31 พ.ค. 2558

บัตรเครดิตยุคดิจิตอล


บัตรเครดิตยุคดิจิตอล

บัตรเครดิตยุคดิจิตอลบนสมาร์ทโฟน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆ....!!!

สำหรับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคดิจิตอลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี บัตรเครดิตที่ เคยเป็นเรื่องทันสมัยตอนนี้ก็ดูเหมือนกำลังจะเป็นของล้าสมัยไปแล้ว เมื่อการทำธุรกรรมทางการเงิน การใช้จ่าย รวมถึงการเข้าถึงบริการต่างๆสามารถใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ ทั้งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต มือถือ ทั้งสมาร์ทโฟน และแอนดรอยด์ ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ธนาคารและบริษัทบัตรเครดิตต้องพยายามพัฒนาระบบปฏิบัติการรวมถึงแอพพลิเคชั่นต่างๆให้ทันสมัย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าหรือผู้บริโภคให้ได้

ธีรยุทธ์ สิริกุลวิริยะวาณิช ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง บริษัทบัตรเครดิตกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี บอกว่า การพัฒนาเว็บ แอพพลิเคชั่น (Web Application) ของบริษัทบัตรเครดิต หัวใจสำคัญก็คือ เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกผู้ถือบัตร ให้สามารถบริหารจัดการการเงินได้คล่องตัว

“ต้อง ยอมรับว่า เทคโนโลยีต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่บริษัทเคยทำระบบที่เรียกว่า Click KTC ให้ผู้ถือบัตรเรียกดูข้อมูลบัญชีของบัตรที่ถืออยู่ได้ทุกประเภท ทั้งรายการรูดบัตรเครดิต ดูคะแนนสะสม ดูโปรโมชั่นต่างๆ เพิ่มวงเงิน เพียงแค่คลิก (Click) ก็สามารถที่จะจัดการเรื่องทั้งหมดได้ โดยใช้แค่ Username และ Password”

ธีรยุทธ์ บอกว่า ที่ผ่านมามีการพัฒนาระบบที่เรียกว่า Virtual Credit Card หรือบัตรเครดิตเสมือนจริงคำว่าเสมือนจริงก็คือไม่มีตัวบัตรจริงๆ แต่มีผู้ถือบัตรที่สามารถทำธุรกรรมการเงินผ่าน เครื่องอ่านบัตร ไม่ว่าจะเป็นโอนเงิน ถอนเงิน หรือใช้จ่ายซื้อสินค้าบนออนไลน์ โดยสามารถสร้างบัตรของตัวเองที่เป็น Virtual Credit Card ได้ 1 ใบ เป็นโมเดลที่มีการให้บริการในต่างประเทศมานานแล้ว

“ที่น่าสนใจขณะนี้ไม่ใช่เรื่องของการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบออนไลน์เท่านั้น ปีที่แล้วในวงการธุรกิจการเงินและบัตรเครดิตมี การพูดถึงเรื่องของ อี-วอลเล็ต (e-Wallet) อย่างกว้างขวางมากขึ้นในต่างประเทศ ขณะนี้ ไปไกลถึงขนาดที่เงินในกระเป๋าเงินส่วนใหญ่ถูกโอนย้ายเข้าไปอยู่ในกระเป๋า เงิน ดิจิตอล หรือดิจิตอล วอลเล็ต (Digital Wallet) ที่เรา สามารถจะบริหารจัดการกระเป๋าเงินใบใหม่ในระบบออนไลน์ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกก็ตาม”

ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคที ซี ยังบอกด้วยว่า กระเป๋าเงินดิจิตอล ที่ว่านี้ มีการพัฒนามาจากการเปิดตัวของ แอปเปิล เปย์ (Apple Pay) เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดกระแสสั่นสะเทือนวงการเงินในโลกดิจิตอลไม่น้อย อาจถือได้ว่าเป็นเจ้าแรกของการบุกเบิกเรื่อง ดิจิตอล วอลเล็ต หรือกระเป๋าเงินดิจิตอลก็ว่าได้ และแอปเปิลเองก็เตรียมพร้อมที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ด้วยโมเดลที่คล้ายกับในสหรัฐอเมริกา ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ทั้งบริษัทบัตรเครดิตและผู้ที่ถือบัตรเครดิตต้องเตรียมพร้อม

“ผมมองว่าการพัฒนาของ อี-วอลเล็ต (e-Wallet) ที่จะกลายเป็นการใช้จ่ายรูปแบบใหม่ เมื่อนำมาผสมผสานกับบัตรเครดิต อนาคตเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพกบัตรเครดิตหรือกลัวการปลอมแปลง แฮ็กข้อมูลในบัตรเครดิต หรืออะไรที่เป็นการโจรกรรมข้อมูลในบัตรเครดิตอีกต่อไป” ธีรยุทธ์บอก พร้อมกับอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นอีกว่า ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ว่านั้น ก็เพราะบัตรเครดิตจะย้ายมาอยู่บนโมบาย และโมบายกลายเป็นบัตรเครดิตที่สามารถไปแตะกับ เครื่องรูดบัตร ที่รับชำระบัตรเครดิตเพื่อชำระเงินได้ อันนี้เป็นเทรนด์ที่น่าสนใจมาก

ผู้ ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคทีซี ยังบอกด้วยว่า แต่ระบบว่านี้ยังไม่แพร่หลายมากนักในเมืองไทย เนื่องจากร้านค้าต่างๆยังไม่มีเครื่องอ่านที่รองรับการใช้งานผ่านแพล็ตฟอร์ม นี้ แต่เชื่อว่าอีกไม่นานก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นเทรนด์ที่มาเร็วมาก

นอกจากกระเป๋าเงินดิจิตอล (Digital Wallet) แล้ว ในอนาคตโลกการใช้จ่ายและการทำธุรกรรมทางการเงินของมนุษย์ออนไลน์จะก้าวไปสู่ ความเป็น ดิจิตอล เพอร์ส (Digital Purse) หรือ ดิจิตอล เพอร์เชส (Digital Purchases) ที่เป็นเสมือนการบริหารจัดการทาง การเงินบนดิจิตอล เมื่อถึงเวลานั้น ผู้บริโภคจะสามารถบริหารจัดการและทำธุรกรรมการเงินต่างๆทั้งโอนเงิน จ่ายเงิน ชำระค่าสินค้าและบริการ ดูข้อมูลต่างๆด้านการเงินผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก

ฟังแล้วอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ อนาคตของมนุษย์ในโลกออนไลน์ จะไม่มีทั้งเงินสด บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต ฯลฯ มีแค่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว...ก็เนรมิตทุกอย่างได้

Cr.ไทยรัฐ

30 พ.ค. 2558

สมาร์ทวอทช์ (Smart Watch)


นาฬิกาสมาร์ทวอทช์อัจฉริยะ

คอนเซ็ปต์นาฬิกาสมาร์ทวอทช์อัจฉริยะของเวลโลกราฟคือ อุปกรณ์เก็บข้อมูลสุขภาพของผู้สวมใส่ โดยออกแบบมาให้มีเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งบ่งบอกได้ถึงความแข็งแรงของสุขภาพ ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลจากตัวเรือนหรือใช้งานคู่กับแอพ Wellograph ซึ่งดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการไอโอเอส แอนดรอยด์และวินโดวส์


เป็น ปีแห่งเครื่องประดับบนข้อมือที่สุดแสนอัจฉริยะอย่างแท้จริง โดยเฉพาะแวร์เอเบิลประเภทสมาร์ทฟิตเนสแทรคเกอร์ ซึ่งฟังก์ชันการติดตามผลการเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก ที่สุด เช่นเดียวกับ "เวลโลกราฟ” (Wellograph) แวร์เอเบิลดีไวซ์สัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศ


"เป้า หมายในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เวลโลกราฟจะแบรนด์สินค้าสำหรับคอนซูเมอร์เทคโนโลยีสัญชาติไทยที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักในตลาดโลก" คำประกาศของ สารสิน บุพพานนท์ ผู้ก่อตั้งบริษัท เวลโลกราฟ จำกัด ที่ประสบความสำเร็จจากการขาย เครื่องสแกน หนังสือ “Bookdrive” ทั่วโลกมาแล้ว


ปั้นนวัตกรรมในตลาดโลก

“ข้อมูลสำคัญที่สุด คือข้อมูลเกี่ยวกับหัวใจของเรา ผมมองว่า สมาร์ทวอทช์ติดตัวไปกับเราได้ทุกที่ มันจะรู้ว่าเรามีกิจกรรมอะไรยังไงบ้าง แล้วมันก็จะเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพโดยตรง สมาร์ทวอทช์ข้อ มือเรือนนี้จึงถูกออกแบบมาให้มี Heart Rate Sensor เป็นคอร์เทคโนโลยีของเราที่บอกได้ว่า ผู้สวมใส่มีอัตราการเต้นของหัวใจเท่าไหร่ มีสุขภาพแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน มีความเครียดอยู่รึเปล่า ประเมินได้ว่าอายุสุขภาพที่แท้จริงเป็นเท่าไหร่ ทั้งหมดดูจากการเต้นของหัวใจได้เลย”


ปัจจุบันหน้าร้านของเวลโลก ราฟอยู่ในช็อปไอที และเป็นที่ตอบรับจากกลุ่มวัยรุ่นและผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี เพราะตลาดเมืองไทยเปิดรับสินค้าเทคโนโลยีเร็ว สังเกตได้จากการเข้ามาของสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์สวมใส่ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ( wearable) ที่จะมีฟังก์ชันใหม่ๆ ออกมาดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคกลุ่มนี้ ทั้งแบรนด์เนมดังๆ เป็นจำนวนมากมีมูลค่า 1,000 ล้านบาท


เขาบอกว่า โอกาสธุรกิจคิดใหม่ของสมาร์ทวอทช์เพื่อ สุขภาพที่เริ่มขึ้นได้ อาศัยจุดแข็งการเป็นสินค้านวัตกรรมสัญชาติไทยที่มีคุณภาพระดับโลกทั้งใน เรื่องของเทคโนโลยีและดีไซน์ ซึ่งได้รับรางวัลจากเวทีในต่างประเทศมาแล้ว ขณะเดียวกันไลฟ์ไสตล์ผู้บริโภคยุคนี้ก็พร้อมจ่ายเพื่อซื้อความพิเศษกันมาก ขึ้น เหมือนเช่นที่ผ่านมาเกี่ยวกับสินค้า เครื่องสแกนแบบพกพา ที่สามารถทำยอดขายได้ดีในต่างประเทศ
"เรา มองเห็นเทรนด์เทคโนโลยีนี้มา 4-5 ปีที่แล้วว่า อุปกรณ์แวร์เอเบิลจะเข้ามามีบทบาทในอีก 10 ปีต่อจากนี้ในแง่ของการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญฟังก์ชันจะแอดวานซ์มากกว่านาฬิกาสมาร์ทวอทช์ทั่วไป ผมต้องการโฟกัสและพัฒนาการใช้ wearableในเรื่องสุขภาพโดยเฉพาะ"


ฟังก์ชันสุดล้ำหัวใจการพัฒนา

ไอ เดียของออกแบบเน้นมินิมอลดีไซน์ที่สวมใส่ได้ในทุกโอกาส ทีมงานออกแบบให้ตัวเรือนชั้นบนเป็นสแตนเลส ชั้นล่างเป็นอะลูมิเนียม หน้าจอแซฟไฟล์คริสตัลที่ป้องกันรอยขีดข่วน สามารถถอดเปลี่ยนสายได้สะดวกโดยเลือกได้ว่าจะใช้สายหนังในชีวิตประจำวัน หรือสายสปอร์ตเมื่อต้องการใส่ออกกำลังกาย แบตเตอรี่นาน 7 วัน


"แม้ จะยังใหม่และต้องใช้เวลาสื่อสารกับตลาด แต่การตีโจทย์ให้แตกตั้งแต่ต้น ทำให้เวลโลกราฟได้รับการตอบรับจากตลาดระดับหลักหมื่นเรือน หลังจากเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา" สารสินกล่าวและว่า สัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศ 20 % ต่างประเทศ 80% ซึ่งตลาดหลักเป็นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ส่วนตลาดในประเทศอาจไม่หวือหวาส่วนหนึ่งจากสภาพเศรษฐกิจ ในอนาคตสัดส่วนในประเทศไทยอาจลดลงเหลือ 5% แต่จะขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น


สารสิน วิเคราะห์ว่า 5-10 ปีต่อจากนี้ ดีไซน์สมาร์ทวอทช์จะ บางและเล็กแต่มีความสามารถมากขึ้น แบตเตอรีอยู่ได้นานขึ้น ฟังก์ชันต่างๆอจะเพิ่มขึ้น ส่วนคุณสมบัติการบอกเวลาจะกลายเป็นฟังก์ชันพื้นฐานที่ต้องมีแต่ไม่ใช้เป็น จุดขายเพราะสามารถดูเวลาในมือถือ แต่ที่หลายคนยังสวมใส่สมาร์ทวอทช์เนื่องจากรู้สึกถึงความเท่หรือบ่งบอกฐานะ บุคลิกภาพและรสนิยม เหมือนการต่อยอด เครื่อง Scanner มาเป็นแบบพกพากระทัดรัด สะดวกสบายกว่าแบบเดิม ๆ


"ผม มั่นใจว่า Heart Rate Sensor จะเป็นฟังก์ชันพื้นฐานในอุปกรณ์ wearable เหมือนกับฟังก์ชันกล้องถ่ายรูปที่ต้องมีในสมาร์ทโฟน ขณะที่เวลโลกราฟเองก็จะต้องมีไอเดียในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความล้ำหน้า ต้องโดดเด่นไม่เหมือนใคร เพื่อก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของตลาด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามันจะเป็นในรูปไหนได้ในตอนนี้" วิศวกรนักคิดกล่าวทิ้งท้าย

Cr.กรุงเทพธุรกิจ

29 พ.ค. 2558

แบตสํารอง iphone


แบตสํารอง iphone

Power Bank หรือ แบตสำรอง จึงกลายเป็นแก็ดเจ็ต(Gadget)ที่หลายคนพกติดตัวไว้เพื่อไม่ให้ประสบปัญหาแบ ตมือถือหมดกลางทาง ในความเป็นจริงแล้วเราไม่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟมากขนาดนั้น เอาแค่ซัก 2-3 เท่าของแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนก็เกินพอแล้ว(โดยส่วนใหญ่แบตเตอรี่สมาร์ทโฟนจะ อยู่ที่ 2000-3000 mAH) เพราะยิ่งจุไฟได้มากเท่าไหร่ตัวเครื่อง Power Bank ก็จะยิ่งใหญ่และหนักกระเป๋ามากขึ้นเท่านั้น

ใครที่รักความสะดวกพกพา การเลือกใช้พลังงานน้อยๆก็น่าสนใจ จากประสบการณ์การใช้งานจริง 3000 mAH ก็ยืดอายุสมาร์ทโฟนให้แบตเต็มได้อีก 1 รอบพอดี ถ้าไม่จำเป็นต้องชาร์จหลายเครื่องหรือต้องชาร์จหลายวัน เลือกตัวเล็กหน่อยก็ได้ครับ

หนึ่งในโครงการจาก Kickstarter กับ CoBattery เคสและแบตเตอรี่สำรอง(Power Bank) สำหรับ iPhone 5, 5S และ 6 ซึ่งมีจุดที่การสับเปลี่ยนแบตเตอรี่สำรองด้านหลังได้รวดเร็ว ดึงออกแล้วสลับกับแบตเตอรี่สำรองอีกก้อนก่อนจะนำก้อนเดิมไปใส่แท่น ที่ชาร์ตแบตสํารอง iphone เพื่อชาร์จไฟ โดยใน1 ก้อนจะสามารถชาร์จโทรศัพท์ได้ประมาณ 2.5 รอบ


สำหรับเคสของ CoBattery ใช้พลาสติกกันกระแทกเป็นวัสดุในการผลิต ป้องกัน iPhone ได้แม้จะร่วงหรือตกกระทบรุนแรง มีน้ำหนักเบา เมื่อชั่งรวมกับแบตเตอรี่สำรอง ( พาวเวอร์แบงค์ )แล้วจะหนักเพียง 73 กรัม


นอกจากนี้เจ้าของโครงการอ้างว่าหากใช้งาน CoBattery อยู่ตลอดจะช่วยรักษาและยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ของ iPhone ให้ยาวนานขึ้นมากกว่าเดิมมากเนื่องจากไม่ต้องชาร์จกับไฟบ้านโดยตรง

อย่างไรก็ดี CoBattery ยังอยู่ในระหว่างการระดุมทุนเท่านั้นและไม่มีการวางจำหน่าย คาดว่ามีราคาประมาณ 60 ดอลลาร์ (2,020 บาท)


Cr.ที่นี่มีเดีย

ต้นแบบมือถือ 4จี ค่าย‘ควอลคอมม์’

ต้นแบบมือถือ 4จี ค่าย‘ควอลคอมม์’
ต้นแบบมือถือ 4จี ค่าย‘ควอลคอมม์’


ควอลคอมม์’ โชว์ต้นแบบมือถือ 4จี
การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อก้าวไปสู่ 4จี ของบริษัท ควอลคอมม์ เทคโนโลยีส์อินคอร์ปอเรทเต็ด(Qualcomm) ผู้พัฒนาด้านเทคโนโลยีระบบ 3จี 4จี เทคโนโลยีด้านการสื่อสารไร้สายและหน่วยประมวลผล (ชิปเซ็ต)สเน็ปดราก้อนที่ใช้ในในอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ“


นายแมนทอช มัลโฮตร้า ประธานประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บริษัท ควอลคอมม์ เทคโนโลยีส์อินคอร์ปอเรทเต็ด(Qualcomm) กล่าวว่า ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวไกลทำให้วันนี้โทรศัพท์มือถือเป็นเหมือน คอมพิวเตอร์พกพา โดยปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ใช้หน่วยประมวลผลสเน็ปดราก้อนของควอลคอมม์ที่รองรับระบบ 3จี 4จี และใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แล้วกว่า 1 พันล้านชิ้น


ในปี พ.ศ. 2561 ทั่วโลกจะมีการเชื่อมต่อด้วยระบบ 3จีและ 4จี ผ่านอุปกรณ์สื่อสารมากถึง 5.2 พันล้านผู้ใช้งาน โดย 80% ของโทรศัพท์มือถือที่จำหน่ายทั่วโลกจะเป็นสมาร์ทโฟน (Smartphone)


ขณะ ที่คอนเท้นท์ที่มากับสมาร์ทโฟนกำลังพัฒนาให้สามารถเชื่อมต่อการทำงานเข้ากับ อุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ ได้ เช่น เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายในบ้าน ข้อมูลการดูแลสุขภาพ รถยนต์และอุปกรณ์พกพาอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ซึ่งนำไปสู่เรื่องของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเข้ากับทุกสิ่งหรือที่เรียก ว่า อินเทอร์เน็ตออฟ เอเวอรี่ธิงส์ (Internet of Everything (IoE)” นายแมนทอชกล่าว


วันนี้หน่วยประมวลผลสเน็ปดราก้อนของควอลคอมม์มีอยู่ในอุปกรณ์สื่อสารทั้งระดับราคาสูงและราคาถูก ซึ่งความหลากหลายของเทคโนโลยีที่ควอลคอมม์พัฒนาจะทำให้ผู้บริโภคทุกระดับมีโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี นอกจากนี้ควอลคอมม์ยัง ออกแบบโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ผู้ผลิตรายเล็ก ๆ มาซื้อสิทธิ หรือไลเซ่นส์ (License) เพื่อนำไปผลิตและทำให้โทรศัพท์มือถือมีราคาถูก สามารถขายให้กับผู้มีรายได้น้อย  สามารถนำไปต่อยอดเป็น กล่องทีวีดิจิตอล กล่องแอนดรอย (Android TV Box) ซึ่งควอลคอมม์ใช้เงิน 20% ของรายได้ต่อปีในการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์


นายสุวิทย์ พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจประจำประเทศไทย บริษัท ควอลคอมม์ฯ กล่าวถึงทิศทางเทคโนโลยี 4จี ในประเทศไทยว่า จากตัวเลขพบว่า เดือน ธ.ค. 2557 ประทศไทยมีโทรศัพท์มือถือที่รองรับการใช้งาน 4จี อยู่ 14.1% โดยเดือน เม.ย. 2558 เพิ่มเป็น 18% และคาดว่าในเดือน ธ.ค. 2558 จะมีโทรศัพท์มือถือที่รองรับการใช้งาน 4จี ในไทยมากถึง 30.7% จากการคาดการณ์ยอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือในไทย 16-18 ล้านเครื่องในปี 2558


สำหรับปัจจัยการเติบโตของโทรศัพท์มือถือที่รองรับ 4จี ในไทย เกิดจากผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ (Smartphone) เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆโดยช่วงกลางปีนี้จะเริ่มเห็นโทรศัพท์มือถือรองรับ 4จี ที่มีราคาถูกวางจำหน่าย “ควอลคอมม์(Qualcomm)ทำต้นแบบโทรศัพท์มือถือที่รองรับการใช้งาน 4จี โดยใช้หน่วยประมวลผลควอลคอมม์เอ็ม เอสเอ็ม 8909 หน้าจอ 4.5 นิ้ว กล้องหลัง 5 เมกะพิกเซล กล้องหน้า 2 เมกะพิกเซลรองรับปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชั่นล่าสุด และใช้งานได้กับโครงข่าย 4จี แอลทีอี บนคลื่นความถี่ 2100/180 เมกะเฮิรตซ์ โดยราคาต้นทุนต่อเครื่องอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 2,000 บาท” นายสุวิทย์ กล่าว


แม้ราคาโทรศัพท์มือถือเครื่องต้นแบบที่รองรับ 4จี จะมีราคา 2,000 บาท แต่เมื่อผู้ผลิตนำไปผลิตจะบวกกำไรเข้าไปด้วยดังนั้นราคาขายจึงขึ้นอยู่กับ ผู้ผลิตว่าจะกำหนดราคาอยู่ที่เท่าไหร่ ขณะนี้มีผู้ผลิตจากประเทศจีนมาซื้อสิทธิเพื่อไปผลิตแล้วคาดจะวางจำหน่ายใน เดือน มิ.ย. นี้หรือช่วงกลางปี ส่วนประเทศไทยหากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอปเรเตอร์) จะนำเข้ามาจำหน่ายโดยติดต่อผ่านผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือจีนก็อาจได้เห็น โทรศัพท์มือถือที่รองรับ 4จีราคาถูก


การก้าวเข้าสู่เทคโนโลยี 4จี จะเร็วกว่าการเปลี่ยนผ่านจากช่วง 2จี สู่ 3จี และเรื่องของราคาก็จะถูกลงเร็วกว่า ส่วนการก้าวเข้าสู่ 4จี ของไทย จะคึกคักเกิดจากการประมูลคลื่นความถี่ 1800/900 เมกะเฮิรตซ์เพื่อรองรับการใช้งาน 4จี การจำหน่ายอุปกรณ์ที่รองรับ 4จี ในราคาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ และการที่โอปเรเตอร์ช่วยกันผลักดันเรื่องของ 4จี และนำเทคโนโลยีเข้าถึงผู้ใช้งานอย่างแพร่หลาย ใครมีงบน้อยอดใจรออีกนิดเดี๋ยวโทร ศัพท์มือถือที่รองรับ 4จี ในราคาย่อมเยาก็มา.

Cr.เดลินิวส์

28 พ.ค. 2558

'อ้อม-กานต์พิศชา' นางเอก 'แม่เบี้ย 2015'

 
'อ้อม-กานต์พิศชา'  นางเอก 'แม่เบี้ย 2015'
'อ้อม-กานต์พิศชา'  นางเอก 'แม่เบี้ย 2015'


อ้อม กานต์พิสชา นางเอกเบี้ย2015 ดีกรีนางงาม สวยมีเสน่ห์สะดุดตาหม่อมน้อย เลือกประกบคู่ ชาคริต    อ้อม–กานต์พิศชา เกตุมณี รอง Miss Thailand World ปี 2009 รับบท “เมขลา พลับพลา”

หญิงปริศนา 2 บุคลิก เจ้าของเรือนไทยลึกลับที่บางปลาม้า สุพรรณบุรี ผู้ผูกพันอย่างเร้นลับกับ “งูเห่ายักษ์” ที่เรือนไทยโบราณ ในภาพยนตร์แนว “วิจิตรกามา” (EROTIC) เรื่อง “แม่เบี้ย” ซึ่ง หม่อมน้อย

ภาพยนตร์เรื่องแม่เบี้ย 2015 หลายคนจับตาดูว่าสาวคนใดจะมาเป็นนางเอกประกบคู่กับพระเอกสุดเซ็กซี่ "ชาคริต แย้มนาม" 

และจากการเฟ้นหาของผู้กำกับฝีมือทอง "หม่อมน้อย ม.ล พันธุ์เทวนพ เทวกุล" สุดท้ายบทบาทของ เมขลา สาวคนนี้เธอได้รับโอกาสให้พิสูจน์ความสามารถทางด้านการแสดง

ผู้กำกับเผยว่า “อ้อม กานต์พิสชา มีบุคลิกลักษณะที่ตรงกับเมขลาในบทประพันธ์มาก ทั้งใบหน้าและผิวพรรณที่มีความเป็นหญิงไทยโบราณและมีความทันสมัยแบบอินเตอร์ แบบหญิงสองบุคลิกภาพ เป็นไทย แบบเร้นลับ และหญิงสมัยใหม่ ไม่แคร์สังคม และที่สำคัญอ้อมมีดวงตาที่ทรงพลังอันลึกลับน่าค้นหาสมกับบทบาทของ “เมขลา” พ.ศ.นี้”.

มาทำทำความรู้จัก "อ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี" ดีกรีสาวงามจากเวที Miss Thailand World 2009 การันตีความสวยตำแหน่งรองอันดับ 3 จากเวทีนี้

ด้วยใบหน้าที่หวานและมีเสน่ห์เธอจึงได้รับเลือกให้มาเล่นหนัง แม่เบี้ย 2015 ต้องดูว่าบทบาทนี้เธอจะสะกดคนดูให้อินได้มากน้อยขนนาดไหน

แต่จากภาพโปรโมทที่ อ้อม กานต์พิสชา ได้ถ่ายคู่กับ ชาคริต เพียงไม่กี่ภาพเท่านั้น แต่กระแสนั้นเริ่มแรงพอสมควร!!

Cr.สนุก

ห้าม 'สุรินทร์' ใช้นามสกุล 'โตทับเที่ยง'


 ห้าม 'สุรินทร์' ใช้นามสกุล 'โตทับเที่ยง'
 ห้าม 'สุรินทร์' ใช้นามสกุล 'โตทับเที่ยง'

วันนี้ 28 พ.ค. 58 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ได้มีการเผยแพร่ประกาศ ไม่ให้นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง และครอบครัวสายตรงของนายสุรินทร์ ใช้นามสกุล โตทับเที่ยง โดยได้มีการส่งต่อประกาศดังกล่าว ผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์กันอย่างกว้างขวาง โดยในท้ายประกาศดังกล่าวระบุว่า ด้วยข้าพเจ้า นายสุธรรม โตทับเที่ยง พี่ชายคนโต เจ้าของนามสกุล “โตทับเที่ยง” และพี่น้องลูกหลานที่ได้รับอนุญาตให้ใช้นามสกุล โตทับเที่ยง มาตั้งแต่ พ.ศ.2514 ซึ่งที่ผ่านมาพี่น้องผู้ร่วมใช้นามสกุล มีความสุขความเจริญมาจนมีลูกหลาน 3 ช่วงอายุคนแล้ว

จวบจนประมาณ ปี 2556 นายสุรินทร์กับพวกได้กระทำการอันเป็นปรปักษ์ กับการเป็นพี่น้องผู้เกิดร่วมท้องใช้นามสกุล โตทับเที่ยง ทำให้พี่น้องเดือดร้อน ถูกดูถูก เกลียดชัง จากผู้ที่ได้รู้เห็นปัญหาที่นายสุรินทร์กับพวกก่อให้เกิดขึ้น ความรัก และความปรองดองในหมู่พี่น้องต้องถูกทำลาย และเหตุผลสำคัญอีกมากมาย

“ด้วยเหตุและผลดังได้แถลงมาแล้ว ตนและเครือญาติทุกคน จึงมีมติ “ห้าม” มิให้ นายสุรินทร์ และครอบครัวสายตรงของนายสุรินทร์ ใช้นามสกุล โตทับเที่ยง นับแต่วันที่ประกาศนี้เป็นต้นไป และตนจะได้ดำเนินการตามสิทธิเพื่อเพิกถอนการใช้นามสกุล โตทับเที่ยง ของนายสุรินทร์และครอบครัวสายตรงของนายสุรินทร์ต่อไป ลงชื่อ นายสุธรรม โตทับเที่ยง ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2558”

หลังจากได้รับข้อความดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อไปยัง นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดยได้รับการปฏิเสธ และมีการมอบหมายให้ นายสุธี ผ่องไพบูลย์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจ ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงแทน โดยได้มีการทำเอกสารชี้แจง เลขที่ 0440/2558 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 ระบุว่า เรื่อง การใช้สิทธิไม่สุจริต กรณีขอให้เปลี่ยนนามสกุล เรียนคุณสุธรรม โตทับเที่ยง อ้างถึง หนังสือของคุณสุธรรม โตทับเที่ยง ฉบับลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 เรื่องขอให้เปลี่ยนนามสกุล

ตามที่ท่านได้มีหนังสือถึงนายสุรินทร์ โตทับเที่ยง ระบุว่า คุณสุรินทร์ ได้ทำการเป็นปรปักษ์กับท่านและพี่น้องร่วมใช้นามสกุล “โตทับเที่ยง” ท่านและพี่น้องร่วมสายโลหิตจึงได้มีมติร่วมกันว่า ไม่ประสงค์ให้นายสุรินทร์ และครอบครัวสายตรงใช้นามสกุลโตทับเที่ยงอีกต่อไป โดยขอให้เปลี่ยนการใช้นามสกุลโตทับเที่ยง ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ดังรายละเอียดปรากฏตามหนังสือของท่านที่อ้างถึงนั้น

ตนในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง ขอเรียนให้ทราบว่า นายสุรินทร์ ขอปฏิเสธข้อกล่าวอ้างตามหนังสือของท่านที่ระบุว่า นายสุรินทร์ กระทำการเป็นปรปักษ์กับท่านและพี่น้องร่วมใช้นามสกุล ทั้งนี้ คุณสุรินทร์ ขอเรียนยืนยัน มายังท่านและพี่น้องร่วมใช้นามสกุลทุกคนว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นายสุรินทร์ ได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อปกป้องธุรกิจที่ครอบครัวโตทับเที่ยง มีส่วนเกี่ยวข้อง กับทั้งให้เกียรติ และเคารพรักพี่น้องร่วมสายโลหิตทุกคนมาโดยตลอด ดังนั้น นายสุรินทร์ จึงไม่อาจยอมรับต่อข้อเรียกร้องของนายสุธรรม

ขณะเดียวกัน นายสุรินทร์ ทราบมาว่า ได้มีการนำจดหมายฉบับที่อ้างถึงเผยแพร่ต่อพนักงานของบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) หรือ รู้จักกันในนาม "ปุ้มปุ้ย" และบุคคลทั่วไปอย่างกว้างขวาง ทั้งเป็นการเผยแพร่โดยใช้เอกสาร และเป็นการนำข้อความเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในประการที่ทำให้ นายสุรินทร์ และครอบครัวเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง นายสุรินทร์ จึงขอให้ท่านและผู้ที่เกี่ยวข้องยุติการดำเนินการในทันที มิฉะนั้น ก็มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งทางแพ่งและทางอาญากับท่านและผู้เกี่ยวข้องต่อไป ลงชื่อ นายสุธี ผ่องไพบูลย์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจ.

Cr.ไทยรัฐ

27 พ.ค. 2558

ร่วมงานวันวิสาขบูชา 2558


ร่วมงานวันวิสาขบูชา 2558
ร่วมงานวันวิสาขบูชา 2558

    เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชา ซึ่งองค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้เป็นวันสำคัญสากลโลก และจัดให้มีการสมโภช ในทุกปี ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพฉลองวันวิสาขบูชาโลก ประจำปีพ.ศ.๒๕๕๘ โดยมีกิจกรรมสำคัญอาทิ การประชุมผู้นำศาสนานานาชาติ การจัดกิจกรรมเวียนเทียนเป็นพุทธบูชาและการจัดนิทรรศการให้ความรู้ ทางพระพุทธศาสนาต่างๆ

และมีการพิจารณามอบรางวัล ‘ทูตพระพุทธศาสนาวิสาขบูชาโลกประจำปีพ.ศ.๒๕๕๘’ แก่บรรดาศิลปิน-นักร้อง ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่นับถือพระพุทธศานาและมีความประพฤติดีงามเป็นประโยชน์ต่อสังคม และมีกิจกรรมในภาคพื้นต่างๆ โดย ทพ.แมทธิว มาริวย์ แห่งโครงการ We Love Chare เป็นประธานในการจัดงานครั้งนี้อีกด้วย

    รายชื่อศิลปิน-ดาราไทยได้คัดเลือกรับ ทูตพระพุทธศาสนาวิสาขบูชาโลกประจำปีพ.ศ.๒๕๕๘ ได้แก่ กนกฉัตร มรรยาทอ่อน (ไต้ฝุ่น KPN),  ณัฏฐพัชร วิพัชกรตระกูล (ปุยฝ้าย AF), พงศกร ฉายสุริยะ (นักแสดง รด.เขาชนผีที่เขาชนไก่,ตายโหงตายเฮี้ยน ฯลฯ)และ นพวรรธน์ อภิภัสร์เดชากุล (นิว ผู้ประกาศ IPM และนักแสดง) พร้อมด้วยบุคคลสำคัญอีกมากมาย  โดยงานครั้งนี้ได้จัดขึ้นในวันจันทร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๔.๐๐ น. เป็นต้นไป ณ วัดเทพนารี จรัญสนิทวงศ์


วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยได้รับการยกย่องให้เป็นวันสำคัญของโลก เนื่องจากเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ซึ่งทั้ง 3 เหตุการณ์นั้น เกิดขึ้นตรงกันอย่างน่าอัศจรรย์ ในปีนี้จะตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน 2558  ได้รวบรวมรายชื่อสถานที่จัดงานมาให้ชาวพุทธทุกท่านได้ทราบกัน โดยส่วนมากก็จะจัดงานกันทุกวัดอยู่แล้ว เพียงแต่เราแนะนำสถานที่หลัก ให้คุณได้พิจารณาเพื่อการตัดสินใจไปร่วมงาน

1. ท้องสนามหลวง
วันวิสาขบูชา 2558

มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย ขอเชิญร่วมงาน “วันวิสาขบูชา”โดยมีกิจกรรม อาทิ จัดริ้วขบวนอัญเชิญพระไตรปิฎก,พิธีทำบุญตักบาตรเวียนเทียน,สาธยายพระ ไตรปิฎก, เสวนาวิชาการทางพระพุทธศาสนา,แข่งขันประกวดสวดมนต์สรภัญญะ, ประกวดร้องเพลงเสริมศีลธรรม, ออกร้านของดีจังหวัดนครปฐม วันที่ 29 พฤษภาคม–9 มิถุนายน 2558 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

2. เมืองโบราณ สมุทรปราการ

เมืองโบราณ สมุทรปราการ

ภาพจาก เมืองโบราณ สมุทรปราการ
เมืองโบราณ สมุทรปราการ และเทศบาลตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ จัดงาน “สัปดาห์วิสาขบูชา สักการะพระบรมสารีริกธาตุสี” ระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม ถึง 1 มิถุนายน 2558 เวลา 9.00-19.00 น. ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ภายในเมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์เอกชนกลางแจ้งแห่งสยามประเทศ เพื่อเฉลิมฉลองวันสำคัญของชาวพุทธและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สอดแทรกสาระ ทางพระพุทธศาสนา

3. ซีคอน บางแค

ซีคอน บางแค

ซีคอน บางแค ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมงานบุญยิ่งใหญ่ในงาน วิสาขบูชามหามงคลเวียนเทียนกับศิลปินดาราทูตวิสาขบูชาโลก รอบพระธาตุอินทร์แขวนองค์จำลอง จังหวัดลำพูน ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 1  มิถุนายน 2558 บริเวณลานกลาง ชั้น 1 ศูนย์สรรพสินค้าซีคอน บางแค ถนนเพชรเกษม เสริมสิริมงคลนมัสการพระธาตุประจำปีเกิด 12 นักษัตร อิ่มบุญสุขใจกับกิจกรรมมากมายในลานบุญมหากุศล นำรายได้จากการทำบุญจัดซื้อเสื้อเกราะให้ทหาร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พิเศษ! วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2558 เวลา 14.00 น. ดาราศิลปินเข้าร่วมรับรางวัลทูตพระพุทธศาสนา วันวิสาขบูชาโลก ประจำปี พ.ศ. 2558

4. สวนตุง เชียงราย

 เชียงราย

ภาพจาก www.chiangraifocus.com
เทศบาลนครเชียงราย ร่วมรำลึกวันวิสาขบูชาประจำปี 2558 จัดกิจกรรม การจัดโต๊ะหมู่บูชาชุมชน พร้อมมอบใบประกาศเกียรติคุณยกย่องครอบครัวปฏิบัติธรรมตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2558 นี้ ณ สวนตุงและโคมนครเชียงราย

5. ดอยสุเทพ เชียงใหม่

ดอยสุเทพ เชียงใหม่

ภาพจาก chiangmainews.co.th
งานประเพณีเดินขึ้นดอยสุเทพในวันวิสาขบูชา พระธาตุดอยสุเทพเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรทสารีริกธาตุเจดีย์ ทุกปีในคืนก่อนวันวิสาขบูชา ( 1 มิ.ย.2558) ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 คือคืนวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 จะมีประเพณีการเดินขึ้นดอยสุเทพเป็นประจำ เพื่อนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ ศาสนิกชนทุกท่าน ร่วมสำรวมจิต ทำจิตบริสุทธิ์ เดินเท้าขึ้นสักการะพระบรมธาตุดอยสุเทพ บูชาด้วยการประพฤติดีปฏิบัติดี
นอกจากนี้ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) ได้จัดเดินรถไหว้พระ 9 วัด รอบเกาะรัตนโกสินทร์ในวันที่ 1 มิถุนายน 2558 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้พาครอบครัวเดินทางไปไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นสิริมงคล ในวันวิสาขบูชา

1. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร
2. วัดสามพระยาวรวิหาร
3. วัดบวรนิเวศวรวิหาร
4. วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร
5. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร
6. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)
7. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
8. วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
9. วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

นอกจากนี้ ขสมก. ยังได้จัดเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษ และนายตรวจให้บริการผู้โดยสารตามจุดบริการ ณ วัดต่าง ๆ ในเส้นทางที่รถวิ่งผ่าน และจัดตั้งศูนย์อำนวยการบริการที่อู่หมอชิต 2 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอีกด้วย ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือ แนะนำบริการได้ที่ www.bmta.co.th หรือ ศูนย์ Call Center 1348 ทุกวันตั้งแต่เวลา 05.00-22.00 น.

Cr.Mthai

"รักที่ขอนแก่น" หนังดังเมืองคานส์ 2558 (คลิป)

  
"รักที่ขอนแก่น" หนังดังเมืองคานส์ 2558
"รักที่ขอนแก่น" หนังดังเมืองคานส์ 2558

        " รักที่ขอนแก่น " ซึ่งกำกับโดย เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับชื่อดังของเมืองไทย โดยภาพยนตร์ รักที่ขอนแก่น ได้รับเกียรติให้ฉายในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ในฐานะภาพยนตร์ที่น่าจับตามอง (Un Certain Regard) ซึ่งก็ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์หนังชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก

            เทศกาลหนังเมืองคานส์ถือว่าเป็นเทศกาลภาพยนต์ระดับโลกที่ทุกคนต่างจับตามอง แถมไม่กี่ปีมานี้ก็มีนักแสดงสาวชื่อดังของเมืองไทยอย่างสาว ชมพู่ อารยา ที่ได้เป็นตัวแทนจากลอรีอัล ไปร่วมเดินพรมแดงกระทบไหล่คนดังระดับโลก ทำให้สาวชมพู่ เป็นที่จับตามอง และเรียกได้ว่า เธอได้สร้างความภูมิใจให้กับคนไทยอีกด้วย

            และในปีนี้นอกจากสาวชมพู่แล้วก็ยังมีอีกหนึ่งความน่าภาคภูมิใจก็คือ ภาพยนต์เรื่อง รักที่ขอนแก่น ซึ่งกำกับโดย เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับชื่อดังของเมืองไทย โดยภาพยนตร์ รักที่ขอนแก่น ได้รับเกียรติให้ฉายในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ในฐานะภาพยนตร์ที่น่าจับตามอง (Un Certain Regard) ซึ่งก็ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์หนังชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก

แต่ล่าสุด (26 พฤษภาคม 2558) ดูเหมือนเป็นตลกร้ายที่สังคมไทยต่างให้ความสำคัญกับสาวชมพู่ จนเหมือนว่าจะยังไม่ค่อยมีใครรู้เท่าไรนักว่ามีหนังไทยได้รับเกียรติฉายในเทศกาลหนังระดับโลกด้วย
นักแสดงหนังเรื่อง รักที่ขอนแก่น ของผู้กำกับ เจ้ย อภิชาติพงศ์ ที่ได้ฉายเมืองคานส์ 2015 บอกงอนคนถามหาแต่ชมพู่... คำก็ชมพู่ สองคำก็ชมพู่

ซึ่งในกรณีนี้ ศักดา แก้วบัวดี นักแสดงหนังของอภิชาติพงศ์  ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Sakda Kaewbuadee ตัดพ้อแกมขำ ๆ ที่มีคนถามเขาว่า เห็นว่าไปเดินพรมแดงเมืองคานส์ ไปทำอะไร เจอสาวชมพู่บ้างไหม ซึ่งตนก็ตอบไปว่า ไปกับภาพยนตร์เรื่อง รักที่ขอนแก่น แต่ผู้ที่เข้ามาถามก็เอาแต่ถามหาชมพู่ งานนี้เจ้าตัวเลยออกอาการงอนเล็กน้อย พร้อมตัดพ้อแกมหยอกว่า "งอนอะ คำก็ชมพู่ สองคำก็ชมพู่ รักที่ขอนแก่น คงจับฉลากได้ไปฉายที่คานส์สินะ"

            ทั้งนี้หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็ทำให้หลาย ๆ คนกลับมามองว่า เทศกาลดังกล่าวเราควรจะโฟกัสที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์หรือโฟกัสที่อะไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ งานนี้คุณศักดาก็ได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมว่า โพสต์ขำ ๆ เฉย ๆ แต่ไม่ได้มีอคติอะไรกับสาวชมพู่ และขอโทษที่พาดพิงถึง เรียกว่า งอนแบบขำ ๆ น้อยใจเล็ก ๆ เฉย ๆ ^__^




Cr.กระปุก

ช่อง 7 สี เติมความสุขใน 7 สี (คลิป)


ช่อง 7 สี เติมความสุขใน 7 สี
ช่อง 7 สี เติมความสุขใน 7 สี
ช่อง 7 สี คัดแล้วคัดอีก เวียร์-ศุกลวัฒน์ พอร์ช-ศรัณย์ กรีน-อัษฎาพร เกรซ-กาญจน์เกล้า ไมค์-ภัทรเดช โบ-เมลดา นำทีมนักแสดง พร้อมด้วย อนุวัต เปรมสุดา ณัชฐพงษ์ ชวัลนันท์ ศศินา ศจี กมลาสน์ นำทีมผู้ประกาศข่าว ร่วมจัดเต็มความสุขความบันเทิงแก่พันธมิตร ใน 7 สี สังสรรค์ คนกันเอง 2015 ห้องคริสตัล พลาซ่าแอทธินี เมื่อวันก่อน

สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 คืนกำไรเปิดบรรยากาศแห่งความบันเทิง เสิร์ฟความสนุกให้แก่พันธมิตรต่างๆ ในงาน 7สี สังสรรค์ คนกันเอง 2015

โดยมีคุณพลากร สมสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ พร้อมผู้บริหารร่วมมอบความสุข มอบของขวัญของที่ระลึกแก่พันธมิตรและผู้ให้การสนับสนุน ช่อง 7 สี ด้วยดีตลอดมา และส่งการแสดงชุดพิเศษจากนักแสดง ผู้ประกาศข่าว

เวียร์-ศุกลวัฒน์ พอร์ช-ศรัณย์ ไมค์-ภัทรเดช กรีน-อัษฎาพร เกรซ-กาญจน์เกล้า โบ-เมลดา พิม-พิมประภา แคท-ซอนย่า พร้อม อนุวัต เปรมสุดา ณัชฐพงษ์ ชวัลนันท์ ศศินา กัลปภัทร กมลาสน์ กุลธิดา บัวบูชา ภัทร กฤษดา กุลชนิดา เกณฑ์สิทธิ์ ธนภัต สุคนธ์เพชร ณิชารีย์ ชัชชญา และอีกมากมาย เรียกรอยยิ้มและความประทับใจส่งผู้ร่วมงานกลับบ้านอย่างมีความสุขกันทั่วหน้า ที่ คริสตัล ฮอลล์ พลาซาแอทธินี เมื่อวันก่อน








Cr.อาร์วายทีไนน์

พลอยชมพู เน็ตไอดอลผู้โด่งดัง (คลิป)

พลอยชมพู เน็ตไอดอลผู้โด่งดัง
พลอยชมพู เน็ตไอดอลผู้โด่งดัง


"พลอยชมพู-ญานนีน ภารวี ไวเกล" ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน อายุ 15 ปี กลายเป็นเน็ตไอดอลผู้โด่งดัง มีแฟนคลับกว่า 8 แสนรายทั้งในไทย เวียดนาม ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ฯลฯ คอยติดตามงาน และยอดวิวคนเข้าฟังเพลงคัฟเวอร์ของเธอแล้วกว่า 140 ล้านวิว

แล้วในวันนี้จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ก็นำเธอมาปั้นต่อให้เป็นศิลปินป๊อปร็อก ออกผลงาน "ชักดิ้นชักงอ" ซึ่งสามารถสร้างยอดวิวกว่า 4 ล้านวิว ภายในเวลาแค่เดือนกว่าไปเรียบร้อย

"เนื้อหาของเพลงจะเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์วัยรุ่นสมัยนี้ที่ชอบคุย ชอบโทร ชอบแชต พูดถึงวัยรุ่นที่คุยๆ กันอยู่ คุยไปคุยมาเพื่อนๆ ก็เลยเริ่มสงสัยว่า เอ๊ะ! ตกลง 2 คนนี้เป็นอะไรกันแน่" พลอยชมพูพูดถึงซิงเกิลเพลงแรกของตัวเองแบบยิ้มๆ

แล้วเล่าถึงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางการร้องเพลงว่า มาจากการประกวดในรายการ Singing Kids 2010 ที่สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 มาครองด้วยวัยเพียง 11 ขวบ

"ชอบร้องมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วอยากเป็นนักร้อง คุณแม่ก็เลยสานต่อความฝัน ให้ร้องเพลงคาราโอเกะให้ฟังบ้าง บางทีคุณแม่ก็จะร้องเพลงให้ฟังบ้างมาตั้งแต่เด็กๆ"

จนในที่สุดก็ตัดสินใจอัดคลิปโชว์ลงยูทูบ

"เห็นฝรั่งเขาทำกันแล้วอยากลองทำบ้าง" พลอยชมพูเล่า

ก่อนจะว่าตอนแรกคนดูไม่มากเท่าไหร่ ก่อนจะกลายเป็นมหาศาลเมื่อเพลง "Let her go" ถูกแชร์ออกไปเยอะมาก

"เหมือนเป็นเพลงแจ้งเกิดเลย"

แชร์ไปจนถึงประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งพอยอดวิวขึ้นเป็นล้าน ก็เล่นเอาตกใจ เธอเล่าพร้อมกับหัวเราะขำตัวเอง

ปัจจุบันพลอยชมพูมีคลิปในยูทูบเกือบ 70 คลิป คลิปคัฟเวอร์ล่าสุดคือเพลง "See you again" ที่ประกอบภาพยนตร์เรื่อง "Fast&Furious 7"

"ส่วนใหญ่เลือกคัฟเวอร์จากเพลงที่ชอบก่อน แต่ถ้ามีเพลงไหนที่อยู่ในกระแส แล้วคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับเรา แล้วเราอยากถ่ายทอดในอีกแบบหนึ่ง อีกอารมณ์หนึ่ง ก็คัฟเวอร์เหมือนกัน"

นอกจากการร้องเพลง พลอยชมพูบอกว่ายังมีอีกสิ่งที่เธอชอบคือการแสดง ที่ขณะนี้กำลังพยายามพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากหนังสั้นที่มีไป 2 เรื่อง มาจนถึงละครเรื่อง "บัลลังก์เมฆ" ทางช่องวัน รวมไปถึงยังจะมีหนังยาวอีกเรื่องที่น่าจะเห็นกันปลายปีนี้

และแม้จะมีงาน แต่เรื่องการเรียนเธอก็ไม่ทิ้ง โดยใช้วิธีเรียนแบบโฮมสคูล

"จะได้เน้นในทางที่เราชอบ เราถนัด พลอยชมพูจะถนัดเรื่องภาษา ตอนนี้ก็เก็บหน่วยกิตของ มสธ. คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ"

ก่อนจะทิ้งท้ายถึงเคล็ดลับการเป็นพลอยชมพูที่มีคนรักและคนชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า "ทำตัวให้เหมือนกับตอนที่เราเริ่มมา ไม่ใช่ว่าพอดังแล้วเปลี่ยนไป คือถ้าจะเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น"

"แล้วพยายามไม่ให้มีเส้นกั้นระหว่างแฟนคลับกับตัวเรา เพราะเราก็เริ่มต้นมาจากการเป็นแฟนคลับคนอื่นเหมือนกัน ถึงตอนนี้เราจะเป็นศิลปินแล้ว แต่ก็เคยอยู่ในฐานะเดียวกันมาก่อน ก็เลยจะทำกับแฟนคลับเหมือนกับที่เคยอยากให้ศิลปินทำกับเรา"





Cr.ประชาติธุรกิจ

25 พ.ค. 2558

“แผ่นดินไหวเนปาล” ศาสตร์ที่ซับซ้อน


 “แผ่นดินไหวเนปาล” ศาสตร์ที่ซับซ้อน
 “แผ่นดินไหวเนปาล” ศาสตร์ที่ซับซ้อน

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ผศ.ดร.ภาสกร ปนานนท์ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแผ่นดินไหวและธรณีแปรสัณฐานของโลก (SEIS-SCOPE) ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ศึกษาแผ่นดินไหวด้วยเครื่องไม้เครื่องมือสำรวจ เครื่องมือวัดละเอียด และวัดค่าต่างๆ ของพื้นดิน  เครื่องมือไมโครมิเตอร์ เครื่องวัดแสง และงานกว่าครึ่งของเขาเป็นเรื่องแผ่นดินไหว


       ผศ.ดร.ภาสกรนิยามตัวเองว่าเป็น “นักธรณีฟิสิกส์” ในขอบข่ายการศึกษาของเขานั้นกว้างกว่าแค่เรื่องแผ่นดินไหว ขณะเดียวกันการศึกษาทางด้านแผ่นดินไหวก็ใช้หลายๆ ศาสตร์ ทั้งศาสตร์ทางด้านธรณีวิทยา ศาสตร์ทางด้านธรณีฟิสิกส์ ศาสตร์ในการวิเคราะห์ข้อมูลแผ่นดินไหว และในบางครั้งต้องใช้ความรู้ทางด้านวิศวกรรมร่วมด้วย และเมื่อพูดถึงแผ่นดินไหวในเมืองไทยจะหมายถึง 2 ส่วน คือ ส่วนของการศึกษาทางด้านธรณีวิทยา ดูในเรื่องรอยเลื่อน และส่วนที่ศึกษาข้อมูลแผ่นดินไหวและนำข้อมูลมาวิเคราะห์  
       
       “ถ้านิยามตัวเอง ผมเป็นคนที่ศึกษาการเปลี่ยนแปลงโลกในด้านต่างๆ แผ่นดินไหวก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของโลกส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นผมจึงศึกษาหลายๆ อย่าง ตอนนี้ศึกษาในเรื่องลักษณะการเกิดแผ่นดินไหว ลักษณะรอยเลื่อน โครงสร้างใต้แผ่นเปลือกโลก โดยเน้นประเทศไทยเป็นหลัก ดูว่ารอยเลื่อนแต่ละรอยเลื่อนมีพลังมากน้อยแค่ไหน มีหลักฐานการเกิดแผ่นดินไหวในอดีตมาก่อนไหม และมีศักยภาพให้เกิดแผ่นดินไหวในอนาคตมากน้อยแค่ไหน โดยอาศัยเครื่องมือทางธรณีฟิสิกส์” ผศ.ดร.ภาสกรกล่าว
       
       ศาสตร์ทางด้านแผ่นดินไหวเป็น ศาสตร์ที่ซับซ้อน เพราะแผ่นดินไหวเกิดจากการที่โลกไม่ได้เป็นเนื้อเดียว โลกมีหลายแผ่นเปลือกโลก และแต่ละแผ่นเปลือกโลกมีคุณสมบัติทางเคมี คุณสมบัติฟิสิกส์ต่างกัน ดังนั้น เมื่อศึกษาแบบจำลองแผ่นดินไหวของบริเวณ หนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าแบบจำลองของบริเวณนั้นจะใช้เป็นตัวแทนของบริเวณอื่นได้ โดย  ผศ.ดร.ภาสกรได้ยกตัวอย่างลักษณะทางธรณีวิทยาของภูเก็ตที่แตกต่างจาก เชียงใหม่ ดังนั้นเราไม่สามารถเอาแบบจำลองแผ่นดินไหวที่ภูเก็ตไปใช้สมมติกับเชียงใหม่ ได้
       
       “ฉะนั้นเราต้องศึกษาให้เยอะที่สุด นั่นคือสิ่งหนึ่ง แต่ข้อจำกัดในการศึกษาโลกของเราคือ เราศึกษาลงไปไม่ได้ลึกมากนัก เราเจาะหลุมสำรวจลงไปประมาณ 7 กิโลเมตร หลังจากนั้นเจาะไม่ได้แล้ว ดังนั้น ส่วนที่เหลือคือการเอาข้อมูลมาสร้างแบบจำลองเพื่อให้เกิดภาพ และข้อจำกัดในการศึกษาโลกก็เป็นข้อจำกัดในการศึกษาแผ่นดินไหวด้วย” นักธรณีฟิสิกส์ จาก ม.เกษตร กล่าว
       
       อย่างกรณีแผ่นดินไหวเนปาล จากการชนกันของเปลือกโลก 2,000 กิโลเมตรนั้น นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ทราบว่าตลอด 2,000 กิโลเมตรนั้น เปลือกโลกชนกันด้วยแรงมากแค่ไหน นักวิทยาศาสตร์รู้แค่ในระดับหนึ่งเพราะการศึกษาเรื่องนี้ใช้งบเยอะ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงศึกษาโดยแบ่งพื้นที่ในระดับที่พวกเขาสามารถศึกษา ได้ ภายใต้งบประมาณและเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งข้อมูลต่างๆ ก็มีน้อย
       
       “แบบจำลอง” เครื่องมือวัดอธิบายแผ่นดินไหว
       ผศ.ดร.ภาสกรย้ำว่าการอธิบายเรื่องแผ่นดินไหวจำเป็นต้องมีแบบจำลอง หากไม่มีแบบจำลองก็ทำได้แค่เดา เช่น ถามเรื่องแผ่นดินไหวที่เนปาลซึ่งเขาไม่ได้ลงมือศึกษาเอง เขาก็ทำได้เดาไปตามข้อมูลที่มี ซึ่งจุดนี้เป็นความแตกต่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์ไทยและนักวิทยาศาสตร์ต่าง ชาติ โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ ซึ่งต่างประเทศจะมีข้อมูลเชิงตัวเลขหรือปริมาณกำกับทุกครั้ง
       
       ความแตกต่างดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากความพร้อมเรื่องเครื่องมือสำหรับบันทึกข้อมูลพื้นฐานสำหรับนำไปวิเคราะห์แผ่นดินไหว ซึ่งต่างประเทศเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานกันมาเป็นร้อยปี แต่สำหรับเมืองไทยเพิ่งเริ่มเก็บข้อมูลเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา แม้หลังเกิดสึนามิในปี 2547 จะมีข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินไหวมากขึ้น แต่ ผศ.ดร.ภาสกรระบุว่า ไทยยังขาดข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการวิจัย ซึ่งต้องอาศัยการเก็บข้อมูลจากเครื่องมือที่มีราคาแพง
       
       รวมถึงการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรอยเลื่อนในเมืองไทย แม้เราจะทราบว่ามีรอยเลื่อนมีพลัง 14 รอยเลื่อน แต่ในแต่ละรอยเลื่อนนั้นยังมีรอยเลื่อนย่อยต่อกันเป็นแนวยาว ซึ่งหากเปรียบเทียบกับต่างชาติที่มีความพร้อมมากกว่าแล้ว จะให้ความสำคัญในการศึกษาข้อมูลของทุกรอยเลื่อนย่อย ขณะที่ไทยอาจศึกษาได้เพียงไม่กี่รอยเลื่อนแล้วใช้สรุปแทนรอยเลื่อนอื่นๆ ในกลุ่มรอยเลื่อนเดียวกัน ส่วนหนึ่งนั้นอาจเป็นเพราะไทยยังขาดทั้งเวลา งบประมาณ และบุคลากร
       
       “สิ่งที่เราขาดคือการวิจัยระดับลึก เรามีการวิจัยระดับพื้นฐานบ้าง แต่เราไม่เคยลงไปในระดับลึกที่จะได้ข้อมูลในเชิงปริมาณ ส่วนหนึ่งเพราะว่าเทคโนโลยีและศาสตร์เหล่านี้เพิ่งมีขึ้นเมื่อสมัย 10 กว่าปีที่ผ่านมานี่เอง เพราะฉะนั้นนักวิชาการที่มีในปัจจุบันจึงเป็นนักวิชาการที่เรียนมาในสมัย ก่อน ซึ่งไม่ได้มีทักษะในส่วนนี้ จริงๆ เราต้องการนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ๆ ที่จะรับเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาในประเทศไทย และใช้ให้มากขึ้น” ผศ.ดร.ภาสกรกล่าว

  “แผ่นดินไหวเล็ก” ข้อมูลสู่ความเข้าใจรอยเลื่อน
       แม้ไทยมีข้อมูลแผ่นดินไหวขนาด ใหญ่เยอะขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลจากการติดตั้งสถานีเพื่อวัดแผ่นดินไหวระยะไกลและใช้ เตือนภัยสึนามิ แต่ข้อมูลที่มีค่ามากๆ และไทยยังขาดคือข้อมูลแผ่นดินไหวขนาด เล็กๆ ซึ่งจะบอกถึงพฤติกรรมของรอยเลื่อนแต่ละรอยเลื่อน และต้องติดตั้งเครื่องตรวจวัดในบริเวณแนวรอยเลื่อน แต่บางครั้งมีข้อจำกัดในการเข้าไปศึกษา เพราะหลายๆ พื้นที่ที่ถูกพัฒนาไปแล้ว และถูกครอบครองโดยเอกชนซึ่งไม่อนุญาตให้นักวิจัยเข้าไปศึกษา
       
       “ทุกอย่างที่พูดไม่สามารถทำได้ภายใน 1-2 ปีหรอก แต่เรากำลังพูดถึง 10-20 ปี ข้างหน้าที่สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานให้ลูกหลานเรามาใช้ทำในสิ่งที่ เราทำไม่ได้ในตอนนี้ วิเคราะห์ข้อมูลได้มากขึ้น เพราะข้อมูลแผ่นดินไหวนั้น ค่อยๆ เกิดขึ้น และแผ่นดินไหวในไทยไม่ได้เกิดขึ้นมากมาย ต่อให้เป็นแผ่นดินไหวขนาด 2.0 เองก็ตาม ในเมืองไทยเกิดอย่างมากก็ปีละ 50 ครั้งหรือน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ” หัวหน้าศูนย์ SEIS-SCOPE กล่าว
       
       จากข้อมูลสู่แผนที่เสี่ยงและนโยบาย
       ตัวอย่างการศึกษาแผ่นดินไหวใน ต่างประเทศอย่างในสหรัฐฯ นั้นมีข้อมูลมากพอสำหรับทำนายได้ว่าในอนาคตข้างหน้านั้นมีโอกาสเกิดแผ่นดิน ไหวกี่เปอร์เซนต์ เช่น มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.0 มากกว่า 60% ในรอบ 30 ปีข้างหน้า  แสดงว่าในอีก 30 ปี มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวมากกว่า จะไม่เกิด เป็นต้น ซึ่งจะเป็นข้อมูลเชิงนโยบายให้รัฐบาลนำไปบริหารจัดการ เช่น การออกกฏหมายสิ่งก่อสร้างรองรับแผ่นดินไหว กฎหมายการประกันภัย เป็นต้น
       
       “ส่วนไทยนั้นเราทราบว่ามีรอยเลื่อนมีพลัง 14 แห่งอยู่ในพื้นที่ไหนบ้าง และทราบว่าบริเวณรอยเลื่อนนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวมากกว่าบริเวณอื่น เช่น ภาคเหนือ-ภาคใต้มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวมากกว่า ภาคอีสาน เป็นต้น แต่สิ่งที่เราไม่รู้เลยคือ รอยเลื่อนไหนจะเกิดแผ่นดินไหวก่อน หรือรอยเลื่อนแต่ละตัวสะสมพลังงานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งทำให้เราไปต่อไม่ได้ ขณะที่ต่างประเทศจะมีแผนที่ความเสี่ยงแผ่นดินไหว ตรงไหนมีอันตรายระดับเท่าไร ไทยก็พยายามทำ แต่ยังมีหลายเวอร์ชัน ยังไม่มีหน่วยงานกลางที่รับทำเป็นเจ้าภาพแล้วประกาศใช้ในเชิงกฎหมาย” ผศ.ดร.ภาสกรกล่าว
       
       ในการทำแผนที่ความเสี่ยงแผ่นดินไหวนั้น รศ.ดร.ภาสกรกล่าวว่า ประกอบด้วยงานหลายๆ ด้าน ทั้งด้านธรณีวิทยาและงานวิศวกรรม ซึ่งควรจะมีผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นผู้สั่งการ และอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากหลายด้านเป็นคณะทำงาน อาทิ นักแผ่นดินไหว นักธรณีวิทยา วิศวกร และต้องใช้บุคลากรมากถึง 50-100 คน แม้ระหว่างทางอาจมีการถกเถียงกันบ้าง แต่สุดท้ายทุกอย่างจะถูกเกลี่ยให้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในสหรัฐฯ ก็มีการทำงานในลักษณะนี้และได้มาตรฐานฉบับเดียวที่ใช้กันทั้งประเทศ
       
       “สึนามิ” ซัดสู่ความเข้าใจที่มากขึ้น
       “หลังสึนามิปี 2547เรามีพัฒนาการในภาพรวมที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ตื่นตัวขึ้นเยอะ เดี๋ยวนี้ทุกครู้จักแล้วว่าแผ่นดินไหวคือ อะไร แต่ว่ายังเป็นการรู้จักเพียงผิวเผิน ถามทำไมแผ่นเปลือกโลกถึงเลื่อนไป เลื่อนมา ทราบไหม? คนส่วนมากก็ยังไม่ทราบ ผมมองว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการให้การศึกษา ซึ่งปัจจุบันทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จัดองค์ความรู้เหล่านี้เข้าไปในระบบ การศึกษาแล้ว เพราะฉะนั้นคนรุ่นใหม่จะไม่มีช่องว่างตรงนี้แล้ว แต่ช่องว่างเป็นของคนรุ่นก่อน ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเพราะเขาไม่ได้เรียน เหมือนถามผมในสิ่งที่ผมไม่ได้เรียน ผมก็ไม่รู้เรื่อง มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็ต้องค่อยๆ ให้ความรู้เขา”
       
       ส่วนเรื่องความน่ากลัวของแผ่นดินไหวใน เมืองไทยนั้น ผศ.ดร.ภาสกรกล่าวว่า ต้องมองที่ความเสียหาย ซึ่งรอยเลื่อนทุกรอยเลื่อนในไทยมีศักยภาพมทำให้เกิดแผ่นดินไหวเกือบ 7 แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดแผ่นดินไหวที่ตรงไหน หากเกิดในป่าเขาก็ไม่ส่งผลกระทบมาก แต่ถ้าแผ่นดินไหวขยับเข้าใกล้เมืองมากขึ้น ผลกระทบก็เยอะขึ้น แต่เราไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหนขึ้นที่ตรงไหน
       
       “แผ่นดินไหว” ไม่เคยฆ่าคน
       “ฝรั่งบอกว่า “แผ่นดินไหวไม่เคยฆ่าคนหรอก อาคารต่างหากฆ่าคน” เพราะฉะนั้นคนที่เสียชีวิตทั้งหมดก็เกิดจากอาคารที่หล่นมาทับ ตรงนี้เป็นส่วนของข้อมูลพื้นฐานที่เราจะใช้บอกแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวและ ความเสี่ยงแผ่นดินไหว แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านี้คือความพร้อมของเรา เราไม่ต้องเถียงกันหรอกว่าเนปาลจะส่งผลกระทบถึงเมืองไทยหรือเปล่า เถียงไปไปก็ไม่ได้อะไร แต่ถามว่าถ้าวันนี้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 หรือขนาดใกล้ๆ เราพร้อมไหม วันหนึ่งมันเกิดกลางเมืองเชียงใหม่ กลางเมืองเชียงราย ภาคเหนือของประเทศไทย เราพร้อมหรือยัง ถ้าเราบอกว่าเราพร้อม เราก็สบายใจได้ระดับหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เรายังไม่พร้อม”
       
       แม้ว่าทั้งข้อมูลและความพร้อมในเรื่องแผ่นดินไหวของไทยยังมีอยู่น้อย แต่ ผศ.ดร.ภาสกรให้มุมมองว่า พัฒนาการของคนไทยในการรับมือภัยสึนามิซึ่งเป็นผลพวงจากแผ่นดินไหวนั้น ดีขึ้นมาก นอกจากความโชคดีที่ไทยมีเวลารับมือกับสึนามิ ถึง 1 ชั่วโมงแล้ว ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยยังทราบถึงวิธีปฏิบัติตัว พร้อมยกตัวอย่างเมื่อเกิดแผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ใน อ.เกาะยาว จ.ภูเก็ต ที่ผ่านมา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งวิ่งขึ้นที่สูงโดยไม่ต้องรอสัญญาณเจ้งเตือน
       
       การสนทนาและซักถามในที่สิ่งที่เราไม่รู้จาก ผศ.ดร.ภาสกร ทำให้ทราบว่าเรายังมีความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวใน เมืองไทยน้อยมาก และยังมีช่องว่างให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาอีกมาก ซึ่งความรู้และความเข้าใจที่มากขึ้น จะช่วยให้เรารับมือกับภัยพิบัติที่ไม่อาจเตือนได้ล่วงหน้านี้ได้ดีขึ้น  

ผลพวงจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เนปาลเมื่อ 25 เม.ย.และ 12 พ.ค.58 ขณะเดียวก็มีแผ่นดินไหวที่ รู้สึกได้ในเมืองไทยที่ อ.เกาะยาว จ.ภูเก็ต เมื่อ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวลือและข่าวลวงในจังหวะผู้คนตื่นตระหนกต่อปรากฏการณ์ดัง กล่าว ก็ทำให้เราสบายใจที่ได้ฟังนักวิทยาศาสตร์อธิบายให้เข้าใจปรากฎการธรรมชาติ นี้เป็นอย่างดี

Cr.ผู้จัดการ

แวร์เอเบิล (wearable) ค่าย Up Move

 
แวร์เอเบิล (wearable) ค่าย Up Move
แวร์เอเบิล (wearable) ค่าย Up Move


แวร์เอเบิล(Wearable Device) อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ Jawbone ที่ออกมาจับตลาดกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้งาน Activity Tracker หรือ อุปกรณ์ที่จะคอยวัดกิจกรรมในแต่ละวันอย่าง ก้าวเดิน การนอนหลับ การออกกำลังกาย เพื่อนำมาคำนวนผลภายในแอปพลิเคชันช่วยให้ผู้ใช้รักษาสุขภาพ นั้นคือ แวร์เอเบิล Up Move

จุดเด่นของ แวร์เอเบิล Up Move จะอยู่ที่ขนาดที่เล็กทำให้พกพาติดตัวได้ง่าย และที่สำคัญคือเลือกวิธีการพกพาได้หลากหลายกว่า Up หรือ Up 24 เนื่องจากออกแบบมาเป็นทรงกลมเล็กๆ ที่สามารถนำมาใส่กับสายรัดข้อมือไว้ที่ข้อมือ หรือนำไปติดกับคลิปหนีบเพื่อติดตามส่วนอื่นของเสื้อผ้าก็ได้ โดยแบตเตอรีสามารถใช้งานได้นานถึง 6 เดือน
     
การออกแบบและสเปก
อย่างที่กล่าวไปแต่แรกว่า Jawbone แวร์เอเบิล Up Move ถูกออกแบบมาให้พกพาได้สะดวก ด้วยรูปลักษณ์ทรงกลม เหมือนเป็นกระดุมขนาดเล็ก ที่มีขนาดรอบตัวอยู่ที่ น้ำหนักราว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้จะเลือกใส่กับคลิปหนีบ หรือสายรัดข้อมือ  เมื่อใส่เข้าไปในคลิปหนีบ แวร์เอเบิล Up Move จะเป็นเหมือนอุปกรณ์ติดตามตัวทั่วไป โดยการยึดติดถือว่าค่อนข้างแน่นหนา จากการที่ตัวคลิปหนีบทำจากยาง และค่อนข้างแข็ง ทำให้เมื่อหนีบกับชุดที่สวมใส่ก็จะยึดติดอยู่ตลอดเวลาไม่กลัวตกหล่น

ขณะ ที่ถ้าใช้งานเป็นสายรัดข้อมือ (มีให้เลือกหลายสี) ก็จะใส่ไว้ที่ข้อมือได้เหมือนนาฬิกาทั่วไป และด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา และมีขนาดเล็กทำให้ใส่แล้วไม่รู้สึกรำคานมากนัก ที่สำคัญคือสามารถใช้ใส่ติดตัวได้ตลอดเวลาแม้ตอนอาบน้ำ เพราะตัว แวร์เอเบิล Up Move ทำมาให้กันน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถใส่ว่ายน้ำได้

       แวร์เอเบิล(Wearable Device)
   
 หน้าปัด LED
จะมีไฟ LED ที่สามารถบอกสถานะการใช้งาน และไฟแสดงเวลาได้ โดยใช้การกระพริบของไฟเพื่อบอกสถานะต่างๆ โดยใช้ทิศทางของเข็มนาฬิกาในการบอกข้อมูลต่างๆ สำหรับสเปกภายในของ แวร์เอเบิล Up Move จะมีเซ็นเซอร์ X-Motion เป็นหลัก และช่องใส่แบตเตอรีที่สามารถใช้เหรียญหมุนออกมาได้

เมื่อ หมุนออกมาจะพบกับแบตเตอรีแบบเม็ดกระดุม ขนาด cr2032 ซึ่งภายในกล่องจะมีอุปกรณ์ที่เป็นแผ่นพลาสติกมาให้ใช้หมุนด้วย และภายในของตัวเครื่องก็จะมีชื่อแบรนด์ กับสถานที่ผลิต ทั้งนี้ในการใส่คืนจะมีร่องให้หมุนกลับตามจุดสัญลักษณ์ เพื่อป้องกันกรณีโดนละอองน้ำด้วย
     
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
ภายในตัว แวร์เอเบิล Up Move จะมีจุดที่น่าสนใจอยู่หลักๆ 3 ส่วนด้วยกันคือ การนับก้าว และการวัดนอน ที่สามารถสลับโหมดได้ด้วยการกดหน้าปัดค้างไว้สักพัก จนมีไฟกระพริบรอบๆหน้าจอ หลังจากนั้นก็จะมีสัญลักษณ์รูปคนเดินสำหรับการวัดก้าวเดิน และพระจันทร์ขึ้นสำหรับการวัดนอน  

 โดยขณะอยู่ในโหมดใดก็ตาม ถ้ากดหน้าจอ 1 ครั้ง จะมีการแสดงผลเป็น % ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแต่ละวัน อย่างสมมุติตั้งเป้าหมายเดินไว้ 10,000 ก้าว เมื่อเดินไป 4,000 ก้าว เมื่อกดหน้าปัดก็จะมีไฟกระพริบบอกที่สี่นาฬิกา คิดเป็น 40% เช่นเดียวกับการนับช่วงเวลาการนอนก็จะมีการแสดงผลใกล้เคียงกัน
     
ถัด มาคือการกดที่หน้าจอติดกัน 2 ครั้ง จะเป็นการแสดงผลนาฬิกา โดยจะมีการกระพริบหน้าจอ 2 ครั้ง ครั้งแรกบอกชั่วโมง ครั้งที่ 2 บอกนาที โดยจะเป็นเวลาแบบประมาณการณ์ +- ใน 5 นาที ตามช่องเข็มนาฬิกาทั้ง 12 ช่องนั่นเอง
     
สุดท้ายคือ การจับช่วงเวลาการทำกิจกรรม โดยการกดที่หน้าจอ 2 ครั้ง เพียงแต่เมื่อกดครั้งที่ 2 ให้กดปุ่มค้างจนมีไฟกระพริบรอบๆหน้าปัด เพื่อเข้าสู่โหมด Activity Tracker ในช่วงที่ออกกำลัง เมื่อเสร็จจากช่วงเวลาดังกล่าวก็ให้กดซ้ำแบบเดิมเพื่อเข้าสู่โหมดนับก้าว ปกติ หลังจากนั้นค่อยเข้าไปเลือกรูปแบบกิจกรรมภายในแอปบนสมาร์ทโฟน

การ ใช้งานหลักอื่นๆต้องไปใช้งานบนแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้ทั้ง iOS และ Android สามารถเข้าไปดาวน์โหลด UP ได้จากในสโตร์เพื่อติดตั้งและเชื่อมต่อ แวร์เอเบิล Up Move เข้ากับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ 4.0
     
โดย ตัวแอปพลิเคชัน UP จะรองรับอุปกรณ์ในส่วนของ Fitness Tracker จาก Jawbone ทุกรุ่นอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเคยใช้งาน Jawbone Up รุ่นอื่นๆมา ก็จะมีอินเตอร์เฟสการใช้งานใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลเป้าหมายการเดินหรือนอนในแต่ละวันเป็นเปอเซนต์

ที่ มีเพิ่มขึ้นมากับแอปรุ่นใหม่ตัวนี้คือเรื่องของการ Coach หรือการแนะนำการออกกำลังกาย แน่นอนว่าผู้ใช้จำเป็นต้องเข้าไปตั้งค่าก่อนว่า เป้าหมายในการนอน อยู่ที่เวลากี่ชั่วโมง โดยจะมีค่ามาตรฐานมาให้อยู่ที่ 7-9 ชั่วโมง ขณะที่จำนวนก้าวเดินก็จะมีค่ามาตรฐานมาอยู่ที่ 10,000 ก้าว สุดท้ายเป็นการตั้งค่าน้ำหนัก โดยในจุดนี้จะมีให้เลือกด้วยว่าต้องการลดน้ำหนัก เพิ่มน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนัก
     
หน้าจอแสดงผลสามารถกดเข้าไปดูสถิติย้อน หลังได้ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนว่ามีช่วงใดถึงเป้าหมายที่กำหนดบ้าง นอกจากนี้กรณีที่ไม่ได้มีการตั้ง Activity แต่มีการเคลื่อนไหวติดต่อกัน ตัวแอปก็จะขึ้นมาให้ตั้งเช่นเดียวกันว่าช่วงเวลาดังกล่าวไปทำอะไรมา

ใน ขณะที่กำลังออกกำลังกาย เมื่อเข้าสู่ Activity Mode ที่จะทำการจับเวลาแล้ว ภายหลังจากออกกำลังกายเสร็จผู้ใช้สามารถเข้ามาตั้งค่าได้ว่าไปทำกิจกรรมใดมา ไม่ว่าจะเป็นเดิน ยกน้ำหนัก วิ่ง ครอสเทรนนิ่ง เดินขึ้นเขา คาดิโอ ขี่จักรยาน โยคะ เล่นเครื่องกีฬา พิลาทิส บาสเกตบอล ว่ายน้ำ เทนนิส เต้น ฟุตบอล สกี หรือจะใส่ชนิดกีฬาเพิ่มเองก็ได้
     
ถัดมาคือการเลือก ว่ากิจกรรมที่ออกไปอยู่ในระดับเท่าใด มีให้เลือกตั้งแต่ Easy Moderate In The Zone Difficult และ Gut Buster รวมไปถึงการเลือกตั้งระยะเวลาที่เริ่ม คิดเป็นกี่นาทีเป็นต้น ซึ่งปริมาณเหล่านี้จะถูกนำไปคำนวนด้วยแอปทั้งหมด เพื่อช่วยให้สามารถทำกิจกรรมได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
แวร์เอเบิล(Wearable Device)

ภายในแอปนอกจากตั้งเป้าจำนวนก้าว และชั่วโมงการนอนแล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าไปกรอกข้อมูลอาหารที่ทานได้ โดยจะมีทั้งการค้นหาจากฐานข้อมูลของ Up หรือจะกรอกข้อมูล พร้อมถ่ายภาพอาหารเข้าไปใหม่ก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็น เครื่องอ่านบาร์โค้ด เพื่อเข้าถึงข้อมูลอาหารต่างๆได้ เพียงแต่ในประเทศไทยอาจจะยังไม่รองรับ

 สุดท้ายมาดูกันในส่วนของการตั้งค่า จะมี 2 ส่วนคือบริเวณปุ่มมุมขวาบน ไว้สำหรับกดดูว่ามีการเชื่อมต่อข้อมูลกับ แวร์เอเบิล Up Move ครั้งล่าสุดเมื่อใด และสามารถเข้าไปดูรายละเอียดตัว แวร์เอเบิล Up Move หรือเข้าไปทำการเชื่อมต่อใหม่ หรือลบข้อมูลก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกตั้งโหมดการนอน โหมดจับเวลา และตั้งการแจ้งเตือนต่างๆได้ด้วย
     
อีกฝั่งหนึ่งคือการเข้าไป ตั้งค่าที่จะมีให้เลือกทั้งข้อมูลส่วนตัวอย่างเป้าหมาย และน้ำหนักที่กล่าวไป กับค่าความเป็นส่วนตัวในการแชร์ข้อมูล ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีการเชื่อมต่อกับโซเชียลเน็ตเวิร์ก และมีเพื่อนใช้งานร่วมกันก็จะเกิดเป็นคอมมูนิตี้ขึ้นมา และนำค่าต่างๆมาวัดแข่งขันกันได้
     
นอกจากนี้ก็จะมีให้เลือก ตั้งค่าการแจ้งเตือน รวมไปถึงการเลือกเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันสุขภาพอันอื่นๆที่เป็นพันธมิตรกัน เพื่อช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
     
       จุดขาย
     
       - ตัวแอปพลิเคชันได้มาตรฐาน พร้อมฟังก์ชัน Coach ที่จะคอยแนะนำตลอด
       - สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการพกพาได้ทั้งคลิปหนีบ หรือเป็นสายรัดข้อมือ
       - สามารถเป็น เครื่องสแกนบาร์โค้ด    
       - ใช้งานได้ต่อเนื่องราว 6 เดือน โดยสามารถเปลี่ยนแบตได้ด้วยตนเอง
       - ราคาจับต้องได้
     
       ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
     
       - มีการตัดฟังก์ชันอย่างการแจ้งเตือนออกไป ทำให้เลือกเป็นแค่อุปกรณ์วัดสุขภาพเท่านั้น
       - กันน้ำได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถแช่น้ำได้
     
       ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
     
  ด้วยการที่ Jawbone ต้องการออกผลิตภัณฑ์ที่มาจับกลุ่มผู้ใช้งานระดับเริ่มต้น จึงเกิดเป็น แวร์เอเบิล Up Move ขึ้นมา ในการเจาะตลาดผู้ที่ต้องการอุปกรณ์เพื่อจับการเคลื่อนไหวเป็นหลัก ในราคา 2,590 บาท ไม่ใช่กลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทวอช เพราะเชื่อว่าในอนาคต Jawbone ก็จะมีผลิตภัณฑ์ในระดับไฮเอนด์ตัวอื่นเข้ามาจับตลาดนั้นอยู่แล้ว
     
ทำให้ความสามารถของ แวร์เอเบิล Up Move เองแทบจะโดนจำกัดลงเหลือแค่การนับก้าว วัดการนอน และจับกิจกรรม รวมกับการดูนาฬิกาเท่านั้น แต่ก็แลกมากับการใช้งานแบตเตอรีที่ยาวนานขึ้น โดยทาง Jawbone เคลมไว้ว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องราว 6 เดือน ซึ่งถ้าแบตหมดก็สามารถถอดเปลี่ยนได้ ไม่จำเป็นต้องเสียบกับสายชาร์จ เพราะใช้แบตเตอรีขนาดมาตรฐานที่มีขายทั่วไป
     
 ดังนั้น ถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้งานที่รักสุขภาพ ไม่ได้เน้นความไฮเทคเป็นพิเศษ ก็เชื่อว่า แวร์เอเบิล Up Move จะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าต้องการอุปกรณ์เพื่อการตรวจจับที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้อย่างการวัด อัตราการเต้นของหัวใจ การแจ้งเตือนข้อมูลต่างๆจากสมาร์ทโฟน ก็จะมีตัวเลือกอื่นๆในตลาดอีกพอสมควร

Cr.ข้อมูลอัพเดท

24 พ.ค. 2558

กล้องจุลทรรศน์บนสมาร์ทโฟน

กล้องจุลทรรศน์ Microscope

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ของสหรัฐ ก็มี นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮูสตัน (University of Houston) ออกแบบเลนส์กล้องจุลทรรศน์ ไมโครสโคป (Microscope) ที่ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน(SmartPhone)เกือบทุกรุ่น มีกำลังขยายภาพได้สูงถึง 120 เท่า ต้นทุนการผลิตเพียงสามเซนต์หรือประมาณ 1 บาท

นักวิจัยกล่าว ว่าเลนส์ดังกล่าวใช้งานง่าย สามารถติดโดยตรงกับเลนส์สมาร์ทโฟน(SmartPhone)โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ เสริมใดๆ เหมาะสำหรับเด็กนักเรียนหรือแพทย์ในพื้นที่ห่างไกลและยากไร้ อุปกรณ์นี้มีประโยชน์ทางการแพทย์ที่ชัดเจน ช่วยคลินิกขนาดเล็กหรืออยู่ห่างไกลสามารถแชร์ภาพกับผู้เชี่ยวชาญที่อื่นๆ

เลนส์ มาตรฐานโดยทั่วไปผลิตจากแก้วขัดหรือพลาสติกหล่อแบบเพื่อให้มีความยาวโฟกัส เฉพาะและขยายภาพได้ แต่เลนส์ใหม่ของมหาวิทยาลัยฮูสตันมีองค์ประกอบเป็นโพลิเมอร์ที่รู้จักกันใน ชื่อ “โพลิไดเมทิลไซลอกเซน” (Polydimethylsiloxane หรือ PDMS) มีความนุ่มคล้ายคอนแทคเลนส์

เหวย-ชวนฉือ (Wei-Chuan Shih) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยฮูสตัน ค้นพบเลนส์ชนิดใหม่โดยบังเอิญ ระหว่างการทดลองด้านเทคโนโลยีแสงชีวภาพหรือนาโนไบโอโฟโทนิกส์ และนาโนฟลูอิดิกส์ และทำวัสดุบางอย่างหยดลงในเครื่องกวนสารแบบให้ความร้อน และสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่เปลี่ยนคุณสมบัติของวัตถุแล้วนำมาใช้ผลิตเลนส์นี้

ก่อนหน้านี้มีการพัฒนาเลนส์กล้องจุลทรรศน์ Microscopeติด บนสมาร์ทโฟน(SmartPhone)มาก่อน ผลิตจากโพลีเมอร์กำลังขยายต่ำ เรียกว่า “Micro Phone Lens” เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน เลนส์ชนิดใหม่ยังคล้ายกับผลงานของทีมนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ออสเตรเลียพัฒนาเลนส์ซึ่งผลิตจากโพลิไดเมทิลไซลอกเซนเช่นเดียวกัน

แต่เลนส์ใหม่ มีข้อได้เปรียบการผลิตซึ่งสามารถผลิตเป็นจำนวนมากได้ ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า ปัจจุบันเลนส์นี้ผลิตด้วยมือจึงปรับคุณสมบัติได้คล้ายกับการพิมพ์จากเครื่อง พิมพ์อิงค์เจ็ท

ทีมวิจัยวางแผนเปิดตัวระดมทุนออนไลน์ในเว็บไซต์ Kickstarter โดยใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ว่า “Dotlens”  และรายงานผลการวิจัยตีพิมพ์ในวารสารชีวการแพทย์ Journal of Biomedical Optics

Cr.โลกวันนี้

เสือใบ อดีตขุนโจรชื่อดัง


เสือใบ อดีตขุนโจรชื่อดัง
เสือใบ อดีตขุนโจรชื่อดัง
 "เสือใบ" เสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย 94 ปี ที่ รพ.พระมงกุฎฯ เช้าวันนี้ ปิดฉากอดีตขุนโจรชื่อดังระดับประเทศอดีตจอมโจรลายคราม รุ่นสงครามโลกครั้งที่ 2 ญาติเตรียมนำศพกลับไปทำพิธีฌาปนกิจที่บ้านเกิด สุพรรณฯ พรุ่งนี้

วันที่ 24 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายใบ สะอาดดี หรือ "เสือใบ" อดีตจอมโจรชื่อดัง ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียชีวิตแล้ว เมื่อเวลา 10.38 น.ที่ผ่านมา ด้วยวัย 94 ปี ที่ รพ.พระมงกุฎฯ

โดยญาติ จะนำศพกลับบ้าน ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ในวันพรุ่งนี้ เวลา 11.00 น. และจะตั้งบำเพ็ญกุศพที่ วัดตำลึงพัน จ.สุพรรณบุรี บ้านเกิด โดยจะสวด 7 วัน ก่อนจะทำพิธีฌาปนกิจวันอังคารที่ 2 มิถนายน 2558

ทั้งนี้ "เสือใบ" มีชื่อจริงว่า นายใบ สะอาดดี เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นจอมโจรชื่อดังในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  ร่วมสมัยกับ เสือดำ, เสือหวัด, เสือฝ้าย, เสือมเหศวร เป็นต้น โดยเสือใบจะออกปล้นในแถบภาคกลาง จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดลพบุรี โดยเวลาออกปล้นจะแต่งชุดสีดำ สวมหมวกดำ และปล้นด้วยความสุภาพ จนได้รับฉายาว่า "สุภาพบุรุษเสือใบ"

สำหรับประวัติของเสือใบ หรือนายใบ สะอาดดี ก่อนจะเป็นโจร เป็นชาวนาอยู่ที่ จ.สุพรรณบุรี พอช่วงปี 2487 ตอนนั้นอายุประมาณ 30 ปี ที่บ้านถูกโจรวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเข้ามาขโมยควาย ตอนนั้นไม่คิดแค้นอะไร เพราะไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่อีก 5 เดือนต่อมา โจรกลุ่มเดิมกลับมาปล้นที่บ้านอีกครั้ง คราวนี้ฉุดน้องเมียไปด้วยจึงแค้นมาก คว้าปืนลูกซองออกตามล่าโจร และตามน้องเมียกลับคืนมา สุดท้ายฆ่าโจรตายไป 2 ศพถูกตำรวจตามจับ จึงหนีออกจากบ้านเข้าสู่เส้นทางสายโจรมาอาศัยในป่าแถบอำเภอเดิมบางนางบวช สังกัดเสือฝ้าย“


ต่อมาเสือใบ แยกตัวเป็นอิสละ จนมีชื่อเสียงในวงการโจร มีลูกน้องถึง 40 คน เสือใบจะออกปล้นอยู่ในเขต จ.อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท ส่วน จ.สุพรรณบุรี จะไม่ปล้นเพราะเป็นเขตอิทธิพลของเสือฝ้าย ถือว่าเป็นเขตเดียวกันจะไม่เข้าไปรบกวน 

โดยเลือกปล้นเฉพาะคนรวยหน้าเลือด ได้เงินจากการโกงคนจน คนรวยที่มีคุณธรรมช่วยเหลือชาวบ้านจะไม่ปล้น และการปล้นแต่ละครั้งจะไม่เอาทรัพย์สินหมดเอาเพียงครึ่งเดียว ใช้วิธีการปล้นแบบขอเจ้าทรัพย์ สิ่งไหนเจ้าทรัพย์ไม่ให้ก็ไม่เอา และห้ามทำร้ายเจ้าทรัพย์เด็ดขาด ยกเว้นจะขัดขืนหรือต่อสู้ เมื่อปล้นมาได้จะนำทรัพย์สินบางส่วนมาช่วยคนจน กระทั่งถูกตำรวจจับ ซึ่งตำรวจผู้ปราบเสือใบก็คือ "ผู้กองยอดยิ่ง สุวรรณากร"“




โดยศาลตัดสินประหารชีวิต แต่ให้การรับสารภาพ จึงลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ต่อมาได้รับการอภัยโทษเหลือจำคุก 20 ปี เมื่อขณะถูกจำคุกมีพฤติกรรมหนึ่งที่น่ายกย่องคือ การช่วยเหลือผู้คุมให้รอดพ้นจากการถูกทำร้ายจากนักโทษ 

เหตุการณ์ครั้งนั้นเลยได้ลดโทษให้ออกจากคุก โดยเสือใบได้ให้ข้อคิดถึงเยาวชนรุ่นหลังว่า "ให้ลูกหลานที่เกเรรู้ว่าการเป็นโจร เป็นเสือ มันไม่ดีเพราะต้องอยู่อย่างหลบซ่อนตัว ตลอดเวลาและทรัพย์สินที่ปล้นมาอยู่ได้ไม่นาน จึงอยากให้ทุกคนตั้งใจทำงาน ขยันหมั่นเพียรเข้าไว้ อยากได้อะไรก็เก็บหอมรอมริบเอา เดี๋ยววันหนึ่งเราจะได้ในสิ่งที่ต้องการ"“





และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยังได้เข้าร่วมกับขบวนการ "ไทยถีบ" ดักปล้นและถีบสินค้าหรืออาวุธของทางทหารญี่ปุ่นจากขบวนตู้รถไฟด้วย "เสือใบ" ถูกปราบได้โดยนายตำรวจมือปราบชั้นยอด คือ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช"

เรื่องราวของ เสือใบ โด่งดังเป็นที่รู้จักกันอย่างมาก จนกลายมาเป็นวรรณกรรมของ "ป. อินทรปาลิต" ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สองครั้ง

ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2514 ชื่อ "สุภาพบุรุษเสือใบ" ผู้รับบทเสือใบ คือ "ครรชิต ขวัญประชา" และในปี พ.ศ. 2541 ในเรื่อง เสือ โจรพันธุ์เสือ ที่ซึ่งบทเสือใบ นำแสดงโดย อำพล ลำพูน กำกับการแสดงโดย ธนิตย์ จิตนุกูล

Cr.ไทยรัฐ,เดลินิวส์

23 พ.ค. 2558

ก้าวสู่ยุค Internet of Things (IoT)

 
Internet of Things (IoT)

ก้าวสู่ยุค Internet of Things (IoT)


Internet of Things (IoT) คือการก้าวเข้าสู่ยุคที่ หลากหลายสรรพสิ่ง สามารถพูดคุยกันเอง และติดต่อสื่อสารผ่านโลกอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องรอคอยให้มนุษย์สั่งการอีกต่อไป สำหรับผู้อ่าน ที่ติดตามกระแสของเทคโนโลยี ย่อมต้องทราบดีว่า Apple Watch เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างของ  Internet of Things (IoT) และเทรนด์ดังกล่าวนี้ ได้มีจุดเริ่มต้นมาระยะหนึ่งแล้ว และสามารถสังเกตเห็นได้แม้กระทั่งในประเทศไทย


สำหรับ ผู้อ่านหลายท่าน อาจยังจำได้ดี หลายปีก่อนหน้านี้ หากต้องการติดต่อสื่อสารผ่านโลกอินเทอร์เน็ต จำเป็นต้องอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์และแล็ปท็อปเท่านั้น แต่ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ได้เกิด Disruptive Innovation ของสมาร์ทโฟน ที่ทำให้มนุษย์สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องอาศัยคอมพิวเตอร์


ไม่นานหลังจากนั้นเทคโนโลยีจากสมาร์ทโฟน ก็ได้ถูกนำมาปฏิรูปเครื่องใช้เทคโนโลยีอื่นๆ จนเกิดเป็น สมาร์ททีวี(Android TV Box) สมาร์ทคาเมรา(Smart IP Camera) สมาร์ทคาร์(Smart Car) ฯลฯ แต่ในยุคนั้น เครื่องมือและเครื่องใช้ที่สามารถติดต่อสื่อสารผ่านโลกอินเทอร์เน็ต ยังคงเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาสูงและมีความสลับซับซ้อนทางไอที (รีวิวการใข้งาน กล้อง IP Camera)


Internet of Things จะเป็นยุคที่หลากหลายสรรพสิ่ง แม้แต่เครื่องมือเครื่องใช้ที่ไม่มีควรจะมีความสลับซับซ้อน ยังสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ได้แก่ หลอดไฟอัตโนมัติ เครื่องปรับอากาศ เสื้อผ้า ตู้เย็น เครื่องทำกาแฟ ตู้ซักผ้า ฯลฯ (รีวิวการใช้งาน ไฟอัตโนมัติ)


บริษัทวิจัย Gartner ได้ประเมินว่าจะมี  Internet of Things (IoT) อย่างน้อย 26,000 ล้านอุปกรณ์ ภายในปี 2020 นี้ ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยี CISCO ได้ประเมินว่าจะมีถึง 50,000 ล้านอุปกรณ์ในปีเดียวกัน


ความ แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างอุปกรณ์ในยุคของสมาร์ท (สมาร์ทโฟน(SmartPhone) สมาร์ททีวี(Smart TV) สมาร์ทคาเมรา(Smart IP Camera) และยุคของ  Internet of Things (IoT) ก็คือมนุษย์เป็นผู้ใช้อุปกรณ์สมาร์ทในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์ใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเล่นเฟซบุ๊ค ในขณะที่  Internet of Things (IoT) ได้บุกเบิกการที่สรรพสิ่งสามารถติดต่อสื่อสารกันเองผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องรอยคอยการสั่งการของมนุษย์ กล่าวคือ สรรพสิ่งนั้นเป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเสียเอง


ยกตัวอย่างเช่น นาฬิกาที่ผู้ใช้สวมใส่อยู่ อาจแจ้งเตือนไปที่เครื่องปรับอากาศ ระบบไฟในบ้าน ระบบไฟอัตโนมัติ และกระทั่งเครื่องทำกาแฟ ผ่านอินเทอร์เน็ต ว่าผู้ใช้กำลังเดินทางใกล้ถึงบ้านแล้ว เพื่อให้อุปกรณ์ Internet of Things (IoT) เหล่านี้ เริ่มทำงานทันที เพื่อเตรียมบรรยากาศในบ้านให้พร้อมที่สุด ก่อนที่ผู้ใช้จะเดินทางถึงบ้าน หรือเปิดทีวีผ่านกล่องแอนดรอย (Android TV Box) เมือมาถึงบ้าน


อีกตัวอย่างหนึ่ง โทรทัศน์ ที่เข้าสู่ยุคของ Internet of Things (IoT) อาจได้รับการแจ้งเตือนจากนาฬิกาของผู้ใช้งาน ว่าเขาจะกลับมารับชมรายการโปรดไม่ทัน เลยตัดสินใจอัดรายการเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับชมในภายหลัง


ตัวอย่าง สุดท้าย เสื้อผ้าที่ผู้ใช้สวมใส่อยู่ อาจรับทราบว่าผู้ใช้ได้สูญเสียเหงื่อไปมาก ภายใต้อุณภูมิที่ร้อนระอุ จึงได้แจ้งตู้เย็นให้เตรียมเครื่องดื่มเย็นๆ ให้กับผู้ใช้


นอกเหนือจากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตแล้ว ปัจจัยสำคัญของ Internet of Things คือระบบเซนเซอร์เฉพาะตัวของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลที่สำคัญ โดยที่ไม่ต้องอาศัยมนุษย์มาคอยกดปุ่มอัพโหลดข้อมูล ยกตัวอย่างเช่น นาฬิกา ที่สามารถบันทึก ตำแหน่งสถานที่ การเคลื่อนไหว ฯลฯ ของผู้ใช้งาน เสื้อผ้าที่สามารถวัดการสูญเสียเหงื่อ อุณหภูมิ ความชื้น ฯลฯ เป็นต้น


ข้อมูลจากเซนเซอร์เหล่านี้ เมื่อประยุกต์ด้วยระบบ Big Data ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญของ Internet of Things (IoT) จะสามารถทำให้อุปกรณ์เหล่านี้สามารถตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อประยุกต์ข้อมูลเซนเซอร์ของนาฬิกา ที่ทำให้รู้ตำแหน่งสถานที่ การเคลื่อนไหว ฯลฯ ของผู้ใช้งาน ระบบ Big Data จะวิเคราะห์ได้ว่า ผู้ใช้กำลังกลับบ้าน และควรออกคำสั่งอะไรให้กับเครื่องปรับอากาศ ระบบไฟในบ้าน และกระทั่งเครื่องทำกาแฟ เพื่อเตรียมบ้านให้พร้อมก่อนที่ผู้ใช้จะเดินทางไปถึง ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นโดยที่มนุษย์อาจไม่ได้สังเกตเห็น เพราะเป็นขั้นตอนของ Automation หรือการนำระบบอัตโนมัติใช้แทนคนในการสั่งการ


ในปัจจุบัน โลกแห่งอินเทอร์เน็ต อาจเต็มไปด้วยข้อมูลจากมนุษย์ เพื่อมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เป็นข้อมูลจากโลกโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น ตัวหนังสือ ภาพ เสียง และวีดีโอ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจาก นวัตกรรมของ เว็บ 2.0 ที่ถูกต่อยอดด้วยโซเชียลมีเดีย และเป็นการปลดแอกครั้งสำคัญ ที่ใครๆ ก็สามารถเป็นสื่อได้ เปิดหาความบันเทิงภายในบ้านด้วยกล่องแอนดรอย (Android TV Box)


แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ โลกแห่งอินเทอร์เน็ต อาจเต็มไปด้วยข้อมูลจากสรรพสิ่ง เพื่อสรรพสิ่ง เพราะ Internet of Things จะเป็นการปลดแอกอีกครั้งหนึ่ง ที่สรรพสิ่งใดๆ ก็สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ การร่วมใช้อินเทอร์เน็ตระหว่างมนุษย์ และ สรรพสิ่ง เป็นเทรนด์ใหม่ ที่ต้องมาอย่างแน่นอน และไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่เคยพลาดโอกาสทองทางธุรกิจจากยุคของ เว็บ 2.0 และ โซเชียลมีเดียมาแล้ว


อย่างไรก็ดี การฉกฉวยโอกาสจาก  Internet of Things (IoT) นี้ จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความสามารถทางเทคโนโลยีในเชิงลึก ซึ่งรวมไปถึง Big Data ด้วย และอาจไม่ใช่เรื่องราวของ Media ที่ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกในเทคโนโลยีอีกต่อไป จึงเป็นที่น่าสมควรติดตาม ถึงการพัฒนาธุรกิจนี้ต่อไปในประเทศไทย

Cr.กรุงเทพธุรกิจ

11 นักประดิษฐ์หญิงของโลก


11 นักประดิษฐ์หญิงของโลก
11 นักประดิษฐ์หญิงของโลก
บริษัทอินเทล (Intel)ได้ศึกษาค้นคว้าและนำเสนอผู้หญิงที่ได้เป็นนักคิดนักประดิษฐ์และทำ ให้นักประดิษฐ์รุ่นต่อมามีจินตนาการสร้างโลกโลกาภิวัตน์จนถึงยุคไอที ปัจจุบันว่ามีใครบ้าง

บริษัทอินเทล (Intel) ยกย่อง 11 นักประดิษฐหญิงของโลก ในด้านผลงานและการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติในปัจจุบัน และก็เป็นแรงจูงใจให้อินเทล (Intel) พยายามคิดค้นประดิษฐ์เทคโนโลยีสวมใส่ข้อมือ  มีท่านใดบ้าง นักประดิษฐ์หญิง ดังต่อไปนี้


1) เฮดี้ ลามาร์ (Hedy Lamarr) เป็นนักแสดง ซึ่งทางโลกตะวันตกบอกว่า เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ดูหน้าตาเธอสมัยนั้นในรูปถ่ายยอมรับว่าสวยจริง ๆ เธอเป็นผู้เขียนบทละครเรื่อง “ระบบการสื่อสารแบบลับ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง” และความคิดบทละครของเธอได้กลายเป็นเทคโนโลยีเครือข่ายแบบเซล บลูทูธ(Bluetooth) และไวไฟ(WiFi)ในปัจจุบัน ที่มีการต่อเข้ากับ ตัวรับ WiFi Bluetooth


2) เอดา เลิฟเลซ (Ada lovelace) เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นนักโปรแกรมคนแรกของโลก เอดา เลิฟเลซได้เป็นผู้ริเริ่มเขียนคำสั่งอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ ในช่วงที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยเกียร์ขาดและเครื่องจักรกลในปี ค.ศ. 1943 และเธอได้พยากรณ์ว่า คอมพิวเตอร์สามารถที่จะสร้างโน้ตประกอบเพลงและบรรยายเพลงด้วยเครื่องดนตรี ทางวิทยาศาสตร์หลาย ๆ ชิ้นได้ในสมัยนั้น


3) เกรซ ฮ้อปเปอร์ (Grace Hopper) หลังจาก เอดา เลิฟเลซหนึ่งร้อยปีต่อมา ท่านพลเรือหญิง เกรซ ฮ้อปเปอร์ได้เป็นผู้หญิงที่เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์จริงในสมัยสงครามโลก ครั้งที่สอง เธอเป็นคนที่ประดิษฐ์เครื่องแปลภาษาที่เรียกว่า คอมไพเลอร์ (Compiler) จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ และก็ทำให้เกิดมีการคำนวณทางคอมพิวเตอร์ติดขัด หรือ Computer bug ในครั้งแรกของโลก ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เขียนลงบนคอมพิวเตอร์รุ่นมาร์คทู (Mark II)


4) สเตฟานี่ ควาเล็ก (Stephanie Kwolek) นักประดิษฐ์หญิงท่าน นี้ มีความคิดจากเสื้อเกราะป้องกันตัวได้พัฒนากลายเป็นเคเบิลสายใยแก้วนำแสงใน ปัจจุบันซึ่งคิดโดย เคฟลาร์ (Kevlar) และในท้ายที่สุดนักเคมีที่ ชื่อ สเตฟานี่ ควาเล็กก็ได้ใช้ความรู้ทางเคมีอุตสาหกรรมสร้างเส้นใยแก้วในปี ค.ศ. 1965 ซึ่งมีความแข็งแกร่งขนาดเหล็กกล้าและสามารถทนไฟได้ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นสายไยแก้วนำแสง สำหรับการสื่อสารที่เร็วเท่าแสง ด้วยเคเบิลในปัจจุบัน


5) แอนนี่ อิสลีย์ (Annie Easley) เป็นคนอเมริกันผิวดำแค่ดูรูปหน้าตาดีมาก แม้ว่าเธอไม่จบปริญญาตรีเมื่อขณะที่เธอทำงานที่นาซาในปี ค.ศ. 1955 แต่การศึกษาไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเธอ นักประดิษฐ์หญิงท่าน นี้ได้เป็นผู้ประดิษฐ์สร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อวัดคลื่นพายุจากดวง อาทิตย์หรือโซลาร์วิน (Solar Winds) เพื่อหาจุดสมดุลในการแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ นำมาใช้กับ ตะเกียงไฟฟ้า โคมไฟแสงอาทิตย์ และ อีกมากมาย และสามารถเขียนโปรแกรมควบคุมการยิงจรวดสู่อวกาศในตลอดระยะเวลา 34 ปีที่ทำงานกับนาซา สหรัฐอเมริกา


6) มารี คูรี (Marie Curie) เธอเป็นนักเคมีและนักฟิสิกส์ซึ่งเป็นผู้ค้นพบเรื่องรังสี (Radioactivity) และทำให้เธอได้รางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งในชีวิตและเธอคือผู้หญิงหรือนักวิทยาศาสตร์หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล โนเบล ในปัจจุบันเธอก็ยังคงเป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก คนหนึ่งจนกระทั่งปัจจุบันและตลอดกาล“


7) มาเรีย เท็ลส์ (Maria Telkes) เธอเองไม่ค่อยประทับใจกับการพัฒนาประดิษฐ์ เรื่องกลั่นน้ำทะเล เตาอบแสงอาทิตย์และเครื่องทำความเย็นหรือแอร์คอนดิชั่นตามบ้านเท่าไรนัก ในช่วงปี ค.ศ. 1940 มาเรีย เท็ลส์ได้ช่วยสร้างบ้านให้ความร้อนด้วยพลังแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถให้อุณหภูมิซึ่งมีความอุ่นสบายภายในบ้านในตลอดช่วงฤดูหนาวที่รัฐ แมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา หรือนำไปประยุกต์ใช้ กับ โคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์  เพื่อให้แสงสว่างแก่บ้านในยามค่ำคืน


8) โดโรธี ฮอคคิน (Dorothy Hodgkin) เธอคือนักประดิษฐ์หญิง ผู้ค้นพบแบบโครงสร้างผลึกโปรตีน ซึ่งก็ได้ศึกษาจากโครงสร้างอะตอมและโมเลกุลของผลึกโปรตีน โดโรธี ฮอคคิน ได้ใช้รังซีเอ็กซ์เข้าไปทำลายโครงสร้างและโมเลกุลของเพนนิซิลิน อินซูลิน และวิตามิน บี 12 ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1964

9) เคธารีน เบอร์ บล็อดเก็ตต์ (Katharine Burr Blodgett) เธอคือผู้หญิงคนแรกที่จบปริญญาเอกทางฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร บล็อดเก็ตต์ได้สร้างกระจกไร้แสงสะท้อนในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งทำให้เธอสามารถใช้กระจกเหล่านี้สร้างเป็นกล้องถ่ายรูปและหน้าต่าง บ้าน สำนักงานตามตึกต่าง ๆ ในปัจจุบัน ถ้าหากท่านผู้อ่านท่านใดสวมแว่นสายตา ท่านคงจะต้องขอบคุณ เคธารีน เบอร์ บล็อดเก็ตต์  ที่ช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น โดยใช้เครื่องมือวัด ต่าง ๆ ช่วยทำงานผ่านแว่นตาได้ง่ายขี้น เช่น   เวอร์เนียคาลิปเปอร์  ฯลฯ


10) ไอดา เฮ็นรีเอ็ตตา ไฮด์ (Ida Henrietta Hyde) เธอก็ถือเป็นแชมเปี้ยน นักวิทยาศาสตร์หญิงเหล็กคนหนึ่ง ไอดา ไฮด์ เป็นผู้ประดิษฐ์สร้าง ไมโครอิเล็กโทรด หรือเครื่องนำไฟฟ้าอิเล็กตรอนขนาดจิ๋วซึ่งสามารถใช้กระตุ้นเนื้อเยื่อเซลล์ ได้และเครื่องมือไมโครอิเล็กโทรด ทำให้เธอสามารถปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ในสาขานี้ได้มหาศาลในปี ค.ศ. 1902 เธอเป็นผู้หญิงท่านแรกซึ่งได้เป็นสมาชิกสมาคมสรีรวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา


11) เวอร์จิเนีย แอปการ์ (Virginia Apgar) ถ้าหากท่านผู้อ่านท่านใดที่เป็นพยาบาล ท่านจะต้องรู้จักวิธีการวัดคะแนนแบบแอปการ์ (Apgar Score) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาระบบการประเมินสุขภาพของทารกเกิดใหม่ เวอร์จิเนีย แอปการ์ เป็นวิสัญญีแพทย์หรือแพทย์ผู้ชำนาญด้านยาสลบและเป็นผู้สร้างระบบในการปรับ ปรุงสุขภาพของมารดาและทารกแรกเกิด ซึ่งใช้มาจนตราบเท่าทุกวันนี้และได้เป็นรากฐานของระบบป้องกันสุขภาพที่ยัง ไม่มีใครทัดเทียมจนกระทั่งปัจจุบัน

ซึ่งทั้ง 11 ท่านที่ทางบริษัทอินเทล (Intel)เลือกมาก็ชัดเจนในด้านผลงาน เพื่อพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติในปัจจุบัน และก็เป็นแรงจูงใจให้อินเทล (Intel)พยายามคิดค้นประดิษฐ์เทคโนโลยีสวมใส่ข้อมือ ก็คอยดูแล้วกันว่าอินเทล (Intel)จะมีเทคโนโลยีข้อมืออะไรออกมาบ้าง

แต่ที่แน่ ๆ คือบทความนี้ก็ขอยกย่องเกียรติประวัติของนักคิดนักประดิษฐ์หญิงของ โลกทั้ง 11 ท่านที่สามารถทำให้เราอยู่ในมนุษย์โลกไอทีปัจจุบันด้วยความสะดวกสบายปลอดภัย มากขึ้นในปัจจุบัน ขอแสดงความคารวะสดุดีต่อทั้ง 11 ท่านด้วยครับ.“

Cr.เดลินิวส์

คลาวด์ เน็กซ์เจน : อินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ครบวงจร


อินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์
คลาวด์ เน็กซ์เจน อินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ครบวงจร
การผลักดันอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์แห่งชาติโดยรัฐบาลมีแผนจัดตั้งบริษัทกลางขึ้นมาและให้บรรดารัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน), บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น

ขณะที่ภาคเอกชนประกอบด้วยบริษัทแอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิสจำกัด (มหาชน), บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้มีการเจรจาในเรื่องนี้แล้วเช่นเดียวกัน

ส่วนทางด้านผู้ประกอบการอย่าง UIH หรือ บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด เป็นผู้ให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงผ่านเครือข่ายใยแก้วนำแสง  มีระยะทางทั้งสิ้น 6 หมื่นกิโลเมตร ครอบ คลุม 900 อำเภอ เริ่มขับเคลื่อนและผลักดันแบรนด์ “UIH” ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ 3 คีย์แมนของ UIH  ไล่เลียงตั้งแต่ นายวิชัย เบญจรงคกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร, พ.อ.เรืองทรัพย์ โฆวินทะ กรรมการผู้จัดการ และ นายสันติ เมธาวิกุล รองกรรมการผู้จัด การอาวุโส ในงานแถลงข่าว “มิติใหม่แห่งการสื่อสาร UIH” ติดตามอ่านได้จากบรรทัดถัดจากนี้

มิติใหม่ของ UIH คือ

วิชัย : เกิดขึ้นได้เพราะเป็นการรวมพลัง 12 พันธมิตรในอุตสาหกรรมที่รวบรวมศักยภาพของอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ (บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง)  เนื่อง จาก อินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ เป็นตัวแปรใหม่ และ รัฐบาลได้มีการเปิดเสรีธุรกิจโทรคมนาคมทั้งมีสายและไร้สาย

ดังนั้นมิติใหม่ของ UIH คือการนำเสนออินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ ด้วยบริการคลาวด์ เน็กซ์เจน (Cloud NextGen) โดยนำเสนอบริการ 3 ส่วน คือ
1.สมาร์ท เน็ตเวิร์ก หรือ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ วงจรสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง  รองรับการดูหนังฟังเพลงผ่านอินเตอร์เน็ต ต่าง ๆ พวก กล่องสมาร์ททีวี (Smart TV) กล่องแอนดรอย (Android TV Box)
2. ระบบการจัดการความปลอดภัยบนอินฟราสตรักเจอร์ และ
3. บริการคลาวด์ ซึ่งเป็นโครงข่ายอัจฉริยะที่ให้ระดับความปลอดภัยสูงที่สุด

พ.อ.เรืองทรัพย์ : จุดเด่นของคลาวด์ เน็กซ์เจน คือ เป็นผู้ให้บริการรายแรกนำเข้ามาให้บริการในประเทศไทย เน้นให้บริการเข้าถึงและรวดเร็ว และเชื่อมต่อการสื่อสารข้อมูลในพื้นที่การใช้งานของลูกค้าองค์กร ทั้งที่มีสาขาในไทย และต่างประเทศ

งบประมาณการลงทุน

สันติ : ในแต่ละปีใช้งบลงทุน 1 พันล้านบาทจัดสรรให้กับการติดตั้งระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (การนำแนวคิดการใช้งานทางด้านไอทีที่ใช้วิธีดึงพลังและสมรรถนะจากคอมพิวเตอร์หลายๆ ตัวจากต่างสถานที่ให้มาทำงานสอดประสานกันเพื่อช่วยขับเคลื่อนการบริการทาง ด้านไอที ประโยชน์ของคลาวด์ คอมพิวติ้งมีอยู่หลายประการ)  เป็นจำนวน 300 ล้านบาท และ อีก 700 ล้านบาท พัฒนาระบบอัพเกรด ติดตั้งอุปกรณ์เครือข่าย เพื่อขยายโครงข่ายครบทั้ง 900 อำเภอ

พ.อ.เรืองทรัพย์ : UIH ใช้งบลงทุนในแต่ละปีวงเงิน 1 พันล้านบาท ติดตั้งโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกครอบคลุมทั่วประเทศ 6 หมื่นกิโลเมตร ครอบคลุม 900 อำเภอ เป็นโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกที่ให้บริการระบบอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ ซึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีเสาส่งสัญญาณเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีโครงข่ายไฟเบอร์ออพติก  ซึ่ง UIH ถือว่าเป็นบริษัทที่มีโครงข่ายใหญ่มาก

จุดขาย

สันติ : คลาวด์ เน็กซ์เจน ครอบคลุม 5 ประเภท คือ
 1.บริการ คลาวด์ วีพีเอ็น (Cloud VPN) เป็นการบริหารจัดการแบนด์วิธสำหรับการเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูงของแต่ละสาขาในองค์กร
 2. บริการคลาวด์ อินเตอร์เน็ต (Cloud Internet) เป็นรูปแบบใหม่ของอินเตอร์เน็ตในระดับองค์กรมีความเสถียรมากขึ้น
 3.คลาวด์ไว–ไฟ (Cloud Wi-Fi) บริการบริหารจัดการ การสื่อสารแบบไร้สายที่ใช้ได้ทั้งอินทราเน็ต และ อินเทอร์เน็ต  รองรับการดูหนังฟังเพลงผ่านอินเตอร์เน็ต ต่าง ๆ พวก กล่องสมาร์ททีวี (Smart TV) กล่องแอนดรอย (Android TV Box)
 4.คลาวด์ โพรเท็กชัน (Cloud Protection) บริการจัดการความปลอดภัยของเครือข่าย โดยไม่ต้องลงทุนอุปกรณ์ และ
5. คลาวด์ เอชเอ็ม (Cloud HM) เป็นบริการคลาวด์ครบวงจร ให้บริการสร้างเวอร์ชวล ดาต้า เซ็นเตอร์บนเครือข่าย MPLS (Multi Protocol Label Switching คือ โครงข่ายความเร็วสูง ซึ่งได้ถูกพัฒนามาจากโครงข่าย IP แบบเดิม ทำให้การรับ–ส่งข้อมูลมีประสิทธิภาพด้วยความเร็วที่สูง) ของ UIH ที่ไม่ต้องลงทุนฮาร์ดแวร์

เป้าหมาย

วิชัย : เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบครบวงจร สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ปีนี้ UIH จึงได้ตั้งคอนเซ็ปต์ คลาวด์ เน็กซ์เจนขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าเกิดการใช้งาน ประหยัดต้นทุน มีประสิทธิภาพ และ เครือข่ายมีระบบความปลอดภัยขึ้นสูง ซึ่งภายใต้นโยบายภาครัฐต้องการให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อสู่โลกภายนอก และเป็นเอเชียฮับ ซึ่ง UIH พร้อมเชื่อมต่อไฟเบอร์ออพติกทั้งในและต่างประเทศ

พ.อ.เรืองทรัพย์ : UIH มีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางเครือข่ายระดับอาเซียน วางจุดเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ไว้ 7 แห่งภายในประเทศที่จังหวัดเชียงราย ตาก หนองคาย มุกดาหาร สระแก้ว และสงขลา ที่อำเภอหาดใหญ่ และอำเภอด่านนอก เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์  เวียดนาม และมาเลเซีย ขณะเดียวกันได้เตรียมความพร้อมของเครือข่ายเพื่อเชื่อมโยงไปยังทั่วโลก โดยการวาง Point of Presence (POP) ไว้ที่ประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง และร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อสารชั้นนำระดับโลก เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายการสื่อสารไปยังประเทศต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว รองรับการติดต่อสือสาร หรือชมสาระรายการผ่านกล่องอินเตอร์เน็ต กลุ่มสมาร์ททีวี กล่องทีวีอินเทอร์เน็ต กล่องแอนดรอย (Android TV Box)

ฐานลูกค้า

พ.อ.เรืองทรัพย์ : ปัจจุบันมี 3 พันราย ตั้งเป้ารายได้เพิ่ม 10% ในแต่ละปีซึ่งปีที่ผ่านมามีรายได้ 3,000-4,000 ล้านบาท กลุ่มลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการกลุ่มลูกค้าเดิมเพียงแต่หากต้องการระบบ ไว–ไฟ ในองค์กรเพิ่มเติม UIH ก็มีบริการเสริมให้กับลูกค้าคลาวด์คอมพิวติ้งคือก้อนเมฆใหญ่ผู้ประกอบการทุกรายสามารถนำมาให้บริการได้หมดแม้ UIH จะอยู่ในก้อนเมฆที่มีขนาดไม่ใหญ่ แต่ UIH สามารถขยายก้อนเมฆในนั้นเพิ่มเติมได้ 

Cr.ฐานเศรษฐกิจ

กทม ติดตั้งไฟจราจรพลังงานแสงอาทิตย์


กทม ติดตั้งไฟจราจรพลังงานแสงอาทิตย์
กทม ติดตั้งไฟจราจรพลังงานแสงอาทิตย์

กทม.เร่งติดตั้งและเปลี่ยนป้ายเป็น "ไฟจราจรพลังงานแสงอาทิตย์"

การนำพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ สามารถนำมาใช้ได้หลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นไฟจราจรพลังงานแสงอาทิตย์  โคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ ตะเกียงไฟฟ้า   
ที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง

กรุงเทพมหานครเร่งเปลี่ยนป้ายเตือนจราจรเป็น "ไฟจราจรพลังงานแสงอาทิตย์" เน้นจุดโรงเรียน-ชุมชน-ทางโค้ง  อุบัติเหตุส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณชุมชน และโรงเรียนที่มีเด็กและเยาวชนจำนวนมาก

กทม.จึงได้ติดตั้งไฟสัญญาณเตือนจราจรในรูปแบบไฟจราจรพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นพลังงานสะอาด และช่วยประหยัดพลังงานทางอ้อม ซึ่งได้ติดตั้งไปแล้วกว่า 3 พันจุด โดยเน้นบริเวณหน้าโรงเรียน และชุมชนเป็นหลัก โดยต่อไปจะเปลี่ยนป้ายจราจรเตือนหัวเกาะและป้ายเตือนทางโค้งในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นป้ายไฟจราจรพลังงานแสงอาทิตย์ด้วย


กทม.เริ่มติดตั้งนำร่องแล้ว 3 พันจุด-ป้องกันอุบัติเหตุหน้า ร.ร.
เมื่อวันที่ 21 พ.ค. นายสุธน อาณากุล ผู้อำนวยการสำนักงานวิศวกรรมจราจร สำนักการจราจรและขนส่ง กทม. เปิดเผยว่า จากโครงการดูแลความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุในเด็ก ซึ่งอุบัติเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในย่านชุมชนและโรงเรียน

กทม.จึงได้พัฒนาออกแบบด้านวิศวกรรมจราจรบริเวณหน้าโรงเรียนให้มีความเหมาะสม และเกิดความปลอดภัยสำหรับนักเรียน ทั้งด้านการออกแบบทางเท้า สัญญาณไฟจราจร และสัญญาณทางข้ามสำหรับเด็กเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสะดวก รวมทั้งยังมีโคมไฟโซล่าเซลล์ ส่องสว่างในยามค่ำคืน

นอกจากนี้ กทม.ยังได้ดำเนินการติดตั้งป้ายสัญญาณจราจรเตือนบริเวณหน้าโรงเรียน เพื่อเตือนผู้ขับขี่ให้ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นต่อนักเรียนในเขตโรงเรียนนั้นๆ โดย กทม.ได้นำร่องติดตั้งไปแล้วกว่า 3,000 จุด

ทั้งนี้ กทม.ได้ติดตั้งไฟสัญญาณเตือนจราจรในรูปแบบไฟจราจรพลังงานแสงอาทิตย์ โดยระบบไฟดังกล่าวจะเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์ เพื่อนำมาใช้งานได้ตลอดทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน อย่างไรก็ตาม สามารถใช้งานได้ทันทีหลังการติดตั้ง ไม่ต้องรอการบรรจบกระแสไฟฟ้าดังเช่นอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆที่ต้องใช้ระยะเวลานาน อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงาน ซึ่งถือเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อมทางอ้อม อีกด้วย ซึงที่นำพลังงานนี้มาใช้ในรูปแบบแผงโซล่าเซลล์ ที่ใช้กับอุปกรณ์ โคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ โคมไฟโซล่าเซลล์  ตะเกียงไฟฟ้า  รวมทั้งไฟจราจร ดังกล่าว

Cr.Now26 ,ไทยรัฐ

22 พ.ค. 2558

‘กิตติศักดิ์ มัทธุจัด’ ผู้ต้องหาโกงเงิน สจล. ขอกลับมาสู้คดี

‘กิตติศักดิ์ มัทธุจัด’ ผู้ต้องหาโกงเงิน สจล. ขอกลับมาสู้คดี
‘กิตติศักดิ์ มัทธุจัด’ ผู้ต้องหาโกงเงิน สจล. ขอกลับมาสู้คดี



‘ประวุฒิ’ นำตำรวจกองปราบไปคุมตัว‘กิตติศักดิ์ มัทธุจัด’ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ   หลังจากกลับมาแล้ว ผู้ต้องหารายสำคัญ คดีโกงเงิน สจล. 1.6 พันล้าน หลังจากหนีไปอยู่ที่อังกฤษ   เตรียมแถลงข่าว 10.00 น. วันนี้ (22 พ.ค.)...



ทั้งนี้ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด เป็น 1ในผู้ต้องหา และเป็นผู้ต้องหารายสำคัญ ที่เป็นที่ต้องการตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในคดีร่วมกันลักทรัพย์สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ไปกว่า 1.6 พันล้านบาท ที่ผ่านมา หลบหนีไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 22 พ.ค.58 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้นำเจ้าหน้าที่ บก.ป. เข้าควบคุมตัว นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2363/2557 ลง 26 ธ.ค. 57 ข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม, ร่วมกันลักทรัพย์, ร่วมกันฟอกเงิน

โดยผู้ต้องหาเดินทางมากับสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG911 จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ เครื่องลงเวลาประมาณ 05.40 น. หลังดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาแก่นายกิตติศักดิ์แล้ว จึงได้นำตัวเพื่อไปดำเนินคดีต่อไป

อย่างไรก็ตาม การควบคุมตัว นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ในครั้งนี้ เนื่องจากผู้ต้องหาได้ติดต่อมาว่าจะเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อมอบตัวและสู้คดี ทาง พล.ต.ท.ประวุฒิ จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามไปควบคุมตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิดัง กล่าว ส่วนรายละเอียดอื่น จะแถลงข่าวอีกครั้งที่กองบังคับการปราบปราม ในวลา 10.00 น.วันที่ 22 พ.ค.58.

Cr.ไทยรัฐ