29 มิ.ย. 2558

งานแต่งเปิ้ล นาคร กับ สาวจูน


งานแต่งเปิ้ล นาคร กับ สาวจูน

ยาวนานกว่า 5 ปี ในที่สุด เปิ้ล นาคร ศิลาชัย ดาราตลกชื่อดังกับภรรยาสาวสวยใส จูน กษมา ศิลาชัย ก็ได้ฤกษ์ดีจัดงานฉลองวิวาห์หวานแบบเล็กๆ เป็นกันเองที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในร้าน Happy Fish ที่เอเชียทีค ริเวอร์ฟร้อนท์ งานฉลองวิวาห์สุดพิเศษครั้งนี้ เปิ้ล นาคร ตั้งใจทำทุกอย่างตามฝัน ทำทุกอย่างเพื่อคนที่รักอย่างหมดหัวใจคือภรรยา จูน กษมา ลูกๆ ที่น่ารักน่าหยิกทั้งสามคน คือน้องออกัส, ออก้า และน้องออกู๊ด ที่ยังอยู่ในท้องคุณแม่จูนอยู่ 
เปิ้ล นาคร เริ่มให้สัมภาษณ์อย่างอารมณ์สุขสดชื่นว่า "ก่อนอื่นขอกราบขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชนที่ให้เกียรติครอบครัวเรา พี่เปิ้ลอยู่วงการนี้มาเกือบ 30 ปี วันนี้เป็นอีกวันสำคัญที่สุดในชีวิต เป็นวันที่รอคอย มันเป็นความฝันที่เราเคยผันไว้เล่นๆ ฟุ้งๆ ไม่นึกว่าตื่นขึ้นมาเราจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเจอจริงๆ ได้ (ยิ้ม) วันนี้อยากให้ทุกคนได้เห็นกัน ได้มาร่วมยินดีกัน คิดที่เคยคิดไว้ว่า เฮ้ย ภาพต้องเป็นอย่างนี้ ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นมาได้

"ก่อนหน้าที่เราจะเจอจูน ก็ลองมาเยอะนะ (จูนหัวเราะดังลั่น!!!) ลองมาเยอะ มันเหมือนเราใช้ชีวิตมาพอแล้วล่ะ เราก็เคยคิดไว้ว่า ผู้หญิงที่จะอยู่กับเราไปจนตาย น่าจะเป็นแบบนี้นะๆ จูนเป็นคนที่ไม่โทรตาม ไม่จิกจุก ไม่ถามว่าจะไปไหน หรือโทรตามอย่างเก่งก็ครั้งเดียวต่อวัน ซึ่งจากประสบการณ์ของเรา ธรรมชาติของผู้หญิงส่วนมากจะไม่เป็นอย่างนี้ หายากอ่ะ เราเลยมีความรู้สึกว่า เออ คนนี้ใกล้เคียงแล้วนะ

จนมาวันหนึ่งเรา เขาแสดงให้เห็นว่าถ้าไม่มีพี่เปิ้ล เขาตายดีกว่า เราก็เลยแบบว่า เฮ้ย มีคนแบบนี้ด้วยเหรอว่ะ เขาเคยพูดเอาไว้ด้วยว่า เฮ้ย ยังไงพี่เปิ้ลก็ตายก่อนจูนอยู่แล้ว จูนบอกว่าไม่!!! ถ้ารู้วันตายของพี่เปิ้ลเมื่อไหร่ จูนจะขอตายก่อน เราก็เลย เออว่ะ เอาแล้วแหละ ในที่สุดเราก็เจอเมียที่จะตายก่อนเราแล้วแหละ (จูนระเบิดเสียงหัวเราะ!!!) เราเลยรู้สึกว่านกเหงือกอ่ะ ที่ตัวหนึ่งตายไปแล้ว อีกตัวหนึ่งก็จะตายตามไปด้วย มันมีในมนุษย์ด้วยเหรอว่ะ เราเลยอ่ะ เอาคนนี้แหละ"
"รักขนาดไหน...มันอธิบายไปก็เขินนะ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเขาเป็นตัวเดียวกับเรา เออ เป็นคนคนเดียวกันกับเราไปแล้ว (ยิ้ม) เหมือนเรามีแขนสี่แขน มีขาสี่ขา มีหัวใจสองดวง เรารู้สึกว่าเราได้เปรียบกว่าคนอื่นนะ ถ้าเดินไปข้างหน้า เพราะเรามีเปิ้ล เหมือนโทรศัพท์มีแบตสำรอง จากการที่เราใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด แบตเตอรี่ก้อนเดียวมาตลอด พอมีอย่างนี้แบตหมดก็มีแบตสำรอง เวลาจะตัดสินใจอะไร ก็จะมีคนมาช่วย มันคงเหมือนชีวิตคู่ที่หลายคนเคยพูดเอาไว้แล้ว พอเรามาเจอจริงๆ เออ มันดีกว่าอยู่คนเดียว (ยิ้ม) ก่อนหน้านี้เราเคยเป็นไข้นอนๆ อยู่ไม่มีใครมาดูแล เราก็ 30 กว่าแล้ว เรารู้สึกว่า เฮ้ย ถ้าเราตายเราจะตายคนเดียวหรือเปล่าว่ะ ก็เลยมานั่งคิดหาคนที่จริงจังกับเรา ก็เลยได้คนนี้มา"

ประเด็นที่เพิ่งมาจัดงานฉลองวิวาห์ในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ครองรักมีลูกด้วยกันแล้วนั้น "ถามว่ามันแหวกม่านประเพณีของสังคมหรือเปล่า ถ้าคิดว่าจะแหวกมันก็แหวกล่ะน่ะ แต่ถ้าคิดว่าไม่แหวก เราก็ทำตามกฎไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน หมั้น จดทะเบียนสมรส พบปะผู้ใหญ่ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วนะ เหลือแต่แค่งานตอนเย็น งานเลี้ยงสังสรรค์เท่านั้นเองที่มันยังไม่เกิด เพียงแต่ว่าเราต้องรอคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราสองคนให้ครบก่อน

เพราะฉะนั้นงานเช้าและงานเย็นก็ต่างกันแค่ 5 ปี พี่เปิ้ลก็เลยรู้สึกว่ามันไม่แปลกนะ เพราะมันเป็น 5 ปีที่คุ้มมาก ในที่สุดก็ได้พวกนี้ (หันไปมองลูกๆ ทั้งสองคนด้วยความรักอย่างหมดหัวใจ) และก็ในท้องด้วย ครบสามคนพี่เปิ้ลมั่นใจว่าจะมีแค่สามคนจะปิดอู่เลย ก็คิดว่าครบแล้ว"
"ความฝันของเราคืออยากเห็นภาพเจ้าสาวเจ้าบ่าว ยืนอยู่กลางแม่น้ำแล้วก็มีลูกขนาบข้าง เราอยากจะมอบดอกไม้ให้ลูกกับภรรยาเรา เราเคยเห็นงานแต่งงานที่มีเค้กแล้วมีรูปตุ๊กตาคนสองคนอยู่บนเค้ก มีความรู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมมันไม่เป็นตัวจริงๆ เลย เราเลยมาสร้างให้ภาพนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ในกลางแม่น้ำเจ้าพระยาเลย คือตอนนี้ตัวเองตายได้แล้ว (จูนภรรยารีบพูดสวนขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม "เฮ้ย อย่าเพิ่งดิ! หนี้เรายังเต็มอยู่เลย" ) จัดงานครั้งนี้เสร็จหมดนะ เราพร้อมหมดแล้ว จูนสามารถหากินได้ด้วยตัวเอง (จูนรีบพูดสวนขึ้นมา พร้อมหัวเราะ "ยังๆๆๆ")

เขาก็มีบริษัทของตัวเองแล้ว สามารถเลี้ยงลูกได้เองแล้ว ตอนนี้เรามีความรู้สึกว่าทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ตายได้เลย พร้อม! แต่เหลืออีกอันหนึ่งครับ บวชๆ ยังไม่เคยบวชครับ กะว่าจะไปบวชต้นปีหน้า เมื่อสองวันที่แล้วได้ไปคุยกับเจ้าอาวาสที่วัดเทพศิรินทร์แล้ว คนอื่นๆ มีแต่บวชก่อนเบียด อันนี้เบียดแล้วบวช (ยิ้ม) พอดีพระท่านชวนด้วย เออ เจ๋งดีนะ เคลียร์งานก่อน ปีหน้าค่อยบวช น่าจะไปบวชที่อินเดียต้นกุมภาพันธ์ปีหน้า เราไม่ใช่คนดีที่เกิดมาจะต้องไปบวชนะครับ ไม่ใช่ๆ แต่มีคนบอกว่าทำแล้วดี ก็เออน่าลอง"
"จริงๆ งานวันนี้มันเกิดจากตอนที่เราเรียนจบจากมหา'ลัยใหม่ มันมีคำๆ หนึ่งเพื่อนเคยบอกว่า เฮ้ย กูดูรูปงานแต่งงานพ่อแม่ แล้วกูถามพ่อแม่ว่า กูอยู่ไหนว่ะ เพื่อนผู้หญิงก็เคยถามว่า เฮ้ย แล้วกูอยู่ไหนตอนนั้น มันก็เลยเกิดเป็นประกายตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาว่า เออว่ะ!!! ลูกของเราจะต้องไม่ถาม เพราะเขาจะได้อยู่ในงานวันนั้นด้วย ก็เลยสร้างงานวันนี้ขึ้นมา แขกทุกคนก็จะถามว่า ธีมงานแต่งคืออะไรๆๆๆ เราก็เออว่ะ ทำไมงานทุกงานต้องมีธีมด้วย มันเกิดจากการอยากแต่งตามอำเภอใจของเราเอง ก็เลยบอกเพื่อนไปว่ามึงอยากจะแต่งอะไรมา ก็แต่งมาตามใจมึงเลย บอกทุกคนว่าอยากแต่งอะไรมา อยากจะทำอะไรก็ทำเลย เพราะพี่ก็แต่งตามอำเภอใจของพี่เช่นกัน (ยิ้ม)"

"อยากจะบอกว่าครอบครัวเราเป็นไปตามธรรมชาติ เราไม่มีวัฒนธรรมการเลี้ยงดูที่สืบต่อกันมาจากเจ้าคุณปู่คุณหลวงหรือปู่ย่า ตายายสอน ไม่มีครับ ก็เลยเลี้ยงดูตามความรู้สึกของเราตามธรรมชาติ สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนแค่นั้นเอง ส่วนเรื่องฮันนีมูนยังไม่ได้คิดเลย ก็เตรียมแหวนเพชรไว้ให้ 17 กะรัต (หัวเราะล้อเล่น) จริงๆ งานวันนี้เราอยากจัดให้เพื่อพี่น้องสื่อเป็นหลักด้วย เราอยากจะให้อยู่ร่วมกันกินข้าวด้วยกัน อยากจะเรียนเชิญตรงนั้นด้วย จะมีพิธีมอบดอกไม้ให้กับภรรยาและลูก ก็จะได้ภาพดั่งที่ฝันเอาไว้ครับ สุดท้ายอย่างที่เราคิดไว้
"ตอนนี้สิ่งที่เราทำไว้ให้กับเขา เต็มที่ของเราแล้ว ตอนนี้เราพร้อมที่จะตายได้แล้ว (พูดอย่างจริงจัง!!!) ที่เหลือเขาพร้อมที่จะทำต่อได้เลย แต่อยากจะบอกว่าอีก 30 ปีถึงจะเสียชีวิต (ภรรยาแซว "น้ำตาซึม") อยากจะบอกว่ารักเขามาก ขอบคุณที่เกิดมาเป็นแม่พันธุ์ให้เปิ้ล (ภรรยานั่งยิ้มอย่างมีความสุขแล้วหัวเราะชอบใจ) แล้วก็...เขาเป็นแม่พันธุ์ที่ดีจริงๆ ของเปิ้ลในชาตินี้ ชาติหน้าถ้าได้เกิดมาเป็นคนอีก ก็จะขอแม่พันธุ์คนนี้ตราบไปชาติหน้าด้วยครับผม"

จูน กษมา เล่าอย่างเปี่ยมสุขล้นทะลักว่า "ตื่นเต้น! งานนี้มันเป็นความฝันของเขาจริงๆ เลย เขาเคยพูดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ที่เราเป็นแฟนกัน เราก็ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนี้ มาถึงวันนี้ก็โอเค ฝันทุกอย่างเราทำได้ 12 ปีที่เราอยู่ด้วยกันมามันเกิดคาด (ยิ้ม) พี่เปิ้ลไม่เคยสัญญาว่าจะทำโน่น นั่น นี่ เราก็ไม่เคยขอ แต่สิ่งที่เราได้มารู้สึกว่ามันเยอะเกินกว่าที่เราคาดหวังเอาไว้ ก็ขอให้เขาเป็นแบบนี้แหละ ไม่ต้องมากขึ้น ให้เสมอต้นเสมอปลายแบบนี้ก็โอเคแล้วคะ

เมื่อ 5 ปีที่แล้วก็ได้ใส่ชุดแต่งงานไปแล้ว ตอนนั้นก็ตื่นเต้นที่สุดแล้ว ตอนนี้มันทิ้งระยะมาแล้ว แต่พอใกล้วันงานจริงๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นว่า เฮ้ย จะได้ใส่ชุดแต่งงานอีกครั้งหนึ่งแล้วนะ ครั้งนี้ก็มีลูกๆ ด้วย พี่เปิ้ลก็เตรียมงานทุกอย่าง เราไม่ได้ยุ่งเลย ก็เลยรู้สึกว่างานนี้เขาซีเรียสเขาจริงจังมาก ก็เลยอยากจะเห็นงานนี้ออกมาตามฝันของพี่เปิ้ล (ยิ้ม)"
"อย่างที่บอกว่าไปแล้วว่า พี่เปิ้ลไม่เคยจะสัญญาอะไรนะ คือกับพี่เปิ้ลจะไปหวังอะไรไม่ได้เลย (หัวเราะ) เขาไม่เคยสัญญาแต่ทำให้เห็น (เน้นเสียงดัง) ก็เลยเกินฝันที่เราจูนได้มาตลอด 12 ปี ไม่เคยมีปัญหาให้จูน ก็เลยไม่ขออะไรเขา เอาแบบนี้แหละโอเคแล้ว ไม่ต้องไปมากกว่านี้แล้ว สิ่งที่เราได้มาจากพี่เปิ้ล มันเกินไปมากแล้ว วันนี้เป็นฝันของเขาทั้งชีวิต เรายินดีสนับสนุนทุกอย่างอยู่แล้ว ตอนนี้น้องออกู๊ด 6 เดือนแล้ว ก็ดิ้นปกติคะ ก็บอกกับลูกว่าวันนี้แต่งงานนะ (ยิ้ม)"

เปิ้ล นาคร ถามน้องออกัส วันนี้วันอะไรครับ? "ไม่รู้! (ส่ายหน้าไปมาๆ)" เปิ้ลหันไปถามออก้า ต่อว่าวันนี้เรามาทำอะไรคะ? "มากินข้าว" มาแต่งงานไม่ใช่เหรอ? "ก็อยู่ในร้านอาหารจะไปที่ไหนล่ะ ป๊ะป๋าตลกเหมือนตัวตลก (ยิ้ม)" เปิ้ล นาคร พูดถึงลูกน้อยน้องออกู๊ดที่ยังอยู่ในท้องแม่จูนว่า "ยังไม่ตั้งชื่อจริงเลย ยังคิดไม่ออก ก็อยากจะให้แสบนะ จะได้มาสู้กับออก้าได้ (ยิ้ม)  เพราะตอนนี้ออก้าแรงเขาค่อนข้างจะเยอะมาก ถ้าออกู๊ดออกมาน่าจะออกมาปราบออก้าได้ (ยิ้ม)" ด้านน้องออก้าตามประสาเด็กวัยกำลังซน วิ่งวุ่นไปมาจนหกล้มหน้าคะมำ แม่จูนรีบบอกไปว่า "นี้คือโชว์จากออก้าค่ะ ไม่มีอะไร (หัวเราะ)" ปิดท้ายสัมภาษณ์ด้วยการถ่ายรูปหวานๆ น้องออก้าร้องเสียงดังลั่นว่า "ป๊าๆ จูบปากแม่ แม่ๆ จูบปากป๊ะ (ยิ้ม)".

Cr.ไทยรัฐ,เล่าสู่กันฟัง ,Asia21st