29 มิ.ย. 2558

ปรับเวลาโลกใหม่ 1 ก.ค 2558


ปรับใหม่เวลาโลกใหม่ 1 ก.ค 2558
ปรับใหม่เวลาโลกใหม่ 1 ก.ค 2558
นับจากวันที่ 1 ก.ค.2558 เป็นต้นไป ชาวโลกทุกคนจะได้รับเวลาเพิ่มขึ้นมาฟรีๆอีกคนละ 1 วินาทีอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อหา

เวลามาตรฐานโลกเพิ่มขึ้นอีกมา 1 วินาที หมายถึง โลกใบนี้เดินช้าลงอีก 1 วินาที นั่นเอง
ข้อมูลจาก Trueplookpanya. และ “มิเรอร์” เว็บไซต์ชื่อดังรายงานไว้ว่า ปีนี้ชาวโลกจะมีเวลาเพิ่มขึ้นกว่าปกติอีก 1 วินาที หรือที่เรียกกันว่า อธิกวินาที ซึ่งหมายถึง การเพิ่มขึ้น 1 วินาที ลักษณะคล้ายกับปีอธิกสุรทิน ซึ่งปกติใน 1 ปีจะมีเพียง 365 วัน แต่ปีอธิกสุรทินมี 366 วัน เพราะเดือนกุมภาพันธ์ในปีนั้น มี 29 วัน

หลายคนคงสงสัยต่อ แล้วจะเพิ่มอีก 1 วินาทีเข้าไปตรงส่วนไหน?
คำตอบก็คือ จะมีการเพิ่มวินาทีพิเศษนี้เข้าไปที่ ณ เวลา 23:59:60 น. ของคืน วันที่ 30 มิถุนายน 2558 ทำให้วันดังกล่าวมีเวลา 86,401 วินาที ซึ่งเป็นไปตามประกาศของ องค์กรให้บริการระบบอ้างอิงและติดตามการหมุนของโลกสากล (International Earth Rotation and Reference Systems Service: IERS) ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ส่วนสาเหตุที่ต้องเพิ่มอีก 1 วินาทีเข้าไป ซึ่งทำให้เวลาของโลกใบนี้ช้าลง 1 วิ ก็เพื่อต้องการ รักษามาตรฐานการประกาศเวลาให้ใกล้เคียงกับเวลาสุริยะ ซึ่งรักษาไว้ด้วยนาฬิกาอะตอมที่มีความเที่ยงตรงสูง

มนุษย์ขี้สงสัยบางคนแอบตั้งข้อสังเกต เมื่อเวลาในโลกเพิ่มขึ้น จะทำให้คนเราแก่ช้าลง 1 วินาทีด้วยใช่หรือไม่ แม้คำตอบจะเป็นใช่

แต่ในโลกแห่งความจริง เวลาแค่วินาทีเดียวแทบจะไม่มีผลกระทบกับการดำเนินชีวิตของคนส่วนใหญ่
แต่ 1 วินาทีเท่ากัน...อาจมีค่ามหาศาล หรือความหมายใหญ่หลวง สำหรับใครบางคนเมื่อมันถูกใช้เป็นตัวตัดสินชะตากรรมบางอย่าง เช่น การทำสถิติที่ดีที่สุดในการแข่งขันทุกประเภท ที่ต้องตัดสินกันด้วยความเร็ว หรือความทันท่วงทีในการช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจ เพื่อไม่ให้หัวใจวาย เป็นต้น

การที่ทั่วโลกยึดถือมาตรฐานเวลาเดียวกัน การประกาศเพิ่มเวลาพิเศษขึ้นมาอีก 1 วินาที ยังทำให้เกิดความหวั่นเกรงกันว่า อาจส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของ อินเตอร์เน็ต ทั่วโลก
เพราะจากบทเรียนการเพิ่มเวลาโลกคราวที่แล้ว ได้ส่งผลกระทบแก่บางเว็บไซต์ เช่น Mozilla, Foursquare, Stumble Upon, Yelp, Reddit และ LinkedIn ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Linux และเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java ได้เกิดอาการเว็บฯล่ม แบบถล่มทลาย มาแล้วเมื่อปี 2555

ส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วไปในปัจจุบัน แม้จะสามารถปรับเวลาอัตโนมัติผ่านเซิร์ฟเวอร์ NTP (Network Time Protocol) ซึ่งจะปรับให้เวลาของทุกอุปกรณ์ในโลกนี้ตรงกัน แต่ปัญหาอยู่ที่ คอมพิวเตอร์ ยังไม่เข้าใจการเพิ่มอธิกวินาที

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อ Google เพราะความชาญฉลาดของทีมวิศวกรของกูเกิ้ล ได้วางแผนและเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี โดยใช้เทคนิค การกระจายเศษวินาที (Leap Smear) ออกเป็นระดับมิลลิวินาที (Leap Second) ด้วยการค่อยๆเพิ่มเวลาอึดใจเล็กๆเข้าไปในระบบ ก่อนที่จะมีการปรับอธิกวินาที จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาเหมือนอีกหลายเว็บไซต์

มีรายงานว่า ก่อนหน้าที่จะมีการปรับเวลาใหม่ของโลกให้ช้าลง 1 วินาที สหรัฐเมริกา และ บางประเทศ ไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า การปรับเวลาดังกล่าวอาจไปกระทบหรือรบกวน ระบบนำทาง ระบบสื่อสาร หรือ ระบบระบุตำแหน่ง (GPS) ที่ยึดการทำงานกับเวลา ซึ่งอาจส่งผลให้การทำธุรกรรมทางการเงิน และระบบคอมพิวเตอร์นำร่อง ในยานพาหนะต่างๆ ที่เคยทำงานอย่างเที่ยงตรง เกิดความผิดพลาดขึ้นได้
แต่ อังกฤษ ยังคงต้องการให้มีการปรับ “อธิกวินาที” เพราะเห็นว่า การหมุนของโลกเป็นตัวกำหนดเวลามาตั้งแต่สมัยโบราณ จึงต้องมีการเพิ่มอธิกวินาที เพื่อรักษาเวลามาตรฐานกรินิช (Greenwich Mean Time) ซึ่งใช้มาตั้งแต่ พ.ศ.2390 โดยอาศัยหลักการหมุนรอบตัวเองของโลกและความสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์

ถ้าไม่ปรับ อาจเปลี่ยนความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเวลาไปโดยสิ้นเชิง เพราะจะทำให้การขึ้นลงของดวงอาทิตย์เพี้ยนไป ในที่สุดประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ มีมติยอมรับการปรับเพิ่มเวลาโลกให้ช้าลงอีก 1 วินาที
เรามักเคยเรียนกันมาว่า การที่โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ เป็นเวลาเท่ากับ 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง แต่ถ้าคำนวณออกมาเป็นวินาทีอย่างละเอียดแล้ว ใน 1 วัน โลกจะหมุนรอบตัวเอง เท่ากับ 86,164.098 903 691 วินาที หรือ 23 ชั่วโมง 56 นาที 4.098 903 691 วินาที ที่ว่า 1 วันมี 24 ชั่วโมง เป็นเพียงตัวเลขประมาณการ เพื่อให้จดจำได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

การปรับเพิ่มเวลาโลก มีขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2515 หรือ 43 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ ระบบอินเตอร์เน็ต จะถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังเช่นทุกวันนี้ การปรับเพิ่ม 1 วินาที ในคืนวันที่ 30 มิถุนายนที่กำลังจะถึงนี้ ถือเป็นการปรับเวลาครั้งที่ 26 ในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งหากอ้างอิงจากเวลาของนาฬิกาเชิงอะตอมก่อนที่จะมีการเปลี่ยนเวลาอีกครั้ง เท่ากับว่าโลกใบนี้ได้หมุนช้าลงไปถึง 26 วินาทีแล้ว
หลายคนอาจไม่ทราบว่า ปกติทุกวันนี้โลกของเราหมุนรอบตัวเองช้าลงกว่าเดิม เฉลี่ยวันละ 1/2,000 วินาที หรือทุก 100,000 ปี โลกจะหมุนรอบตัวเองช้าลง 2.2 วินาที

เทียบกับเมื่อยุคเริ่มแรกที่โลกถือกำเนิดขึ้นในจักรวาล นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับโลกอย่างละเอียด เชื่อว่า โลกเคยหมุนรอบตัวเองด้วยเวลาเพียง 12 ชั่วโมง หรือเคยหมุนรอบตัวเองเร็วกว่าปัจจุบันถึง 2 เท่า

พวกเขาเชื่อว่า การที่โลกหมุนช้าลง เป็นเพราะแรงเสียดทานที่ โลกกระทำกับมหาสมุทรช่วงที่เกิดน้ำขึ้นน้ำลง ทำให้ช่วงของวันยาวขึ้น

ด้วยเหตุนี้ ในเวลา 23:59:59 น.ของวันที่ 30 มิ.ย.2558 หลายประเทศทั่วโลกจึงมีการปรับเวลาใหม่ เพื่อให้ตรงกับเวลาสุริยะ (Solar Time) ส่วนเมืองไทย เริ่มปรับเวลาใหม่ช่วงเช้าวันที่ 1 ก.ค.
โดยกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ผู้รักษาเวลามาตรฐานของประเทศไทย ได้ออกประกาศเรื่อง เปลี่ยนแปลงเวลามาตรฐานประเทศไทย โดยจะทำการเปลี่ยนแปลงเวลามาตรฐานประเทศครั้งใหญ่ ใน วันที่ 1 กรกฎาคม 2558 จากเวลา 07 นาฬิกา 00 นาที 01 วินาที เป็นเวลา 07 นาฬิกา 00 นาที 00 วินาที เพื่อให้สอดรับกับการปรับเวลาตามมาตรฐานสากล

เมื่อเวลานั้นมาถึง ทุกคนในเมืองไทย ไม่ว่ายาก ดี มี จน จะมีเวลาเพิ่มขึ้นอย่างเท่าเทียมกัน อีกคนละ 1 วินาที.

Cr.ไทยรัฐ,เล่าสู่กันฟัง  , Asia21st

งานแต่งเปิ้ล นาคร กับ สาวจูน


งานแต่งเปิ้ล นาคร กับ สาวจูน

ยาวนานกว่า 5 ปี ในที่สุด เปิ้ล นาคร ศิลาชัย ดาราตลกชื่อดังกับภรรยาสาวสวยใส จูน กษมา ศิลาชัย ก็ได้ฤกษ์ดีจัดงานฉลองวิวาห์หวานแบบเล็กๆ เป็นกันเองที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในร้าน Happy Fish ที่เอเชียทีค ริเวอร์ฟร้อนท์ งานฉลองวิวาห์สุดพิเศษครั้งนี้ เปิ้ล นาคร ตั้งใจทำทุกอย่างตามฝัน ทำทุกอย่างเพื่อคนที่รักอย่างหมดหัวใจคือภรรยา จูน กษมา ลูกๆ ที่น่ารักน่าหยิกทั้งสามคน คือน้องออกัส, ออก้า และน้องออกู๊ด ที่ยังอยู่ในท้องคุณแม่จูนอยู่ 
เปิ้ล นาคร เริ่มให้สัมภาษณ์อย่างอารมณ์สุขสดชื่นว่า "ก่อนอื่นขอกราบขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชนที่ให้เกียรติครอบครัวเรา พี่เปิ้ลอยู่วงการนี้มาเกือบ 30 ปี วันนี้เป็นอีกวันสำคัญที่สุดในชีวิต เป็นวันที่รอคอย มันเป็นความฝันที่เราเคยผันไว้เล่นๆ ฟุ้งๆ ไม่นึกว่าตื่นขึ้นมาเราจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเจอจริงๆ ได้ (ยิ้ม) วันนี้อยากให้ทุกคนได้เห็นกัน ได้มาร่วมยินดีกัน คิดที่เคยคิดไว้ว่า เฮ้ย ภาพต้องเป็นอย่างนี้ ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นมาได้

"ก่อนหน้าที่เราจะเจอจูน ก็ลองมาเยอะนะ (จูนหัวเราะดังลั่น!!!) ลองมาเยอะ มันเหมือนเราใช้ชีวิตมาพอแล้วล่ะ เราก็เคยคิดไว้ว่า ผู้หญิงที่จะอยู่กับเราไปจนตาย น่าจะเป็นแบบนี้นะๆ จูนเป็นคนที่ไม่โทรตาม ไม่จิกจุก ไม่ถามว่าจะไปไหน หรือโทรตามอย่างเก่งก็ครั้งเดียวต่อวัน ซึ่งจากประสบการณ์ของเรา ธรรมชาติของผู้หญิงส่วนมากจะไม่เป็นอย่างนี้ หายากอ่ะ เราเลยมีความรู้สึกว่า เออ คนนี้ใกล้เคียงแล้วนะ

จนมาวันหนึ่งเรา เขาแสดงให้เห็นว่าถ้าไม่มีพี่เปิ้ล เขาตายดีกว่า เราก็เลยแบบว่า เฮ้ย มีคนแบบนี้ด้วยเหรอว่ะ เขาเคยพูดเอาไว้ด้วยว่า เฮ้ย ยังไงพี่เปิ้ลก็ตายก่อนจูนอยู่แล้ว จูนบอกว่าไม่!!! ถ้ารู้วันตายของพี่เปิ้ลเมื่อไหร่ จูนจะขอตายก่อน เราก็เลย เออว่ะ เอาแล้วแหละ ในที่สุดเราก็เจอเมียที่จะตายก่อนเราแล้วแหละ (จูนระเบิดเสียงหัวเราะ!!!) เราเลยรู้สึกว่านกเหงือกอ่ะ ที่ตัวหนึ่งตายไปแล้ว อีกตัวหนึ่งก็จะตายตามไปด้วย มันมีในมนุษย์ด้วยเหรอว่ะ เราเลยอ่ะ เอาคนนี้แหละ"
"รักขนาดไหน...มันอธิบายไปก็เขินนะ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเขาเป็นตัวเดียวกับเรา เออ เป็นคนคนเดียวกันกับเราไปแล้ว (ยิ้ม) เหมือนเรามีแขนสี่แขน มีขาสี่ขา มีหัวใจสองดวง เรารู้สึกว่าเราได้เปรียบกว่าคนอื่นนะ ถ้าเดินไปข้างหน้า เพราะเรามีเปิ้ล เหมือนโทรศัพท์มีแบตสำรอง จากการที่เราใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด แบตเตอรี่ก้อนเดียวมาตลอด พอมีอย่างนี้แบตหมดก็มีแบตสำรอง เวลาจะตัดสินใจอะไร ก็จะมีคนมาช่วย มันคงเหมือนชีวิตคู่ที่หลายคนเคยพูดเอาไว้แล้ว พอเรามาเจอจริงๆ เออ มันดีกว่าอยู่คนเดียว (ยิ้ม) ก่อนหน้านี้เราเคยเป็นไข้นอนๆ อยู่ไม่มีใครมาดูแล เราก็ 30 กว่าแล้ว เรารู้สึกว่า เฮ้ย ถ้าเราตายเราจะตายคนเดียวหรือเปล่าว่ะ ก็เลยมานั่งคิดหาคนที่จริงจังกับเรา ก็เลยได้คนนี้มา"

ประเด็นที่เพิ่งมาจัดงานฉลองวิวาห์ในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ครองรักมีลูกด้วยกันแล้วนั้น "ถามว่ามันแหวกม่านประเพณีของสังคมหรือเปล่า ถ้าคิดว่าจะแหวกมันก็แหวกล่ะน่ะ แต่ถ้าคิดว่าไม่แหวก เราก็ทำตามกฎไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน หมั้น จดทะเบียนสมรส พบปะผู้ใหญ่ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วนะ เหลือแต่แค่งานตอนเย็น งานเลี้ยงสังสรรค์เท่านั้นเองที่มันยังไม่เกิด เพียงแต่ว่าเราต้องรอคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราสองคนให้ครบก่อน

เพราะฉะนั้นงานเช้าและงานเย็นก็ต่างกันแค่ 5 ปี พี่เปิ้ลก็เลยรู้สึกว่ามันไม่แปลกนะ เพราะมันเป็น 5 ปีที่คุ้มมาก ในที่สุดก็ได้พวกนี้ (หันไปมองลูกๆ ทั้งสองคนด้วยความรักอย่างหมดหัวใจ) และก็ในท้องด้วย ครบสามคนพี่เปิ้ลมั่นใจว่าจะมีแค่สามคนจะปิดอู่เลย ก็คิดว่าครบแล้ว"
"ความฝันของเราคืออยากเห็นภาพเจ้าสาวเจ้าบ่าว ยืนอยู่กลางแม่น้ำแล้วก็มีลูกขนาบข้าง เราอยากจะมอบดอกไม้ให้ลูกกับภรรยาเรา เราเคยเห็นงานแต่งงานที่มีเค้กแล้วมีรูปตุ๊กตาคนสองคนอยู่บนเค้ก มีความรู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมมันไม่เป็นตัวจริงๆ เลย เราเลยมาสร้างให้ภาพนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ในกลางแม่น้ำเจ้าพระยาเลย คือตอนนี้ตัวเองตายได้แล้ว (จูนภรรยารีบพูดสวนขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม "เฮ้ย อย่าเพิ่งดิ! หนี้เรายังเต็มอยู่เลย" ) จัดงานครั้งนี้เสร็จหมดนะ เราพร้อมหมดแล้ว จูนสามารถหากินได้ด้วยตัวเอง (จูนรีบพูดสวนขึ้นมา พร้อมหัวเราะ "ยังๆๆๆ")

เขาก็มีบริษัทของตัวเองแล้ว สามารถเลี้ยงลูกได้เองแล้ว ตอนนี้เรามีความรู้สึกว่าทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ตายได้เลย พร้อม! แต่เหลืออีกอันหนึ่งครับ บวชๆ ยังไม่เคยบวชครับ กะว่าจะไปบวชต้นปีหน้า เมื่อสองวันที่แล้วได้ไปคุยกับเจ้าอาวาสที่วัดเทพศิรินทร์แล้ว คนอื่นๆ มีแต่บวชก่อนเบียด อันนี้เบียดแล้วบวช (ยิ้ม) พอดีพระท่านชวนด้วย เออ เจ๋งดีนะ เคลียร์งานก่อน ปีหน้าค่อยบวช น่าจะไปบวชที่อินเดียต้นกุมภาพันธ์ปีหน้า เราไม่ใช่คนดีที่เกิดมาจะต้องไปบวชนะครับ ไม่ใช่ๆ แต่มีคนบอกว่าทำแล้วดี ก็เออน่าลอง"
"จริงๆ งานวันนี้มันเกิดจากตอนที่เราเรียนจบจากมหา'ลัยใหม่ มันมีคำๆ หนึ่งเพื่อนเคยบอกว่า เฮ้ย กูดูรูปงานแต่งงานพ่อแม่ แล้วกูถามพ่อแม่ว่า กูอยู่ไหนว่ะ เพื่อนผู้หญิงก็เคยถามว่า เฮ้ย แล้วกูอยู่ไหนตอนนั้น มันก็เลยเกิดเป็นประกายตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาว่า เออว่ะ!!! ลูกของเราจะต้องไม่ถาม เพราะเขาจะได้อยู่ในงานวันนั้นด้วย ก็เลยสร้างงานวันนี้ขึ้นมา แขกทุกคนก็จะถามว่า ธีมงานแต่งคืออะไรๆๆๆ เราก็เออว่ะ ทำไมงานทุกงานต้องมีธีมด้วย มันเกิดจากการอยากแต่งตามอำเภอใจของเราเอง ก็เลยบอกเพื่อนไปว่ามึงอยากจะแต่งอะไรมา ก็แต่งมาตามใจมึงเลย บอกทุกคนว่าอยากแต่งอะไรมา อยากจะทำอะไรก็ทำเลย เพราะพี่ก็แต่งตามอำเภอใจของพี่เช่นกัน (ยิ้ม)"

"อยากจะบอกว่าครอบครัวเราเป็นไปตามธรรมชาติ เราไม่มีวัฒนธรรมการเลี้ยงดูที่สืบต่อกันมาจากเจ้าคุณปู่คุณหลวงหรือปู่ย่า ตายายสอน ไม่มีครับ ก็เลยเลี้ยงดูตามความรู้สึกของเราตามธรรมชาติ สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนแค่นั้นเอง ส่วนเรื่องฮันนีมูนยังไม่ได้คิดเลย ก็เตรียมแหวนเพชรไว้ให้ 17 กะรัต (หัวเราะล้อเล่น) จริงๆ งานวันนี้เราอยากจัดให้เพื่อพี่น้องสื่อเป็นหลักด้วย เราอยากจะให้อยู่ร่วมกันกินข้าวด้วยกัน อยากจะเรียนเชิญตรงนั้นด้วย จะมีพิธีมอบดอกไม้ให้กับภรรยาและลูก ก็จะได้ภาพดั่งที่ฝันเอาไว้ครับ สุดท้ายอย่างที่เราคิดไว้
"ตอนนี้สิ่งที่เราทำไว้ให้กับเขา เต็มที่ของเราแล้ว ตอนนี้เราพร้อมที่จะตายได้แล้ว (พูดอย่างจริงจัง!!!) ที่เหลือเขาพร้อมที่จะทำต่อได้เลย แต่อยากจะบอกว่าอีก 30 ปีถึงจะเสียชีวิต (ภรรยาแซว "น้ำตาซึม") อยากจะบอกว่ารักเขามาก ขอบคุณที่เกิดมาเป็นแม่พันธุ์ให้เปิ้ล (ภรรยานั่งยิ้มอย่างมีความสุขแล้วหัวเราะชอบใจ) แล้วก็...เขาเป็นแม่พันธุ์ที่ดีจริงๆ ของเปิ้ลในชาตินี้ ชาติหน้าถ้าได้เกิดมาเป็นคนอีก ก็จะขอแม่พันธุ์คนนี้ตราบไปชาติหน้าด้วยครับผม"

จูน กษมา เล่าอย่างเปี่ยมสุขล้นทะลักว่า "ตื่นเต้น! งานนี้มันเป็นความฝันของเขาจริงๆ เลย เขาเคยพูดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ที่เราเป็นแฟนกัน เราก็ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนี้ มาถึงวันนี้ก็โอเค ฝันทุกอย่างเราทำได้ 12 ปีที่เราอยู่ด้วยกันมามันเกิดคาด (ยิ้ม) พี่เปิ้ลไม่เคยสัญญาว่าจะทำโน่น นั่น นี่ เราก็ไม่เคยขอ แต่สิ่งที่เราได้มารู้สึกว่ามันเยอะเกินกว่าที่เราคาดหวังเอาไว้ ก็ขอให้เขาเป็นแบบนี้แหละ ไม่ต้องมากขึ้น ให้เสมอต้นเสมอปลายแบบนี้ก็โอเคแล้วคะ

เมื่อ 5 ปีที่แล้วก็ได้ใส่ชุดแต่งงานไปแล้ว ตอนนั้นก็ตื่นเต้นที่สุดแล้ว ตอนนี้มันทิ้งระยะมาแล้ว แต่พอใกล้วันงานจริงๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นว่า เฮ้ย จะได้ใส่ชุดแต่งงานอีกครั้งหนึ่งแล้วนะ ครั้งนี้ก็มีลูกๆ ด้วย พี่เปิ้ลก็เตรียมงานทุกอย่าง เราไม่ได้ยุ่งเลย ก็เลยรู้สึกว่างานนี้เขาซีเรียสเขาจริงจังมาก ก็เลยอยากจะเห็นงานนี้ออกมาตามฝันของพี่เปิ้ล (ยิ้ม)"
"อย่างที่บอกว่าไปแล้วว่า พี่เปิ้ลไม่เคยจะสัญญาอะไรนะ คือกับพี่เปิ้ลจะไปหวังอะไรไม่ได้เลย (หัวเราะ) เขาไม่เคยสัญญาแต่ทำให้เห็น (เน้นเสียงดัง) ก็เลยเกินฝันที่เราจูนได้มาตลอด 12 ปี ไม่เคยมีปัญหาให้จูน ก็เลยไม่ขออะไรเขา เอาแบบนี้แหละโอเคแล้ว ไม่ต้องไปมากกว่านี้แล้ว สิ่งที่เราได้มาจากพี่เปิ้ล มันเกินไปมากแล้ว วันนี้เป็นฝันของเขาทั้งชีวิต เรายินดีสนับสนุนทุกอย่างอยู่แล้ว ตอนนี้น้องออกู๊ด 6 เดือนแล้ว ก็ดิ้นปกติคะ ก็บอกกับลูกว่าวันนี้แต่งงานนะ (ยิ้ม)"

เปิ้ล นาคร ถามน้องออกัส วันนี้วันอะไรครับ? "ไม่รู้! (ส่ายหน้าไปมาๆ)" เปิ้ลหันไปถามออก้า ต่อว่าวันนี้เรามาทำอะไรคะ? "มากินข้าว" มาแต่งงานไม่ใช่เหรอ? "ก็อยู่ในร้านอาหารจะไปที่ไหนล่ะ ป๊ะป๋าตลกเหมือนตัวตลก (ยิ้ม)" เปิ้ล นาคร พูดถึงลูกน้อยน้องออกู๊ดที่ยังอยู่ในท้องแม่จูนว่า "ยังไม่ตั้งชื่อจริงเลย ยังคิดไม่ออก ก็อยากจะให้แสบนะ จะได้มาสู้กับออก้าได้ (ยิ้ม)  เพราะตอนนี้ออก้าแรงเขาค่อนข้างจะเยอะมาก ถ้าออกู๊ดออกมาน่าจะออกมาปราบออก้าได้ (ยิ้ม)" ด้านน้องออก้าตามประสาเด็กวัยกำลังซน วิ่งวุ่นไปมาจนหกล้มหน้าคะมำ แม่จูนรีบบอกไปว่า "นี้คือโชว์จากออก้าค่ะ ไม่มีอะไร (หัวเราะ)" ปิดท้ายสัมภาษณ์ด้วยการถ่ายรูปหวานๆ น้องออก้าร้องเสียงดังลั่นว่า "ป๊าๆ จูบปากแม่ แม่ๆ จูบปากป๊ะ (ยิ้ม)".

Cr.ไทยรัฐ,เล่าสู่กันฟัง ,Asia21st

28 มิ.ย. 2558

สัมภาษณ์ 'โรล่า' Vs 'โนโนะ'

สัมภาษณ์ 'โรล่า' Vs 'โนโนะ'



งานออโตซาลอน 2015 ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 มิ.ย.นี้ ณ ชาเลนเจอร์ 2-3 เมืองทองธานี นอกจากมหรรมรถยนต์และของแต่งรถยนต์ และแฟชั่นสุดร้อนแรงและพริตตี้สุดเซ็กซี่แล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ก็คือการปรากฏตัวของ ซุปเปอร์สตาร์ชาวญี่ปุ่นขวัญใจหนุ่มๆ ทั้งประเทศ 2 คน

ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสได้สัมภาษณ์เปิดใจและนำมาเปรียบเทียบความเจ๋งของ 'โนโนะ มิซึซะวะ' (Nono Mizusawa) และ โรล่า มิซากิ (Rola misaki) เจ้าของฉายา มาเรียโอซาวา มิยาบิ 2  ซุปเปอร์สตาร์สุดเซ็กซี่ของประเทศญี่ปุ่น บทสัมภาษณ์ 15 นาทีที่รับประกันได้ว่า อ่านแล้วอยากเจอตัวจริงรับประกัน ฟันธง! (ชมคลิปล้างรถ2สาว)

 
ทำความรู้จัก Nono Mizusawa..!

1. โนโนะ มิซึซะวะ เกิดวันที่ 6 กันยายน 1993 อายุ 22 ปี ซึ่งตัวจริงดูอ่อนวัยกว่าอายุ
2. สัดส่วน 34-24-33 ส่วนสูง 165 เซนติเมตร เป็นสัดส่วนและส่วนสูงเธอ
3. โนโนะ มิซึซะวะ ได้รับรางวัลนักแสดงเซ็กซี่ขวัญใจมหาชนประจำปี 2014 โดยรางวัลนี้วัดจากยอดขายหนังผู้ใหญ่ที่ได้อันดับที่ 1
4. อะไรคือเสน่ห์ที่ทำให้มียอดขายดีขนาดนี้ โนโนะ มิซึซะวะ บอกว่า ส่วนหนึ่งด้วยความที่เป็นคน Friendly มีความเป็นกันเอง ยิ้มเก่ง อีกส่วนหนึ่งคือเราเป็นคนที่ใส่ใจกับรูปร่างหน้าตา จะดูแลไม่ให้อ้วนเกินไป ส่วนใหญ่วิธีดูแลก็ออกกำลังกายด้วยการเดิน วิ่งบ้างและดูแลเรื่องอาหารการกิน
5. เธอบอกว่าไม่ได้มาเมืองไทยครั้งแรก แต่มาแทบทุกครั้งจะชอบไปกินเมงยะ โคจิ แถวสุขุมวิท 39 ร้านราเมงสุดอร่อย ส่วนอาหารไทยที่อยากไปกิน แต่ยังไม่ได้กินก็คือ ปูผัดผงกะหรี่ ต้มยำกุ้ง พวกส้มตำไทย แต่กินเผ็ดไม่ได้
6. ก่อนเข้าวงการการแสดงหนังผู้ใหญ่ โนโนะบอกว่าเป็นเรื่องน่าดีใจที่ส่วนใหญ่สาวๆ คนอื่นจะไปออดิชั่น แต่เธอมีแมวมองมาชักชวน ปัจจุบันอยู่วงการนี้มาเกือบ 2 ปี
7. อนาคตถ้าไม่เกี่ยวกับหนังผู้ใหญ่ ถ้ามีโอกาสก็อยากแสดงหนังแนวเซ็กซี่ของญี่ปุ่น ถ้าไม่ได้ถ่ายเอวีก็จะไปแนวหนังเซ็กซี่แทน โดยบทที่เธออยากเล่นอาจจะไม่ใช่แนวน่ารัก จะเป็นแนวเซ็กซี่ อาจจะเป็นบทภรรยาเซ็กซี่ๆ
8. ทายซิว่าส่วนไหน เธอบอกว่าชอบชอบบอดี้ไลน์ของตัวเองมากๆ เวลาโพสท่าจะสวย
9. ถ้าจะให้แนะนำคนไทยที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่น ที่ไหนน่าเที่ยว เธอบอกว่า ถ้าเป็นวัยรุ่นหน่อย ก็เป็นชิบูย่า และถิ่นช็อปปิ้งแถวกินซ่า เธอย้ำว่าเป็นคนที่ชอบช็อปปิ้งมากๆ
10. เมื่อถามว่าอยากจะไปเที่ยวที่ไหนในประเทศไทย โนโนะ มิซึซะวะ บอกว่าอยากไปฟาร์มเสือ เพราะชอบเสือ แล้วก็อยากไปยิงปืน
11. ถามถึงไอดอลในวงการหนังผู้ใหญ่โนโนะ มิซึซะวะ บอกแบบอมยิ้มน่ารักว่า Akiho Yoshizawa
12. ข่าวดีสำหรับหนุ่มๆ ไทยที่จะไปจิ้นต่อ โนโนะบอกกับเราว่าปัจจุบันไม่มี แถมยังบอกด้วยว่าคนไทยหล่อ เท่ แต่สเปกจริงๆ ต้อง ล่ำๆ บึ้กๆ
ทำความรู้จัก Rola misaki
1. โรล่า มิซากิ เกิดวันที่ 1 มิถุนายน 1992 อายุ 23 ปี เธอเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-รัสเซีย
2. สัดส่วน 33-23-34 และ 172 เซนติเมตร เป็นสัดส่วนและส่วนสูงของ โรล่า มิซากิ
3. โรล่า มิซากิ บอกว่าเธอมาทำงานที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้เคยมาเที่ยว เธอบอกว่าเมืองไทยอากาศไม่ได้ร้อนเหมือนที่คิดไว้ ก่อนมาคิดว่าจะร้อนมาก แสงแดดแรงมากด้วย แล้วน่าจะตัวดำ พอมาถึงแล้วมันก็ไม่ได้ต่างจากญี่ปุ่นเท่าไร
4. รู้ตัวไหมว่าในเมืองไทยดังขนาดไหน เราสงสัย โรล่ายิ้มหวานมองตาเขม่งและบอกว่า ไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงใน เมืองไทยขนาดนี้ ตอนที่จะมางานโชว์ตัว ล้างรถออโตซาลอน 2015 ยังคิดอยู่เลยจะมีแฟนคลับไหม
5. ถามถึงสเปกหนุ่มๆ ว่า ชอบหนุ่มๆ แบบไหน ญี่ปุ่น หรือ ต่างชาติ เธอบอกแบบอายๆ ว่าที่ผ่านมารู้จักแต่ผู้ชายญี่ปุ่น แต่จากนี้ถ้าได้รู้จักประเทศอื่นๆ ก็คงจะดี ไม่ว่าจะคนไทยหรือต่างชาติก็ตาม แต่ว่าเป็นคนที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนก็ไม่สำคัญ
6. สเปกชายในฝัน โรล่า มิซากิ หัวเราะดังและว่า บอกไม่ถูก คนที่ชอบก็คือชอบ ตัดสินด้วยความรู้สึก ไม่ได้มีวาดไว้ว่าต้องเป็นแบบนี้ๆ แต่ส่วนตัวชอบผู้ชายมีกล้ามเนื้อ นี่เป็นความชอบส่วนตัว แต่ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็จะชอบผู้ชายผอมนิดหนึ่ง
7. หลังจากออกจากวงการทำอะไรบ้าง เธอบอกว่าส่วนใหญ่จะรับงานอีเวนต์โชว์ตัว หลายๆ ประเทศในเอเชีย แต่จะไปเมืองจีนบ่อยมาก มีผู้ติดตามใน weibo network หรือทวิตเตอร์ในจีน กว่า 4.8 ล้านคนเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากนี้หากเมืองไทยมีคนจ้างก็ยินดีจะมา
8. โรล่า มิซากิ บอกด้วยว่าถ้าให้เลือกระหว่างดูหนัง ฟังเพลง เธอเลือกอย่างหลัง และชอบเพลงที่มันสนุกสนาน ที่เปิดในผับ และก็ชอบเพลงสากลมากๆ แต่ไม่ได้ชอบร้องเพลงขนาดที่ชวนเพื่อนๆ ไปร้องคาราโอเกะ แต่ถ้าเพื่อนๆ ชวนไปก็พร้อมจะไป เอ๊ะ ยังไง
9. ดีใจล่วงหน้าเลยเธอตอบคำถามว่ามีแพลนมาเที่ยวไทยอีกไหมในอนาคต ถ้ามีงานก็ พร้อมจะมาเรื่อยๆ แต่ส่วนตัวชอบไปเที่ยวเกาะ ชอบทะเล อย่างภูเก็ต กระบี่ เป็นต้น
10. อยากให้โรล่า มิซากิ แนะนำหนุ่มๆ ที่คิดจะไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ต้องไปที่ไหนอยากจะให้ลองไปที่แยกชิบูย่า ตรงที่คนผ่านเยอะๆ สนุกดี
11. เมื่อถามถึงเรื่องข่าวการว่าจ้างผูกขาดนานหลายสิบปี เธอปฏิเสธให้สัมภาษณ์เรื่องนี้
และทั้งหมดนี้คุณเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าคนไหนที่อยู่ในดวงใจคุณ.
สัมภาษณ์ 'โรล่า' Vs 'โนโนะ'
 
Cr.ไทยรัฐ

โปรไฟล์สีรุ้ง Social Network

 
โปรไฟล์สีรุ้ง Social Network
เทรนด์ใหม่ โปรไฟล์สีรุ้ง Social Network
 
เทรนด์ใหม่ โปรไฟล์สีรุ้ง Social Network

ที่ มาที่ไปของเทรนด์ดังล่าว คือ โดย เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ​คือวันที่ 26 มิถุนายน 2558 ทางด้านศาลสูงของสหรัฐอเมริกาประกาศให้เกย์สามารถแต่งงานอย่างถูกต้องตาม กฏหมายได้แล้ว ด้วยคะแนนเสียง 5 – 4 เสียง 
 
ทั่วโลก จึงร่วมแสดงความยินดีเชิงสัญลักษณ์ ผ่านสื่อต่างๆ รวมไปถึงสื่อ Social Media ด้วย เช่น twitter รวมถึง Facebook ด้วยเช่นกันครับ อิอิ

ดัง นั้นทาง Facebook เอง ก็ได้มีการร่วมฉลองกิจกรรมดังกล่าวด้วย ด้วยการสร้างเครื่องมือให้ผู้ใช้สามารถปรับโทนสีของรูปโปรไฟล์ Facebook เป็นสีรุ้งได้ง่ายๆ 
 
โดยการเปิดให้ สมาชิก User ได้ใส่ filter สีรุ้ง กับรูปโปรไฟล์ของตนเองที่มีอยู่เดิม เพื่อเป็นการร่วมแสดงความยินดีกับกลุ่มคนที่รักร่วมเพศที่สามารถแต่งงานได้ อย่างถูกต้องตามกฏหมายแล้ว

หรือ แม้แต่ทางด้าน CEO ของ Facebook อย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ก็เอากับเค้าด้วยนะขอบอก …

แต่ อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ ในลักษณะนี้ ถือเป็น สิทธิส่วนบุคคล อาจมีบ้างในเรื่องของการขัดต่อหลักศาสนา วัฒนธรรม ความคิดเห็น และ ทัศนคติ ของคนไม่เห็นด้วย ในเรื่องของ เกย์สามารถแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ทั้งนี้ทั้งนั้น ก่อนเปลี่ยนรูป คิดก่อนนะครับ  อิอิ

วิธีการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นสีรุ้ง

1. Login เฟชบุ๊คก่อน เข้าไปยัง ลิ้งค์นี่ครับ >> www.facebook.com/celebratepride แล้วมันจะพรีวิวให้เห็นว่ารูปของคุณหลังจากใส่ filter สีรุ้งแล้วจะออกมาเป็นยังไง
โปรไฟล์สีรุ้ง Social Network
2. จากนั้น กดคลิ๊กเลือก “Use as Profile Picture” แล้ว Facebook จะเปลี่ยนรูป Profile ให้ โดยกลายเป็นรูปปัจจุบันที่ใส่  filter สีรุ้ง
โปรไฟล์สีรุ้ง Social Network
3. เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็จะได้รูปออกมาเป็นแบบนี้

27 มิ.ย. 2558

ไทยพร้อมเข้าสู่ยุค IoT


ไทยพร้อมเข้าสู่ยุค IoT

ประเทศไทยพร้อมเข้าสู่การใช้งาน IOT(Internet of Things) แล้วหรือยัง? วันนี้จะพาไปหาคำตอบจากอินเทล (Intel) ผู้ผลิตชิพรายใหญ่ของโลก ว่าเจ้าตัว IOT(Internet of Things) มันทำงานเป็นระบบอย่างไร แล้วไทยพร้อมหรือยังที่จะรับระบบนี้มาใช้

นายสนธิญา หนูจีนเส้ง กรรมการผู้จัดการบริษัท อินเทล (Intel) ไมโครอิเล็กทรอนิกส์(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การทำ IOT(Internet of Things) หรืออินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ มีหลายส่วนประกอบกันเช่น ชิพ เน็ตเวิร์ก เกตเวย์ซอฟต์แวร์ ระบบความปลอดภัย และที่สำคัญต้องมีความร่วมมือที่ดีจากทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างสรรค์ พัฒนาและผลักดันให้เกิดการใช้งานหรือที่เรียกว่า อีโคซีสเต็ม (Ecosystem)


"ไทยพร้อมแล้วที่จะก้าวสู่การใช้งานแบบ IOT(Internet of Things) ซึ่งเป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมี 3 ปัจจัยที่เหมาะสมคือช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่าแบนด์วิธหรือความเร็วในการส่งข้อมูลของอินเทอร์เน็ตมีราคา ถูกลง 40% ต้นทุนการทำเซ็นเซอร์ลดลง 2 เท่าและต้นทุนในการประมวลผลถูกลง 60 เท่า ซึ่งวันนี้ไทยมีเทคโนโลยีครบจึงพร้อมก้าวสู่การใช้งาน IOT(Internet of Things)" นายสนธิญากล่าว


นายสนธิญา กล่าวต่อว่า ไทยมีความพร้อมในการก้าวสู่การใช้งาน IOT(Internet of Things) อยู่ในระดับแถวหน้าของอาเซียน โดยขณะนี้อินเทล (Intel)ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ นำเทคโนโลยี IOT(Internet of Things) มาใช้งานแล้วเบื้องต้นมี 2 ตัวอย่างได้แก่ การให้บริการรถแท็กซี่ภายใต้ชื่อออลไทยแท็กซี่ (All Thai Taxi) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของนครชัยแอร์

โดยบริการแท็กซี่ดังกล่าวอินเทล (Intel)ร่วมกับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์นำชิพของอินเทล (Intel)ไปติดตั้งในอุปกรณ์เพื่อเก็บข้อมูลคนขับเช่น ปริมาณการเผาผลาญน้ำมันระหว่างขับและลักษณะการขับรถของคนขับ โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังระบบฐานข้อมูลส่วนกลางของนครชัยแอร์เพื่อทำ การประเมินผลการขับของคนขับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการและสามารถรู้สภาพรถ ยนต์เพื่อตรวจสอบได้ “บริการออลไทยแท็กซี่เปิดตัวเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนขับแท็กซี่ไม่สามารถปฏิเสธผู้โดยสารได้ซึ่งทำให้ การให้บริการของแท็กซี่อื่น ๆ ต้องปรับตัว

ซึ่งเป็นโครงการที่วางจุดคุ้มทุนไว้นานและการนำเทคโนโลยี IOT(Internet of Things) เข้ามาใช้ทำให้สามารถนำข้อมูลที่ได้มาวางแผนการให้บริการที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย”นายสนธิญากล่าว

ส่วนอีกหนึ่งโครงการที่อินเทล (Intel)นำ IOT(Internet of Things) เข้าไปร่วมดำเนินการคือ โครงการสมาร์ทซิตี้ (Smart City)ของเทศบาลเมืองแสนสุข ตำบลแสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ซึ่งหน่วยงานราชการมีแนวคิดทำให้เป็นเมืองสมาร์ทซิตี้ (Smart City) โดยเริ่มจากเรื่องของการดูแลสุขภาพหรือเฮลท์แคร์เพื่อดูแลผู้สูงอายุและผู้ ป่วยระหว่างอยู่ที่บ้าน

ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมในห้องต่างๆ เข้าออกห้องผ่านระบบประตูอัตโนมัติ ( Digital Door Lock ) การตรวจเช็คสุขภาพผ่านเครื่องมือแพทย์ประจำบ้าน ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลกับทางโรงพยาบาลโครงการนี้อินเทล (Intel)เข้าไปร่วมในการเชื่อมโยงการทำงานของทุกส่วนทั้งภาคราชการ การศึกษาและไอที รวมถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมในการใช้งาน IOT(Internet of Things) ซึ่งโครงการนี้หารือตั้งแต่ ต.ค. 2557 คาดจะเริ่มเชื่อมต่อระบบ IOT(Internet of Things) ในไตรมาส 3 และเปิดใช้งานจริงไตรมาส 4 ปีนี้

“การทำเรื่อง IOT(Internet of Things) ในตำบลแสนสุขเกิดขึ้นได้มีภาครัฐเป็นกุญแจสำคัญเพราะมีหลายหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง เช่น ไฟฟ้า กรมเจ้าท่า กรมที่ดิน ซึ่งการดำเนินงานมีกฎระเบียบจากหลายส่วนจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อผลัก ดันการทำงานในตำบลแสนสุขมีประชาชนราว 2 หมื่นครัวเรือนและมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาชายหาดบางแสนปีละ 1.7 ล้านคน ดังนั้นตำบลแสนสุขถือเป็นสมาร์ทซิตี้ต้นแบบของประเทศ ไทยเนื่องจากเรื่องสมาร์ทซิตี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ ดิจิตอล” นายสนธิญา กล่าว

ส่วนประเทศในแถบอาเซียนที่นำ IOT(Internet of Things) เข้าไปใช้งานบ้างแล้วได้แก่ ประเทศอินโดนีเซียมีการใช้ IOT(Internet of Things) ในการทำบริการแท็กซี่เช่นเดียวกับในไทย ขณะที่ประเทศมาเลเซียอินเทล (Intel)ร่วมกับหน่วยงานเกษตรทดสอบการทำสมาร์ทฟาร์เมอร์(Smart Farmer)

หรือการบริหารจัดการด้านการเกษตรอัจฉริยะโดยติดตั้งเซ็นเซอร์ (Sensor) ที่ประตูเปิด-ปิดน้ำอัตโนมัติและการใส่ปุ๋ยในแปลงข้าวโดยให้ชาวนามอนิเตอร์ ผ่านแท็บเล็ตว่าควรเปิด-ปิดประตูน้ำและใส่ปุ๋ยช่วงไหน ผลการทดลอง พบว่าเมื่อมีการบริหารจัดการแบบเป็นระบบทำให้ชาวนาในแปลงทดลองสามารถปลูก ข้าวได้มากถึงปีละ 3 ครั้งจากแต่ก่อนปีละครั้ง นายสนธิญา กล่าวว่า

วันนี้เรื่องของ IOT(Internet of Things) อาจดูเป็นเรื่องใหม่ซึ่งผู้ใช้งานทั่วไปไม่ต้องเข้าใจว่า IOT(Internet of Things) คืออะไรแต่ต้องรู้ว่าอะไรที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นเช่น ออกจากบ้านใช้ระบบ กลอนประตูไฟฟ้า ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต แล้วสามารถหาข้อมูลได้ว่าเส้นทางไหนรถไม่ติดหรือมีทางเลือกไหนบ้างจนกระทั่ง มาถึงที่ทำงานก็รู้ได้ว่าเราใช้พลังงานไฟฟ้ามากเกินไปหรือเปล่า

ซึ่งวันนี้คนที่ต้องเข้าใจเรื่อง IOT(Internet of Things) คือคนที่ต้องวางแผนวางระบบ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ก่อนนำไปใช้ประโยชน์ ดังนั้นช่วงแรกของการสร้างความเข้าใจและขับเคลื่อนเรื่องของ IOT(Internet of Things) อินเทล (Intel)ได้ร่วมกับหน่วยงานรัฐและเอกชนให้ความรู้เรื่อง IOT(Internet of Things) และประโยชน์การใช้งาน

โดยครึ่งปีหลังนี้อินเทล (Intel)เตรียมขยายบุคลากรด้าน IOT(Internet of Things) ตั้งแต่บุคลากรที่ดูแลเรื่องการออกแบบสถาปัตยกรรม การออกแบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ รวมไปถึงพนักงานทางการตลาดที่จะช่วยดูแลเรื่องการใช้งาน IOT(Internet of Things) ว่าจะเข้าไปช่วยลดต้นทุนให้แก่บริษัทนั้น ๆ ได้ในส่วนไหนบ้างเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่มองว่าจะมีการใช้งาน IOT(Internet of Things) เพื่อช่วยในการบริหารจัดการและลดต้นทุนคือ โรงงาน ห้างค้าปลีก สมาร์ทโฮม สมาร์ทซิตี้ และการคมนาคมขนส่ง

ต่อคำถามที่ว่าการใช้งาน IOT(Internet of Things) จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างไรบ้าง นายสนธิญา กล่าวว่า IOT(Internet of Things) เป็นฟันเฟืองหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่น ใช้ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตที่ได้จากส่วนต่าง ๆ มาวิเคราะห์สินค้าวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อปรับ ปรุงสินค้าและวางแผนการตลาดเพื่อทำการตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

ซึ่งวันนี้ จีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 45% มาจากบริการและท่องเที่ยว 42% มาจากการส่งออกและ 12-13% มาจากสินค้าเกษตรกรรมหากนำ IOT(Internet of Things) มาช่วยเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบริหารจัดการลดต้นทุนให้ต่ำลงจะทำให้มี บริการที่ตรงกับความต้องการมีสินค้าที่ตรงกับความต้องการในขณะที่ต้นทุนถูก ลงแต่รายได้เพิ่มขึ้น เรื่องของ IOT(Internet of Things) อาจต้องใช้เวลาเพื่อสร้างความเข้าใจสักนิดแต่ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวจนไม่อาจจะเข้าใจ.

Cr.เดลินิวส์, เล่าสู่กันฟัง  , Asia21st

ห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom)


ห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom)

ห้องเรียนอัจฉริยะ”(Smart Classroom) ด้วยแนวคิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใกล้ตัวราคาถูกและเข้าถึงง่ายให้เกิด ประโยชน์กับการเรียนการสอน นำร่องด้วยการเปลี่ยนสมาร์ทโฟน (Smart Phone)ในมือเด็กนักเรียนให้เป็น  กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)

ดีไซน์วิทย์เพื่อเด็ก
เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท บวกกับหน่วยปฏิบัติการวิจัยอุปกรณ์รับรู้ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับทุนจากสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT ในการพัฒนาเลนส์ส่องอัญมณีจึงเกิดแนวคิดที่จะต่อยอดสู่สื่อการเรียนการสอน ที่ก้าวไปอีกขั้น และกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom)ต้นทุนต่ำ ที่เน้นการเรียนเชิงปฏิบัติการในทุกสาระวิชาสำหรับชั้นประถมปลายถึงมัธยมต้น

“เด็กแทบทุกคนใช้สมาร์ทโฟน (Smart Phone) และเทรนด์เทคโนโลยีก็ทำให้อุปกรณ์เหล่านี้มีราคาถูกและเข้าถึงง่าย กล้องจิ๋วบน มือถือสามารถนำไปเป็นสื่อการสอนที่ทรงประสิทธิภาพ ถือเป็นวิวัฒนาการที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้” ศ.สุพจน์ หารหนองบัว นายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์กล่าว

“เราสามารถผลิตเลนส์ที่เปลี่ยนกล้องในโทรศัพท์มือถือเป็น กล้องไมโครสโคป (Microscope) กำลังขยาย 10x-300x ต้นทุนเพียง 1 บาท ข้อได้เปรียบตรงนี้ทำให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือหลักสำหรับห้องเรียน อัจฉริยะ ที่มีอุปกรณ์เพียง 6 ชนิด”รศ.สนอง เอกสิทธิ์ หน่วยปฏิบัติการวิจัยอุปกรณ์รับรู้ กล่าว

ห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom)แบ่งเป็น 3 ขนาดตามจำนวนผู้เรียนคือ ขนาดเล็กรองรับนักเรียน 15-20 คน ราคา 2 แสนบาท, ขนาดกลาง 20-30 คน ราคา3 แสนบาท และขนาดใหญ่ 30-40 คน ราคา 4 แสนบาท โดยมีอุปกรณ์ 6 ชนิดได้แก่ สมาร์ททีวี (Smart TV) ที่สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายกับแท็บเล็ต (Tablet)หรือสมาร์ทโฟน (Smart Phone) ผ่าน Screen Mirroring Function เพื่อใช้สอน สาธิต หรือเชื่อมต่อผลงานของนักเรียน, แทบเล็ตสำหรับครูผู้สอน, สมาร์ทโฟน (Smart Phone)หรือแท็บเล็ต (Tablet) 10-30 เครื่องสำหรับนักเรียนใช้ในและนอกห้องเรียน, อินเทอร์เน็ตซิม, ฮาร์ดดิสท์เก็บข้อมูลพร้อมคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทเลนส์ (Smart Lens)

“เราเปลี่ยนสมาร์ทโฟน (Smart Phone)เป็น กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)เคลื่อนที่ เทียบได้กับ กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)กำลังขยายปานกลาง ให้นักเรียนสนุกกับการถ่ายรูป บันทึกวีดิโอ เสียง ส่งต่อข้อมูล สร้างบทเรียน โครงงานหรือนวัตกรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่ให้กับวิทยาศาสตร์” รศ.สนอง กล่าว

รูปแบบของห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom)ไม่ เน้นโครงสร้างของห้องเรียน แต่เน้นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ด้วยอุปกรณ์การสอนน้อยที่สุดแต่กระตุ้นให้เด็กสนใจและกระตือรือร้นที่จะ เรียนมากที่สุด

ทีมพัฒนาใช้วิธีการอบรมครูที่สนใจเกี่ยวกับวิธีการใช้อุปกรณ์ รวมถึงการพัฒนาสื่อการสอนรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์การเรียนของเด็กในวิชา ชั้นปีและพื้นที่นั้นๆขณะเดียวกัน คณะวิทย์ จุฬาฯ ก็ร่วมพัฒนาชุดการสอนเบื้องต้นประมาณ 10 ชุด เช่น Frozen เป็นการเรียนรู้ว่า แม่คะนิ้งเกิดได้อย่างไร

ฮาร์ดแวร์มี ซอฟต์แวร์พร้อม
รศ.สนองยกตัวอย่างโครงงานที่กำลัง พัฒนาร่วมกับคณะครุศาสตร์ โดยให้เด็กใช้สมาร์ทเลนส์ (Smart Lens)ส่องธนบัตรดูรายละเอียดที่สื่อถึงประเทศนั้นๆ เช่น ผลไม้ประจำชาติ บุคคลสำคัญหรือสิ่งสำคัญในประวัติศาสตร์ อีกทั้งให้เด็กหาข้อมูลเพิ่ม ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ ทำรายงานอิเล็กทรอนิกส์ส่งครู

“เราเชื่อว่า ครูผู้สอนวิทยาศาสตร์มีศักยภาพพอที่จะสร้างสรรค์สื่อการสอนใหม่ๆ มากระตุ้นความสนใจเด็ก เช่นเดียวกับที่สามารถนำสื่อการสอนนั้นเผยแพร่ให้สาธารณะ”

ศ.สุพจน์ กล่าวว่า เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องโนโอกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา558 ทางสมาคมฯจะสร้างห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom)ต้นทุนต่ำ 60 ห้อง มอบให้โรงเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยแห่งแรกมอบให้กับโรงเรียนวัดสิงห์ จ.ชัยนาท

“เราต้องการเปลี่ยนแนวคิดที่เด็กเรียนแบบเป็นผู้เสพ รับสิ่งที่ครูสอน ไปสู่การเป็นผู้สร้าง ให้เด็กได้เรียนรู้และคิดที่จะพัฒนาสิ่งใหม่ ซึ่งวิทยาศาสตร์และระบบการเรียนที่ดีจะเป็นตัวกระตุ้นความสนใจ เปิดโอกาสให้คิดและทำสิ่งใหม่ได้ ทั้งนี้ หากโรงเรียนที่มีความพร้อม แต่สนใจจะมีห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom) ก็สามารถติดต่อมาได้” นายกสมาคมฯ กล่าว

Cr.กรุงเทพธุรกิจ, เล่าสู่กันฟัง, Asia21st

26 มิ.ย. 2558

รถตุ๊กตุ๊กพลังแสงอาทิตย์


รถตุ๊กตุ๊กพลังแสงอาทิตย์

ผลงานสุดยอดของ นศ. ชาวฝรั่งเศส วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตร Double Degree สร้างนวัตกรรม รถตุ๊กตุ๊กพลังแสงอาทิตย์ พลังธรรมชาติและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ทดลองวิ่งจริงจากกรุงเทพฯ สู่ฝรั่งเศส  ระยะทางประมาณ 20,000 กิโลเมตร ตะลุย 16 ประเทศ 120 วัน ขณะที่ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco University) และมุ่งสู่ มหาวิทยาลัยมหิดลแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน (Mahidol Sustainable University)

วันนี้ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดตัวโครงการ Pilgreens project ของ 2 นักศึกษาหลักสูตร Double Degree ชาวฝรั่งเศส ระหว่างวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยตูลูส ประเทศฝรั่งเศส โดยนักศึกษาทั้ง 2 คน จะขับรถตุ๊กตุ๊กพลังแสงอาทิตย์ คันแรกของโลก ซึ่งจะออกเดินทางจากกรุงเทพมหานคร ไปยังเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศสในวันที่ 10 ตุลาคม 2558 ใช้เวลา 120 วัน ผ่าน 16 ประเทศ อาทิ ไทย ลาว จีน รัสเซีย ตรุกี ออสเตรีย เยอรมนี และ ฝรั่งเศส รวมระยะทาง 20,000 กิโลเมตร

รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมา ได้ดำเนินการนโยบายต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน เช่น ดำเนินการมหาวิทยาลัยได้มีนโยบาย เช่น การเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว โดยเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในมหาวิทยาลัยอย่างจริงจัง จนทำให้ในปี 2556 มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการคัดเลือกเป็นสถาบันการศึกษาสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อันดับ 1 ของประเทศไทย อันดับ 4 ของเอเชีย และอันดับ 31 ของโลก

รวมถึงได้พยายามส่งเสริสนับสนุนบุคลากรและนักศึกษาให้หันมาใช้ พลังงานทดแทน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฟฟ้า น้ำ และเชื้อเพลิงอย่างคุ้มค่า นำพลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนเป็นแสงสว่างด้วย โคมไฟโซล่าเซลล์ เป็นต้น ดังนั้น มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะมหาวิทยาลัยที่มีบทบาทในการช่วยชี้นำสังคม จึงได้สนับสนุนโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นการเผยแพร่ ส่งเสริมให้เห็นถึงประโยชน์ในการใช้พลังงานไฟฟ้า กระตุ้นให้เกิดการเห็นคุณค่าในการใช้พลังงานอย่างประหยัด คุ้มค่าโดยใช้ระบบความรู้ เข้ามาบริหารจัดการ โดย มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งเป้าเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco University) และมุ่งสู่มหาวิทยาลัยมหิดลแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน (Mahidol Sustainable University)

“โครงการดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เกิดจากนักศึกษาของ มหาวิทยาลัยมหิดล แม้พวกเขาจะเป็นนักศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส แต่การได้มาเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีการบริการหลักสูตร กิจกรรม ส่งเสริมการลดใช้พลังงาน และรู้จักใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ทำให้พวกเขาเกิดแนวคิดใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อม และยังเป็นการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ให้คนไทยและคนต่างชาติในแต่ละประเทศที่พวกเขาเดินทางเข้าใจและ ตระหนักในการดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานทดแทน จึงอยากฝากคนไทยทุกคนติดตามและให้กำลังใจนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลที่เดิน ทางโดยรถตุ๊กตุ๊กพลังแสงอาทิตย์ในครั้งนี้” รศ.นพ.ปรีชา กล่าว

ด้าน รศ.ดร.อรรณพ ตันละมัย คณบดีวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า วิทยาลัยการจัดการ ได้จัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโท ซึ่งโครงการนี้ เป็นหลักสูตร Double Degree ความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ มหาวิทยาลัยตูลูส ที่ได้ร่วมกันจัดการเรียนการสอน การเรียนรู้ผ่านกรณีศึกษา เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่ม เติม นำมาคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา ซึ่งไม่ใช่การเรียนรู้เพียงองค์ความรู้เท่านั้น แต่ให้นักศึกษาได้รู้จักคิด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนำสิ่งที่เรียนรู้ประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
  
 
นายลูดวิก แมร์ส นักศึกษาหลักสูตร Double Degree กล่าวว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาสำคัญที่ทุกคนในโลกต้องช่วยกัน ไม่เช่นนั้นอาจต้องเผชิญปัญหาภัยพิบัติอีกมากมาย โดยเฉพาะการใช้รถของผู้คนที่นับวันจะปล่อยมลพิษจากการใชัพลังงานเชื้อเพลิง มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพวกเราเห็นรถตุ๊กตุ๊กพลังแสงอาทิตย์ของไทยและเกิดไอเดียว่าจะพัฒนาเป็น รถตุ๊กตุ๊กพลังแสงอาทิตย์ และขับจากประเทศไทยไปประเทศฝรั่งเศส จึงเสนอไปยังมหาวิทยาลัย และรู้สึกดีใจที่มหาวิทยาลัยสนับสนุน

เพราะการขับรถตุ๊กตุ๊กพลังแสงอาทิตย์ครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเผยแพร่ความเป็นไทยผ่านรถตุ๊กตุ๊กพลังแสงอาทิตย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยให้มนุษย์สามารถใช้พลังงานสะอาดจากธรรมชาติ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นพลังน้ำ พลังแสงอาทิตย์ ที่สามารถนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า พลังความร้อน และ พลังแสงสว่าง เก็บไว้เป็นพลังงานสำรอง หรือ นำประยุกต์ใช้เป็นโคมไฟโซล่าเซลล์ เพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืน

   
“กว่า 1 ปีที่มาเรียนที่วิทยาลัยฯได้ส่งเสริมให้ผู้เรียน เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ผมและเพื่อนชาวฝรั่งเศสจึงได้เริ่มโครงการดังกล่าว เพื่อพิสูจน์และสำรวจว่าคนทั่วโลกมีความเข้าใจและสนใจการใช้รถพลังงานไฟฟ้า และพลังงานแสงอาทิตย์อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้รถพลังงานไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ข้ามประเทศ รวมถึงทำให้คนทั่วโลกตระหนัก และหันมาสนใจการใช้พลังงานทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ต้องเผชิญมลภาวะที่ส่งผลต่อสุขภาพ และที่สำคัญ จะช่วยยืนยันว่าสามารถนำพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในการเดินทางคมนาคมขน ส่งได้จริง”นายลูดริก กล่าว
 
  
ทั้งนี้ สำหรับรถตุ๊กตุ๊กพลังแสงอาทิตย์ ครั้งแรกของโลกที่เดินทางจากกรุงเทพฯไปฝรั่งเศส ได้มีการติดตั้งแผนโซลาร์เซลล์บนหลังคารถ โดยกักเก็บไว้ในแบตเตอรีลิเธียม 72 โวลต์ ความจุ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถเดินทางได้ 200 กิโลเมตรต่อการชาร์ตไฟ 1 ครั้ง (6 - 8 ชั่วโมง) คิดเป็นค่าไฟ 0.7 บาทต่อกิโลเมตร หรือ 14,000 บาท ตลอดการเดินทาง ซึ่งนักศึกษาผู้เดินทางครั้งนี้ เชื่อว่า ด้วยการเตรียมพร้อมทั้งด้านการซ่อมบำรุง ความปลอดภัย การเดินทางจากกรุงเทพฯถึงฝรั่งเศสภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2558 รวมเวลา 120 วัน จะตรงตามวันที่กำหนดอย่างแน่นอน ติดตามให้กำลังใจนักศึกษากลุ่มนี้ ได้ที่ www.cmmu.mahidol.ac.th

Cr.ผู้จัดการ ,ม.มหิดล ,เล่าสู่กันฟัง , Asia21st 

คอมพ์จิ๋ว (Intel Compute Stick)


คอมพ์จิ๋ว (Intel Compute Stick)


เมื่ออุปกรณ์ทุกอย่างสามารถเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตได้แล้ว (IoT : Internet of Things)คอมพิวเตอร์เองก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีขนาดใหญ่อีกต่อไป เพราะด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เมื่อหน่วยประมวลผลมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ขนาดเล็กลง กินไฟน้อยลง ก็ทำให้ผู้ผลิตสามารถผลิตพีซีขนาดจิ๋วออกมาได้

อิน เทล ในฐานะของผู้ผลิตซีพียู ก็เล็งเห็นถึงโอกาสดังกล่าวในการทำ Intel Compute Stick หรือคอมพ์จิ๋วออกมา เพื่อเป็นต้นแบบให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายอื่นได้เห็น และร่วมกันผลิตออกมาจำหน่ายในท้องตลาด เหมือนเช่นตอนที่อินเทลทำ Intel NUC (Next Unit of Computing) ออกมา และผู้ผลิตรายอื่นก็เริ่มทำตาม

ก่อนอื่นต้องมองว่าคอมพ์จิ๋ว Intel Compute Stick ถือเป็นอุปกรณ์เสริมที่จะมาเปลี่ยนจอโทรทัศน์ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่อง หนึ่งแทนที่จะมองว่า เป็นพีซีประสิทธิภาพสูง เพราะด้วยสเปกของตัวเครื่องที่ให้มา ที่ต้องการเน้นประหยัดพลังงานด้วย ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้งานค่อนข้างเยอะ
     
ดังนั้นในการใช้งาน นอกจากต้องมีจอโทรทัศน์แล้ว ยังต้องมองหา USB HUB ไว้สำหรับต่อเมาส์ คีย์บอร์ด รวมไปถึงช่องเสียบแฮนดี้ไดร์ฟ หรือฮาร์ดดิสก์พกพาด้วย เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือจะไปเลือกใช้งานคู่กับคีย์บอร์ดและเมาส์ไร้สายผ่านบลูทูธแทนก็ได้
     
ในแง่ของการเชื่อมต่อ ด้วยการที่เครื่องมีการใส่ตัวรับสัญญาณไวเลสมาให้อยู่แล้ว เชื่อมต่อกับ ไวไฟ ฮอตพอต หรือ ตัวรับสัญญาณ WiFi แล้วแต่สะดวก ถือว่าพร้อมให้ใช้งาน ถ้ามองง่ายๆ ต่อกับจอโทรทัศน์เปิดดูซีรีส์ผ่านอินเทอร์เน็ต เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กนิดหน่อย ก็ถือว่าเหมาะกับการซื้อไปติดตั้งใช้งานก็จะเหมาะกับผู้บริโภคทั่วไป

จุดเด่นหลักของคอมพ์จิ๋ว Intel Compute Stick ก็คือเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับจอภาพ หรือโทรทัศน์ ที่มีพอร์ต HDMI และแสดงผลออกมาเป็น Windows 8.1 with Bing ให้ใช้งานได้ทันที โดยสามารถต่อพ่วงกับไฟจากตัวจอ และเชื่อมเมาส์ คีย์บอร์ด เพื่อใช้งานได้ทันที

ด้วยการที่อินเทลต้องการออกแบบให้ตัวคอมพ์จิ๋ว Intel Stick มีขนาดเล็ก เหมาะกับการนำไปต่อกับจอโทรทัศน์ หรือ จอภาพต่างๆได้ทุกที่ ทุกเวลา ทำให้การออกแบบออกมามีลักษณะเหมือนแฮนดี้ไดร์ฟ หรือแอร์การ์ดทั่วๆไป ทำให้มีขนาดอยู่ที่ 103.4 x 37.6 x 12.5 มิลลิเมตร  โดยมีพอร์ตหลักเป็น HDMI 1.4a ไว้ต่อกับจอภาพ หรือ โทรทัศน์ ถัดมาก็จะมีช่องเสียบยูเอสบี (USB) 1 พอร์ต และช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ด (MicroSD Card)

การใช้งานจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับพลังงานไฟฟ้า ด้วยการที่อินเทลใส่พอร์ตไมโครยูเอสบี (MicroUSB)มาให้ ทำให้สามารถนำสายยูเอสบี(USB)มาเชื่อมต่อได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการนำไฟจากจอ หรือจากอแดปเตอร์ก็ได้เช่นเดียวกัน   การใช้งานกรณีที่เชื่อมต่อกับโทรทัศน์ เมื่อเปิดโทรทัศน์ตัว Compute Stick ก็จะติดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เพราะมีไฟเข้า แต่ถ้าไม่ติดก็สามารถกดปุ่มเปิดเครื่องได้เช่นเดียวกัน

กรณีที่หลัง ทีวีไม่มีพื้นที่เพียงพอก็สามารถต่อกับสายเชื่อม HDMI ได้ เช่นเดียวกับอะแดปเตอร์ชาร์จที่แถมมา ถ้าตัวจอภาพไม่มีพอร์ตยูเอสบี(USB)ให้เชื่อมต่อ

สำหรับระบบปฏิบัติ การที่ติดตั้งมาให้ใน Compute Stick คือ Windows 8.1 with Bing 32 bit โดยมีสเปกภายในเป็น Intel Atom Z3735F QuadCore 1.3 GHz RAM DDR3 2 GB ROM 32 GB รองรับการเชื่อมต่อผ่านไวไฟ 802.11 b/g/n และบลูทูธ 4.0 สามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับไวไฟ ฮอตพอต หรือ USB WiFi

ด้วยคอนเซปต์ของอินเทล ที่ออกคอมพ์จิ๋ว Intel Compute Stick มาเป็นอุปกรณ์เพื่อเชื่อมต่อกับจอภาพให้กลายเป็นจอแสดงผลคอมพิวเตอร์เครื่อง หนึ่ง โดยไม่จำกัดว่าการใช้งานต้องใช้แค่ภายในบ้าน แต่ยังสามารถนำไปใช้กับภายนอก รวมถึงไปองค์กรได้ด้วย
     
โดยคอนเซปต์หลักที่อินเทลวางไว้ก็คือ การนำคอมพ์จิ๋ว Intel Compute Stick ไปเชื่อมต่อกับจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่เพื่อใช้ภายในบ้านให้กลายเป็นโฮมเอนเตอร์ เทนเมนต์ ถัดมาก็คือการนำไปใช้กับจอแสดงผลภายนอก อย่างจอโฆษณา หรือบิลบอร์ดต่างๆ
     
รวมไปถึงการนำมาใช้ในองค์กร ให้กลายเป็น Thin Client เพราะตัว Compute Stick สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อนำมาใช้ในการทำงานที่ไม่ได้ต้องการ คอมพิวเตอร์สเปกสูงมากนัก ซึ่งถ้ามองโดยรวมก็จะช่วยประหยัดทั้งในแง่ของพื้นที่ และพลังงาน
     
เบื้องต้นคอมพ์จิ๋ว Intel Compute Stick จะมีให้เลือกด้วยกัน 2 ระบบปฏิบัติการคือ วินโดวส์ 8.1 ที่มาพร้อมบิงก์ (Windows 8.1 with Bing) และระบบลินุกซ์อย่าง อูบุนตู (Ubintu) เพียงแต่ที่นำมาจำหน่ายตามช่องทางต่างๆจะเป็นรุ่นของวินโดวส์เป็นหลัก เพราะถือว่าใช้งานได้ง่าย

ขณะที่ในแง่ของการใช้งาน Intel Compute Stick จะเหมาะกับการใช้งานทั่วๆไป อย่างเล่นอินเทอร์เน็ต ดูหนังได้ถึงความละเอียด 1080p ฟังเพลง หรือใช้งานพวก Microsoft Office แต่ไม่เหมาะนำไปใช้กับการทำภาพความละเอียดสูง ตัดต่อวิดีโอ หรือแม้กระทั่งเล่นเกมที่สเปกสูงๆ เพราะด้วยประสิทธิภาพของตัวเครื่อง ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานแบบนั้น 

Cr.ผู้จัดการ ,  เล่าสู่กันฟัง  , Asia21st

อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ


อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ

ฟิตบิท (Fitbit) ผู้นำด้านอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ (Health Wearable Devices)และกิจกรรมการออกกำลังกายแบบเชื่อมต่อไวไฟ (WiFi Connected Health and Fitness)  ฟิตบิท (Health Wearable Devices) คือผลิตภัณฑ์การติดตามกิจกรรมการออกกำลังกายและการนอนหลับยอดนิยม

ฟิทบิท ซิป (Fitbit Zip®) และเครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ ฟิทบิต แอเรีย (Fitbit Aria) ที่สามารถเชื่อมต่อไวไฟ หน้าจอแสดงผลระบบดิจิตอล โดยฟิตบิทจะได้เข้ามาช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูล มอบประสบการณ์อันสนุกสนาน น่าสนใจ ทำให้ผู้ใช้อยากมีส่วนร่วม นำเสนอข้อมูลเชิงลึก รวมถึงคำแนะนำสำหรับผู้ใช้ที่เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากอุปกรณ์ที่ใช้ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ใช้บรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่ ตั้งไว้

ด้วยความเอาใจใส่ต่อสุขภาพ การออกกำลังกาย และสุขภาพองค์รวมที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงความต้องการสำหรับอุปกรณ์มือถือ อุปกรณ์ไอทีและเทคโนโลยีที่สูงในตลาด (Smart Gadgets) หรือ อุปกรณ์ในรูปแบบอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ (wearable devices) ที่เพิ่มขึ้น ฟิตบิทอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ(Health Wearable Devices) ยินดีที่นำ กลุ่มผลิตภัณฑ์ติดตามกิจกรรมในตระกูลฟิตบิทอย่างเต็มรูปแบบมานำเสนอเพื่อค้น หาความฟิตที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายของผู้ใช้ทุกคน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อระบบออนไลน์่ผ่านไวไฟหรือมือถือ

แพลตฟอร์มอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพของฟิตบิ ท(Health Wearable Devices)ได้รวบรวมอุปกรณ์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่สามารถเชื่อมต่อกับ ซอฟท์แวร์และบริการต่างๆ ไว้ด้วยกันผ่านอินเตอร์เน็ตหรือ Pocket WiFi ทั้งแดชบอร์ดออนไลน์และแอพพลิเคชั่นมือถือ การวิเคราะห์ข้อมูล เครื่องมือสร้างแรงจูงใจและโซเชียล ข้อมูลเชิงลึกเฉพาะบุคคล การฝึกเสมือนจริงผ่าน

ฟิตบิทอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ(Health Wearable Devices) กับแผนการออกกำลังกายที่กำหนดเอง และการออกกำลังกายแบบอินเตอร์แอคทีฟ ช่วยให้ผู้ใช้มีความแอคทีฟมากยิ่งขึ้น ออกกำลังกายมากขึ้น นอนหลับดียิ่งขึ้น  และสามารถดูแลควบคุมน้ำหนักได้

เทคโนโลยีติดตามอัตราการเต้นของหัวใจที่เหนือกว่า ฟิตบิท เสิร์ช ฟิตบิท ชาร์จ เอช อาร์ ไม่เพียงแต่ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก ยังนำเสนอการติดตามอัตราการเต้นของหัวใจอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลางวันและกลางคืน และระหว่างการออกกำลังกายเชื่อมต่อกับไวไฟพกพา ดังนั้นคุณจะไม่มีทางพลาดทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ PurePulse™

การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ คำนวณการเผาผลาญแคลอรี่ที่แม่นยำมากขึ้น ความสามารถในการรักษาระดับความหนักเบาในการออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายด้วยโซนอัตราหัวใจเต้น และอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก ซึ่งถือเป็นตัวบ่งชี้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและ เน้นฝึกความแข็งแรงของร่างกาย

ฟิตบิทอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ(Health Wearable Devices)เชื่อมต่อผ่านระบบอินเตอร์เน็ตหรือไวไฟพกพา  อุปกรณ์สวมใส่ฟิตบิทสามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวางบนแพลทฟอร์มส่วนใหญ่ที่มี อยู่ในตลาด รวมถึงอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือจำนวนกว่า 150 ประเภท บริการด้วยแอพพลิเคชั่นทั้งระบบไอโอเอส (iOS) แอนดรอย(Android) และ วินโดวส์ (Windows)


Cr.MThai, เล่าสู่กันฟัง, Asia21st

"กวาง อาริศา" ปะทะ "เจสซี่ เจ" (คลิป)


"กวาง อาริศา" ปะทะ "เจสซี่ เจ" (คลิป)
"กวาง อาริศา" ปะทะ "เจสซี่ เจ" (คลิป)
น้องกวาง อาริศา เจ้าหญิงดีสนีย์เมืองไทย! ร้องเพลงพ่นไฟปะทะ เจสซี่ เจ ผ่านแอพคาราโอเกะ

หลังเเจ้งเกิดจากรายการไทยเเลนด์ Thailand′s Got Talent ซีซั่นที่ 4 สำหรับนักร้องสาว น้องกวาง อาริศา  เจ้าของเสียงร้องเพลงประกอบการ์ตูนดิสนี่ย์ ที่ได้ใจกรรมการจนสามารถผ่านเข้าสู่รอบลึกๆได้สำเร็จ   เชื่อว่าหลายคนยังคงจำสาวน้อยคนนี้ได้เป็นเป็นอย่างดี เจ้าของฉายาเจ้าหญิงดิสนีย์เมืองไทย

ล่าสุดน้องกวางก็ได้สร้างความประทับใจให้กับชาวโซเชียลอีกครั้งด้วยการเผยเเพร่คลิปวิดีโอขณะกำลังดวลไมค์ฟีเจอริ่งคู่กับศิลปินระดับโลก เจสซี่ เจ (Jessie J)   ในเพลง Flashlight ผ่านแอพพลิเคชั่น Sing! Karaoke ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับร้องคาราโอเกะ ที่สามารถส่งคำเชิญไปยังเพื่อนๆ ให้มาช่วยกันร้องได้ด้วย

งานนี้เเม้ต้องปะทะกับตัวเเม่ระดับโลก เเต่น้องกวางของเราก็บ่หยั่น ยังส่งเสียงร้องเพราะๆสะกดใจคนฟังเช่นเคย จนถูกยกฉายา เจ้าหญิงดิสนีย์แห่งโลกโซเชียล ให้ไปครอง เเถมคลิปวิดิโอดังกล่าวยังถูกเเชร์กระหึ่มในโลกออนไลน์ กวาดยอดวิวผู้เข้าชมทะลุสี่เเสนไปเเล้ว

แอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Sing! Karaoke ซึ่งแอพนี้ทำให้คนธรรมดาได้มีโอกาสร้องเพลงคู่กับศิลปินที่เราชอบสมดังใจ อีกทั้งสามารถนำคลิปวิดีโออัพโหลดผ่านเว็บไซต์ยูทูปได้อีกด้วย

งานนี้แฟนคลับแห่แชร์ชื่นชมในพรสวรรค์ของน้องกวางอีกครั้ง กับเสียงของที่ไพเราะจับใจไม่แพ้ต้นฉบับ รวมถึงจังหวะรับส่งไม่พลาดสักนิดถึงแม้จะเป็นแอพก็เถอะ

ใครที่ยังไม่ได้ฟังรีบคลิกกันรัวๆ รับรองว่าต้องฟังไม่ต่ำกว่าหนึ่งรอบแน่นอน เสียงเธอเลอค่าจริงๆ




Cr.ประชาชาติธุรกิจ, เล่าสู่กันฟัง  ,Asia21st

'แอนนา รีส' ซิ่งชนรถ 'รองสารวัตร' ดับ


'แอนนา รีส' ซิ่งชนรถ 'รองสารวัตร' ดับ

จากกรณี น.ส.แอนนา แฮมบาวรีส อายุ 28 ปี ดารานักแสดง และนางแบบชื่อดัง ขับรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ อี 200 สีดำ หมายเลขทะเบียน 1 กต 3344 กทม. เสียหลักพุ่งชนรถตำรวจจราจร สังกัดภูธรภาค 7 จนทำให้ ร.ต.ท.นภาดล วงษ์บัณฑิต อายุ 44 ปี รองสารวัตรจราจร สภ.เมืองสุพรรณบุรี เสียชีวิตภายในรถ เหตุเกิดบริเวณ ถนนคู่ขนาน มอเตอร์เวย์ ขาเข้า กม.1 แขวงและเขตประเวศ กทม. ในช่วงกลางดึกที่ผ่านมานั้น



ที่เกิดเหตุเป็นถนน 3 ช่องทาง บริเวณช่องทางซ้ายสุดพบรถตำรวจจราจรกลาง ภูธรภาค 7 ยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีขาวคาดเลือดหมู หมายเลขทะเบียน กก 9379 หมวดจังหวัดสุพรรณบุรี สภาพท้ายรถพังยุบไปถึงห้องโดยสาร มีกระจกแตกรอบคัน

ตรวจสอบภายในพบศพ ร.ต.ท.นภาดล วงษ์บัณฑิต อายุ 44 ปี รอง สว.จร.สภ.เมืองสุพรรณบุรี อยู่บ้านเลขที่ 13/23 ถนนพันศรโยธา ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี สวมชุดตำรวจครึ่งท่อน ใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น สีขาว นุ่งกางเกงตำรวจขายาว สีกากี สภาพศพนั่งบริเวณฝั่งคนขับลำตัวพาดไปเบาะด้านซ้าย ศีรษะแตก คอหักพับ ใกล้กันบริเวณเบาะฝั่งคนขับพบเสื้อตำรวจพาดอยู่ ข้าวของภายในรถกระจัดกระจาย

นอกจากนี้ บริเวณนอกตัวรถพบหมวกตำรวจจราจรด้านหลังระบุ สภ.จว.สุพรรณบุรี ทั้งนี้ ห่างไปไม่ไกลพบไฟไซเลนของรถคันดังกล่าวตกอยู่ มีร่องรอยการไถลของตัวรถ เศษแตกเกลื่อนเต็มพื้นถนน ห่างไปประมาณ 10 เมตรบริเวณช่องทางขวาสุด พบรถยนตร์ยี่ห้อเบ๊นซ์ อี 200 สีดำ หมายเลขทะเบียน 1 กต 3344 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้าฝั่งซ้ายพังยับเยิน ที่ล้อฝั่งซ้ายแตก

ตรวจสอบภายในรถพบว่าถุงลมนิรภัยทำงานรอบคัน โดยพบน.ส.แอนนา แฮมบาวรีส อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 262 ถนนประชาอุทิศ แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. ดารานางแบบเซ็กซี่ ซึ่งเป็นคนขับรถเบ็นซ์คันดังกล่าว มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ยืนรออยู่ในที่เกิดเหตุด้วยอาการตกใจ ร้องไห้ฟูมฟาย พร้อมตระโกนโวยวายว่า “ไม่ได้หนี ยอมรับผิดทุกอย่าง” ก่อนทางญาติพาตัวขึ้นรถยนตร์ที่มารอรับออกไป เพื่อสงบสติอารมณ์

ล่าสุดในช่วง เช้าวันนี้ (26มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ประเวศ ได้ดำเนินการยกรถในที่เกิดเหตุ ทั้ง 2 คัน มาไว้ที่สถานีตำรวจ เพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอีบดอีกครั้ง โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่รอเพียงการเดินทางเข้ามอบตัว และให้ปากคำของ น.ส.แอนนา เท่านั้น

เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา ทางญาติได้ขออนุญาตินำตัว น.ส.แอนนา กลับไปสงบสติอารมณ์ที่บ้านพัก ซึ่งคาดว่าในช่วงบ่ายวันนี้ ทางญาติจะนำตัว น.ส.แอนนา มาเซ็นต์รับทราบข้อกล่าวหา ส่วนกรณีที่ว่า ดาราสาวเมาขณะขับรถหรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า จะต้องดำเนินการตรวจสอบร่างกายอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สำหรับศพของ ร.ต.ท.นภาดล ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อไปยังต้นสังกัดของผู้ตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อแจ้งให้ญาติมารับศพ กลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

Cr.กรุงเทพธุรกิจ, เล่าสู่กันฟัง, Asia21st

25 มิ.ย. 2558

ดีเจโจ้ อัครพล อาลัยรัก 9 ปีไม่มีลืม


ดีเจโจ้ อัครพล อาลัยรัก 9 ปีไม่มีลืม
ดีเจโจ้ อัครพล อาลัยรัก 9 ปีไม่มีลืม

 
ดีเจโจ้ อัครพล ธนะวิทวิลาศ จากรายการ เกมวัดดวง เชื่อว่าจะต้องจำได้ ดีเจหนุ่มอารมณ์ดีคนนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะเขาคือผู้ที่คอยสร้างเสียงหัวเราะให้แฟนคลับอยู่เสมอ แต่แล้วเมื่อปี 2549 ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อ ดีเจโจ้ ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ ก่อนที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ 3 เดือน และจากไปด้วยวัยเพียง 35 ปี นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้ เป็นเวลานานกว่า 9 ปีแล้ว 

ล่าสุดวานนี้  เฟซบุ๊ก เม่าสงสัยได้ มีการเผยข้อความจากแฟนสาวของ ดีเจโจ้ อัครพล ที่เขียนถึงชายหนุ่มอันเป็นที่รักของเธอด้วยความอาลัย แม้เวลาจะผ่านไปนานกว่า 9 ปีแล้ว โดยมีข้อความว่า "ตำนานความรักที่ทรงพลังของ นนทิยา พุทธาโภคาทรัพย์ กับ ดีเจโจ้ อัครพล ธนะวิทวิลาส ...ใกล้ดำเนินมาถึงบทที่ทั้งคู่เริ่มต้นชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุข แต่เพียงไม่กี่เดือน รอยยิ้มถูกแทนที่ด้วยคราบน้ำตา งานมงคลกลายเป็นงานศพ ความฝันของผู้หญิงคนหนึ่งพังทลายลงชั่วพริบตา 
แม้เวลาจะผ่านมา 9 ปีแล้วก็ตาม แต่จุ๊บยังจำวันแรกที่เจอกับพี่โจ้ได้ไม่ลืม เราเจอกันในงานคอนเสิร์ตของ นาวิน ต้าร์ เขาหันมามองจุ๊บ ยังจำดวงตาคู่นั้นได้เลยว่าสวยมาก เพื่อนแอบให้เบอร์จุ๊บกับพี่โจ้ ซึ่งสมัยนั้นเป็นเพจเจอร์ เขาส่งข้อความมาหลายครั้ง กระทั่งจุ๊บยอมไปทานข้าวด้วย แล้วจุ๊บก็หลงรักเขาโดยไม่มีเงื่อนไขว่าแฟนฉันต้องหล่อหรือรวย เพราะจุ๊บรักทุกอย่างที่เป็นพี่โจ้ รักเสียง รักรอยยิ้ม รักดวงตาคู่นั้น เขาเรียกจุ๊บว่าหนู จุ๊บก็เรียกเขาว่าที่รัก แม้ตอนแรกคุณพ่อคุณแม่จะไม่ชอบ แต่ความจริงใจที่เขามีให้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ประกอบกับเป็นคนมีจิตใจดี พี่โจ้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวจุ๊บโดยปริยาย

เราตกลงกันว่าจะเก็บเงินซื้อบ้านเป็นเรือนหอ ช่วงนั้นอะไรประหยัดได้ก็ช่วยกันประหยัด เวลาพี่โจ้มารับที่บ้านคุณแม่ทำข้าวใส่กล่องเตรียมไว้ให้ ระหว่างทางจุ๊บจะป้อนข้าวพี่โจ้ หรือเสื้อผ้าพี่โจ้ก็จะเอามาซักที่บ้านจุ๊บจะได้ประหยัดค่าซักรีด กินข้าวนอกบ้านเรียกว่านับครั้งได้ เพราะแค่ซื้อน้ำส้มสักแก้วยังคิดแล้วคิดอีก กระทั่งพี่โจ้เริ่มมีชื่อเสียงและเข้าหุ้นกับพี่เอก กฤษณา วารินทร์ เปิดบริษัท มหัศจรรย์งานโชว์ แม้รายรับมากขึ้น แต่ก็มีปัญหาจุกจิกให้แก้ไขตลอดเวลา แต่เราจับมือสู้ไปด้วยกัน เขามักบอกให้จุ๊บชื่นใจเสมอว่า หนูเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พี่มีวันนี้ 

ในที่สุดความฝันก็เป็นจริง เราซื้อบ้านด้วยเงินสดที่พยายามอดออมกันมา ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขกับการเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน ตกแต่งบ้านด้วยกัน วาดโครงการว่าปลายปี 2549 แต่งงานแล้วจะมีลูกทันที ตั้งชื่อไว้เสร็จสรรพ ซึ่งจุ๊บหวังว่าจะเป็นเจ้าสาวของพี่โจ้ตลอดเวลา รอคอยวันนั้นอย่างตื่นเต้น ซื้อหนังสือแต่งงานทุกฉบับ เราสองคนช่วยกันเลือกชุดเจ้าสาวเจ้าบ่าว เลือกแหวน เลือกสถานที่ เตรียมงานมาเป็นระยะ จนเมื่อปลายปีที่แล้วเราตั้งใจไว้ว่าทำงานเหนื่อยมาทั้งปีไปเที่ยวฮ่องกงกัน ดีกว่า แต่พี่โจ้มีอาการท้องเสียไม่หยุด ร่างกายอ่อนเพลียมาก

จุ๊บพาพี่โจ้ไปหาหมอ หมอคลำที่ท้อง ปรากฏว่าตับโต พออัลตราซาวด์ พบก้อนเนื้อที่ตับประมาณ 10 เซนติเมตร ถ้าเทียบกับเนื้อที่ตับที่มีอยู่ 16 เซนติเมตร ถือว่าค่อนข้างใหญ่ หมอบอกว่าเป็นมะเร็งอยู่ในระยะที่ไม่มากไปไม่น้อยไป สันนิษฐานว่าเป็นมาเกือบปี แต่ไม่ถึงกับต้องให้คีโม ซึ่งพี่โจ้ไม่อยากรักษาด้วยคีโมบำบัดอยู่แล้ว ด้วยความที่เขาเป็นโรคตับอักเสบอยู่ก่อนแล้ว หมอจึงไม่กล้าเสี่ยงตัดตับให้ทันที กลัวอาการจะทรุดหนักกว่าเดิม ต้องสกัดตัวมะเร็งให้ฝ่อลงก่อนจึงค่อยตัดชิ้นเนื้อที่เสียออก

เราทั้งสองคนยืนรับฟังประโยคนั้นด้วยกัน ใจพี่โจ้สุดยอดมาก ถามหมอเลยว่าผมจะอยู่ได้อีกกี่เดือน ถ้าอยู่ได้ไม่นาน ผมจะใช้ชีวิตอยู่กับแฟนให้เต็มที่ หมอบอกว่า สู้ได้ครับคุณโจ้ ขณะที่จุ๊บร้องไห้รับไม่ได้ พี่โจ้กอดจุ๊บบอกว่าห่วงหนู จุ๊บบอกว่าไม่ต้องห่วงเราจะอยู่ด้วยกันจนวันตาย ถ้าที่รักตายหนูจะตายตามไปด้วย เราจะจับมือเดินไปด้วยกัน พี่โจ้ร้องไห้บอกว่าชีวิตจริงทำอย่างนั้นไม่ได้ อยู่เพื่อสานฝันให้พี่ ถ้าหนูบอกว่าพี่ไม่เป็นอะไร พี่ก็จะไม่เป็นอะไร พี่โจ้อยู่โรงพยาบาล 3 วัน จากบ้านที่เตรียมไว้เป็นเรือนหอก็ใช้เป็นที่พักฟื้นของพี่โจ้ 

ตอนนั้นจุ๊บย้ายมาอยู่ด้วย ไม่แคร์แล้วว่าต้องแต่งก่อนไหม คุณพ่อคุณแม่พี่โจ้มาจากเชียงใหม่อยู่ดูแลด้วย เอฟเฟกต์จากฤทธิ์ยาทำให้พี่โจ้ผอมลง เหนื่อยง่าย ผมร่วงเล็กน้อย แม้อากู๋ ไพบูลย์ พี่ฉอด สายทิพย์ และพี่ไก่ สมพล จะให้หยุดรักษาตัวก่อน แต่ความที่เขาทำงานมาตลอดก็แอบไปอัดสปอตสั้น ๆ บ้าง อัดเกมวัดดวงบ้าง ยังขำ ๆ ฮา ๆ ได้ ทุกคนจึงเชื่อว่าเขาต้องหาย ระหว่างนั้นพี่โจ้ไปตรวจเช็กอาการและทานยาตามปกติ เขาบอกว่าอย่างไรมะเร็งก็ไม่เล็กลงหรอก ขณะที่จุ๊บยังหวังว่าพี่โจ้ต้องหายอยู่ทุกเวลา ทุกนาที หมอทางเลือกที่ไหนดี จุ๊บพาไปรักษาทุกที่ 

ขณะเดียวกันเราก็ใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ พระที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ จุ๊บตามไปไหว้อีก ตระเวนทำบุญ 9 วัดเกือบทุกวัน ปล่อยปลาเยอะมาก แต่ความที่พี่โจ้เป็นมาก พอเข้าเดือนที่สอง อาการเริ่มทรุดลง แน่นท้องทานข้าวได้น้อยลง เพราะตับทำงานแย่ลง มีภาวะน้ำท่วมปอดและหัวใจร่วมด้วย ต้องไปให้หมอเจาะเอาน้ำออกเขาเริ่มเดินไม่ถนัด 

 จากที่เคยไปทำบุญด้วยกันก็เริ่มอยู่บ้านดูทีวี จุ๊บไม่อยากให้เขาดูทีวีมาก เพราะถ้าสมองรับคลื่นกระแสไฟฟ้ามาก ๆ จะไม่ดีกับคนเป็นมะเร็ง เขาก็อ่านหนังสือเสียดายคนตายไม่ได้อ่าน บอกอ่านแล้วจะได้ปลง จุ๊บไหว้พระทุกวัน ขอให้สิ่งศักดิ์คุ้มครอง ถ้าหากถึงวันที่ต้องแลกชีวิตกันจริง ๆ ก็ขอให้เอาจุ๊บไปแทน เพราะ ถ้าพี่โจ้อยู่ยังทำอะไรให้กับคนรอบข้างอีกเยอะ จุ๊บยอมเสียสละ แขน ขา หัวใจ ตับ หรืออะไรก็ได้ ขออย่างเดียวให้ได้มองหน้าพี่โจ้ได้กอดเขาไปนาน ๆ 


พยายาม ไม่ร้องไห้ให้พี่โจ้เห็น แต่...บางครั้งก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ เขามักบอกว่า ร้องไห้อีกแล้ว เดี๋ยวก็ร้องด้วยเลย จุ๊บบอกว่าร้องเพราะความปลื้มปิติว่าที่รักจะหายแล้ว ดีใจว่าสิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ไม่มีปาฏิหาริย์..ไม่มีความมหัศจรรย์...ล่วงเข้าเดือนที่สาม พี่โจ้เริ่มทานข้าวไม่ได้ ตัวซีด เหนื่อยหอบ จุ๊บพาไปหาหมอคิดว่าให้เลือด น้ำเกลือแล้วก็กลับบ้าน

แต่หมอส่งตัวพี่โจ้เข้าห้องไอซียู สวนท่อเพื่อฟอกเลือดเอาของเสียออก สามวันแรกพี่โจ้ยังร่าเริง พยาบาลบอกว่าพี่โจ้สุภาพมาก ไม่เอะอะโวยวายหรืออาละวาดดึงสายออก จากวันนั้นด้วยฤทธิ์ยา พี่โจ้มีอาการสะลึมสะลือพูดได้เป็นคำ ๆ จนกระทั่ง..ไม่รู้สึกตัวเลย จุ๊บขออนุญาตหมอเข้าไปนอนเฝ้าในห้องไอซียู จับมือเขาไว้ตลอดเวลา กอด หอม สวดมนต์ให้ฟัง เพราะอย่างไรก็มีความหวังว่าพี่โจ้ต้องหาย ตกค่ำความดันพี่โจ้ค่อย ๆ ตกจาก 100 มาอยู่ที่ 68 ขณะที่ระดับของออกซิเจนในเลือดอยู่ที่ 68 ซึ่งถือว่าโคม่าแล้ว แต่หัวใจเขายังเต้นอยู่ 

ขณะนั้นพวกญาติ ๆ เริ่มลูบหัวพี่โจ้สั่งลากัน จุ๊บทนเห็นภาพนั้นไม่ได้ อย่าพูดแบบนั้น อย่าพรากคนรักไปจากจุ๊บ จุ๊บกอดพี่โจ้แน่น กราฟหัวใจของพี่โจ้กลับเต้นขึ้นมาใหม่ถึง 300 แต่หลังจากนั้นแป๊ปเดียว กราฟหัวใจก็ตกไปที่ศูนย์ จุ๊บกรี๊ดเหมือนคนบ้าไม่ยอมกลับบ้าน ร้องไห้จะตามไปนอนกับพี่โจ้ในห้องเย็น 

พี่สาวบอกว่ากลับบ้านเถอะ เรียกโจ้กลับบ้านด้วย แม้ตัวไม่อยู่แต่วิญญาณเขายังอยู่ ก่อนเข้าบ้านจุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง ขอให้พี่โจ้เข้าบ้านด้วย วันรดน้ำศพจุ๊บร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ผู้ใหญ่เข้าใจถึงความรักเราแนะนำว่าให้เอาขี้เถ้าทำตำหนิไว้ เผื่อเจอหน้ากันจะได้จำหน้าได้ จุ๊บทำตามแล้วสวมแหวนให้ จับมือพี่โจ้ขึ้นพนมร่วมกัน บอกว่าสัญญานะว่าชาติหน้าเกิดมาจะรักกันอีกและอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า อย่าให้โรคภัยไข้เจ็บมาพรากเราจากกันอีก

วันเผาศพ จุ๊บร้องไห้จนตาช้ำ วินาทีที่ไปส่งพี่โจ้ไม่รู้จะมีคำพูดอะไรบรรยายความรู้สึกได้มากกว่าคำว่า สาหัสทรมาน พี่ฉอดกอดจุ๊บบอกพี่เขาไปดีแล้ว จุ๊บตะโกนไปอย่างไม่รู้ตัวว่า อย่าให้เขาเอาพี่โจ้ของเราไป แล้วก็เป็นลมถึงเวลาเก็บกระดูก เสียงพระสวดบังสุกุลตายแล้ว ต่อด้วยบังสุกุลเป็น ดังอยู่ข้าง ๆ จิตใจดีขึ้น ไม่ร้องไห้ รู้สึกว่าพี่โจ้ตายไปเดี๋ยวก็มาเกิดใหม่ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ความทรงจำทุกอย่างที่มีกับพี่โจ้กำลังฆ่าจุ๊บ 

 เพราะทุกอย่างที่เคยมีพี่โจ้ทั้งนั้น ออกจากบ้านไปได้แค่หน้าปากซอย ยิ่งเห็นพี่สาวกับพี่เขยไปเที่ยวกันแล้วยิ่งสะเทือนใจ เพราะเมื่อก่อนพี่โจ้พาจุ๊บไปกินข้าว เสาร์-อาทิตย์ไปเดินจตุจักรทุกวัน จุ๊บทำกับข้าวรอพี่โจ้กลับจากที่ทำงาน ทานข้าวเสร็จไปดูหนังแต่ตอนนี้เหมือนรออะไรอยู่ไม่รู้ไม่มีจุดหมาย ทุกคืนจุ๊บต้องกินยานอนหลับอย่างแรง แต่ทุก ๆ ตีสามต้องตื่น มีความรู้สึกเหมือนถูกสัมผัสเบา ๆ ที่ปลายเท้า เชื่อว่าต้องเป็นพี่โจ้แน่ ๆ เพราะเขาชอบตื่นมาดูบอลแล้วก็หอมแก้มบอกรักนะ

ตั้งแต่นั้นความทุกข์จึงกลายเป็นความสุขกับการตื่นตีสามและรอคอยตอนเช้า เพื่อจะได้ใส่บาตรให้พี่โจ้ สิ่งเหล่านี้ช่วยเยียวยาจิตใจให้รู้ว่าพี่โจ้ยังอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา ทุกวินาทีที่จุ๊บทำอะไรจะเรียกพี่โจ้ตลอด มีบอลก็เอาอัฐิมาตั้งดูทีวีด้วยกัน บางทีก็คิดว่าทำไมต้องทำแบบนี้ นั่งคุยกับรูปกับอัฐิ แต่นี้คือความจริงที่ต้องเผชิญ แม้ขณะนี้ญาติ ๆ จะมาอยู่เป็นเพื่อน แต่สักวันทุกคนต้องแยกย้ายกลับไปดำเนินชีวิตตามปกติ เหลือจุ๊บที่ต้องอยู่บ้านนี้เพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นต้องพยายามทำตัวให้ชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้ แต่จะไม่พยายามทำใจเด็ดขาดว่าพี่โจ้ไม่อยู่แล้ว 

ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่โจ้ไม่คิดว่าตัวเองจะไปเร็วขนาดนี้ จนไม่ทันได้เตรียมอะไรไว้ให้ มีแต่บ้านหลังนี้กับคอนโดและรถ ระหว่างเราจะเป็นความฝันที่ร่วมสร้างด้วยกันเสียส่วนมาก ซึ่งจุ๊บต้องสานต่อ พี่โจ้รักพ่อแม่มาก ตั้งใจว่าจะรับหน้าที่เลี้ยงดูพ่อแม่พี่โจ้แทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัท มหัศจรรย์งานโชว์ แม้จุ๊บจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ตอนที่พี่โจ้อยู่แต่ต้องทำต่อไป ไม่อยากให้พี่โจ้เป็นแค่ความทรงจำแล้วสักวันก็จางหาย อยากให้พี่โจ้เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ ทุก ๆ คน ตลอดไป"

และนี่คือข้อความสุดซึ้งจากใจของแฟนสาวถึง ดีเจโจ้ อัครพล ขอแสดงความเสียใจด้วยอีกครั้งนะคะ เชื่อว่าแฟนคลับหลายคนไม่มีทางลืมดีเจหนุ่มอารมณ์ดีคนนี้เช่นกัน...

Cr.ที่นี่ , Asia21st

23 มิ.ย. 2558

"ต้นหอม" เปิดใจเลิก"แทค"พร้อมน้ำตา

 
"ต้นหอม" เปิดใจเลิก"แทค"พร้อมน้ำตา
"ต้นหอม" เปิดใจเลิก"แทค"พร้อมน้ำตา


     “แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม” ได้ออกมายืนยันว่าได้เลิกรากับอดีตคนรัก “ดีเจ.ต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์” ไปแล้ว ย้ำการเลิกครั้งนี้ไม่รีเทิร์นแน่นอน ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้(23 มิ.ย.) 

     “ต้นหอม” เปิดใจน้ำตานอง รับรู้ได้ถึงความไม่แคร์กันของ “แทค ภรัณยู” เผยเหตุเลิกเพราะอีกฝ่ายนอกใจ มีหลักฐานเป็นพยานเชื่อถือได้ โอกาสรีเทิร์นเป็นศูนย์เหมือนแก้วแตกละเอียด บอกแทคให้มองย้อนกลับไปว่าที่ผ่านมาตนทำอะไรผิด แล้วค่อยกลับมาทำร้าย ก้าวร้าวใส่กัน พ้อรักพังเละตุ้มเปะ เหมือนโลกความฝันที่สักวันต้องตื่น กร้าวไม่เคยเรียกชื่อหมาเป็นชื่อพ่ออดีตคนรัก  

      ต้นหอมได้ออกมาเปิดใจในรายการ “คลับฟรายเดย์โชว์” ณ ตึกจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ โดยมี "พี่อ้อย-พี่ฉอด" เป็น คนสัมภาษณ์ ซึ่งหลังถูกยิงด้วยคำถามว่าสาเหตุเลิกกันเพราะฝ่ายชายไม่ทำตามสัญญา มีหญิงอื่นหรือไม่ ดีเจดังถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ยอมรับอีกฝ่ายนอกใจ แถมมีพยานยืนยันได้ ยังไม่กล้าตอบว่าจะไม่รีเทิร์นเหมือนฝ่ายชายเพราะดูใจร้ายเกินไป
     
       “หอมเห็นคำสัมภาษณ์ของเขาแล้วค่ะ (ยิ้ม) เขาก็สัมภาษณ์ในมุม ของเขาน่ะค่ะ บางเรื่องก็เห็นด้วย บางเรื่องก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่ ก็คือเรื่องที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องของระยะทางที่เชียงใหม่ คือพอฟังปุ๊บหอมจะกลายเป็นคนดูใจแคบทันที (ยิ้ม) หอมไม่เคยมีปัญหาเรื่องของระยะทาง การเดินทาง เราไม่เคยคุยกันอย่างจริงจังเรื่องของการที่แทคจะต้องย้ายไปอยู่เชียงใหม่ สำหรับหอมเพิ่งให้สัมภาษณ์สื่อไปว่าหอมไม่มีปัญหา ส่วนแทคอาจจะมองว่าไกลแล้วอาจจะมีปัญหา อันนี้อาจจะเป็นความคิดและการตัดสินใจของเขาเองมากกว่า และเหตุผลที่เขาให้ก็ยังมีเรื่องอื่นอีก”
     
       “ส่วนเรื่องภาพหลุดไม่เกี่ยวกับเรื่องรูปเลยค่ะ แทคบอกว่าเป็นรูปที่เราเลิกกันไปแล้ว ที่ว่าประกบปากกับแฟนคลับน่ะนะคะ (ขำ) ซึ่งมันไม่ได้มีผลกับหอม แต่หอมรู้สึกว่ามันมีผลกับภาพลักษณ์เขาอยู่แล้ว และมีคนไลน์มาบอกหอมแล้วว่าน้องเขาเป็นแค่แฟนคลับ แล้วเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายภาพนั้นออกมา คือ ณ วันนี้สังคมไปโจมตีที่น้องเขา น้องเขาก็เหมือนแฟนคลับทั่วไปน่ะค่ะ ความใกล้ชิดต่างๆ หอมเชื่อว่าแฟนคลับจะไม่เกินเลยโดยพละการ ถ้าดาราไม่เป็นคนเชื้อเชิญ 


     หอมว่ายิ่งใกล้ชิดเท่าไหร่มันเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งใกล้ชิดมากก็เป็นธรรมดาที่เราก็อยากใกล้ชิดกับศิลปินที่เราชอบน่ะค่ะ เขาก็บอกว่าน้องแค่ถ่ายรูปเฉยๆ แต่จังหวะที่แทคถือโทรศัพท์แล้วเซลฟี่น่ะ แทคเป็นคนหันหน้าแล้วปากไปประกบกับน้องเขาเอง อันนี้คือสิ่งที่มี คนชี้แจงกับหอมอีกทีนะคะ แล้วในแคปชั่นของน้องเขาก็พูดประมาณนั้นเหมือนกันว่าเขาก็เซอร์ไพรส์ ดาราให้ความเป็นกันเองกับเขามากถึงขนาดนี้ ในแคปชั่นเขาก็บอกอย่างชัดเจน ฉะนั้นวันนี้เรื่องภาพไม่เกี่ยวกับหอม แต่หอมแค่ขอสื่อให้แสดงความเห็นใจกับน้องเขา หอมว่าน้องเขาไม่ได้ตั้งใจ ส่วนภาพที่เกิดขึ้นไม่มีผลต่อความรู้สึกนะคะ เพราะว่าเราเลิกกันไปแล้ว แต่มีผลทำให้หอมตอกย้ำสิ่งที่หอมตัดสินใจว่ามันถูกต้อง (ยิ้ม)”
     
       บอกระแวงเรื่องแทคมีหญิงอื่นมาตลอดทั้งที่อีกฝ่ายสัญญาจะไม่นอกใจ ส่วนตัดสินใจยุติความสัมพันธ์เพราะมีพยานเชื่อถือได้ มั่นใจเพื่อนไม่โกหก


       “ก็อย่างที่แทคบอกว่าเป็นเรื่องของผู้หญิงด้วย สำหรับหอมตั้งแต่วันที่เดินออกมาขอยุติความสัมพันธ์ หอมให้เหตุผลเดียวก็คือเรื่องของผู้หญิงค่ะ และหอมก็ขอให้เขามีความสุขค่ะ”
     
       “สิ่งที่หอมเจอ หอมขอเก็บไว้เป็นส่วนตัวแล้วกันค่ะ แต่ครั้งนี้ด้วยพยานบุคคลที่หอมเชื่อใจได้และหอมไว้ใจมากจริงๆ เป็นคนบอกกับหอมเรื่องนี้ คือที่ผ่านมามันอดทนมาก็จริงนะคะ แต่ว่าตั้งแต่เรากลับมาดีกันแทคสัญญาว่าแทคจะไม่นอกใจ มีหอมคนเดียว และตั้งแต่นั้นมาหอมก็ไม่เคยรับรู้เรื่องผู้หญิงอีกเลย แค่มีคำถามในใจว่าจะมีไหม ทำไมเรายังรู้สึกไม่ไว้ใจอยู่เลย อาจจะเป็นความระแวงของหอมก็ได้ แต่ว่าครั้งนี้ที่หอมเจอ คือพยานบุคคลของหอมน่ะเชื่อถือได้ และหอมเชื่อใจพยานบุคคลหอมมากๆ หอมก็เลยตัดสินใจที่จะยุติ”
     
       “หอมถามแทคค่ะ แต่หอมไม่ได้คำตอบ ไม่ว่าถามอะไรทุกเรื่องก็ตาม หอมไม่ได้คำตอบจากคนๆ นี้เลย แต่หอมมีคำตอบในใจแล้ว เพราะคนที่บอกหอมเรื่องนี้เป็นเพื่อนรักของหอมเลย เราคบกันมา 10 ปีแล้ว หอมเชื่อว่าเพื่อนหอมคนนี้เขาไม่โกหก”
     
       “ถามว่าเพื่อนมีหลักฐานมาให้เราไหม ไม่มีค่ะ แค่บอกหอมเท่านั้นพอแล้ว คือก่อนที่เรื่องจะเกิดขึ้นหอมรู้สึกว่ามันมีแววอยู่แล้ว หอมเลยบอกกับเพื่อนว่าสัญญากันข้อหนึ่ง ถ้าเกิดอะไรขึ้นคืนนี้อย่า โกหกนะ (ร้องไห้) พูดออกมา คือที่หอมร้องไห้หอมไม่ได้เสียใจด้วยซ้ำ แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เซ้นซิทีปกับเพื่อนมากๆ เพราะเพื่อนหอมก็ไม่อยากพูดความจริงอยู่แล้ว มันก้ำกึ่งมาก เพราะเพื่อนหอมก็สนิทกับเขาและกับหอม 


ฉะนั้นมันเป็นช่วงที่อึดอัดมากในการเผชิญกับความจริง (เสียงสั่น) คือเขาก็ไม่อยากบอกหอม จนหอมพูดประโยคหนึ่งว่า ถามจริงๆ ว่าอยากให้หอมอยู่กับผู้ชายคนนี้ต่อไปไหม (ร้องไห้) คิดว่าหอม สมควรอยู่ตรงนี้ไหม เขาถึงพูดความจริงกับหอมทั้งหมด หอมก็ถามความจริงจากปากแทค แต่หอมไม่ได้คำตอบเลย แต่วันที่หอมตัดสินใจบอกเขาว่าจะยุติความสัมพันธ์ หอมพูดกับเขาชัดเจนเลยว่าหอมเลือกเชื่อเพื่อนหอม หอมเชื่อว่าเพื่อนหอมพูดจริงและไม่โกหก”
     
       “หลังจากที่เราแยกจากกันก็บ้านใครบ้านมันนะคะ แล้วหอมก็มีคำตอบผุดขึ้นมาเลยค่ะ มันผุดขึ้นตั้งแต่เพื่อนหอมมาบอกและหอมเชื่อเขา เพียงแต่ว่าหอมอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ว่า นี่จะเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่นะ การเดินออกจากชีวิตเขาหอมต้องใช้ความกล้ามากๆ เพราะว่าหอมเคยทำแล้ว แต่ทำไม่ได้ ฉะนั้นวันนี้หอมจะรวบรวมสติและความกล้าทั้งหมดจริงๆ หอมใช้เวลาอยู่กับมัน 4-5 วันก่อนจะตัดสินใจบอกยุติความสัมพันธ์กับเขาน่ะค่ะ”
     
       บอกอีกฝ่ายไม่ง้อ เลิกกันต่างคนจะได้ไม่เหนื่อย บอกแทคชอบอิสระก็ได้สิ่งนั้นในวันนี้
       “ไม่มีนะคะ อาจจะมีลงไอจีที่ลงรูปแล้วบอกว่ารักนะ แล้วแท็กชื่อหอม คนก็จะมาเม้นต์ว่าอิจฉาพี่หอมจังเลย แฟนน่ารัก แต่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นที่เราทะเลาะกันใหญ่โต ที่เราจับได้เรื่องของเขา แต่ ณ เวลานั้นเขาก็ไม่อยากเสียไปอยู่แล้วค่ะ แต่ ณ เวลานี้พอมันแยกจากกันต่างคนต่างก็รู้ว่ามันก็ไม่เหนื่อยดีเนอะ การไม่มีหอมในชีวิตก็ทำให้เขาทำอะไรได้ง่ายขึ้นนะคะ ก็คือเรื่องของอิสระ ถ้าเขาชอบชีวิตที่อิสระ เพราะไลฟ์สไตล์ของเขาคืออิสระ เขาได้สิ่งนั้น เพราะชีวิตอิสระกับชีวิตของการมีแฟนมันตรงข้ามกัน คุณต้องเลือกว่าคุณเลือกจะมีอิสระ หรือคุณจะเลือกฉันให้เข้ามาในชีวิต”
     
       “ตอนนี้หอมไม่เป็นอะไรเลยค่ะหลังจากที่เลิกกัน อาจจะมีความ เหงา เพราะเราเจอกันทุกวัน อยู่ด้วยกันทุกวันมันก็เป็นความผูกพัน มันเลยรู้สึกว่าสิ่งที่มันอยู่กับเราทุกวันมันหายไป หอมจะมีความรู้สึกเหงา แต่ความรู้สึกครั้งนี้เหตุผลมันชัดเจนมาก แล้วหอมต้องอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขได้บ้าง เหมือนกับที่ถามตัวเองว่าพอหรือยัง (เสียงสั่น)”
     
       พ้อรับรู้ได้ถึงความไม่แคร์กันของอีกฝ่าย บอกอยากฟังคำขอโทษที่มาจากใจจริงๆ มากกว่า
       “หอมรับรู้ความรู้สึกได้ถึงความไม่แคร์ ในความรู้สึกของหอมนะคะ แต่ ถามว่าเขาผิดไหมก็ไม่ผิดค่ะ ในเมื่อหอมเป็นคนยุติความสัมพันธ์ เขาก็ต้องเดินหน้า ฉะนั้นสิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์ก็เป็นความรู้สึกเขา เขาสัมภาษณ์อะไรก็ได้หมดค่ะ ถ้าจะผิดก็ผิดที่หอมรับคำตอบไม่ได้เอง หอมต้องดูแลความรู้สึกตัวเองน่ะค่ะ ถ้าเขาหายไวกว่าเขาก็วิ่งได้เร็วกว่า ฉะนั้นสิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์เมื่อวานหอมไม่ได้ติดขัดอะไร นอกจากบางคำตอบที่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง(เมื่อวานเขาขอโทษ)เป็นคำเดียวที่ หอมรอฟังจากปาก หอมอยากฟังคำขอโทษ (เสียงสั่น) ที่มาจากหัวใจจริงๆ”
     
       อุบตอบยังรักหรือไม่ โอกาสรีเทิร์นเหมือนแก้วแตกละเอียด ความรู้สึกเป็นศูนย์ แต่ยังไม่กล้าฟันธงว่าจะไม่รีเทิร์น บอกดูใจร้ายเกินไป


       “หอมขอไม่ตอบคำถามนี้ค่ะ (ยิ้ม) ที่บอกว่าจะไม่รีเทิร์นก็ อาจเป็นความรู้สึกของหอมเอง หอมไม่กล้าพูดคำว่าไม่มีโอกาสรีเทิร์นแน่นอน ด้วยความเป็นคนที่หอมไม่กล้าพูดประโยคนี้ เพราะหอมรู้สึกว่าถ้าเราพูดประโยคนี้ มันน่าจะทำร้ายจิตใจคนฟัง ซึ่ง พอหอมได้ยินปุ๊บมันก็เลยรู้สึกนิดหนึ่งว่ามันเจ็บนิดๆ เนอะ ก็รู้สึกนะ แต่ถามว่าเขามีสิทธิพูดไหม เขามีสิทธิพูด เพราะว่าความคิดของเขา เขาคิดและตัดสินใจไปแล้ว และระหว่างเราโอกาสรีเทิร์นมันเหมือนแก้วแตกละเอียดไปแล้ว มันแทบเป็นศูนย์น่ะค่ะ ฉะนั้นการที่เขาบอกสื่อและสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาก็ไม่ผิด”
     
       “หอมรู้สึกว่าเขาไม่แคร์กัน แต่การหมดเยื่อใยทุกคนควรจะทำ ยิ่งทำเร็วเท่าไหร่มันก็ดีกับตัวเขาค่ะ หอมไม่ได้รู้สึกว่าต้องแคร์ฉันซิในเมื่อเราเป็นคนตัดความสัมพันธ์เขาเอง เป็นธรรมดาที่เขาก็ต้องใช้ชีวิตเดินหน้าต่อไป”
     
       “ถ้ามีโอกาสเจอกันหลังจากนี้ สิ่งที่ให้คือความเป็นเพื่อน ดีที่สุดของการให้คือความสัมพันธ์ของการเป็นเพื่อน ถ้าเขามาขอคืนดีเหรอ ลึกๆ หอมเป็นคนใจดีนะ ทุกครั้งที่มีคนเดินมาขอความช่วยเหลือจากหอม เชื่อได้เลยว่าหอมต้องช่วยเขา แต่ถ้าหอมเป็นฝ่ายเริ่มต้นเดินเข้าไปหาเขา หรือแม้กระทั่งวันที่เขามีปัญหาและหอมเดินเข้าไปถามว่าเธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่หอม”
     
       บอกเลิกกันไม่จำเป็นต้องเกลียด ส่วนตนมั่นใจทำหน้าที่แฟนไม่ขาดตกบกพร่อง สมควรได้รับสิ่งตอบแทนที่ดี
       “ทุกวันนี้คนใกล้ชิดให้กำลังใจดีมากค่ะ จากคนที่นานๆ คุยกันทีก็จะมีให้กำลังใจเหมือนกัน และกำลังใจจากแฟนคลับที่ร้อยวันพันปีบางคนก็ไม่เคยเม้นต์เลย (ยิ้ม) 300-400 ข้อความ ก็ต้องขอโทษด้วยที่หอมอาจจะอ่านข้อความเหล่านั้นไม่หมด แต่แค่รับรู้ว่ามีคนเลือกที่จะอยู่ข้างหอม หอมก็รู้สึกดีใจแล้วค่ะ (ยิ้ม)”
     
       “หลังจากเมื่อวานเขาก็มีไลน์มาบ้าง แต่ก็ไม่ไม่ได้มีอะไรที่จะต้องพูดถึงความสัมพันธ์ต่อกัน ตอนนี้หอมไม่มีอะไรติดใจแล้วค่ะ ต่างคนต่างแยกกันไป แต่สิ่งที่หอมอยากบอกคือคนเลิกกันไม่จำเป็นต้องเกลียดกัน ไม่จำเป็นต้องก้าวร้าวใส่กัน หอมรู้สึกว่าที่ผ่านมาหอมแทบจะไม่ขาดตกบกพร่องต่อหน้าที่ของการเป็นแฟน เพราะหอมรู้สึกว่าคนนี้แหละใช่เลย หอมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ฉะนั้นบางเรื่องที่มันไม่ดีหอมไม่สมควรจะได้รับ หอมควรได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทนกับสิ่งดีๆ ที่หอมเคยทำไป”
     
       เผยไร้เจตนาเรียกชื่อหมาเป็นชื่อพ่อแทค พ้อสุดน้อยใจทำไมอีกฝ่ายเชื่อคอมเม้นต์ในไอจีมากกว่าตน
       “คือมีคนไปเม้นต์ว่าเลิกไปก็ดีแล้วผู้หญิงแบบนี้ไม่ดีเลย อย่างคลิปจูงหมาเข้าไปดูสิ นางเรียกชื่อหมาเป็นชื่อพ่อแทคด้วย หอมก็มาคิดว่าคลิปจูงหมาหอมมีอยู่อันเดียว หอมก็เข้าไปดูแล้วก็เห็น ว่าหอมเรียกชื่อสมชาย แต่หอมไม่ได้คิดถึงพ่อเขาแน่ๆ ค่ะ มันเป็นคลิปที่ลงไว้เมื่อประมาณปีที่แล้วนะคะ แต่หอมไม่แน่ใจว่าถ่ายมานานขนาดไหน แต่หอมมั่นใจว่า ณ ตอนนั้นหอมไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับข้อมูลของคุณพ่อแทคเลยและถ้าเกิดตอนนั้นเรา คบกันและเรารักกัน หอมว่ามันก็คงไม่ใช่ที่หอมจะเรียกชื่อพ่อแฟนเป็นชื่อหมา หอมไม่ได้มีเจตนาแล้วหอมก็รู้สึกน้อยใจเล็กๆ ว่าทำไมถึงเชื่อคนในโลกโซเชียลก่อนที่จะถามหอม 


คนๆ นั้นเป็นใคร คน ที่เม้นต์มาก็ไม่ฉลาด แต่คนที่ไม่ฉลาดกว่าก็คือเจ้าตัวที่เลือกจะก้าวร้าวกับหอม หอมรู้สึกว่าถามสิ ทุกเรื่องหอมมีคำตอบ แค่ถาม แต่วันนี้เหมือนกับคนที่หมดเยื่อใย และฉันสามารถก้าวร้าวกับเธอได้ ฉันไม่แคร์ แต่หอมว่าอย่าถึงขนาดนั้นเลย ให้กลับไปถามตัวเองว่าที่ผ่านมาหอมทำผิดอะไรหรือหอมไม่ดียังไง ถ้าเจอค่อยมาร้ายกับหอม แต่ถ้าที่ผ่านมาค้นแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เคยทำอะไรไม่ดีเลย ควรตอบแทนกับหอมยังไง หอมควรได้รับยังไง”
     
       ย้ำรักพังจนเละตุ้มเปะ เหมือนโลกความฝันที่สักวันต้องตื่น
       “เขาดีหมดทุกอย่างเลยค่ะ หอมคิดว่าที่ผ่านมาหอมปฏิบัติได้ดีมาก เรื่องทะเลาะกันหอมว่ามันเป็นเรื่องลิ้นกับฟันที่ต้องมีบ้าง แต่สำหรับหอมถือว่าทะเลาะกันน้อยมาก ในขณะที่แทคเองปฏิบัติตัวกับหอมดีทุกอย่าง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่หอมร้องขอ สิ่งที่หอมขอมีแค่ข้อเดียว ไม่ต้องดีกับหอมมาก แค่อย่าทำร้ายหอมแค่นั้นเอง”
     
       “คือตอนนี้ก็ยังคุยกันได้นะคะ แต่ความรักมันพังแบบเละตุ้ม เปะยังไงไม่รู้ในความรู้สึก หอมไม่โทษคนอื่นเลยค่ะ หอมโทษคนของเรา วันนี้ที่รักพังก็คือคนของเราทำให้มันพัง ถามว่าเสียดายเวลาไหม ไม่เสียดายเลยค่ะ มันเป็นช่วงเวลาที่อยู่กับเขาแล้วหอมรู้สึกว่าสิ่งที่เขาสร้างโลกให้หอมขึ้น มามันสวยงาม และมีความสุขมาก ณ วันนี้พอเราได้รับรู้ความจริงว่าบางทีโลกนั้นมันอาจจะไม่มีอยู่จริงก็ได้ แต่ก็ได้ซึมซับว่าการอยู่ในความฝันมันเป็นแบบนี้นี่เอง มันมีความสุข ถึงเวลาตื่นก็ต้องตื่น”
     
       “ถ้าให้ร่วมงานกันเหรอ ส่วนใหญ่ก็คงเป็นอีเวนต์เนอะ คือหอมร้อนเงิน ถ้า ลูกค้าจ่ายแพงก็ได้ค่ะ (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ มันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้ว แต่ถ้าอีเวนต์มันมีแรงจูงใจคือเงินๆๆ ก็ได้ค่ะ เงินมา การแสดงไป ไม่มีปัญหาค่ะ (หัวเราะ)”
     
       ฝากความหวังดีครั้งสุดท้าย ชีวิตเดินมาไกลแล้วอยากให้รักษาภาพลักษณ์ตัวเอง


       “สำหรับรักครั้งต่อไปหอมคงมีสติมากขึ้น คงให้เวลากับมันมากขึ้น และคงใช้หลักเหตุผล และฟังคนรอบข้างมากขึ้น และถ้าให้พูดถึงแทค ณ วันนี้แทคมาไกลมาก หอมอยากให้แทครักษามาตรฐาน รักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง นี่เป็นความหวังดีครั้งสุดท้าย เพราะตอนอยู่กับหอม หอมจะคอยดูแลแทคในเรื่องภาพลักษณ์และปรึกษาเรื่องงานตลอด เพราะหอมรู้สึกว่าเขาไม่มีที่ปรึกษา ณ วันนี้หอมเดินออกมาจากชีวิตแทคแล้ว หอมอยากให้แทคเห็นความสำคัญกับสิ่งที่เราสร้างมันขึ้นมา และรักษามันไปให้ตลอด รักษาภาพลักษณ์ให้เป็นที่รักและที่ชื่นชมของทุกคนต่อไป อย่าทำลายมัน อย่ากลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก”
     
       เผยความผิดพลาดในรักครั้งนี้ตนขอให้โยนไปที่แทค บอกตนไม่สมควรถูกด่า ส่วนใครที่รอสมน้ำหน้าคงบังคับกันไม่ได้


       “หอมไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ถูกต่อว่า ถ้าหอมเป็นคนอื่นแล้วมองเรื่องราวตรงนี้ หอมก็คงจะเม้นท์ต่อว่าเหมือนกัน ความผิดทั้งหมดสำหรับรักครั้งนี้โยนไปที่เขาได้เลยค่ะ (หัวเราะ) อยากจะเม้นต์ด่ายังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด่าไปทางโน้นเลยค่ะอย่าด่าหอม หอมไม่สมควรได้รับการถูกด่าแม้แต่น้อยค่ะ”
     
       “หรืออย่างคนที่รอสมน้ำหน้าเรา คู่หอมเป็นคู่ที่เล่นใหญ่มาตลอดนะคะ แม้กระทั่งครั้งนี้ที่หอมจะต้องมานั่งให้สัมภาษณ์สื่อเยอะขนาดนี้ ก็เพราะพี่เขาให้สัมภาษณ์ใหญ่ขนาดนั้น (หัวเราะ) คือหอมเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง และต่อไปเมื่อไหร่ก็ตามที่หอมมีแฟน หอมก็จะเล่นใหญ่นะ หอมเป็นคนที่ชอบให้ผู้ชายแสดงความรักเยอะๆ หอมจะรู้สึกว่าหอมได้รับเกียรติ คนอาจจะมองว่าสร้างกระแส ต้องเล่นใหญ่อย่างเดียว หอมไม่สามารถจะไปบังคับความคิดคนได้ ถ้ามีความสุขกับการคิดแบบนั้น คิดไปไม่เป็นไร ถ้าหอมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณมีความสุขได้ก็โอเคค่ะ”


Cr.ผู้จัดการ,เล่าสู่กันฟัง  , Asia21st

เอมมี่ อมลวรรณ กับ ลูก


เอมมี่ อมลวรรณ กับ ลูก
เอมมี่ อมลวรรณ กับ ลูก

สาวเซ็กซี่ เอมมี่ อมลวรรณ หลังตกเป็นประเด็นฮือฮาว่ามีลูกแล้ว 2 คน คนโตเป็นผู้ชายอายุ 10 ขวบ ชื่อ "อิจิ" ส่วนลูกสาวคนเล็ก 6 ขวบ ชื่อ "จื้อหลิง" โดยเจ้าตัวได้ออกมายอมรับว่าเป็นเรื่องจริงและที่ผ่านมาไม่เคยปิดบังแต่อย่างใด

ซึ่ง เอมมี่ ได้โพสต์ข้อความลงอินสตาแกรมหลังเรื่องราวของเธอถูกเปิดเผยบนโลกออนไลน์และหลายคนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอปกปิดเรื่องที่มีลูกอยู่แล้ว ซึ่งประเด็นดังกล่าวนั้น เอมมี่ ถึงขั้นปรี๊ดแตกพร้อมกับเขียนข้อความโดยระบุว่า

"โพสเป็นรอบที่ 3เคลียร์ ซุกลูก? #กรุณาอ่าน คนที่พูดคำนี้ได้ คือคนสันดานไพร่ ต่ำ สถุน นรกส่งมาเกิด จิตใจชั่ว เลวทราม ยิ่งกว่าเดรัจฉาน อเวจี เอ็มมี่เปิดตัวลูกนานแล้ว ลงรูปลูกก็บ่อย ใครถามก็บอกว่าลูก แต่ไม่มีคนเชื่อลูกทั้ง 2 คนของ เอ็มมี่ เกิดมาจากความรักระหว่างเอ็มมี่กับแฟนเก่า แต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าอนาคตข้างหน้าเรา 2 คนเข้ากันไม่ได้"

"หลังจากที่เราแยกทางกัน เอ็มมี่ก็ไม่ได้ยกลูกให้ฝ่ายชายดูแล และไม่ขอค่าเลี้ยงดูสักบาท สิ่งที่เอ็มมี่รับไม่ได้คืออย่ามาพูดว่าเอ็มมี่ซุกลูกเอ็มมี่เกลียดคำนี้ เพราะทุกวันนี้ลูกอยู่กับเอ็มมี่ เราไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ถ้าเวลาเอ็มมี่งาน น้องสาวก็จะเป็นคนดูแล และเอ็มมี่ก็กิจกรรมทำกับลูกทุกครั้งที่เราว่างตรงกัน #สังเกตุดูดีๆ นะคะว่าเอ็มมี่โพสต์รูปลูกบ่อยมากมีคนถามเอ็มมี่ก็ตอบว่าลูก"

ล่าสุด ก็เป็นคลิปเต้นกาโว เรา 3 แม่ลูก ก้เต้นด้วยกัน และอะไรที่เรียกที่ว่าซุกลูกคะ และถ้าลูกได้ยินเค้าจะรู้สึกยังไงถ้าได้ยิน ว่าแม่ซุกซ่อนเค้าไว้ #ถ้าเกลียดเอ็มมี่ก็ด่าเอ็มมี่ขอร้องอย่าพูดอะไรให้กระทบจิตใจลูกเอ็มมี่อีก ความรู้สึกของลูก คือสิ่งสำคัญที่คอยบริหารชีวิตให้เอ็มมี่ มีแรงในการทำทุกอย่างเพื่อทุกคนในครอบครัว จบนะกับคำว่าซุกลูกอย่าให้ได้ยินอีกใจเธอมันทำด้วยอะไรนะเดรัจฉานสิ้นดี"

ทั้งนี้ ทีมข่าวบันเทิงได้ต่อสายตรงถึง "เอมมี่" และเจ้าตัวได้เปิดใจว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง และรู้ตัวคนปล่อยข่าวกล่าวหาว่าซุกลูกแต่ไม่ขอพูดถึง ประกาศกร้าวไม่จำเป็นต้องมีการแถลงข่าวเพราะไม่เคยคิดปิดบังแต่อย่างใด
 
"เอมมี่ ไม่เคยซุกลูกนะคะ เอมมี่โพสต์รูปกับลูกตลอดเวลา ฮาร์เวิร์ดโพสต์กับลูกบ่อยๆ นะคะ เราไปมาไหนด้วยกันตลอดเวลา ไปไหนเรียกว่าหม่ามี้ตลอด สิ่งที่เอมมี่โกรธมากคือการมาขุดอดีตของเอมมี่และมากล่าวหาเราซุกลูกนะคะ คนที่มากล่าวหาเอมมี่ได้เขาต้องเป็นเดรัจฉานมากกว่าในความคิดเรานะ ตอนนี้ลูกเอมมี่โตแล้ว เขาอ่านออกเขียนได้แล้วและเขารู้ความหมายของคำว่าซุกแล้ว ฉะนั้นอย่าพูดอะไรที่กระทบกับลูกเอมมี่อีก ถ้าเกลียดเอมมี่ให้ด่าเอมมี่คนเดียว อย่ามาทำอะไรให้กระทบจิตใจลูกเอมมี่อีกเลย"

เกี่ยวกับเรื่องนี้คิดว่ามีคนปล่อยข่าวออกไปหรือเปล่า?
"มีคนพูดมาก่อนแล้วค่ะ มีคนด่าเราว่าซุกลูกไว้ 2 คน เป็นผู้หญิงที่ปล่อยข่าวออกมาซึ่งเอมมี่ไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้เลย แต่จริงๆ เราก็รู้แหละว่าเขาคือใครแต่ไม่ขอพูดถึงแล้วกัน เรื่องนี้เอมมี่คิดว่าไม่จำเป็นต้องแถลงข่าวอะไรหรอกค่ะ เรายินดีและดีใจมากๆ ที่มีใครถามว่าหนูเป็นลูกใครและเขาก็บอกว่าเป็นลูกของ เอมมี่ เรามีควาามสุขตรงนี้อยู่แล้ว

แค่เพียงเมื่อก่อนเราไม่ได้มานั่งประกาศอะไร เพราะด้วยหน้าที่การงานของเรา แต่เราก็ทำหน้าที่แม่ที่ดี ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน เหนื่อยแค่ไหนสุดท้ายแล้วเราได้เห็นหน้าเขาความสุขของเราคือตรงนี้ ไม่มีการซุกลูกเอมมี่พาลูกไปกองถ่ายตลอด ไปเดินพรมแดง ตอนนี้มีคนติดต่อให้ลูกเอมมี่ไปเป็นพระเอกตอนเด็ก ไปเป็นนางเอกตอนเด็กแล้วนะคะ เพราะลูกเอมมี่หน้าตาสวยหล่อค่ะ"

คุณพ่อของน้องเป็นคนฮ่องกงหรือคนไทย
"คุณพ่อน้องไม่ใช่คนฮ่องกงค่ะ เป็นคนไทยแต่ครอบครัวเขาไปอยู่ฮ่องกงหมดเลย หลังจากแยกทางกันเขามีมาหาลูกบ้าง และเอมมี่ก็บอกฮาร์เวิร์ดทุกครั้งว่าพ่อเขาขอมาหาลูก ซึ่งฮาร์เวิร์ดเขาก็ยินดีไม่มีปัญหา"

เด็กๆ มีปัญหากับฮาร์เวิร์ดไหม
"ไม่มีเลยค่ะ เด็กๆ ติดฮาร์เวิร์ดมากและเขาก็ติดเด็กๆ มาก และวันนี้เขาเห็นข่าวก็จะเป็นคนส่งข่าวมาให้เราดูคนแรก เขารักลูกเอมมี่มาก เอมมี่ไม่สามารถดุลูกได้เลยนะเพราะฮาร์เวิร์ดเขารักมาก ไปเที่ยวเขาจะเป็นคนดูแลตลอดเวลา"

ยืนยันว่าไม่เคยคิดจะปิดบังหรือซุกแบบที่ถูกวิจารณ์
"ไม่เคยเลย เปิดนานแล้ว เวลาที่เอมมี่โพสต์รูปลูก ก็จะมีคนเข้ามาถามตลอดว่าใครหน้าตาน่ารักจัง เอมมี่ก็จะบอกว่าลูกเอมมี่เองค่ะ เพราะเอมมี่หุ่นแบบนี้มั้งคนเลยไม่เชื่อค่ะ สิ่งที่เอมมี่เกลียดมากคือการมาบอกว่าเอมมี่ซุกลูก อย่ามาพูดแบบนี้ให้เอมมี่ได้ยินอีก เราไม่เคยซุก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจของลูกและความรู้สึกของเขาค่ะ"

ถือเป็นเรื่องราวดีๆ แล้วกันที่สาว "เอมมี่" ออกมาโชว์ตัวลูกที่หน้าตาน่ารักน่าชังและเธอดูแลลูกดีขนาดนี้ ก็ดีกว่าข่าวไปทำแท้งล่ะเนอะ ปรบมือให้เลย และข่าวที่ว่าเจ้าตัวกำลังรอลุ้นว่าจะมีทายาทกับฮาร์เวิร์ดนั้น สุดท้ายขอให้เป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องต่อไปนะจ๊ะ

Cr.Sanook, Asia21st , เล่าสู่กันฟัง

"ต้นหอม"ลั่นไม่ขอคืนดี “แทค ภรัณยู"



"ต้นหอม"ลั่นไม่ขอคืนดี “แทค ภรัณยู"
"ต้นหอม"ลั่นไม่ขอคืนดี “แทค ภรัณยู"
“ต้นหอม” ประกาศลั่นไม่ขอคืนดี “แทค ภรัณยู” แหล่งข่าววงในเผยฝ่ายชายเจ้าชู้เคยจุดธูปสาบานหลังจับได้นอกใจ แต่สุดท้ายทำตามคำสาบานไม่ได้ ส่วนชนวนเหตุปรี๊ดแตกจนขอเลิก ทนไม่ไหวเห็นภาพหลุดบาดตา ดูดปากสาวนิรนาม

อีกไม่นานจะครบปีอย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับความรักที่หลายคนมองว่าไม่น่าจะไปด้วยกันได้ตั้งแต่แรก ระหว่าง “ดีเจ.ต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์” กับพระเอกหนุ่มแบดบอย “แทค ภรันยู โรจนวุฒิธรรม” เพราะถือว่าเป็นอีกคู่ที่เปิดตัวรักกันได้เร็วเวอร์ แม้จะสานความสัมพันธ์กันแบบลับๆ มาก่อนก็ตาม ท่ามกลางหลายกระแสติงว่าไม่เหมาะสมกันเพราะฝ่ายชายดูเจ้าชู้เสียเหลือเกิน
     
แต่สุดท้ายทั้งคู่จูงมือฝ่ามรสุมรักๆ เลิกๆ มาหลายครั้ง ผลัดกันงอน ผลัดกันง้อ ที่เด็ดสุดๆ และถูกใจแฟนคลับเป็นอย่างมาก เห็นจะเป็นครั้งที่สาวต้นหอม ลงทุนง้อฝ่ายชายด้วยการแต่งชุดไทย ใส่โจงกระเบนสีแดง ทาหน้าขาววอก ถือพานพุ่ม เทียนแพไปขอโทษ ก่อนแทคจะมาโป๊ะแตกกับข่าวย่องขึ้นคอนโดนักศึกษาสาวอีกครั้ง ถูกนักศึกษาสาวปล่อยภาพหลุดแนบชิดจะจะคาห้องนอน จนแทคต้องออกโรงงอนง้อด้วยการแต่งเป็นเงาะทาตัวดำมิดมี๋ไปขอคืนดี งานนี้ฝ่ายชายยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่นอกใจอีก
      
ล่าสุดวันนี้ หลังฝ่ายชายได้ออกมาประกาศข่าวว่าคราวนี้เลิกจริง ไม่มีการขอคืนดีอีกแล้ว เพราะยิ่งยื้อยิ่งเจ็บ คืนดีไปก็ไม่มีประโยชน์ แอบพ้อเบาๆ ยังรักและคิดถึง ชีวิตเคว้งยามไม่มีต้นหอม โดยในเวลาต่อมาแหล่งข่าววงในได้ออกมาระบุว่าแม้แต่ต้นหอมก็ประกาศไม่เอาแทคแล้วเช่นเดียวกัน ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นฝ่ายชายจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่

แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะทนไม่ไหวกับความเจ้าเสน่ห์ ที่หลายครั้งมีสาวๆ เข้ามาติดพัน จับได้บ้าง จับไม่ได้บ้าง และหนักสุดเคยถึงขั้นมีการจุดธูปกลางแจ้งหลังจับได้ว่าฝ่ายชายนอกใจ ท้าสาบานว่าให้เลิกเจ้าชู้กันอีกด้วย
      
แหล่งข่าววงในยังเผยต่อว่านอกจากหนุ่มแทคจะทำตามคำสาบานไม่ได้แล้ว ยังมีภาพหลุดหวิดดูดปากสาวนิรนามคนหนึ่ง ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้สาวต้นหอมปรี๊ดแตกจนต้องออกมาสะบั้นรัก บอกเลิกในครั้งนี้อีกด้วย
      
ส่วนวันพรุ่งนี้ ดีเจต้นหอมพร้อมเปิดใจทุกประเด็นในรายการ “คลับฟรายเดย์โชว์” ที่ตึกแกรมมี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าตัวได้อัดเทปรายการเล่าเนื้อหาเกี่ยวกับความรักของตัวเองกับหนุ่มแทคในช่วงที่กำลังหวานชื่น แต่กลับมาเลิกฟ้าผ่าเสียก่อน ส่วนคืบหน้าจะเป็นยังไงต่อ ทีมข่าวบันเทิงผู้จัดการออนไลน์จะเกาะติดสถานการณ์นำมารายงานให้ทราบอย่างแน่นอน




Cr.ผู้จัดการ , Asia21st

22 มิ.ย. 2558

ตั๊ก บงกช ดาราเจ็บเป็นเหมือนกัน


ตั๊ก บงกช ดาราเจ็บเป็นเหมือนกัน
ตั๊ก บงกช ดาราเจ็บเป็นเหมือนกัน






ตั๊ก บงกช เปิดใจแรงจริงแต่ไม่ใช่คนเลว ถามกลับผิดด้วยหรือที่ปกป้องสิทธิตัวเอง ดาราก็เจ็บเป็นเหมือนกัน

จากกรณีที่นักแสดงสาว "ตั๊ก บงกช" ถูกปล่อยภาพส่วนตัวที่อยู่บนเรือยอร์ชหลังเจ้าตัวไปพักผ่อนกับสามี "เจ้าสัวบุญชัย" พร้อมกับลูกชาย โดยภาพดังกล่าวที่ถูกนำมาเผยแพร่นั้น "ตั๊ก" บอกว่าสร้างความเสื่อมเสียให้กับตนเองถูกวิจารณ์ไปในทางไม่เหมาะสม

ซึ่งต่อมา "ตั๊ก" ได้มีการไปแจ้งความดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อย และได้มีการตั้งทนายมาดำเนินการเรื่องดังกล่าว จนสุดท้ายได้รู้ที่มาของคนปล่อยภาพซึ่งถูกระบุว่าเป็นคนใกล้ชิดของ "เจ้าสัวบุญชัย"

แต่ประเด็นยังไม่จบเพราะ "สาวโรส" เป็นผู้ประสานงานติดต่อได้โพสต์ข้อความที่ระบุว่า "เป็น ตัวแทนผู้ประสานงานติดต่อเช่าเรือยอร์ชให้กับ เจ้าสัวบุญชัย และ ตั๊ก บงกช พร้อมกับยืนยันว่า ทีมงานบนเรือยอร์ชในวันนั้น ไม่มีผู้ใดแอบถ่ายภาพใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากทำงานเป็นมืออาชีพ ทีมงานให้ความสำคัญบริการแก่ลูกค้าเท่านั้น ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นใครก็ตาม"

จนสุดท้ายมีการโพสต์ข้อความตอบโต้กันไปมา จนกระทั่งสาว ตั๊ก บงกช ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทำนองที่ดูถูกคนอื่น ซึ่งในประเด็นนี้เอง สาวตั๊ก ได้ขอเปิดใจแบบตรงไปตรงมากับทีมข่าวบันเทิง Sanook! News โดยบอกว่า "เธอเป็นคนแรงจริง แต่ไม่ใช่คนเลว"

"ทุกคนจะรู้ว่าตั๊กเป็นคนยังไง ตั้งแต่ก่อนที่ตั๊กจะแต่งงานนะ คะ คือถ้าตั๊กไม่ผิดเราขอปกป้องสิทธิของเราเอง จะไม่ยอมให้ใครมาว่าเราเพราะเราชอบความถูกต้อง ตัํกไม่อยากทะเลาะหรือมีเรื่องอะไร แต่ประเด็นที่ตั๊กจะไปว่าใครว่าเขาจนหรือเรารวยเหมือนเป็นคนดูถูกคนอื่น แบบนี้ไม่ใช่นิสัยตั๊กค่ะ"

"สิ่งที่ตั๊กจะสื่อสารออกไปหมายถึงไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน เรามีต้องจริยธรรม คนเราวัดกันที่จิตใต้สำนึกนะคะ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภาพที่ออกมานั้นเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของ ตั๊ก ทุกอย่างที่ตั๊กพูดเรามีหลักฐานหมด แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาพูดออกไป มีคนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ตั๊กไปในทำนองที่ว่าเราไปดูถูกคนว่าจน"

"ตั๊กอยากจะบอกว่าถึงเราจะไม่ได้รวยมาก่อนที่จะมาแต่งงานกับสามี แต่ตั๊กก็ไม่ใช่คนย่ำแย่อะไรเรามีหน้าที่การงานคือเป็นนักแสดง เรามีคุณลุงที่เป็นนักร้องเพื่อชีวิต (แอ๊ด คาราบาว) ไม่ใช่ว่าเราไม่มีหัวนอนปลายเท้า"

"การตอบโต้กลับไปของตั๊กเพราะเขามาว่าลูกตั๊ก จึงเกิดการตอบโต้กลับไปแรงๆ เพราะทั้งหมดคือเราถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว ภาพที่ถูกปล่อยมานั้นทำให้เราเสื่อมเสีย เป็นภาพที่เราไม่อยากออกให้ออกสื่อ เรารู้ว่าหุ่นเราอาจจะไม่เข้าที่นัก การโพสต์แบบนี้ทำให้คนเข้ามาวิจารณ์เยอะมาก แต่ตอนนี้ประเด็นเปลี่ยนไปเลยกลายเป็นเราผิด ผิดเพราะเราไปว่าเขาแบบแรงๆ "

"ตั๊กยอมรับว่าตั๊กโกรธนะคะ แต่ต้องบอกว่าเราไม่ได้เป็นคนกระทำ ถ้าคนเรามีสำนึกนิดนึงหรือเกิดจากการเลินเล่อ เรายินดีที่จะให้อภัยไม่ใช่มาว่าตั๊กด้วยถ้อยคำรุนแรงแบบนี้ ถ้าเขาขอโทษตั๊กยินดีจะให้อภัยนะคะและจะไม่ดำเนินคดี แต่ถ้าเขาไม่ขอโทษเรื่องทุกอย่างก็จะดำเนินคดี เพราะตั๊กมีพยานก็คือสามีตั๊กเอง เพราะคุณชาลีเขายอมรับด้วยตัวเองค่ะ"

"กับบางสื่อที่ลงว่าว่า "ตั๊กเป็นวัวลืมตีน" ถามกลับว่าเรื่องนี้ตั๊กไม่ได้ทำร้ายใครนะคะ เรื่องนี้ถ้าไม่เกิดกับตัวเองคงไม่เข้าใจ เรื่องขี้มดหรือไม่ขี้มดต้องเจอกับตัวค่ะ ทุกคนไม่สามารถก้าวล่วงสิทธิส่วนตัวของใครได้นะคะ"

"คนที่เกลียดเรา เราไม่สามารถทำให้เขาชอบเราไม่ได้ ตั๊กอยากจะบอกว่าดาราทุกคนมีหัวใจเหมือนกัน ใครว่าเราใครทำเรา เราเจ็บเป็นเหมือนทุกคน ลองถ้าใครได้เจอแบบนี้กับตัวเองอาจจะมีการแสดงออกด้วยอารมณ์แบบนี้เหมือนกัน ตัํกยอมรับนะคะว่าอาจจะเป็นคนที่แรง แต่เราไม่ใช่คนเลวร้ายนะคะ ในเมื่อเราถูกกระทำเราก็ต้องปกป้องสิทธิของเราเอง เราเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาค่ะ"

ปิดท้ายนักแสดงสาวคนนี้บอกว่า ทุกวันนี้ยังดำเนินชีวิตเรียบง่ายเหมือนเดิม และยังช่วยแม่ขายน้ำพริกในฐานะลูก และไม่ได้วัวลืมตีนอย่างที่ถูกวิจารณ์...

 Cr.Sanook, Asia21st