที่ดีพอรู้แล้ว รอดูสเต็ปต่อไป
นุ่น: คงอีกสักพักค่ะ ตามสเต็ป
วางแผนจะฮันนีมูนที่ไหน?
ท็อป: พ่วงกับการทำงานที่อิตาลีครับ ได้สองอย่างเลย การเลือกต่างประเทศไม่ได้แพลนตั้งแต่แรก ตอนแรกจะไปทะเลที่ไทยนี่แหละ แต่ต้องไปทำงานเลยจัดไปเลยละกัน ช่วยปลายเดือนกันยานี้ ไป10วันครับ
จะยังทำงานในวงการบันเทิงอยู่หรือเปล่า?
นุ่น: ยังทำต่อค่ะ ยังรัก ไม่เกี่ยงบท ต้องแบ่งเวลา ไหนๆ จะฮุบบริษัทเขาแล้วต้องทำให้ดีขึ้น (หัวเราะ)
เวลาที่คบกันมา 8 ปี พิสูจน์อะไรบ้าง?
ท็อป: ไม่ได้ได้มาง่ายๆ นะครับ เราเป็นตัวเองตั้งแต่แรกที่แตกต่างกัน ช่วงแรกทะเลาะกันบ่อย สุดท้ายก็ผ่านไปได้จนมาถึงวันนี้
ทำไมเราถึงตัดสินใจที่จะเลือกกันเป็นคู่ชีวิต?
นุ่น: ท็อปเป็นคนดีค่ะ เมื่อเช้ามีการส่งตัวได้พูดความในใจกับม๊าป๊าเขา (ร้องไห้) ขอบคุณที่เลี้ยงเขาเป็นคนดี เพราะความดีเขา นุ่นเลยอยากฝากชีวิตไว้
ท็อป: ได้อยู่แล้ว (กอด) ผมโชคดีที่เขาอยู่กับผมตลอด ผมไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่ดีมาจากไหน บ้านเป็นยังไง ผมสนใจแค่คนหนึ่งอยู่กับเราตลอดในวันที่เราจม ผมเลยขอแต่งงานเพราะเขาอยู่กับผมด้วย
สุดท้ายมีอะไรที่อยากบอกกันและกัน?
ท็อป: (มองหน้ากัน) ไม่ต้องห่วงเลยจะอยู่ดูแลจากนี้ตลอดไป (กอด)
นุ่น: (ร้องไห้) คู่เราไม่ได้สวีทกัน แต่อยู่กับความเป็นจริง ทุกการกระทำสำคัญกับคำพูดที่สุดแล้ว วันนี้เป็นเพียงวันเริ่มต้น อีกสิบปีไม่รู้จะเป็นยังไง การกระทำจะตอบเราเอง

Cr.Sanook,ผู้จัดการ

22 ส.ค. 2558

กล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์


กล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์
กล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์
เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นมือถือรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาให้เลือกสรรมากมาย คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่กล้องที่กลายเป็น แก็ดเจ็ต(Gadget) ชิ้นสำคัญของใครหลายๆ คน ฟังก์ชั่นที่หลากหลายที่แต่ละแบรนด์พยายามส่งออกมาแข่งขันกันอย่างคึกคักใน ตลาด เป็นเครื่องชี้วัดว่าเทคโนโลยีอยู่ใกล้ตัวเราอย่างแยกไม่ออก

รูป ภาพกลายเป็นสิ่งสำคัญในการบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตของคนเรา เมื่อก่อนเราอาจจะถ่ายรูปเก็บไว้เพื่อดูเอง แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นว่าเราถ่ายรูปกันเพื่อบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราให้ผู้อื่น ได้รู้ด้วย จากแค่กล้องธรรมดา ก็กลายเป็นว่าเราต้องจัดเต็มกันสุดๆ ไปโดยปริยายวันนี้เราจึงหยิบกล้องเจ๋งๆ มาแนะนำทุกคน ตัวนี้เป็นกล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์คุณภาพแจ๋วชื่อว่า “Z E1″ ที่มาพร้อมหน้าจอ LCD 2.5 นิ้ว

กล้องที่ว่านี้เป็นกล้องจิ๋วเปลี่ยน เลนส์ เพราะมันมีขนาดเล็กจริงๆ ค่ะ ไม่ถึงคืบนึงด้วยซ้ำ กล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์ E1 นั้นผลิตโดยบริษัทกล้องที่ชื่อว่า Z Camera ของ Jason Zhang ซึ่งเขาได้ระดมทุนเพื่อผลิตกล้องตัวนี้ออกมาวางขายในเว็บไซต์ kickstarter จนยอดระดมทุนทะลุเป้าหมายไปหลายเท่าตัวทีเดียว ทำไมคนถึงสนับสนุนเขามากขนาดนั้น เรามาดูความดีงามของกล้องตัวนี้กันดีกว่าค่ะ

กล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์ E1 เป็นกล้องขนาดเล็กที่สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ กล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์ยังสามารถใช้เลนส์ร่วมกับกล้อง Mirrorless จากกล้องแบรนด์อื่นๆ อย่าง Olympus, Panasonic Lumix, Leica และ Sigma สามารถปรับ ISO ให้สูงได้ถึง 102400 มีระบบเคลียร์นอยซ์ ซึ่งแน่นอนว่าจะถ่ายได้ดีในเวลากลางคืน 1/8000s shutter speed น้ำหนัก 209 กรัม กล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์มีความละเอียดของภาพถ่าย 16 ล้านพิกเซล แต่ความคมชัดในการบันทึกวิดีโอนั้นสูงถึง 4K UHD แบตเตอร์รี่ 2,000 mAh

ความ สะดวกสบายสำหรับการใช้งานกล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์ร่วมกับสมาร์โฟน(Smartphone) นั้นสามารถควบคุมตัวชัตเตอร์และจัดการภาพต่างๆ ได้จากบนสมาร์ทโฟนทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ซึ่งสามารถใช้งานโดยเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi และ Bluetooth แถมมีแบตเตอรี่ในตัว 2,000 mAh รองรับ microSD ได้สูงสุด 128GB แถมยังสะดวกพกพาด้วยขนาด 50.25 x 75.2 x 56.1 มม. และน้ำหนักเพียง 168 กรัม

ส่วนชิปของแก็ด เจ็ต(Gadget) ตัวกล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์ใช้ชิปประมวลผล Ambarella A9 รองรับการถ่ายวิดีโอนานสูงสุด 45 นาที และ 80 นาที หากไม่ได้เชื่อมต่อ Wi-Fi ด้วยความละเอียดแบบ 4K 4096×2160/24fps และแบบ UHD 3840×2160/30fps


ใคร ที่ชื่นชอบกล้องจิ๋วเปลี่ยนเลนส์ตัวนี้ สามารถเข้าไปดูได้ที่ kickstarter ราคาในช่วง Early Bird อยู่ที่ $599 (20,xxx บาท) ดูไปแล้วถือเป็นหนึ่งไอเท็มแก็ดเจ็ต(Gadget)ที่น่าสนใจไม่น้อยนะคะเนี่ย

Cr.Unlockmen,Asia21st ,Synergy | Facebook ,doly news

รถสอดแนม IOIO


รถสอดแนม IOIO
รถสอดแนม IOIO
มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ จุดประกายนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ไฮเทค 4 ชิ้น โดยนักศึกษาและอาจารย์พัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีระดับสากลจากการเรียนการสอนใน ห้องเรียน ประกอบด้วย 1.รถสอดแนมกู้ภัย  2.ระบบผู้เชี่ยวชาญเสมือนจาก Facebook Oculus Rift  3.ระบบบริหารร่างกายฤาษีดัดตน และ 4.พริ้นเตอร์ 3 มิติ (3D Printer)

"อ.ณัฏฐ์ โอธนาทรัพย์" ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเอเซียอาคเนย์ได้ร่วมกับคณาจารย์และนักศึกษาได้พัฒนางานเพื่อ ต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อความทันสมัย โดยสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ได้นำอุปกรณ์เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟน กล้อง Kinect ของ Microsoft หรือ Oculus Rift ของ Facebook และ Raspberry Pi มาประยุกต์ใช้งานร่วมกัน จนก่อให้เกิดผลงานที่น่าภาคภูมิใจ

สำหรับ สิ่งประดิษฐ์รถสอดแนม IOIO ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในเหตุการณ์ตึกถล่มหรือสถานการณ์เหตุการณ์ความไม่สงบ ต่าง ๆ ซึ่งคนไม่สามารถเข้าไปได้เพราะอาจเกิดอันตราย เช่น การวางระเบิด และการจับคนเป็นตัวประกัน โดยสามารถใช้รถแนมเข้าไปสำรวจตามซอกเล็ก ๆ ที่สำคัญยังสามารถใส่อุปกรณ์อื่น ๆ เพิ่มเติมได้ เช่น กล้องปากกาสอดแนม  กล้องสอดแนม CCTV หรืออุปกรณ์ทำลายวัตถุระเบิด

วิธี ใช้งานคือ จะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่องในการเชื่อมต่อและบังคับทิศทาง โทรศัพท์เครื่องที่ 1 จะคอยสั่งการผ่านบลูทูธ(Bluetooth) ส่งคำสั่งเข้าโทรศัพท์เครื่องที่ 2 ที่ติดตั้งอยู่กับรถ มีรัศมีทำการเท่ากับรัศมีของไวไฟ (Wifi) ตัวแอพพลิเคชั่นที่ใช้ โดยใช้ร่วมกับโทรศัพท์มือถือ พัฒนาต่อยอดมาจาก IOIO Board (อ่านว่า โยโย่ บอร์ด) ซึ่งถ้าเป็นรถบังคับทั่วไปคนที่คอนโทรลจะไม่เห็นอะไร แต่ตัวนี้จะเห็นมุมมองจากรถด้วยกล้องจิ๋ว ว่าวิ่งถึงไหน เข้าไปในไหนแล้ว อันนี้คือก้าวแรกของการพัฒนา

นอก จากนี้ยังมีสิ่งประดิษฐ์ระบบการบริหารร่างกายฤาษีดัดตน มีแนวคิดมาจากการที่เห็นประเทศอื่นทำท่าออกกำลังกายด้วยท่าบอดี้คอมแบต จี้กง โยคะ ทางมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์จึงมีแนวคิดพัฒนาท่าบริหารร่างกายของไทยขึ้นมา บ้าง เพื่อส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย จึงพัฒนาระบบการบริหารฤาษีดัดตนขึ้นมาเพื่อให้คนไทยได้บริหารร่างกายในท่า ฤาษีดัดตนอย่างถูกต้อง และไม่จำเป็นต้องไปที่วัดโพธิ์ เพราะระบบนี้จะทำให้เกิดความสนุกสนานกับการบริหารร่างกาย อุปกรณ์ที่ใช้จะเป็นกล้อง Kinect ของ Microsoft ที่จะคอยจับรายละเอียดร่างกาย เครื่องนี้สามารถเช็คท่าทางว่าทำถูกหรือไม่ มีการให้คะแนน เสมือนมีคนสอน มีทั้งหมด 18 ท่าหลัก

"อ.ณัฏฐ์" อธิบายต่อถึงสิ่งประดิษฐ์อีกชิ้นที่เป็นผลงานของนักศึกษาคือ ระบบผู้เชี่ยวชาญเสมือน Oculus เพื่อให้นักศึกษาได้เห็นมุมมองของอาจารย์ผู้สอนเป็นภาพ 3 มิติ โดยสมมุติอาจารย์เป็นวิศวกรสำรวจตึกใส่หมวกที่มีกล้องติดอยู่ นักศึกษาจะได้เห็นมุมมอง 3 มิติของกิจกรรมดังกล่าว ประโยชน์คือจะได้ความเชี่ยวชาญ และได้ประสบการณ์

สิ่งประดิษฐ์ตัวนี้ ใช้อุปกรณ์ Oculus Rift ของ Facebook เชื่อมต่อกับ Raspberry Pi ซึ่งทำหน้าที่เก็บบันทึกข้อมูล และเอากล้องเว็บแคมใส่กับหมวกเฮดการ์ด ซึ่งกล้องตัวนี้เหมือนกับลูกตา 2 ข้าง แล้วมีการบันทึกภาพเป็นสามมิติพร้อมเสียงของอาจารย์ผู้สอน

นอกจากนี้ ที่มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ยังมีการนำพริ้นเตอร์ 3มิติ (3D Printer)มาใช้สำหรับนักศึกษาวิชาออกแบบ เพื่อจะได้เห็นรูปร่างของชิ้นงานอย่างเป็นรูปธรรมในทุก ๆ ด้าน ไม่ใช่แค่ด้านเดียวเหมือนในกระดาษหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการทำงานใช้ร่วมกับกล้อง Kinect ที่สามารถถ่ายภาพตื้นลึกเป็นภาพสามมิติได้ นำมาสแกน object หรือวัตถุรอบด้านก็จะได้ออกมาเป็น 3D โมเดล ได้ทันที

"ผศ.ดร.วีร พันธ์ ม่วงทองสุข" ผู้อำนวยการสำนักวิจัย มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ กล่าวเสริมว่า วัสดุที่ใช้ในการสร้างชิ้นงานสำหรับพรินเตอร์ 3 มิติ(3D Printer)คือ PLA เป็นไฟเบอร์จากอ้อยซึ่งจะไม่เป็นอันตราย มันจะละลายแล้วหลอมออกมาเป็นชิ้นงานโดยใช้ความร้อน ซึ่งตัวนี้เป็นโครงการที่ต้องการให้นักศึกษานำรายวิชาที่เรียนมาปรับและ พัฒนาให้เกิดประโยชน์

"ยกตัวอย่างนักศึกษาวิศวกรรมเครื่องกลจะมีวิชา ออกแบบหรือว่าเขียนแบบวิศวกรรม ปกติเขียนแบบจะแค่ดราฟอยู่ในคอมพิวเตอร์ แต่หากออกแบบก็จะคำนวณรูปร่างของวัสดุต่าง ๆ แต่ก็จะไม่เห็นของจริง เครื่องมือนี้สามารถช่วยสร้างความเข้าใจให้กับนักศึกษามากขึ้น เราเรียกว่า Rapid Modeling คือการทำการออกแบบแล้วพริ้นโมเดลออกมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีในโลกปัจจุบันนี้มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก มนุษย์เราใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น"

"ฉัททวุฒิ พีชผล" อธิการบดี มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางมหาวิทยาลัยมุ่งเน้นให้นักศึกษาได้มีโอกาสลงมือปฎิบัติจริง เพื่อพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่มีความคิดสร้างสรรค์และมีความสามารถในการเรียนรู้ สูง โดยการให้โอกาสนักศึกษาได้คิด ฝึกฝน พัฒนากับของจริง เพื่อพัฒนาต่อยอดด้วยเครื่องมือการเรียนรู้ที่ทันสมัยตามมาตรฐานสากล มีส่วนช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และช่วยเตรียมพร้อมพัฒนาให้นักศึกษา ของมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ มีทักษะด้านเทคโนโลยีที่ต้องใช้ในการทำงานจริงในศตวรรษที่ 21 ได้เป็นอย่างดี เพิ่มประสบการณ์และทักษะของผู้เรียน และเป็นการสะท้อนถึงการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยไทยว่าไม่แพ้ชาติใดในโลก

Cr.ประชาชาติธุรกิจ,Synergy | Google+ ,doly news ,

ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ


ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ
ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ถึงการใช้ชีวิตของสังคมปัจจุบันที่อินเตอร์เน็ตเข้ามามี บทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก ไม่ว่าจะเพื่อการประกอบอาชีพ การสนทนาติดต่อสื่อสาร หรือการสั่งซื้อของและการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งจำเป็นต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ต ไม่เช่นนั้นก็ควรมี Pocket WiFi ติดตัวไปเพื่อการดังกล่าว    

      ปัญหาอินเทอร์เน็ตไม่เป็นดังใจหวังหากไม่มีสัญญาณไวไฟ หรือไม่มีอุปกรณ์ไวไฟพกพาติด ตัวไปด้วย เมื่อไปยังสถานที่ไม่คุ้นเคย  กลายเป็นปัญหาสำคัญสำหรับใครหลายๆ คน หากต้องติดต่องานผ่านอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จึงปิ๊งไอเดียสร้างเครื่องกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตหยอดเหรียญ หรือ ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ สร้างเครือข่ายอออนไลน์ไม่สะดุด
     
       สารพัดตู้หยอดเหรียญที่เข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้คนในปัจจุบันกลาย เป็นวิถีชีวิตคนเมืองที่หลายคนขาดไม่ได้ ล่าสุดมีผู้คิดค้น “ตู้กระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบหยอดเหรียญ” ตอบโจทย์เทรนด์คนรุ่นใหม่ พร้อมจดอนุสิทธิบัตร การันตีนวัตกรรมไอทีหนึ่งเดียวในไทย
     
       ผศ.ดร.ชุติมา ประสาทแก้ว อาจารย์สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ ภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เจ้าของผลงาน “เครื่องให้บริการกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบหยอดเหรียญ (Wi-Fi Vending Machine)"
     
       เผยที่มาไอเดียนี้ว่าเกิดมาจากตัวเองล้วนๆ ที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังต้องติดต่องานผ่านทางอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งหลายสถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวยในการทำงานต้องไปหาร้านอินเทอร์เน็ต เพื่อทำงานซึ่งไม่สะดวก จึงคิดว่าหากมีเครื่องกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตหยอดเหรียญเหมือนตู้น้ำดื่ม หยอดเหรียญ ตู้เติมเงินมือถือก็คงจะดี จึงเป็นที่มาของ ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ

        ทำให้อาจารย์ชุติมาเริ่มศึกษาข้อมูลเรื่องสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อนำมาปรับ ใช้ในการสร้างเครื่องกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ต โดยพบว่าปัจจุบันมีวิธีเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายไร้สาย Wireless Lan สามารถลดค่าใช้จ่ายในการวางระบบบเครือข่าย โดยไม่ต้องมีการวางระบบเครือข่ายให้ยุ่งยากซับซ้อน ไม่ต้องเดินสาย LAN เพียงมีจุดในการวางอุปกรณ์ Access Point ที่สามารถกระจายสัญญาณได้ดี
      
         รวมถึงเป็นทำเลที่ขยายระบบได้ง่าย ปรับใช้ในองค์กรหรือความต้องการได้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งานได้ โดย ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ ดังกล่าวเหมาะสำหรับสถานประกอบการต่างๆ ด้านธุรกิจการสื่อสารหรือตามสถานที่ต่างๆ เช่น สถานีรถขนส่ง สถานีรถไฟหรือรถไฟฟ้า โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ (อำเภอ ที่ดิน และศาล) สถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์การให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ง่ายและสะดวกในการใช้งาน
     
       สำหรับเครื่องกระจายสัญญาณไวไฟแบบหยอดเหรียญ หรือ ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ เป็นการซื้อเวลาในการเข้าใช้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยลักษณะการทำงานของผู้ใช้หยอดเหรียญเข้าไปในเครื่องตามจำนวนชั่วโมงที่ ต้องการใช้ เครื่องจะพิมพ์ User Name และ Password สำหรับใช้งานในระบบ จากนั้นระบบจะทำการจับเวลาในการเข้าใช้งานและจะหยุดบริการเมื่อหมดเวลาใช้ งาน ถือว่าขั้นตอนไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ใช้งานเลย

       ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาต่อยอด ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ กับนักศึกษา โดยพัฒนาระบบเพื่อตอบสนองความต้องการให้กับกลุ่มผู้ใช้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตา พิการทางการได้ยิน เช่น การจัดทำอักษรเบรลหรือคำบรรยาย สำหรับคำสั่งต่างๆ ในการใช้งาน หรือมีเสียงประกอบ เป็นต้น

        นอกจากนี้ยังพัฒนาเพิ่มระยะของการปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ให้มีความไกลและแรงมากขึ้น เพิ่มเครื่องรับเงินแบบธนบัตร เพิ่มเครื่องทอนเงิน ให้มีการแจ้งเตือนเมื่อเวลาการใช้งานใกล้จะหมดตามจำนวนเงินที่หยอด มีกล้องวงจรปิดติดที่เครื่องเก็บข้อมูลลงฐานข้อมูลเพื่อใช้อ้างอิงกรณีที่ อาจเกิดปัญหาหรือต้องการใช้อ้างอิงในทางกฎหมาย มีระบบสัญญาณกันขโมยติดที่เครื่อง

        ผู้สนใจเครื่องกระจายสัญญาณ Wi-Fi แบบหยอดเหรียญ สอบถามรายละเอียดได้ที่ ผศ.ดร.ชุติมา ประสาทแก้ว โทร.080-5791872 หรือสนใจเข้าชมผลงานดังกล่าวได้ ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี โดยที่ผ่านมามีผู้สนใจซื้อตู้WiFiหยอดเหรียญเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ทางอาจารย์ชุติมายังไม่พร้อมเพราะต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาบางส่วน แต่คาดว่าจะออกจำหน่ายได้ในเร็วๆ นี้
     
        ล่าสุดเครื่องกระจายสัญญาณไวไฟแบบหยอดเหรียญ หรือ ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ อาจารย์ชุติมาได้ทำการจดอนุสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้วป้องกันการลอกเลียนแบบ

Cr.ผู้จัดการ,Flashfly,Asia21st ,Lady Accessories ,

21 ส.ค. 2558

วิธีง่ายๆ เพิ่มสัญญาณWiFi ในบ้าน


วิธีง่ายๆ เพิ่มสัญญาณWiFi ในบ้าน
Photo : Vox.com
เคยเจอปัญหาสัญญาณไวไฟ(WiFi)ในบ้านไปไม่ทั่ว มีจุดอับสัญญาณ แถมความรู้ ความชำนาญก็ไม่เยอะหรือเปล่า แล้วจะทำยังไงให้มีไวไฟ(WiFi)แรง ๆ ใช้ทั่วบ้าน
ปัจจุบันนี้คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้านต้องปวดหัวเนื่องมาจากสัญญาณไว ไฟ(WiFi)ที่ช้า หรือบางทีไม่วิ่งเลย ทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในหัวใจ บางทีคุณอาจจะได้รับสัญญาณไวไฟ(WiFi)ได้เต็มขีดที่ห้องนอน แต่พอคุณก้าวพ้นห้องนอนไปที่ห้องครัวเท่านั้น ตัวรับสัญญาณ WiFi บนไอแพดของคุณกลับเหลือ 2 ขีดซะงั้น เรามี 5 วิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้เพื่อเพิ่มระยะทางและสัญญาณไวไฟ(WiFi)ให้กับบ้านของคุณ
     
1.เปลี่ยนเสาอากาศของเราเตอร์(WiFi Router Antenna)
   
เพราะ เสาอากาศที่ติดมานั้นถูกออกแบบให้ส่งสัญญาณได้รอบทิศทาง ซึ่งบ่อยครั้งที่สัญญาณจะไปชนกับผนังหรือตู้ ดังนั้น การเปลี่ยนเสาอากาศใหม่ที่สามารถเน้นไปในทิศทางที่คุณต้องการมากที่สุด หรือที่เรียกว่าเสาอากาศแบบ high-gain ซึ่งทั้งบริษัท D-Link Linksys และ Hawking ต่างมีเสาอากาศแบบนี้จำหน่าย
     
2.เพิ่มไวไฟรีพีตเตอร์(WiFi Repeater)

ตัว ไวไฟรีพีตเตอร์(WiFi Repeater)นี้จะเพิ่มระยะส่งสัญญาณไวไฟ(WiFi)ให้ไกลขึ้น คุณสามารถติดตั้งตัวนี้โดยไม่ต้องเดินสายเพิ่ม เพียงแค่ติดตั้งไวไฟรีพีตเตอร์(WiFi Repeater)ในจุดที่อยู่ระหว่างเราท์เตอร์และจุดที่คุณต้องการเพิ่มสัญญาณ โดยหลังจากติดตั้งไว-ไฟรีพีตเตอร์ คุณควรจะเห็นประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นในทันที
     
3.กำจัดสิ่งที่รบกวนสัญญาณไวไฟ(WiFi)ออกไป
     
สิ่ง ที่หนักและหนา เช่น กำแพงที่หนา ตู้ที่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ และอื่นๆ ล้วนแต่เป็นอุปสรรคได้ พยายามที่จะย้ายเราเตอร์ของคุณให้ห่างจากสิ่งเหล่านี้ หรือตั้งมันให้อยู่ในที่สูงขึ้น เพื่อให้มันกระจายสัญญาณได้ดีขึ้น ในทางเดียวกัน ตัวส่งสัญญาณอื่นๆ เช่น โทรศัพท์บ้านแบบไร้สาย เครื่องมอนิเตอร์เด็กทารก และรีโมตเปิดประตูโรงรถสามารถส่งคลื่นรบกวนสัญญาณไวไฟ(WiFi)ของเราเตอร์ได้ ดังนั้นพยายามที่จะไม่ให้สิ่งพวกนี้อยู่ใกล้ๆ กับเราเตอร์ของคุณ
     
4.อัปเดตเฟิร์มแวร์ของเราเตอร์(Router)
     
โดย ปกติแล้วบริษัทผู้ผลิตมักจะให้อัปเดตเฟิร์มแวร์ของผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ เข้าเว็บไซต์บริษัทเราเตอร์เพื่อทำการอัปเดต และถ้าคุณใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ของไมโครซอฟท์ ให้แน่ใจว่าคุณได้อัปเดตซอฟต์แวร์ของเน็ตเวิร์กล่าสุดสหรับระบบปฏิบัติการวิ นโดวส์(Windows) ตอนนี้ก็มีวินโดวส์ 10(Windows10) มาให้ลองใช้งานฟรีแล้ว
     
5.เปลี่ยนตัวรับสัญญาณ WiFi แบบ USB WiFi 
     
ถ้าหากคุณมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กรุ่นเก่าที่ไม่สามรถรับสัญญาณไวไฟ(WiFi)ในตัว ให้พิจารณาเปลี่ยนมาใช้ตัวรับสัญญาณ WiFi แบบ USB WiFi   แทนที่จะเป็นแบบการ์ด มันจะเพิ่มศักยภาพการรับสัญญาณของตัวโน้ตบุ๊กอย่างเห็นได้ชัด

และ สุดท้ายก่อนจบ ขอให้ตรวจเช็คว่าระบบไวไฟ(WiFi)ในบ้านคุณนั้นไม่มีเพื่อนบ้านแอบมาร่วมแจม อาจจะไม่เกี่ยวกับเพิ่มประสิทธิภาพเท่าไหร่นัก แต่มันทำให้คุณนอนหลับได้ ทำให้มั่นใจว่ามีแต่คุณและคนในครอบครัวเท่านั้นที่สามารถใช้ระบบไวไฟ(WiFi) ของบ้านคุณได้เท่านั้น
ระบบรักษาความปลอดภัยทางเน็ตเวิร์กโดยพื้นฐานแล้วมี 2 วิธี คือ WPA (wifi protected access) และ WEP (Wired Equivalent Privacy) ซึ่งทั้ง 2 วิธีต้องการพาสเวิร์ด(password)เพื่อใช้แสดงตัวในการผ่านเข้าระบบเพื่อใช้ งาน แต่ถ้าคุณไม่มีทั้งคู่ควรปรึกษากับผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตของคุณ

Cr.ผู้จัดการ,Asia21st ,e-news ,เล่าสู่กันฟัง

ท่าอากาศยานพลังงานแสงอาทิตย์


ท่าอากาศยานพลังงานแสงอาทิตย์
ท่าอากาศยานพลังงานแสงอาทิตย์
ท่าอากาศยาน  Cochin International แห่งนี้อยู่ที่เมือง Kochi City ในรัฐ ในรัฐ Kerala ประเทศอินเดีย  เป็นท่าอากาศยานพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกของโลก  จากเทคโนโลยีของเยอรมนี บริษัทวิศวกรรม Bosch ของเยอรมนีเป็นผู้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าที่ว่านี้ ซึ่งมีขนาด 12 เมกกะวัตต์ และใช้แผงรับแสงอาทิตย์มากกว่า 46,000 แผง  สามารถนำมาพัฒนาเป็นพลังงานไฟฟ้ามาใช้กับอุปกรณ์เครืองใช้ไฟฟ้ามากกมายภายใน ท่าอากาศยาน ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟโซล่าเซลล์  แบตสำรองโซล่าเซลล์ (Solar Collector)  ฯลฯ

นาย V.J. Kurian กรรมการผู้จัดการของท่าอากาศยานใหม่แห่งนี้ กล่าวว่า ระบบการผลิตไฟฟ้าของท่าอากาศยานสามารถผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ มากถึง 52,000 กิโลวัตต์ แต่ที่จะใช้เองนั้น เท่ากับ 49,000 กิโลวัตต์ ที่เหลือจะส่งมอบให้การไฟฟ้าของรัฐ Kerala ท่าอากาศยานพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกของโลกจะมีพิธีเปิดท่าอากาศยานแห่งนี้ อย่างเป็นทางการในวันที่ 18 สิงหาคมนี้

ก่อนหน้านี้ ประเทศอินเดียมได้เริ่มใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยนำมาพัฒนาเป็นโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์คร่อมคลองนามา ด้า ทางตอนเหนือของแคว้นคุชราต ในพื้นที่รกร้างทางเหนือของเมือง มีโครงการนำร่องที่แก้ปัญหาทั้งการขาดแคลนพลังงาน และขาดน้ำใช้ในละแวกคลองนามาด้า ด้วยวีธีง่ายๆ แต่ได้ผลไม่น่าเชื่อ โครงการน้ำร่องนี้เริ่มต้นที่ต้องการจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แจกจ่ายไฟฟ้าตามหมู่บ้านแล้วเหลือเก็บสำรองในรูปแบบพลังงานสำรอง หรือ แบตสำรองโซล่าเซลล์ (Solar Collector)

พื้นที่ จะติดตั้งนั้นเมื่อไปวางบนผืนดินก็อาจจะเสียพื้นที่อยู่อาศัยหรือการทำ เกษตรกรรมรูปแบบต่างๆ ไปได้ ทางเลือกที่โครงการน้ำเสนอคือ ไหนๆ ก็ต้องวางเหล่าดงแผงโซลาร์เซลล์เหล่านี้แล้ว ต้องวางที่ไหนจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ทางออกของปัญหาจึงมาจบลงที่วางทุ่งแผงโซลาร์เซลล์นี้คร่อมคลองนามาด้าเสีย เลย ด้วยเพราะจะสามารถลดการเสียน้ำไปจากการระเหยด้วยความร้อนจากแสงอาทิตย์

ใน 1 ปีจะลดการระเหยของน้ำได้ถึง 9 ล้านลิตรจากระยะทางของการคลุมคลองความยาวกว่า 19,000 กิโลเมตร ผลลัพธ์เหล่านี้สามารถนำน้ำที่เคยหายไปมาช่วยชาวคุชราตได้มากเลยทีเดียว และยังผลิตไฟฟ้ากว่า 600 เมกกะวัตต์ให้กับ 11 ตำบลในคุชราตอีกด้วย

ใน ปัจจุบันคลองที่มีแผงโซลาร์เซลล์คลุมเพื่อลดการระเหยของน้ำนี้มีความยาวกว่า 458 กิโลเมตรในเส้นคลองหลัก หากโครงการนี้แล้วเสร็จจะมีความยาวมั้งหมด 85,000 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยให้ชาวอินเดียมีน้ำใช้ ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอีกโขเลยทีเดียว ด้วยวิธีแก้ปัญหาอันชาญฉลาดก็คือ การวางแผน การออกแบบก่อนลงมือทำเท่านั้นเอง และในขณะเดียวกันที่บ้านเรามีคลองชลประทานมากมาย พร้อมกับมีแสงอาทิตย์เข้มข้นเหลือเฟือ ดูงานนี้แล้วมันน่าสนใจจริงๆ

อย่าง ไรก็ตาม ท่าอากาศยาน “สีเขียว” แห่งแรกของโลกนั้นที่ใช้พลังงานทดแทนจากธรรมชาติ มีการสร้างมาก่อนหน้าอินเดียเสียอีก  สร้างขึ้นไว้ที่หมู่เกาะ Galapagos ในประเทศ Ecuador เมื่อปี ค.ศ. 2012 และพลังงานที่ท่าอากาศยานแห่งนี้ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าคือพลังลม ซึ่งทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เมืองไทยเรามีเหลือที่สามารถนำมา พัฒนาได้เลย  เหลือเพียงวางแผนและลงมือทำอะไร ๆ ก็ง่ายไปหมด

Cr.Creative Move,Voice of America,Synergy | Facebook ,เล่าสู่กันฟัง ,

กองทุนการออมแห่งชาติ รับบำนาญตลอดชีพ

กองทุนการออมแห่งชาติ รับบำนาญตลอดชีพ
กองทุนการออมแห่งชาติ รับบำนาญตลอดชีพ




จ่ายแค่ขั้นต่ำไม่พอรับบำนาญตลอดชีพ กอช.แนะวางเป้าหมายก่อนออม จ่ายแค่ขั้นต่ำไม่พอรับบำนาญตลอดชีพ
 
                       หลังจาก พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) มีผลบังคับใช้ไปตั้งแต่ปี 2554 แต่ก็มีอันต้องหยุดชะงักลงจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้การเดินหน้าจัดตั้ง กอช.ถูกดองเอาไว้เป็นเวลานานถึง 4 ปี จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลปัจจุบันได้นำออกมาปัดฝุ่นและเดินหน้าผลักดันกองทุนดัง กล่าวอีกครั้ง โดยล่าสุดมีกำหนดจะเปิดรับสมาชิกในวันที่ 20 สิงหาคม 2558 ซึ่งจะเน้นดูแลและให้สวัดิการแก่แรงงานนอกระบบของประเทศที่มีจำนวนกว่า 25 ล้านคน
 
                       นายสมพร  จิตเป็นทม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช.จัดตั้งขึ้นมาจากแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ต้องการส่งเสริมให้คนไทยมีการออมเงินไว้ใช้ยามแก่ชราและไม่มีลูกหลานคอย เลี้ยงดู โดยหลักการของ กอช.ต้องการให้ประชาชนสะสมเงินของตัวเองส่วนหนึ่งกับเงินสมทบของรัฐบาลอีก ส่วนหนึ่ง เป็นการช่วยกันออม จะได้สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองในอนาคต  ทั้งนี้เป้าหมายแรงงานอกระบบที่อยากให้สมัครเป็นสมาชิก กอช. จะเป็นกลุ่มที่ไม่มีการคุ้มครองโดยรัฐ เช่น อาชีพค้าขาย คนขับแท็กซี่ คนมอเตอร์ไซค์รับจ้าง  เกษตรกร  ทนายความ นักบัญชี และรวมไปถึงนักเรียน นักศึกษาที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จนถึงอายุไม่เกิน 60 ปี สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกได้ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ได้  
 
                       ส่วนประชาชนที่มีอายุเกิน 60 ปี เช่น ข้าราชการเกษียณ หรือพนักงานเอกชนที่เกษียณจากการทำงานแล้ว แต่อยากเข้าเป็นสมาชิกในลักษณะดังกล่าว คงต้องรอให้กฎหมายอีกฉบับมีผลบังคับใช้ก่อน คาดว่าจะเป็นภายในเดือนกันยายน 2558 ซึ่งสามารถสมัครเป็นสมาชิกได้ในช่วงโปรโมชั่นในช่วง  1 ปีแรกนี้ และสามารถออมเงินต่อเนื่องได้อีก 10 ปีหลังจากนั้นจึงจะได้รับเงินคืน
 
                       นายสมพรกล่าวต่อว่า ก่อนจะสมัครเข้าเป็นสมาชิก กอช. อยากให้ทุกคนตั้งเป้าหมายก่อนว่าจะออมเงินเพื่ออะไร จะออมเพื่อเก็บเงินก้อนไว้ใช้ยามเกษียณหรืออยากได้บำนาญในวงเงินที่สูงพอ เลี้ยงชีพไปจนถึงได้รับโบนัสจากรัฐบาล เพราะหากจะออมเงินเพียงขั้นต่ำเพียงเดือนละ 50 บาท หรือปีละ 600 บาท อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการคำนวณจ่ายบำนาญคืนเมื่ออายุ 60 ปี จึงอยากให้ออมในจำนวนที่มากพอ เพราะยิ่งออมมากยิ่งได้เงินบำนาญมากและได้โบนัสเยอะตามไปด้วย 
 
                       “คนที่มีเงินมากควรออมมาก ส่วนคนมีน้อยหรือไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องออมเงินทุกเดือน ทาง กอช.ค่อนข้างจะยืดหยุ่นตรงนี้ เพราะเข้าใจดีว่าแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ปีไหนจะไม่ออมก็ได้ หรือกรณีที่สมัครเข้ามาแล้วภายหลังเข้าไปอยู่ในระบบกองทุนประกันสังคมจะไม่ ลาออกและส่งเงินให้ กอช.บริหารต่อก็ได้ แต่ก็จะเสียสิทธิการได้รับเงินสมทบจากรัฐบาล หรือภายหลังว่างงานกลับเข้ามาอยู่ใน กอช.อีกก็ได้ ตราบใดที่ยังไม่แจ้งขอลาออก ส่วนการจะเดินเข้าไปฝากเงินที่แบงก์ทุกเดือนอาจจะไม่สะดวก แนวทางที่ดีอยากแนะนำให้ฝากปีละครั้ง เพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของ กอช.ที่ต้องจ่ายให้ 3 แบงก์รัฐ คือ ออมสิน กรุงไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือธ.ก.ส.ด้วย” นายสมพรกล่าว
 
 
                       พร้อมแนะนำว่า ยิ่งเริ่มออมตั้งแต่อายุน้อย 15 ปี ก็ยิ่งมีโอกาสได้เงินบำนาญมาก เช่น หากออมเงินสูงสุดปีละ 13,200 บาทไปจนถึงอายุ 60 ปี บวกกับเงินสมทบของรัฐตามช่วงอายุ คือ 15-30 ปี รัฐจ่ายให้ 50% ของเงินสะสมแต่ไม่เกินปีละ 600 บาท  อายุ 30-50 ปีรัฐจ่าย 80% ของเงินสะสมแต่ไม่เกิน 960 บาท และอายุ 50 ปีขึ้นไปรัฐจ่าย 100% แต่ไม่เกิน 1,200 บาท บวกกับดอกผลจากการลงทุนก็น่าจะได้รับเงินบำนาญ 8,000-10,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่ลำบากในอนาคต แต่หากเงินในบัญชีมีน้อยและคำนวณบำนาญแล้วได้น้อยกว่าบำนาญขั้นต่ำ 600 บาทกองทุนก็จะให้เงินดำรงชีพเท่ากับ 600 บาทไปจนกว่าเงินในบัญชีจะหมด ซึ่งจากที่คำนวณคร่าวๆ ต้องมีเงินในบัญชีไม่ต่ำกว่า 150,000 บาทจึงจะได้รับบำนาญ 
 
                       ส่วนที่กำหนด 600 บาทเป็นตัวตั้ง เพราะมีการประเมินแล้วว่าเป็นเงินดำรงชีพขั้นต่ำที่ควรจำเป็นและเมื่อรวมกับ เบี้ยยังชีพจากรัฐบาลอีก 600 บาท จะทำให้ผู้มีอายุ 60 ปีมีเงินใช้จ่ายอย่างน้อยเดือนละ 1,200 บาท ซึ่งตามหลักแล้วการรับเงินบำนาญไปเรื่อยๆ นั้น เมื่อถึงอายุ 80 ปี เงินในบัญชีจากการสะสม สมทบและดอกผลจะหมดจากบัญชี แต่กรณีที่อายุยืนกว่านั้น ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่อายุขัยเฉลี่ยคนไทยจะมากขึ้นตามการแพทย์  กอช.ก็ยังจ่ายเงินในอัตราเท่าเดิมต่อไป จึงอยากชี้ให้เห็นว่า หากยิ่งออมมากก็จะได้รับบำนาญมากและได้โบนัสหลังอายุ 80 ปีมากตามไปด้วย
 
                       อย่างไรก็ตาม เงินบำนาญที่ 600 บาทต่อเดือน ในอนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ค่าครองชีพในช่วงนั้นๆ และขึ้นอยู่กับนโยบายด้วย และอยู่ที่การบริหารให้ได้ดอกผลว่าจะได้มากน้อยเพียงใด แต่หาก กอช.บริหารผิดพลาดก็ต้องหาเงินมาจ่ายตามที่การันตีผลตอบแทนขั้นต่ำไว้ เทียบเท่าเงินฝากประจำ 12 เดือนของ 4 แบงก์ ซึ่งน่าจะสูงกว่าเงินเฟ้อ  จึงการันตีได้ว่าเงินฝากจะไม่ด้อยค่าเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อในช่วงนั้นๆ อย่างแน่นอน
 
                       สำหรับการรับสมัครวันแรก 20 สิงหาคม 2558 ผู้สนใจเพียงถือบัตรประชาชนใบเดียวก็สมัครได้ที่สาขาของอองสิน ธ.ก.ส. และกรุงไทยกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ โดยขณะนี้ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลของ กอช.กับแบงก์และกรมการปกครอง สำนักงานประกันสังคมพร้อมแล้ว แต่หากมีการเข้ามาสมัครเป็นจำนวนมากก็อาจทำให้ระบบล่มได้ คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง โดยในสิ้นปีนี้ตั้งเป้ามีสมาชิกสมัครเข้ากองทุนกว่า 5-6 แสนคน สิ้นปี 2559 มีจำนวน 1.5 ล้านคน และในปี 2560 จะมีสมาชิกจำนวนถึง 3 ล้านคน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของแรงงานนอกระบบที่ยังพอมีศักยภาพการออมเงิน 10 ล้านคน และน่าจะมีเม็ดเงินในกองทุนกว่าแสนล้านบาทในอีก 5-6 ปีข้างหน้า 
 
                       นายสมพรกล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ กอช.จะทำงานเชิงรุกเข้าหาชุมชน วัด โรงเรียน เพื่อปลูกฝังการออมตั้งแต่ยังอายุน้อยและให้วัดช่วยกล่อมเกลาชาวบ้านให้เห็น ประโยชน์ของการออมอีกแรงหนึ่ง เพราะการทำบุญเป็นการเก็บไว้กินชาติหน้า แต่การออมเก็บไว้กินชาตินี้ หากอยากสบายมีเงินไว้ใช้ยามเกษียณ “ก็ออมชิ” (มาจากตัวย่อของ กอช.) นอกจากนั้น ในอนาคตกอช.อาจจะเข้าไปมีส่วนช่วยสมาชิกในการเพิ่มรายได้ลดรายจ่าย หรือสนับสนุนแหล่งเงินทุน โดยการนำเงินส่วนหนึ่งไปปล่อยกู้ให้นาโนไฟแนนซ์เพื่อให้นำไปปล่อยกู้ต่อใน อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงก็เป็นได้
 

โรคโมยาโมยา

    
โรคโมยาโมยา
โรคโมยาโมยา



        โรคโมยาโมยา คือ โรคที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดสมอง ซึ่งพบได้ 1 ในล้านคน แต่จากข่าวอาการป่วยของน้องซีดี นักแสดงเด็กจากเรื่องตุ๊กแกรักแป้งมาก ทำให้เราต้องหันมาใส่ใจโรคโมยาโมยากันมากขึ้น
          โรคโมยาโมยา (Moyamoya disease) ชื่อโรคนี้อาจแปลกหูสำหรับเราพอสมควร เพราะเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้น้อยในประเทศไทย โดยมีอัตราส่วนการเกิดโรคนี้อยู่เพียง 1 ในล้านคนเท่านั้น ทว่าแม้จะมีโอกาสเพียงแค่ 1 ในล้าน แต่ก็ใช่ว่าโรคโมยาโมยาจะไม่เกิดขึ้นเลยนะคะ ดังตัวอย่างอาการป่วยของน้องซีดี กฤตไน นักแสดงเด็กจากเรื่องตุ๊กแกรักแป้งมาก เป็นต้น ซึ่งก็ทำให้หลายคนเริ่มตระหนักถึงโรคภัยที่อยู่ใกล้ตัวกันมากขึ้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรามาลองทำความรู้จักโรคโมยาโมยากันเถอะ

โรคโมยาโมยา คือโรคอะไร

          โรคโมยาโมยา เป็นโรคที่เกิดจากหลอดเลือดสมองมีความผิดปกติ โดยพบว่ามีอาการอุดตันของผนังหลอดเลือดแดงคาโรติด ซึ่งเป็นหลอดเลือดสำคัญที่ลำเลียงเลือดเข้าไปเลี้ยงสมอง หรือในบางเคสอาจพบว่า หลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตันจนทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ยากกว่าปกติ

          ทั้งนี้คำว่า "โมยาโมยา" มาจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแปลได้ว่ากลุ่มควันบุหรี่ เนื่องจากเมื่อหลอดเลือดสมองเกิดการอุดตันจนส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ต่อความต้องการ หลอดเลือดสมองอื่น ๆ จะเข้ามาเป็นกองหนุนเพื่อลำเลียงเลือดเข้าไปเลี้ยงสมอง จนทำให้เกิดเส้นเลือดสมองรายล้อมคล้ายกลุ่มควันนั่นเอง





สาเหตุของโรคโมยาโมยา

          โรคโมยาโมยาอาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของโครโมโซม หรือการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรืออีกนัยหนึ่งอาจเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโรคเนื้องอกทางพันธุกรรมชนิด หนึ่ง โรคกลุ่มดาวน์ซินโดรม โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือโรคหลอดเลือดแดงในไตตีบ เป็นต้น

โรคโมยาโมยาเกิดกับใครได้บ้าง
          โรค โมยาโมยาพบได้บ่อยในวัยเด็ก แต่ก็มีรายงานจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกาว่า โรคนี้สามารถเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ได้เช่นกัน ทว่าโรคโมยาโมยาก็เป็นโรคที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย ส่วนมากพบในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และแอฟริกา และโดยเฉลี่ยแล้วโอกาสเกิดโรคจะมีเพียง 1 ในล้านคนเท่านั้น
โรคโมยาโมยา อาการเป็นอย่างไร

          อาการของโรคโมยาโมยาในระยะเริ่มแรกจะสังเกตได้จากอาการชัก ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หรือมีลักษณะอาการของภาวะเส้นเลือดในสมองตีบตัน เช่น การเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติไป กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียความสามารถในการใช้หรือเข้าใจคำพูด สมองขาดเลือดชั่วคราว (transient ischemic attack: TIA) ความจำด้อยประสิทธิภาพลง

 

โรคโมยาโมยา รักษาได้หรือไม่

          การ รักษาโรคโมยาโมยาสามารถทำได้โดยการผ่าตัดสมอง เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงส่วนสมองที่ขาด หรืออาจจะทำบายพาสในส่วนหลอดเลือดสมองที่มีการตีบตันเพื่อขยายหลอดเลือดให้ ลำเลียงเลือดเข้าสู่สมองมากขึ้นก็ได้ ทั้งนี้ผลการรักษาโรคโมยาโมยาในผู้ป่วยเด็กจะมีเปอร์เซ็นต์ดีกว่าผลการรักษา ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ ทว่าแพทย์ก็ไม่สามารถการันตีผลการรักษาได้ 100% ว่าภายหลังจากการผ่าตัดแล้ว อาการของคนไข้จะกลับมาเป็นปกติได้หรือไม่ เพราะการรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมทั้งอาการของคนไข้แต่ละบุคคลด้วย

โรคโมยาโมยา สังเกตอาการให้ชัดก่อนจะสาย

          หากพบว่ามีอาการผิดปกติของหลอดเลือดสมอง เช่น มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงบ่อย ๆ ตาลาย มองเห็นภาพเบลอ ชัก หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ผิดปกติไป ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการเอกซ์เรย์สมองโดยด่วน เพราะหากปล่อยให้อาการลุกลาม ผู้ป่วยไม่ได้เข้ารับการผ่าตัดสมอง โอกาสที่สมองจะขาดเลือดหรือมีเลือดออกในสมองก็จะมากขึ้น ซึ่งเมื่อถึงภาวะนั้นก็เข้าข่ายอาการโคม่าแล้วนะคะ

          อาการ ผิดปกติเพียงเล็กน้อยของตัวเองหรือคนใกล้ตัวเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามโดย เด็ดขาด เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ภายใต้ความผิดปกติที่เราคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนั้น แท้จริงแล้วอาจมีภาวะของโรคร้ายแฝงอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นใส่ใจกันและกันให้มากขึ้นดีกว่านะคะ



Cr.Kapook,e-news ,เล่าสู่กันฟัง ,