แอปเปิล วอตซ์ (Apple Watch)

“Apple Watch มีอะไรได้บ้าง” วันนี้ถึงเวลารีวิวภาพรวมของแอปเปิล วอตช์กัน ขอสรุปสเปกของ Apple Watch อีกครั้ง กลุ่มผลิตภัณฑ์ Apple Watch แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก กลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน  และกลุ่มไฮโซ  สำหรับการวางขายในประเทศไทย เริ่มวางจำหน่ายแล้ว สามารถหาดูได้ที่ iStudio ทุกสาขา

รายละเอียดสเปกของแอปเปิล วอตช์ Apple Watch เริ่มจากหน่วยประมวลผลใช้ Apple S1 ที่แอปเปิลออกแบบมาเพื่อ Apple Watch พร้อมระบบปฏิบัติการ WatchOS โดยเฉพาะ ภายในมีเซนเซอร์ตรวจจับความเข็มแสงเหมือนมี เครื่องมือวัดแสง ในตัว (LUX Meter)  ตรวจจับการเคลื่อนไหว Gyroscope จำนวน 6 แกน จับทิศทางการเคลื่อนที่แนวราบราวกับมีจีพีเอส(GPS) เลยที่เดียว

เซน เซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจตรวจสุขภาพของผู้ใช้ และภายในยังมาพร้อมหน่วยเก็บข้อมูลขนาด 8GB ไว้สำหรับติดตั้งแอปพลิเคชัน แคชไฟล์ รวมถึงนำไปใส่เพลงได้สูงสุด 2GB และรูปภาพ 75MB หรือประมาณ 500 ภาพ
     
ส่วนฮาร์ดแวร์ภายในที่น่าสนใจอีกหนึ่งตัวในชื่อ Taptic Engine จะเป็นรูปแบบการแจ้งเตือนแบบใหม่ที่ใช้ลักษณะคล้ายคนมาสะกิดที่ข้อมือพร้อม เสียงเตือนเบาๆกลมกลืนไปกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกถึงการแจ้งเตือนที่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะความนุ่มนวลที่มากกว่าการสั่นเตือนแบบปกติ
     
นอกจาก นั้นตัวแอปเปิล วอตช์ Apple Watch ยังได้มาตรฐานป้องกันน้ำ IPX7 ทดสอบแล้วสามารถใส่ล้างมือและโดนน้ำฝนได้ ส่วนการใส่ว่ายน้ำในสระหรือใส่อาบน้ำ ทีมงานได้ทดสอบแล้วสามารถทำได้แต่แอปเปิลไม่แนะนำเพราะตัวนาฬิกาเป็น Water resistant ไม่ใช่ Waterproof
     
ด้านการเชื่อมต่อต้องทำผ่าน Bluetooth 4.0 Low Energy ร่วมกับไอโฟน 5 เป็นต้นไปเท่านั้น ส่วน WiFi ถามว่าใน Apple Watch มีไหม คำตอบคือจากสเปกซีพียูน่าจะมี WiFi 802.11 b/g/n 2.4GHz และ RFID ติดตั้งไว้ แต่การเรียกใช้งานจะเป็นไปตามระบบที่แอปเปิลกำหนดไว้เอง ส่วน RFID จะเรียกใช้งานได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในบริการ Apple Pay เท่านั้น

เรื่อง ความอึดของแบตเตอรีที่หลายคนสงสัย สำหรับการใช้งานทั่วไปจะอยู่ได้ 18 ชั่วโมง ส่วนถ้าสนทนาโทรศัพท์ผ่าน Apple Watch ต่อเนื่องจะอยู่ได้ประมาณ 6.5 ชั่วโมง ตรวจจับการออกกำลังกาย (Workout) จะอยู่ได้นาน 6.5 ชั่วโมง เล่นเพลงต่อเนื่องอยู่ได้นาน 6.5 ชั่วโมง และสุดท้ายเปิดโหมด Power Reserve ใช้งานเป็นนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเพียงอย่างเดียวจะอยู่ได้นานถึง 72 ชั่วโมง  ส่วนการชาร์จไฟเข้า 0-80% อยู่ที่ 1.5 ชั่วโมง และ 0-100% อยู่ที่ 2.5 ชั่วโมง

สำหรับการเชื่อมต่อกับไอโฟน (ต้องไอโฟน 5 เป็นต้นไป) หลังการเชื่อมต่อครั้งแรกเสร็จสิ้น ผู้ใช้สามารถตั้งค่านาฬิกาผ่านแอปฯ แอปเปิล วอตช์ Apple Watch ที่ปรากฏบนไอโฟนได้ทั้งหมด ตั้งแต่กำหนดการเปิดปิดแจ้งเตือนต่างๆ ปรับ Layout หน้ารวมแอปฯ กำหนดเพื่อนโปรด ไปถึงการเปิดปิดเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและตรวจวัดหัวใจได้ ปรับความสว่างหน้าจอ ปรับขนาดตัวอักษร เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์ Apple Watch แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

1.Apple Watch Sport เป็นรุ่นเริ่มต้น ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมประกบหน้าจอ Ion-X Glass หน้าจอมีให้เลือก 2 ขนาดได้แก่ 38 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 25 กรัม)และ 42 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 30 กรัม) ราคาเริ่มต้น 13,500 - 15,500 บาท
     
2.Apple Watch จับกลุ่มระดับกลาง ตัวเครื่องผลิตจากสแตนเลส สตีล 316L (ทนการกัดกล่อนและทนสนิม) ประกบหน้าจอ Sapphire crystal มีให้เลือก 2 ขนาดได้แก่ 38 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 40 กรัม)และ 42 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 50 กรัม) ราคาเริ่มต้น 20,500 - 41,500 บาท
     
3.Apple Watch Edition จับกลุ่มระดับบน ไฮโซสุด เนื่องจากตัวเครื่องผลิตจากทองคำ 18 กะรัตมี 2 สีให้เลือกได้แก่ Rose Gold และ Yellow Gold ประกบหน้าจอ Sapphire crystal มีให้เลือก 2 ขนาดได้แก่ 38 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 54 กรัมสำหรับ Rose Gold และ 55 กรัมสำหรับ Yellow Gold) ขนาด 42 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 67 กรัมสำหรับ Rose Gold และ 69 กรัมสำหรับ Yellow Gold) ราคาเริ่มต้น 395,000 - 660,000 บาท

Cr.ผู้จัดการ,Synergy Channel - YouTube ,Asia21st