30 ก.ย. 2558

The Martian สำรวจดาวอังคาร


The Martian สำรวจดาวอังคาร
The Martian สำรวจดาวอังคาร

    นาซาประกาศการค้นพบครั้งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ หลักฐานจากยานอวกาศที่โคจรรอบดาวอังคารยืนยันยังคงมีน้ำไหลอยู่บนดาวอังคารอยู่ในปัจจุบัน และอาจน้ำไปสู่การค้นพบสิ่งมีชีวิตบนดาวแดงเพื่อนบ้านของโลก
      
       องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) แถลงการค้นพบครั้งสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์จากสำนักงานใหญ่ในวอชิงตัน สหรัฐฯ เมื่อเวลา 22.30 น.วันที่ 28 ก.ย.2015 ตามเวลาประเทศไทยว่า พบหลักฐานจากยานมาร์สเรคองเนซองส์ออร์บิเตอร์ (Mars Reconnaissance Orbiter) หรือเอ็มอาร์โอ (MRO) ที่นาซาส่งไปโคจรรอบดาวอังคาร ซึ่งยืนยันหนักแน่นว่ายังคงมีน้ำไหลอยู่บนดาวอังคารในปัจจุบัน
      
       ทางด้านรอยเตอร์รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ภาพจากยานอวกาศดังกล่าว และพบมีน้ำที่มีเกลือไหลบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อหน้าร้อนปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ดาวเคราะห์เพื่อนบ้านจะเป็นแหล่งให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ และได้เผยแพร่การค้นพบนี้ลงวารสารวิชาการในวันเดียวกับการแถลงข่าว
      
       ขณะที่ข่าวเผยแพร่จากนาซาระบุว่า นักวิจัยได้ใช้ภาพที่บันทึกด้วยกล้องบนยานเอ็มอาร์โอตรวจพบสัญญาณเกลือแร่ที่มีโมเลกุลน้ำบริเวณที่ลาดชัน ซึ่งปรากฏเป็นริ้วปริศนาบนดาวอังคาร โดยริ้วมืดจากภาพนั้นปรากฏให้เห็นว่าลดลงและไหลเป็นสายตลอดเวลา
      
       ระหว่างฤดูร้อนริ้วดังกล่าวยิ่งดำขึ้นและไหลลงทางลาดชัน และในช่วงฤดูหนาวริ้วดังกล่าวมีสีจางลง ริ้วเหล่านี้ปรากฏในหลายพื้นที่บนดาวอังคาร เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า -23 องศาเซลเซียส และหายไปเมื่ออุณหภูมิเย็นลง
      
       "ภารกิจของบนเราดาวอังคารคือตามหาน้ำเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตในเอกภพ และตอนนี้เราก็มีหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่เราสงสัยนั้นได้คำตอบแล้ว นี่เป็นก้าวที่สำคัญ เมื่อปรากฏชัดเจนว่าน้ำ แม้จะเป็นน้ำเกลือก็ตาม กำลังไหลอยู่บนพื้นผิวดาวอังคารทุกวันนี้" จอห์น กรันฟิล์ด (John Grunsfeld) ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกอำนวยการปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ของนาซากล่าวระหว่างแถลงข่าว
      
       สายธารเชิงเขาเหล่านี้มีชื่อว่าเส้นลาดชันอาร์เอสแอล (recurring slope lineae: RSL) ซึ่งมักถูกระบุว่า มีโอกาสที่จะเป็นน้ำของเหลว ซึ่งการค้นพบเกลือมีน้ำบนพื้นที่ลาดชันชี้ถึงสิ่งที่อาจสัมพันธ์ต่อริ้วสีดำ โดยเกลือมีน้ำอาจจะลดจุดเยือกแข็งของน้ำเกลือเหมือนเกลือบนโลกที่ช่วยละลายหิมะและน้ำแข็งบนถนนได้เร็วขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เหมือนกระแสใต้พื้นผิวตื้นๆ ที่มีน้ำมากพอจะซึมสู่พื้นผิว ทำให้เกิดเป็นริ้วสีดำในภาพ
      
       รอยเตอร์รายงานอีกว่า แม้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแหล่งกำเนิดและองค์ประกอบทางเคมีของน้ำดังกล่าว แต่การค้นพบค้นพบนี้จะเปลี่ยนความคิดของนักวิทยาศาสตร์ว่าดาวเคราะห์เพื่อนบ้านนี้เหมือนดาวเคราะห์โลกในระบบสุริยะที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ใต้เปลือกโลก
      
       "มันบ่งบอกว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารในทุกวันนี้" กรันฟิล์ดให้ความเห็น

        ส่วน จิม กรีน (Jim Green) ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ของนาซา กล่าวว่า ดาวอังคารไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่แห้งแล้งและไม่น่าสนใจอย่างที่เราคิดกันที่ผ่านมา ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มั่นคง น้ำของเหลวได้ถูกค้นพบบนดาวอังคาร
      
       ทว่านาซาก็ไม่รีบร้อนที่ค้นหาว่าน้ำเกลือที่เพิ่งค้นพบนั้นมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หรือไม่ โดยกรันฟิล์ดให้ความเห็นว่าถ้าเขาเป็นจุลินทรีย์ก็คงไม่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ค้นพบ แต่จะอาศัยอยู่ทางเหนือหรือใต้มากกว่าบริเวณที่พบน้ำเกลือ และจะอยู่ให้ลึกลงไปใต้พื้นผิวมากๆ ซึ่งจะพบน้ำจืดได้มากกว่า
      
       "เราแค่สงสัยว่าแหล่งอาศัยแบบนั้นมีอยู่ และเราก็มีหลักฐานบางประการว่ามีแหล่งแบบนั้น" กรันฟิล์ดกล่าว
      
       การค้นพบน้ำไหลนี้เกิดขึ้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์พัฒนาเทคนิคใหม่เพื่อวิเคราะห์และทำแผนที่องค์ประกอบเคมีบนดาวอังคารโดยใช้ยานเอ็มอาร์โอของนาซา และได้พบลักษณะสำคัญของเกลือที่เกิดขึ้นเฉพาะในน้ำที่มีอยู่ตอนนี้ในช่องแคบๆ ที่ตัดผ่านหน้าผาบริเวณเส้นศูนย์ของดาวอังคาร
      
       สำหรับพื้นที่ลาดชันดังกล่าวถูกพบครั้งแรกเมื่อปี 2011 ปรากฏระหว่างเดือนในหน้าร้อนของดาวอังคาร แล้วหายไปเมื่ออุณหภูมิต่ำลง และคุณลักษณะทางเคมีบ่งบอกถึงเกลือที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าริ้วดังกล่าวเกิดจากการตัดผ่านของน้ำ แต่ก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถวัดได้อย่างแน่ชัด
      
       "ตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะมีหวัง" ลุเชนทรา โอชา (Lujendra Ojha) นักศึกษาปริญญาโทสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย (Georgia Institute of Technology) และนักวิจัยหลักผู้เขียนรายงานการค้นพบดังกล่าวบอกแก่รอยเตอร์
      
       ทั้งนี้ เนื่องจากยานเอ็มอาร์โอได้วัดข้อมูลระหว่างช่วงร้อนที่สุดของวันบนดาวอังคาร นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าร่องรอยใดๆ ของน้ำ หรือคุณลักษณะจากเกลือแร่มีน้ำจะระเหยไป อีกทั้ง เครื่องมือวัดองค์ประกอบเคมีบนยานโคจรยังไม่สามารถเก็บรายละเอียดของริ้วแคบๆ ที่กว้างไม่ถึง 5 เมตรได้
      
       ทว่าโอชาและคณะได้สร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถตรวจสอบแต่ละพิกเซลหรือหน่วยภาพได้อย่างละเอียด จากนั้นใช้ข้อมูลดังกล่าวสร้างภาพที่มีความละเอียดสูงขึ้น และเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้พุ่งความสนใจไปที่ริ้วที่กว้างที่สุด ที่ตรงกับตำแหน่งและการตรวจพบเหลือมีน้ำ 100%
      
       "การค้นพบนี้ยืนยันว่าน้ำกำลังแสดงบทบาทต่อลักษณะเหล่านี้" อัลเฟร็ด แม็คอีเวน (Alfred McEwen) นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ จากมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) กล่าว
      
       อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าเกลือแร่เหล่านั้นดูดซับไอน้ำโดยตรงจากชั้นบรรยากาศบางเบาของดาวอังคาร หรือมีแหล่งน้ำแข็งละลายอยู่ใต้ดิน แต่ไม่ว่าแหล่งน้ำจะมาจากที่ใด รอยเตอร์ระบุว่ามุมมองต่อดาวอังคารก็เปลี่ยนไปเป็นบวกมากขึ้น จากที่เคยมองกันว่าดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่หนาวเย็นและแห้งกรัง กลับกลายเป็นดาวเคราะห์ที่ปัจจุบันสิ่งมีชีวิตอาจอาศัยอยู่ได้
      
       ถึงอย่างนั้นแมคอีเวนกล่าวว่ายังต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบเคมีมากกว่านี้ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะสรุปเช่นนั้นได้ โดยระบุว่าไม่ใช่เพราะมีน้ำเท่านั้นที่บ่งบอกว่าดาวเคราะห์นั้นสามารถอาศัยอยู่ได้ อย่างน้อยต้องมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนดิน
      
       ขณะเดียวกันคิวริออซิตี (Curiosity) ยานโรเวอร์ของนาซาที่กำลังวิ่งสำรวจบนพื้นผิวดาวอังคาร ก็พบหลักฐานว่าดาวอังคารมีองค์ประกอบและแหล่งอาศัยเหมาะสมสำหรับจุลินทรีย์ที่มีอยู่ได้ในอดีตบางช่วงที่ผ่านมา
      
       ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่าดาวอังคารเปลี่ยนจากดาวที่อบอุ่น มีน้ำอุดมและคล้ายคลึงกับโลกมาเป็นดาวที่หนาวเหน็บและแห้งแล้งเหมือนทะเลทรายในทุกวันนี้ได้อย่างไร โดยเมื่อหลายพันล้านปีก่อนดาวอังคารที่ขาดสนามแม่เหล็กปกป้อง ได้สูญเสียชั้นบรรยากาศปริมาณมหาศาลไป และมีหลายการศึกษาที่กำลังประเมินว่าน้ำบนดาวอังคารหายไปมากแค่ไหน และยังเหลืออีกเท่าไรในแหล่งน้ำแข็งใต้ดิน

      หลังจากที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซ่า) ได้แถลงยืนยันการค้นพบหลักฐานว่า มีน้ำบนพื้นผิวดาวอังคาร ซึ่งเป็นการค้นพบล่าสุด ในการไขปริศนาความลับของดาวดวงนี้ เพิ่มเติมความคาดหวังว่าจะมีการค้นพบสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ขณะที่ในโลกโซเชียลได้มีการพูดถึงภาพยนตร์หลายเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับดาวอังคาร โดยจะขอแนะนำหนังดัง The Martian กู้ตาย 140 ล้านไมล์ (2015) เพื่ออินเทรน เรามาสำรวจดาวอังคารจากหนังกันที่จะเข้าฉายในบ้านเราเร็ว ๆ นี้

     The Martian กู้ตาย 140 ล้านไมล์ (2015) 

 เรื่องราวเกิดขึ้น ระหว่างภารกิจเดินทางสู่ดาวอังคาร มนุษย์อวกาศ มาร์ แวทนีย์ (แมตต์ เดมอน) ถูกคิดว่าเสียชีวิตหลังเกิดพายุรุนแรงและถูกทีมงานทิ้งไว้แต่ แวทนีย์กลับรอดชีวิตและพบว่าตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังบนดวงดาวที่โหดร้าย เขามีเพียงเสบียงอันน้อยนิด แวทนีย์ต้องใช้ความฉลาด ไหวพริบ และความมุ่งมั่นเพื่อการอยู่รอดและหาทางส่งสัญญาณกลับมายังโลกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จากระยะทางที่ไกลนับหลายล้านไมล์ นาซ่าและทีมนักวิทยาศาสตร์จากนานาชาติต่างพยายามนำ เดอะ มาร์เชียน กลับบ้าน ขณะเดียวกันเพื่อนร่วมทีมของเขาได้ร่วมกันวางแผนว่าจะเป็นอย่างไรหากภารกิจการช่วยเหลือล้มเหลว จากเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เห็นความกล้าหาญ ทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อให้แวทนีย์กลับมาอย่างปลอดภัย"   

The Martian กู้ตาย 140 ล้านไมล์ (2015) เข้าฉาย 1 ต.ค. 58





Cr.ผู้จัดการ,เนชั่น,Synergy | Facebook ,เล่าสู่กันฟัง ,e-news ,

27 ก.ย. 2558

Bike For Dad ปั่นเพื่อพ่อของเรา


Bike For Dad ปั่นเพื่อพ่อของเรา
Bike For Dad ปั่นเพื่อพ่อของเรา
เป็นกระแสที่กระหึ่มโลกโซเชียล ของเมื่อวานนี้ และเป็นข่าวที่น่ายินดีอย่างยิ่งกับ กิจกรรมแห่งปีที่จะมีอีกครั้งในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนมหามงคลอีกเดือนหนึ่ง นั้นคือ กิจกรรม " Bike For Dad" โดยทั้งวันของวันที่ 27 ก.ย. 58 หรือวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในสื่อโซเชียลมีการเผยแพร่ภาพโปสเตอร์กำหนดการจัดกิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad" วันที่ 11 ธันวาคม 2558 กันอย่างแพร่หลาย

และจากการตรวจสอบของสำนักข่าว พบว่า ภาพโปสเตอร์ดังกล่าวปรากฏอยู่ในหน้าเฟซบุ๊กของ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ "หมอหยอง" ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานกิจกรรมพิเศษโครงการ "ไบค์ ฟอร์ มัม ปั่นเพื่อแม่" ที่เป็นการอัญเชิญภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ พระปรมาภิไธยย่อ ภปร. และพระนามาภิไธยย่อ มวก. บนพื้นหลังสีเหลืองทอง

ต่อด้วยข้อความอักษรอังกฤษคำว่า Dad ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad "ของขวัญของ พ่อ...คือลูกรู้แทนคุณ" รวมพลังแห่งความกตัญญู และร่วมใจสามัคคีทั่วแผ่นดิน ปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว 88 พรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ.2558 11 ธันวาคม 2558 เวลา 15.00 น. พร้อมกันทั่วประเทศ

และจากการสอบถามไปยังนายสิยัน ได้ยืนยันกิจกรรมดังกล่าวว่า สมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชานุญาตโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นภาพที่หาชมได้ยาก ในการจัดทำแบนเนอร์ กำหนดการจัดกิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad"

พร้อมพระราชทานคำว่า "ของขวัญของพ่อ...คือลูกรู้แทนคุณ" แต่รายละเอียดการปฏิบัติ และขั้นตอนการจัดเตรียมงานต่างๆ ยังไม่มีความชัดเจน ต้องรอปรึกษาขอความเห็นของรัฐบาลภายใน 2-3 วันนี้ รวมถึงเส้นทางจัดกิจกรรม

ข่าวกิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad" ในวันที่11 ธ.ค.ครั้งนี้ ถือว่าเป็นข่าวดีและเป็นมงคล และเชื่อว่าจะเป็นข่าวที่คนไทยทั้งประเทศให้ความสนใจ ติดตามความเคลื่อนไหวไปตลอดจนถึงวันจัดกิจกรรมอย่างแน่นอน และเชื่อว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่ เป็นการรวมตัวกันเพื่อปั่นจักรยาน ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกทีเดียว

ต้องบอกว่างานนี้ต้องให้กำลังใจกับคณะทำงานทุกภาคส่วนล่วงหน้า เพื่อจะต้องมีการวางแผนจัดกิจกรรมเพื่อรองรับ การเข้าร่วมกิจกรรมที่มีคนจำนวนมากชนิดที่คาดไม่ถึง ดังนั้น การวางแผน วางระบบการจัดการเพื่อรองรับจะเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมาก และต้องได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน

แต่ทั้งนี้เชื่อว่า ทุกๆ อย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ด้วยพลังของความรัก สามัคคีของคนไทยและต่างชาติที่มีความรักเคารพเทิดทูลต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างมีอาจหาสิ่งใดเปรียบได้
นับตั้งแต่วันนี้เชื่อว่าทุกๆ คน จะเตรียมพร้อมและปฏิบัติตัวอย่างลูกที่รู้คุณเพื่อวันสำคัญนี้ และ ยึดเหนี่ยว รู้รักรู้คุณต่อแผ่นดินตลอดไป...

Cr.Sanook,Synergy | Google+ ,e-news , Asia21st

พิธีหมั้น ชาช่า ทามาดะ & บีม ศรัณยู



พิธีหมั้น ชาช่า ทามาดะ & บีม ศรัณยู
พิธีหมั้น ชาช่า ทามาดะ & บีม ศรัณยู
 
        เข้าพิธีหมั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (27 ก.ย.) สำหรับอีกคู่หวานของวงการบันเทิง "" และ "ชาช่า ทามาดะ" หรือ "ชาช่า ภักค์ไพบูลย์" ที่เบเนดิกสตูดิโอ ท่ามกลางความยินดีของครอบครัวและเพื่อนๆ ที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน

        หลังจากก่อนหน้านี้หนุ่มบีมได้เซอร์ไพรส์คุกเข่า ขอสาวชาช่าแต่งงานไปที่มัลดีฟส์เมื่อปลายปี 2557 ที่ผ่านมา โดย "บีม ชาช่า" มีกำหนดจัดงานฉลองแต่งงาน ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ และมีแพลนบินไปฮันนีมูนที่แอฟริกาใต้

       จูงมือกันเข้าสู่พิธีหมั้นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2558 สำหรับคู่รักสุดหวาน บีม ศรัณยู ชาช่า ทามาดะ หรือ ชาช่า ภักค์ไพบูลย์ ที่พากันควงแขนเข้าสู่พิธีหมั้นท่ามบรรยากาศโรแมนติกหวานชื่น โดยมีครอบครัวและเพื่อน ๆ ร่วมยินดีอย่างคับคั่ง

         ส่วนวันนี้เราก็ขอนำประวัติ ชาช่า ทามาดะ ว่าที่เจ้าสาวคนสวยที่สามารถครองหัวใจของหนุ่มมาดแบดบอยอย่าง บีม ศรัณยู มาฝากกันสักหน่อย 


ประวัติ ชาช่า ทามาดะ สาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น

                  สำหรับ สาวชาช่า ทามาดะ หรือชาช่า ภักค์ไพบูลย์ สาวเซเลบิตี้สาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นชื่อดัง เธอเป็นพี่สาวของ ชัญญ่า ทามาดะ ที่เคยตกเป็นข่าวกับคาสโนว่า ฟลุ๊ค เกริกพล มัสยวาณิช และก่อนนี้สาวชาช่าเคยตกเป็นข่าวกับพระเอกลูกครึ่ง สเตฟาน ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์ ซึ่งดาราหนุ่มก็ออกมายอมรับแบบแมน ๆ ว่าเคยแอบชอบสาวชาช่ามาตั้งแต่สมัยเรียน แต่ก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว และไม่ได้มีการสานต่อความสัมพันธ์แต่อย่างใด

          จนกระทั่งมีข่าวว่า บีม ศรัณยู เปิดตัวหวานใจ ชาช่า ทามาดะ ออกสื่อครั้งแรกเมื่อปี 2553 ความรักของทั้งคู่ก็ราบรื่นเรื่อยมา ซึ่งหนุ่มบีมยอมรับว่า เคยคุยเรื่องแต่งงานกันบ้างแล้ว ตั้งใจไว้ว่าอีก 1-2 ปี อาจมีข่าวดี แต่ก็ขอปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตจริง ๆ ยังตอบไม่ได้ ทางบ้านชาช่าก็ไม่เคยเร่งเรื่องแต่งงาน ส่วนชาช่า ก็บอกว่ายังเรื่อย ๆ ส่วนผู้ใหญ่ก็แล้วแต่เราทั้งคู่ เราพร้อมเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น

         เมื่อมาดูเรื่องการทำงานในวงการบันเทิง จะพบว่า ชาช่า ทามาดะ ไม่ค่อยได้รับงานในวงการบันเทิง นอกเสียจากการทำงานเป็นพิธีกรคู่กับหวานใจในรายการเรซโชว์ (RACE SHOW ) ทางช่อง ture 72 Speed Channel จึงไม่ค่อยมีใครคุ้นหน้าเธอเท่าไหร่ 

          ต่อมา เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 สาวชาช่า ทามาดะ ก็ได้โพสต์โชว์ความหวานของทั้งคู่ เนื่องในวันครบรอบ 3 ปี ด้วยการโพสต์ภาพขณะที่ทั้งคู่นอนหลับตาอยู่บนเตียงพร้อมห่มผ้าผืนเดียวกัน ในห้องพักที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่ทั้งคู่เคยมีปัญหารัก ๆ เลิก ๆ พ่อแง่แม่งอนบ่อยครั้ง จนกระทั่ง บีม ศรัณยู และ ชาช่า ทามาดะ ประกาศจูงมือเข้าสู่พิธีหมั้น ก่อนจูงมือกันลั่นระฆังวิวาห์ ในวันที่ 20 ธันวาคม 2558 ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ 



Cr.Sanook,Kapook,Synergy | Facebook ,เล่าสู่กันฟัง ,doly news ,

 

แก้ปัญหาแบตสมาร์ทโฟนหมดเร็ว


แก้ปัญหาแบตสมาร์ทโฟนหมดเร็ว

เมื่อ ชีวิตประจำวันของเราผูกพันกับการใช้งานสมาร์ทโฟนอย่างแยกไม่ออก หนึ่งปัญหายอดฮิตที่พบเจอได้บ่อยคงหนีไม่พ้นปัญหาแบตเตอรี่ไม่พอใช้จนต้องพก Powerbank เอาไว้เป็น ที่ชาร์ตแบตสํารอง ระหว่างวันแต่ก็อาจจะไม่พอกับการใช้งานโซเชียวของเรา ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดความหงุดหงิดใจ วันนี้หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนสกรุ๊ป (ประเทศไทย) มีเคล็ดไม่ลับแก้ปัญหาแบตหมดเร็วทั้งจากในสมาร์โฟนหรือแบตสำรองมือถือ (Power Bank) มาฝากกันโดยสามารถนำไปใช้ได้ทั้งแอนดรอยด์ iOS และ Windows Phone  มาดูเคล็ดไม่ลับ 5 ข้อกับการแก้ปัญหาแบตสมาร์ทโฟนหมดเร็ว

1. ลดความสว่างของหน้าจอลง
เชื่อ หรือไม่ว่าหน้าจอเป็นตัวดูดพลังงานมากที่สุดในสมาร์ทโฟน ซึ่งบางครั้งเราก็เปิดหน้าจอสว่าง เกินความจำเป็นโดยเฉพาะในเวลากลางวันซึ่งมีแสงสว่างมากเพียงพออยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงควรลดความสว่างของหน้าจอให้อยู่ในระดับกลางที่สามารถอ่านข้อ ความได้อย่างสบายตาไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดแบตเตอรี่สำรองแล้วยังช่วยถนอมสายตาของเราได้อีกด้วย

2. ปิดแอปพลิเคชั่นที่ไม่ได้ใช้งาน
การ เรียกใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆในเวลาเดียวกันนอกจากจะเปลืองแบตสํารองมือถือ แล้ว ยังส่งผลกระทบให้การทำงานของสมาร์ทโฟนของเราช้าลงอีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรเลือกปิดการใช้งานแอปพลิเคชั่นที่ไม่สำคัญทิ้งไปเพื่อยืด การใช้งานของสมาร์ทโฟนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันสมาร์ทโฟนบางยี่ห้อก็ได้มีการพัฒนาให้มีความฉลาดมาก ขึ้น เช่นสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยที่มีการพัฒนามีชิปเซ็ตประมวลผลที่มีความสามารถใน การจัดการการใช้พลังงานได้อย่างชาญฉลาด ช่วยในการประหยัดแบตเตอรี่ทั้งในตัวและแบตเตอรี่สำรองมือถือโดยอัตโนมัติ ให้คุณมั่นใจได้ว่าแบตสํารองมือถือไม่หมดระหว่างวันแน่นอน

3. ปิดการทำงานของ GPS และ Location Service
การ เปิดใช้งานในแอปพลิเคชั่น GPS ตลอดเวลานั้นเป็นการนำพลังงานของเครื่องมาใช้โดยไม่จำเป็น ดังนั้นควรเลือกเปิดใช้งานเฉพาะเมื่อจำเป็นจะดีกว่า นอกจากนั้นการปิด Location Service จากแอปพลิเคชั่นต่างๆก็จะช่วยยืดอายุของแบตเตอรี่สำรองให้ยาวนานยิ่งขึ้น เพราะแอปพลิเคชั่นบางตัวจะมีการส่งข้อมูล Location ของเราผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่เรื่อยๆโดยไม่จำเป็น

4. ปิดการทำงานของ 3G, 4G, Bluetooth หรือ WiFi เมื่อไม่ได้ใช้งาน
ปกติ ในการใช้งานสมาร์ทโฟน เราไม่สามารถเลือกเชื่อมต่อผ่านระบบช่องสัญญาณต่างๆพร้อมกัน ดังนั้นเมื่อเลือกเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนด้วยช่องทางใดช่องทางหนึ่งก็ควรปิด สัญญาณอื่นๆทิ้งไป เช่น เมื่ออยู่ในที่ๆมีสัญญาณ WiFi ก็ไม่จำเป็นที่จะเปิดการใช้งาน 3G, 4G หรือ Bluetooth ทิ้งไว้ เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานของเครื่องโดยไม่จำเป็นแถมยังประหยัด พลังงานในแบตเตอรี่สำรองอีกทางหนึ่งด้วย

5. เลือกสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่สำรองความจุเยอะ ๆ
การ เลือกใช้สมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่สำรองความจุเยอะ ๆเหมาะสมกับการใช้งานก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนอ ย่างหนักหน่วง เพื่อตัดปัญหาที่จะสร้างความหงุดหงิดที่เกิดจากแบตเตอรี่หมดเร็วเกินพอ หัวเว่ย จึงออกแบบสมาร์ทโฟนหลากหลายรุ่นมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคใน ปัจจุบันได้อย่างแท้จริง เช่น พีแปดแม็กซ์ ที่นอกจากจะมีหน้าจอใหญ่สะใจขนาด 6.8 นิ้วแล้วยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่สำรองขนาดใหญ่ถึง 4360 mAh ให้คุณมั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย

Cr.RYT9,กรุงเทพธุรกิจ

26 ก.ย. 2558

หัวใจเต้นผิดปกติ


หัวใจเต้นผิดปกติ
หัวใจเต้นผิดปกติ คือการรับรู้การเต้นของหัวใจเร็วหรือแรงขึ้น การรู้สึกอาจกินเวลาเป็นวินาที นาที ชั่วโมง หรือเป็นวัน ซึ่งอาจมีสาเหตุโดยการเต้นของหัวใจช้าเกินไป เร็วเกินไป  แรงเกินไป หรือเต้นผิดจังหวะมากกว่าปกติ ภาวะใจสั่นพบได้บ่อยและส่วนใหญ่มักไม่อันตราย การเต้นที่ผิดจังหวะมักสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงวงจรไฟฟ้าของหัวใจ โดยอาจเกิดจาก หลอดเลือดหัวใจตีบตัน กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ การเสื่อมของลิ้นหัวใจ หรือสุดท้่ายอาจเกิดจากวงจรไฟฟ้าผิดปกติของตัวมันเอง
  
ในภาวะปกติของการเต้นหัวใจ อยู่ภายใต้จุดกำเนิดออโตเมติกหรือจุดกำเนิดไฟฟ้าอัตโนมัติ ที่เรียกว่า เอส เอ โหนด ซึ่งอยู่ที่หัวใจห้องขวาบน ถ้ามีจุดอื่นๆ ในหัวใจสามารถก่อกำเนิดจุดไฟฟ้าเองได้ก็เรียกว่า การกระตุกหรือกระตุ้นไฟฟ้า หรือวงจรไฟฟ้าผิดปกติ ซึ่งจะรู้ได้ง่ายช่วงออกกำลังกาย ขณะที่มีการหลั่งสารอะดรีนาลินออกมา หรือขณะอยู่เฉยๆ ช่วงที่หัวใจเต้นช้าหรือมีการเบี่ยงเบนจากการเต้นหัวใจช่วงที่ปกติ อาจจะเป็นช่วงของปกติก็ได้ที่จะมีหัวใจเต้นผิดปกติผิดจังหวะบ้างและบางคนก็ รับรู้ได้ว่ามีการกระตุกของหัวใจ สามารถรับรู้ได้จากการสังเกตหรือบันทึกการเต้นหัวใจจากเครืองวัดชีพจร
  
สาร คาเฟอีน เหล้า ภาวะเครียด อ่อนเพลีย ภาวะขาดสารน้ำ เจ็บป่วย ภาวะไทรอยด์เป็นพิษหรือทำงานมากเกินไป และยาบางชนิด อาจกระตุ้นภาวะใจสั่นมากขึ้น การเต้นหัวใจเร็วเกินไปหรือใจเต้นเร็วที่เกิดจากวงจรไฟฟ้าผิดปกติมักเกิด ขึ้นในทันทีทันใด และหยุดทันทีทันใด บางครั้งเป็นการยากที่จะชี้วัดว่าเกิดขึ้นเมื่อใดและหยุดเมื่อใด แต่ถ้ามีอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดชีพจร ที่บ้านคอยตรวจสอบไว้ก็สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายจากหัวใจเต้นผิดปกติได้

ถ้า ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ เต้นเร็วมากๆ อาจจะมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เหนื่อย หรือเวียนศีรษะ เนื่องจากออกซิเจนไปเลี้ยงสมองน้อยลง (ซึ่งสามารถวัดค่าออกซิเจนในกระแสเลือดได้จาก เครื่องวัดออกซิเจน) บางครั้งหัวใจเต้นเร็วมากจนไม่สามารถพยุงความดันโลหิต ก็อาจจะเกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะได้ ควรมีเครื่องวัดความดันโลหิต หรือ เครื่องวัดชีพจร เพื่อช่วยชลอการเกิดโรคที่ไม่ใช้มาจากวงจรไฟฟ้าเต้นผิดปกติได้ แล้วควรหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว หัวใจตีบน้อยลง กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น แล้วหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นภาวะหัวใจเต้นเร็ว ก็สามารถช่วยได้
 
ภาวะ หัวใจเต้นผิดปกติที่มาจากวงจรไฟฟ้าผิดปกตินั้นมีลักษณะ ถ้าอาการเกิดขึ้นขณะอยู่เฉยๆ เริ่มต้นและหยุดทันทีทันใด โดยไม่สามารถคาดการณ์ได้ หรือสัมพันธ์กับอาการเวียน วูบ หน้ามืด  มักเกิดจากวงจรไฟฟ้าเต้นผิดปกติ มากกว่าภาวะตื่นเต้น เครียด หรือการออกกำลังกาย ซึ่งมักมีการเต้นเร็ว ค่อยๆ เป็น และ ค่อยๆ เต้นช้าลง กรณีนี้จะลำบากในการดูแลรักษาด้วยการออกกำลังกายได้ แต่ควรปรึกษาหมอเพื่อการรักษาวงจรไฟฟ้าผิดปกติของหัวใจ
  
การ วินิจฉัยเพื่อค้นหาว่ามีการเต้นของหัวใจเต้นผิดปกติ บ้างไหมที่สัมพันธ์กับการเกิดอาการ บางครั้งเราอาจจะรู้สึกหัวใจเต้นแรงได้ช่วงที่ตะแคงซ้ายในช่วงกลางคืน หรือระหว่างช่วงตื่นเต้นตกใจ หรือช่วงเครียด วิธีดีที่สุดของการวินิจฉัยคือการทำกราฟหัวใจช่วงที่เกิดอาการ ถ้าอาการผิดปกตินานพอที่จะไปทำกราฟหัวใจที่โรงพยาบาลใกล้ที่สุด หรือถ้าเป็นไม่นานพอก็อาจจะต้องติดเครื่องบันทึกการเต้นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมงไปที่บ้าน นอกจากนี้การเดินหรือวิ่งสายพานอาจจะพบการเต้นผิดปกติขณะที่มีการบันทึกการ เต้นหัวใจ แต่ถ้าไม่สะดวกอาจวัดค่าได้จากการเต้นของหัวใจ (ชีพจร) จากเครื่องวัดชีพจรแล้วบันทึกประวัติผลการเต้นหัวใจแล้วส่งผลให้คุณหมอ วินิจฉัยอีกที

การรักษาหัวใจในภาวะใจสั่นขึ้นอยู่กับ การรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวันขนาดไหน และความรุนแรง หรืออันตรายของการเต้นหัวใจผิดจังหวะ ในภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดไม่รุนแรง คงจะไม่ต้องใช้ยา แนะใช้วิธีการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เพื่อขยายหลอดเลือด หรือในกรณีฉุดเฉินคงให้แค่คำแนะนำหรือการแก้ไขบางอย่างเช่น การเป่าลมลงไปที่ทวาร หรือใช้ใบหน้าจุ่มลงในน้ำเย็น 1-2 นาที ถ้าอาการเกิดจากวงจรไฟฟ้าผิดปกติ เป็นบ่อยหรือรุนแรงก็อาจจะต้องใช้ยา หรือการจี้ด้วยกระแสไฟฟ้าหรือสายเย็น เพื่อทำให้วงจรไฟฟ้านั้นหายไป

การ จี้ คือการใส่สายสวนขนาดเล็กๆ ขึ้นที่ขาหนีบไปที่ภายในห้องหัวใจ เพื่อค้นหาจุดกำเนิดที่ผิดปกติ แล้วทำการจี้ด้วยกระแสไฟฟ้า เพื่อให้จุดกำเนิดนั้นหายไป บางครั้งหัวใจที่เต้นผิดจังหวะอาจจะต้องใช้ยาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ยาต้านเกร็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญวงจรไฟฟ้าของหัวใจจะช่วยในการตัดสินการรักษาสำหรับปัญหา ของท่าน

Cr.ข่าวสด

เครื่องสแกนแบบพกพา สามมิติ MobileFusion


เครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ MobileFusion
MobileFusion แอพพลิเคชั่นเครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ ที่จะถูกนำเสนออย่างเป็นทางการในงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ The 14 th IEEE International Symposium on Mixed and Augmented Reality 2015 (ISMAR’15) ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้ที่เมืองฟุกุโอกะ ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ที่มีการพยายามจะย้ายเครื่องสแกนสามมิติที่ส่วนใหญ่ในสมัยก่อนต้องมีอุปกรณ์ เสริมมาต่อพ่วงเพื่อเพิ่มสมรรถนะการคำนวณประมวลผล นำมาลงในสมาร์ทโฟนแทน

โดยความสำเร็จที่น่าสนใจมากก็คือแอพพลิเคชั่น เครื่องสแกนแบบพกพา สามมิติ MobileFusion นี้ สามารถทำงานยาก ๆ งานหนัก ๆ ของสแกนเนอร์สามมิติได้โดยอาศัยเพียงกล้องติดมือถือสมาร์ทโฟนที่คนส่วนใหญ่ มีติดตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องต่ออินเทอร์เน็ต ไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์เสริมมาต่อพ่วงเพื่อเพิ่มสมรรถนะการคำนวณแต่อย่าง ใด แถมมันยังมาในรูปของแอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพทำงานได้แบบทันที ทันใด (Real Time) รอแป๊บ ๆ ก็ได้โมเดลสามมิติออกมาใช้แล้ว

Microsoft Research เปิดตัวโปรเจคใหม่ที่ชื่อ MobileFusion แอพพลิเคชั่นเครื่องสแกนแบบพกพาสาม มิติ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วไป สามารถใช้งานฟีเจอร์ 3D scanner แบบล้ำๆได้เลย โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริม หรืออินเทอร์เน็ตเป็นตัวช่วย เพียงแค่ถ่ายรูปภาพตามปกติเท่านั้น  MobileFusion เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยให้เครื่องสมาร์ทโฟนธรรมดา สามารถถ่ายภาพแบบ 3 มิติความละเอียดสูง จนสามารถเอาไปปริ้นในเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ไม่ก็ใช้เป็น 3D object ในคอมฯได้เลย โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริม หรือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่อย่างใด  เปลี่ยนกล้องสมาร์ทโฟนให้เทพขึ้น

รูปแบบการทำงานแอพพลิเคชั่น MobileFusion นี้ก็ง่ายและแทบจะไม่แตกต่างจากการใช้ฟีเจอร์ถ่ายภาพพาโนรามาเท่าไหร่เลย ครับ แค่ยกกล้องสมาร์ทโฟนขึ้นมาส่องไปที่วัตถุ  ในระหว่างที่เราขยับกล้องไปมาเพื่อจับภาพของวัตถุในลักษณะของภาพต่อเนื่อง นั้น แอพพลิเคชั่น เครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ MobileFusion ก็จะคอยเปรียบเทียบความกว้าง ความยาว และ ความลึกของวัตถุที่เปลี่ยนแปลงไปในภาพต่อเนื่องแต่ละเฟรม

มันจะทำ การสแกนภาพที่เราถ่ายด้วยการถ่ายภาพอย่างต่อเนื่องติดๆกันแบบเรียลไทม์ ซึ่งในระหว่างนั้น ให้เราแพนกล้องไปรอบๆตัววัตถุหรือบุคคลตามไปด้วย จากนั้นมันก็จะเอาภาพทั้งหมดที่เก็บข้อมูลได้มากเพียงพอสำหรับการสร้างโมเดล สามมิติมาต่อกันจนกลายเป็น 3D object หนึ่งชิ้น ซึ่งส่วนนี้เอง เราสามารถเอามันไปยัดใส่ในเครื่อง 3D Printing ให้ปริ้นออกมาเป็นโมเดลที่เราจับต้องได้ หรือเอาไปเป็นโมเดลสำหรับสร้างงานในคอมฯก็ได้เช่นกัน

จุดประสงค์ของ แนวคิดนี้คือ ต้องการให้มันเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บความทรงจำได้แบบสมจริง คือเวลาไปเที่ยว แล้วเราไปเจอวัตถุหรือรูปปั่นที่สวยงามสุดๆ แต่เราเอากลับบ้านไม่ได้ เราก็เอามือถือถ่ายซะเลย แต่ถ้ามี แอพพลิเคชั่นเครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ MobileFusion ก็จะกลายเป็นว่า จากรูปภาพธรรมดาๆสามารถแปลงเป็นวัตถุให้เราจับต้องได้ หรือเอาไปนอนกอดที่บ้านได้นั้นเอง (เขาคงจะบอกว่า “แค่ภาพถ่ายมันไม่พอหรอกกก!!”)

แอพพลิเคชั่นเครื่องสแกนแบบพกพาสาม มิติ MobileFusion นี้เป็นงานวิจัยร่วมกันของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Microsoft Research และ University of Oxford มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศอังกฤษ ในขณะนี้แอพพลิเคชั่นที่พัฒนายังไม่มีให้ดาวน์โหลดฟรีมาใช้งาน แต่จากข่าวเห็นว่าทางทีมพัฒนามีแผนที่จะปล่อยแอพพลิเคชั่นนี้ออกมาให้ดาวน์ โหลดกันในเร็ว ๆ นี้ทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS, Android และ Windows Phone

Microsoft กล่าวว่า ทางเราได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นเครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ MobileFusionให้มันสามารถใช้งานได้กับแพลตฟอร์มอื่นๆได้ด้วย อาทิ Android, iOS และ Windows Phone แต่ยังไงก็ตาม เทคโนโลยีนี้ Microsoft ไม่ใช่เจ้าแรกที่คิดค้นขึ้น (เช่น Seene) เพราะงั้น เพื่อให้สมกับเป็นบริษัทใหญ่ ตัว MobileFusion จะต้องมีอะไรที่มากกว่านี้แน่นอน ทั้งนี้จะมีงานพูดคุยกันอย่างละเอียดอีกครั้งในงาน Mixed and Augmented Reality 2015 (ISMAR’15) ที่จะมีจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคมปีนี้ ท่านไหนที่สนใจอยากได้โมเดลสามมิติของสิ่งของรอบตัวมาใช้งานโดยไม่อยาก เหนื่อยนั่งปั้นเอง หรือท่านไหนที่ทำงานทางด้านนี้อยู่ก็คงต้องติดตามรอกันให้ดีครับว่างานนี้จะ สามารถสร้างแรงกระเพื่อมสู่วงการนักสร้างโมเดลสามมิติได้มากน้อยแค่ไหน ใครที่อยากทราบรายละเอียดของโครงการนี้ รอชมกันได้ครับ


Cr.arip,เดลินิวส์

25 ก.ย. 2558

ชำระเงินออนไลน์ Pay Social & mPOS


 ชำระเงินออนไลน์ mPOS & Pay Social
ในยุคที่ Social Network มีอิทธิพลต่อโลกมากขึ้นการค้าขายมักจะเกิดขึ้นบน โซเชียล เน็คเวิร์ค อย่างมากเช่น และหลายคนมองว่าเป็นโอกาส แต่โอกาสนั้น มักจะไม่ได้มาได้โดยง่าย เพราะมันเกิดมากมายหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องความน่าเชื่อถือของร้าน รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับการชำระเงินที่สมัยก่อนจะต้องชำระเงินผ่านเงินสดเท่า นั้น ทำให้ไม่สามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้น หรือไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร จึงเกิดการจ่ายเงินในรูปแบบใหม่ที่ชื่อ mPOS (Mobile Point of  Sale) และที่กำลังจะตามมาเร็ว ๆ นี้  Pay Social  วันนี้จะพาไปการใช้งานว่ามันจะสะดวกจริง และเพิ่มยอดขายให้คุณได้จริงอย่างที่คำโฆษณากล่าวไว้หรือไม่

Pay Social ชำระเงินผ่าน Social Media
อัน ที่จริงแล้ว Pay Social คือบริการชำระเงินออนไลน์ผ่าน Social Media แห่งแรกของเอเชีย ที่ไม่ว่าคุณจะขายของทาง Facebook, Instagram, Twitter หรือช่องทางอื่น ๆ บน Social Network ใด ๆ บนโลกนี้ สามารถชำระเงินผ่าน Pay Social ได้แค่ติดลิงค์ URL หน้าเว็บชำระเงิน (http://pay.sn/ชื่อร้านของคุณ) เท่านั้น ลูกค้าก็สามารถชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการได้ทันที

อีกช่องทางหนึ่งที่เพิ่มความสะดวกในการจ่ายเงินให้มากขึ้น ทำให้ความลังเลและเปลี่ยนร้านน้อยลง คุณสามารถคุมราคาได้อีกด้วย การที่มี Pay Social นอกจากสะดวกที่ลูกค้าจ่ายเงินได้ง่ายแล้ว ยังทำให้ร้านค้ารู้ถึงคำสั่งซื้อเพื่อจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าได้ทันที พร้อมทั้ง ยังสามารถให้ลูกค้าเลือกผ่อนชำระกรณีที่มียอดซื้อมาก ๆ

เมื่อ รายละเอียดดีขนาดนี้ จากการที่ได้ลองสมัครสมาชิกผ่าน Apps ทั้งใน iOS และ Android ที่เปิดให้บริการ ต้องบอกว่า ความสะดวกตกไปอยู่กับทาง Android เนื่องจากมีการเชื่อมต่อข้อมูลกับ Facebook ได้ทำให้ไม่ต้องกรอกข้อมูลให้ยุ่งยาก ส่วน iOS ณ  ยังไม่สามารถทำได้ แต่เชื่อว่า Feedback เหล่านี้คงไปถึงนักพัฒนา Pay Social ให้ปรับปรุงความสามารถของ Apps นี้ต่อไป แต่หลังจากสมัครใช้งานแล้วความสะดวกก็มีมากขึ้นทำให้กล้าสั่งสินค้าผ่านร้าน ค้า Social Network อีกด้วย

mPOS ชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
mPOS (Mobile Point of Sale) สามารถเปลี่ยนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ให้กลายเป็นจุดชำระเงินได้ทันที ช่วยลดข้อจำกัดในการซื้อสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถชำระเงินค่าสินค้าได้เพียงมีสัญญาณอินเทอร์เน็ต เท่านั้น จึงทำให้เกิดความสะดวกต่อร้านค้าและลูกค้าในเวลาเดียวกัน เพิ่มช่องทางการขาย ง่ายแก่การชำระเงิน ซึ่งปัจจุบันนี้มี 4 ธนาคารหลักที่ให้บริการนี้คือ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา  ธนาคารธนชาติ  และ ธนาคารกรุงไทย

ในกรณีที่เป็นบัตรเดบิต ให้ใช้อุปกรณ์ เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก เชื่อมต่อผ่านช่องเสียบหูฟังของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ทำการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเสร็จสมบูรณ์แล้ว  จากนั้นเมื่อต้องการชำระเงิน ให้กดปุ่ม Swipe แล้วนำบัตรเดบิตแถบแม่เหล็กไปรูดที่เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก  เมือเครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็กอ่านข้อมูลแล้ว บนหน้าจอจะแสดงชื่อผู้ถือบัตร หมายเลขบัตรสี่หลักสุดท้าย และวันหมดอายุ เพื่ออนุมัติการชำระเงินต่อไป

ในกรณีที่เป็นบัตรเครดิต ให้ใช้อุปกรณ์อ่านบัตรแบบอีเอ็มวีเชื่อมต่อผ่านช่องยูเอสบีของสมาร์ทโฟนและ แท็บเล็ต โดยหน้าจอจะแจ้งว่าให้ใส่บัตรเครดิตเข้าไปใน เครื่องรูดบัตร ก็ ให้ใส่บัตรเครดิตด้านที่มีชิปเข้าไปที่เครื่องรูดบัตร เมื่อเครื่องเครื่องรูดบัตรอ่านข้อมูลสำเร็จ ร้านค้าจะเป็นผู้กรอกข้อมูล จำนวนเงินที่ต้องชำระ และรหัสพนักงาน

จากนั้นให้ลูกค้าเจ้าของบัตรทำการกรอกอีเมลล์ เบอร์โทรศัพท์(เพื่อแจ้งเอสเอ็มเอส) และแตะที่ช่องลายเซ็น เพื่อเซ็นลายเซ็นผ่านหน้าจอ เมื่อข้อมูลครบถ้วน ระบบจะแจ้งผลการชำระเงิน จะแสดงรายละเอียดการชำระเงินบนหน้าจอและธนาคารจะส่ง Sale Slip ให้กับลูกค้าทางอีเมลล์หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือ ที่ได้ใส่ข้อมูลไว้

อุปกรณ์ mPOS ช่วยเสริมสำหรับชำระเงินชนิดนี้ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ยกตัวอย่าง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ร่วมจับมือกับ AIA เพื่อให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของช่องทางการชำระเบี้ยประกันภัยที่ง่ายและรวด เร็ว ให้ตัวแทนประกันชีวิตมีความสะดวกในการออกไปพบลูกค้าและทำธุรกรรมได้อย่างครบ วงจรและปลอดภัยในขั้นตอนเดียว อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และทางด้านลูกค้าเองก็สามารถจ่ายชำระค่าเบี้ยประกันภัยด้วยบัตรเครดิตผ่าน ทางตัวแทนได้ทันที

อีกหนึ่งตัวอย่างจาก สายการบินนกแอร์ ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์กับธนาคารกสิกรไทย ที่ใช้อุปกรณ์ mPOS มาช่วยในการชำระเงิน ค่าตั๋วเครื่องบิน โดยที่สนามบินดอนเมืองจะมีเจ้าหน้าที่ของสายการบินใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อกับ สมาร์ทโฟนหรือไอแพดคอยให้บริการลูกค้า เป็นการเพิ่มช่องทาง การจำหน่ายตั๋วโดยสารอีกช่องทางหนึ่งเพื่อไม่ใช้ผู้โดยสารต้องต่อคิวนาน

สำหรับ ธุรกิจ SMEs หรือธุรกิจขนาดย่อมนั้นมีข้อได้เปรียบคือ มีความคล่องตัวในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจสูง แต่การเข้าถึงลูกค้าอาจทำได้ไม่ดีเท่ากับธุรกิจการค้าขนาดใหญ่ที่มีความ พร้อมครบทุกด้านเพื่อผู้บริโภค ฉะนั้น การชำระเงินในรูปแบบใหม่ ทั้ง mPOS (Mobile Point of Sale) และ Pay Social  อาจเป็นการเพิ่มมูลค่าในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ซึ่งอุปกรณ์ mPOS และ Pay Social สามารถใช้ได้ในร้านค้าทุกประเภท

อาทิ ร้านดอกไม้ ร้านกาแฟ ร้านที่มีบริการส่งถึงบ้าน หรือแม้แต่ร้านอาหารในตลาดเยาวราช เพื่อสร้างความสะดวกให้ลูกค้าโดยการ ใช้อุปกรณ์รับชำระบัตรเงินผ่านบัตรเครดิต ทั้งนี้นอกจากจะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสให้กับ SMEs แล้ว ยังเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากระบบจะส่งรายการที่ชำระเงินเรียบร้อยแล้วไปยังอีเมลล์หรือ SMS ตามที่เจ้าของบัตรระบุในขั้นตอนการชำระเงิน

Cr.Sanook,eCommerce Magazine

เด็กไทยคว้ารางวัล ‘วิชั่นเนียร์-โยกเยก’


ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ คอมพิวเตอร์แห่งชาติเนคเทค (สวทช.) ร่วมกับ สิงคโปร์ ทีราพัวติก แอสซิสทีพ แอนด์ รีแฮฟบิลีเททีฟ เทคโนโลยี เซ็นเตอร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้จัดการประชุมวิชาการ เรื่อง วิศวกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ ณ มหาวิทยาลัย นันยาง เทคโนโลยี สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 11-14 สิงหาคม 2558  ซึ่งคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยของไทย ส่งเข้าร่วมการประกวดจำนวน 11 ทีม การประกวดมี 2 ประเภท คือเทคโนโลยีสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ และผลงานการออกแบบนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ

เยาวชนไทยคว้า 2 รางวัลโครงงานสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนักศึกษาในงาน ไอ ครีเอท 2015 ที่ประเทศสิงคโปร์  1.‘วิชั่นเนียร์’ แว่นตาช่วยจำแนกธนบัตร สีและสินค้าสำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็นด้วยบาร์โค้ดและแสง และ 2.‘โยกเยก’ ของเล่นสำหรับเด็กพิการซํ้าซ้อน

ไอ เดียสุดล้ำของเด็กไทยคว้ารางวัลจากงานประชุมวิชาการวิศวกรรมการฟื้นฟู สมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับผู้พิการ ครั้งที่ 9 (ไอ-ครีเอท 2015) ณ ณ มหาวิทยาลัยนันยางเทคโนโลยี ประเทศสิงคโปร์ ปีนี้ มีโครงงานนักศึกษาเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 33 โครงงาน จาก 7 ประเทศ ได้แก่ จีน ไทย มาเลเซีย สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฮ่องกง
เด็กไทยคว้ารางวัล ‘วิชั่นเนียร์-โยกเยก’

แว่นตา ‘วิชั่นเนียร์’  จากปัญหาสู่นวัตกรรม

วิชั่นเนียร์ (Visionear) อุปกรณ์สวมใส่สำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็น เป็นอุปกรณ์สวมใส่ประกอบด้วยแว่นติดกล้องจิ๋ว และใส่กล่องประมวลผล ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลรูปภาพแลอธิบายเสียงพูดให้แก่ผู้ใช้งาน  จากทีมนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีคว้า ได้รับรางวัลที่ 2 ประเภทผลงานด้านเทคโนโลยี มีที่มาจากแว่นตากูเกิล (Google Glass) ที่ผสมเทคโนโลยีใหม่ทันสมัยทำให้ทำหน้าที่ได้หลากหลาย

“ความยากในการ พัฒนานวัตกรรมคือ การค้นหาความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง มากกว่าเรื่องของเทคโนโลยี เราต้องทำความเข้าใจถึงปัญหา ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่คิดแทนเขา เพราะนั่นไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงซึ่งจะส่งผลให้นวัตกรรมไม่ตอบโจทย์” นันทิพัฒน์ นาคทอง ผู้ร่วมพัฒนาวิชั่นเนียร์ กล่าว

วิชั่นเนียร์ ประกอบด้วย แว่นตาติดกล้องจิ๋ว สำหรับถ่ายภาพจากด้านหน้าของผู้ใช้ และกล่องประมวลผลทำหน้าที่วิเคราะห์รูปภาพและอธิบายในรูปแบบของเสียงพูดให้ แก่ผู้ใช้งาน ซึ่งสามารถควบคุมผ่านการสั่งงานด้วยเสียงหรือปุ่มหมุนบริเวณกล่องประมวลผล วิชั่นเนียร์สามารถแยกแยะธนบัตรโดยใช้เทคนิคทางรูปทรง, แยกประเภทสินค้าโดยใช้บาร์โค้ดเสมือนหนึ่งมี เครื่องอ่านบาร์โค้ด, แยกสีด้วยเซนเซอร์และตรวจจับแหล่งกำเนิดแสงคล้าย ๆเครื่องวัดแสง คุณสมบัติเหล่านี้สามารถทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต แต่เมื่อเชื่อมต่อวิชั่นเนียร์กับแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ ก็สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อขอคำอธิบายภาพด้านหน้าจากบุคคลอื่น

ทีมงานยังออกแบบให้ใช้งาน ได้ง่ายสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือ ถือ คาดว่าต้นปีหน้าจะออกสู่ตลาดในราคา 3,000-5,000 บาท ระหว่างนี้อยู่ในการจัดตั้งบริษัทและระดมทุนสนับสนุนในรูปแบบของการทำธุรกิจ เพื่อสังคม นั่นหมายความว่า สินค้าส่วนหนึ่งจะแจกฟรีภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มทุนหรือหน่วยงานรัฐบาล อาทิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้ผู้พิการมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีพร้อมทั้งพัฒนาฟังก์ชันการใช้งาน ที่ตอบสนองความต้องการเพิ่มขึ้น เช่น การดูเลขบนสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งถือเป็นอาชีพหลักของผู้พิการกลุ่มนี้ หรือการซื้อหาสินค้าที่ได้จากการอ่านบาร์โค้ดด้วย เครื่องอ่านบาร์โค้ดภายในตัวแว่น เป็นต้น
เด็กไทยคว้ารางวัล ‘วิชั่นเนียร์-โยกเยก’

‘โยกเยก’ ของเล่นนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ

ใน ส่วนของผลงานด้านการออกแบบนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ‘โยกเยก’ ของเล่นสำหรับเด็กพิการซํ้าซ้อนกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยโยกเยก จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้รับรางวัลที่ 2 ชวิศา พงษ์อำไพ อธิบายว่า มุ่งเน้นการพัฒนากล้ามเนื้อขาที่อ่อนแรง โดยศึกษาพฤติกรรมการโยกชิงช้าของเด็กๆ พบว่า ขณะที่เล่นเด็กจะกระตุ้นความรู้สึกของตัวเองด้วยความรู้สึกโอบอุ้ม โดยมุ่งเน้นพัฒนากล้ามเนื้อที่อ่อนแรง ในการออกแบบม้าโยก คือสามารถเล่นได้ทั้งสองทางที่เด็กๆ จะได้ใช้ขาในการออกแรง ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความสนใจพฤติกรรมการโยกชิงช้าของเด็กๆ ขณะที่เด็กเล่นโยกหน้าหลังจะใช้กำลังขา พลิกกับแรงเสียดทาน และฝึกการทรงตัวหมุนได้รอบด้าน

โยกเยกสามารถเล่นได้ทั้งสองด้าน ด้านแรกคือการโยกหน้าหลัง และเมื่อพลิกกลับด้านจะเป็นการโยกแบบรอบทิศทาง ทั้งนี้ ได้ออกแบบ joggle หรืออุปกรณ์ลดแรงเสียดทานเพื่อประกอบกับชิ้นงาน เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกตัว รวมถึงฝึกการใช้ขาและออกแรงขาเพิ่มขึ้นในขณะที่เล่น รูปร่างของม้าโยกจะมีลักษณะเป็นเส้นโค้งที่รับกับขาของเด็ก โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเป็ด ซึ่งในอนาคตจะออกแบบทำเสียงเมโลดี้ฝังไปในตัวโยกเยกเพื่อให้เกิดการรับฟัง เพิ่มขึ้นด้วย

“หลังจากได้รับรางวัล เราพยายามนำไปต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ด้วยการนำไปทดสอบประสิทธิภาพ และผลที่ได้รับจากกลุ่มเด็กที่ใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผลิตภัณฑ์และ การพัฒนาต่อยอดในอนาคต” ชวิศา ผู้แทนกลุ่มกล่าว

ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโส สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และประธานอำนวยการจัดงาน i-CREATe 2015 ฝ่ายไทย กล่าวว่า จุดประสงค์ของการจัดงานครั้งแรกคือ การกระตุ้นให้นักวิจัยพัฒนานวัตกรรมเพื่อผู้พิการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากอุปกรณ์จากต่างประเทศมีราคาแพง โอกาสเข้าถึงยาก การพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้จะทำให้ผู้พิการมีโอกาสได้ใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพใน ราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เท่ากับเป็นการลดความพิการและความเหลื่อมล้ำลงได้ ทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ที่สำคัญจะได้นวัตกรรมที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้พิการในแต่ละประเทศ ได้อย่างเหมาะสม

Cr.กรุงเทพธุรกิจ

Single Gateway ให้ CAT ทำ

 
Single Gateway ให้ CAT ทำ
Single Gateway ให้ CAT ทำ

รมว.ไอซี ที ยัน Single Gateway ยังไม่เข้า ครม. และยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ยันโครงการทำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดการลงทุนซับซ้อนไม่ได้ต้องการล้วงข้อมูล

24 ก.ย. 2558 สำนักข่าวบีบีซีไทยรายงาน คำให้สัมภาษณ์ของ พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และรองประธาน กสทช. กรณีรัฐบาลไทยกำลังดำเนินการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูล ข่าวสารจากต่างประเทศผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตว่า

แท้จริงแล้วเป้าหมายของรัฐบาลคือต้องการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจดิ จิทัลในภูมิภาค สร้างแรงจูงใจให้เอกชนเข้ามาใช้ช่องทางเชื่อมต่อของไทยแทนที่จะเป็นเพื่อน บ้าน อย่างสิงคโปร์หรือมาเลเซีย อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าไทยยังมีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านนี้ด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

ทั้งนี้ เขามองว่า ควรจะเรียก Single Gateway ว่าเป็น “ฮับ” หรือศูนย์กลางดิจิตัล จะเหมาะสมกว่า โดย บริษัท กสท โทรคมนาคม (จำกัด) หรือ CAT จะเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ “ฮับ” และเมื่อมีความพร้อมก็จะเชิญผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในไทยที่มีอยู่ราว 9 รายให้หันมาเลือกช่องทางนี้

นอกจากนี้ พ.อ.เศรษฐพงศ์ ไม่ได้ปฏิเสธเป้าหมายเรื่องความมั่นคงของรัฐในโลกไซเบอร์ ที่การสร้างศูนย์กลางช่องทางจราจรดิจิทัลจะทำให้ง่ายต่อการรับมือแล้ว ยังต้องอาศัยกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงไซเบอร์มารองรับการทำงานของรัฐ ป้องกันการโจมตีและอาชญากรรมในโลกไซเบอร์ กับทำให้มีความเป็นสากลสอดคล้องกับหลายประเทศที่มีกฎหมายลักษณะนี้แล้ว เช่น สหรัฐฯ 




นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึง กรณีการคัดค้านการจัดตั้ง Single Gateway ว่า Single Gateway เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนเหตุผลทางเศรษฐกิจ ไม่ได้ทำเพื่อความมั่นคง แต่ต้องการช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการอินเทอร์เน็ตที่มีโครงข่ายเชื่อมต่อ อินเตอร์เน็ตระหว่างประเทศ (เกตเวย์) ของตนเอง สามารถร่วมใช้โครงข่ายเดียวในการให้บริการ ซึ่งทางกระทรวงไอซีทีจะไม่บังคับว่าจะมีผู้ประกอบการรายใดจะมาเข้าร่วมบ้าง ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ โดยหลังจากนี้จะมีการเชิญภาคธุรกิจ และภาคประชาชนเข้ามาหารือพร้อมทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน
       

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวอยู่ในขั้นของการพิจารณา แต่ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม และยังไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดังนั้น กระแสการคัดค้านน่าจะเป็นความเข้าใจที่คาดเคลื่อน รัฐบาลไม่ได้ต้องการนำมาใช้ควบคุมข่าวสารอย่างที่เข้าใจ รัฐบาลยังเคารพสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนในการใช้งานอินเทอร์เน็ตอยู่ และที่สำคัญโครงการดังกล่าวไม่ได้ยึดโมเดลต้นแบบของประเทศในระบบคอมมิวนิสต์ ที่ใช้กันแต่อย่างใด
      
ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูง จากกระทรวงไอซีที กล่าวว่า ความจริงแล้วไม่ควรใช้คำว่า Single Gateway เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่ารัฐบาลจะรวมเกตเวย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ประมาณ 9 ราย มาใช้เกตเวย์อันเดียวกัน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ รัฐบาลไม่ได้ต้องการยุบเหลือเกต์เวย์เดียว แต่ต้องการให้เกตเวย์ที่ให้บริการอยู่ผ่านฮับอันเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลจะดูแค่เรื่องความปลอดภัย เพราะในอนาคตสงครามไซเบอร์จะมีมากขึ้นการให้เกตเวย์วิ่งผ่านฮับเดียวกันจะทำ ให้เราตามหาผู้กระทำผิดได้
       

ที่สำคัญรัฐบาลจะทำโครงการดังกล่าวได้จำเป็นต้องมีกฎหมายที่เกี่ยว กับกลุ่มกฎหมายด้านความมั่นคง ได้แก่ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และกฎหมายการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มีผลบังคับใช้ก่อน ดังนั้น รัฐบาลจะละเมิดข้อมูลไม่ได้ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
      
ทุกวันนี้ นอกจากเกตเวย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังมีเกตเวย์เถื่อนอีกจำนวนมาก การทำโครงการนี้จะทำให้เรามีความปลอดภัยมากขึ้น ต่างประเทศก็ทำกัน แต่ต้องย้ำว่า โครงการนี้ยังไม่เกิด ดังนั้น ขออย่าให้ประชาชนคิดไปไกล หรือกังวลเกินเหตุ





Cr.ผู้จัดการ,ประชาไท,Synergy | Facebook ,เล่าสู่กันฟัง ,
      

MUSE Live in Bangkok ร็อกจากอังกฤษ


MUSE Live in Bangkok
MUSE Live in Bangkok

คอนเสิร์ตครั้งแรกในเมืองไทยของมิวส์ (MUSE) วงดนตรีร็อกจากอังกฤษ เมื่อคืนวันพุธที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะไม่แมส กระแสไม่แรง แต่คนดูก็เต็มอิมแพ็คอารีน่า หลังจากวงเปิดแสดงไปราวครึ่งชั่วโมง มิวส์ก็ขึ้นเวทีในเวลา 21.36 น. เปิดโชว์ด้วยสองเพลงจากอัลบั้มใหม่ Psycho, Reapers แล้วย้อนอดีตแบบมัน ๆ ด้วย Plug In Baby, Resistance, Unstainable คั่นด้วยอีกหนึ่งเพลงใหม่ Dead Inside แล้วต่อด้วย Hysteria เพลงที่เป็นจุดพีคของครึ่งแรก เป็นเพลงฮิตขวัญใจแฟน ๆ ชาวไทยที่มันกันสุดเหวี่ยง เสียงร้องดังกว่าเพลงไหน ๆ


ในบรรดาคนฟังเพลง มีคำพูดหนึ่งที่เรามักจะพูดกันว่า "ถ้าไม่ได้ดู... คงในบรรดาคนฟังเพลง มีคำพูดหนึ่งที่เรามักจะพูดกันว่า "ถ้าไม่ได้ดู... คงตายตาไม่หลับ" หรือ "ได้ดู... แล้ว ตายตาหลับแล้ว" ซึ่งเรามักจะพูดถึงวงที่ชอบที่รักแบบสุด ๆ ใน...นั้นเราก็เติมชื่อศิลปินไปแตกต่างกันไปตามแต่ความชอบของแต่ละคน แต่มิวส์ (MUSE) วงดนตรีร็อกจากอังกฤษก็เป็นวงที่มหาชนควรได้ดูก่อนตาย ไม่ว่าคุณจะชอบเพลงของเขาหรือไม่ก็ตาม

แน่นอนหนึ่งในวงดนตรีที่คนฟังเพลงควรได้ดูคือ มิวส์ (MUSE) วงดนตรีร็อกจากอังกฤษ ที่เริ่มจากการเป็นวงดนตรีที่ไม่มีใครเอา จะไปค่ายสายอัลเทอร์ก็โดนปฏิเสธ พอจะไปทางร็อก-เมทัล ก็โดนปฏิเสธอีก (เพราะทำเพลงแบบสารพัดสรรพเสียง จับอันนั้นผสมอันนี้ ก็เลยไม่เข้าพวกไหนเลย เรียกเท่ ๆ ว่า "ยูนีก") แต่ด้วยไอเดียและฝีมือ พวกเขาก็พาตัวเองขึ้นมาเป็นแถวหน้าของโลกจนได้


พอพีคแล้วก็หาทางลงสวย ๆ ด้วยเพลงเก๋ ๆ Citizen Erased ที่ทั้งพลุ่งพล่าน หม่นหมอง โหยหวน และสงบเย็น หลายอารมณ์ในเพลงเดียว จากเพลงที่เปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วก็ต้องมาปรับอารมณ์กันใหม่ด้วยเพลงแห่งความสุข Feeling Good ที่มากับวิชวลเอฟเฟ็กต์สายลมแสงแดดสุด ๆ ทั้งต้นไม้ ดอกไม้ ผีเสื้อ แมงปอ แสงอาทิตย์สีแดง มาครบเหมือนในเนื้อเพลง

จากนั้นเข้าสู่ค่อนท้ายของโชว์ด้วย ด้วย Drum & Bass Solo แล้วไปสนุกกับจังหวะตึ๊บ ๆ ตั๊บ ๆ และสุ้มเสียงอิเล็กทรอนิกส์ในเพลง Madness ตามมาด้วยบรรดาเพลงฮิตที่อยู่ในทุกโชว์ Super Massive Black Hole, Time is Running Out, Starlight, Uprising แล้วพวกเขาก็หายไป ให้แฟน ๆ อังกอร์ ทิ้งเวลาไม่กี่นาทีทั้งสามคนก็กลับขึ้นมาบนเวทีพร้อมเพลง Mercy จบเพลงด้วยการยิงเปเปอร์ชูตสีสวย ก่อนจะปิดท้ายคอนเสิร์ตอย่างอลังการด้วยเพลง Knights Of Cydonia ที่สุดจาก  มิวส์ (MUSE) วงดนตรีร็อกจากอังกฤษ

เซ็ตลิสต์ที่มิวส์คัดสรรมา ถูกใจคนดูมาก ๆ มีเพลงฮิตจากทุกยุค เพลงไม่ฮิตแต่เป็นเพลงที่แฟน ๆ ชอบก็มีโผล่มาด้วยเช่นกัน แต่ก็ยังมีหลายเพลงที่แฟน ๆ บ่นว่าอยากดูแต่ไม่ได้ดู ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากเสมอสำหรับวงที่มีอายุงานยาวนาน มีผลงานเยอะ และมีแฟนพันธุ์แท้ คือแฟน ๆ มักจะบ่นอยากดูเพลงนั้นอยากฟังเพลงนี้ที่ตัวเองชอบ นอกเหนือจากเพลงฮิต ๆ และยิ่งเป็นวงที่เพลงฮิตเยอะ การจะเลือกเพลงฮิตของฮิตมาเล่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่ต้องลุ้นไปถึงว่าจะได้ดูเพลงที่ไม่ฮิตหรือไม่ แต่ถ้าโชคดีว่าได้ดูเพลงไม่ฮิตก็ต้องทำใจว่ามีเพลงฮิตบางเพลงที่หายไป

เวลา 1 ชั่วโมงครึ่งกับเพลง 16 เพลงจาก มิวส์ (MUSE) วงดนตรีร็อกจากอังกฤษ ผ่านไปเพลงแล้วเพลงเล่า แบบที่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก เผลอแป๊บเดียวถึงเพลงที่ 10 ก็ใจหายแว๊บ กลัวคอนเสิร์ตจบ นอกจากคำทักทาย สวัสดี ขอบคุณ ผมรักคุณ แล้วพวกเขาไม่ไม่พูดพร่ำอะไรเยอะ มุ่งแต่บรรเลงเสียงเพลงให้ฟังอย่างเดียว ใครที่เคยดูบันทึกการแสดงสดใหญ่ ๆ ของพวกเขาก็คงจะได้เห็นแล้วว่าดียังไง ส่วนโชว์ในบ้านเราที่ผ่านไปนั้นก็ไม่มีอะไรต่างกันเลย นอกจากสถานที่และคนดูเท่านั้นที่ทำให้ภาพรวมคอนเสิร์ตดูต่างกันไปบ้าง

วงนี้ มิวส์ (MUSE) วงดนตรีร็อกจากอังกฤษพลังเยอะเหลือล้น แม็ต เบลลามี เป็นนักร้องที่เพอร์เฟ็กต์มาก ใช้เสียงมานานแต่ก็ยังคุณภาพเสียงดี ร้องดีไม่มีหลุด เสียงสูง ๆ ขึ้นได้สบาย วงเต็มที่กับโชว์มาก ๆ ขนาดว่าเอาเปียโนตัวใหญ่มาทัวร์ด้วยเพื่อเล่นไม่กี่เพลง ในขณะที่ศิลปินบางคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อยก็อาจจะเปิดแบ็คกิ้งแทร็คเอาก็ได้ แต่มิวส์จัดมาให้ทุกอย่างตามมาตรฐานมิวส์

สำหรับความเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์ของคอนเสิร์ตนี้เกินความรู้ความสามารถที่จะอธิบายรายละเอียดออกมาได้จริงๆแต่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกว่าดีมากๆดูคอนเสิร์ตมาก็ไม่น้อย แต่ยังไม่เคยรู้สึกว่าคอนเสิร์ตไหนสมบูรณ์แบบขนาดนี้จริง ๆ ...กราบคารวะ แด่ร็อกสุด ๆ   มิวส์ (MUSE) วงดนตรีร็อกจากอังกฤษ

Cr.ประชาชาติธุรกิจ,ข้อมูลอัพเดท ,Synergy | Facebook ,e-news ,

24 ก.ย. 2558

ธงวันมหิดล ปีนี้สีอะไร

        
ธงวันมหิดล ปีนี้สีอะไร
ธงวันมหิดล ปีนี้สีอะไร

        ธงวันมหิดล การจำหน่าย "ธงวันมหิดล" กิจกรรมดังกล่าว เริ่มมีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ศ.นพ.กษาณ จาติกวนิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ได้เสนอให้ศิริราชมีการจำหน่าย "ธงวันมหิดล" เพื่อให้ประชาชนทุกฐานะมีส่วนเกื้อกูลผู้ป่วยยากไร้ของโรงพยาบาลศิริราช


       ในปีแรกมีการจำหน่ายธงขนาดกลางราคา 10 บาท และธงเล็กทำด้วยริบบิ้น ราคา 1 บาท นักศึกษาทุกหมู่เหล่าในวิทยาเขตศิริราช ได้ช่วยกันออกไปจำหน่าย ซึ่งรายได้ทั้งหมดนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ การรักษาพยาบาล และเครื่องอำนวยความสุขแก่ผู้ป่วยยากไร้

          โดยในครั้งแรก แบบธงวันมหิดลเป็นรูปสามเหลี่ยม มีรูปพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบรมราชชนก พิมพ์อยู่ตรงกลางผืนเช่นเดียวกับในปัจจุบัน แต่พิมพ์เป็นรูปสีเขียวบนผ้าขาว ภายหลังได้มีการเปลี่ยนแปลงให้ใช้ผ้าสีที่ ตรงกับวันมหิดลในปีนั้น และทำสติ๊กเกอร์ขึ้นแทนธงริบบิ้น ต่อมา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ก่อตั้งศิริราชมูลนิธิขึ้นเพื่อบริหารจัดการด้านการเงินให้มีความคล่อง ตัวมากยิ่งขึ้น คณะฯ จึงมอบให้ศิริราชมูลนิธิ รับผิดชอบการจำหน่ายธงวันมหิดล
 
          ใน พ.ศ. 2502 การจำหน่ายธงได้ผลดีเกินคาด ธงไม่พอสำหรับวันขายใหญ่ "กลุ่มอาสามหาวิทยาลัยมหิดล" ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาจากทุกคณะ และทุกวิทยาเขตจึงอาสาทำธงให้ โดยระดมทำอยู่ 2 วัน 2 คืน จนมีธงพอจำหน่ายในวันที่ 23 กันยายน ในปีนั้น                                           
          ปีต่อมาคณะกรรมการจำหน่ายธงวันมหิดล จึงมีมติให้จ้างกลุ่มอาสาฯ ทำธงแทนจ้างบริษัทเอกชน เพราะเล็งเห็นว่านักศึกษาทำได้ดีเทียบเท่ามืออาชีพ และยังเป็นการสนับสนุนการทำกิจกรรมของนักศึกษา นอกจากนี้ผลกำไรทางกลุ่มอาสาฯ ยังนำไปสร้าง โรงเรียนในชนบททุกปี เรียกว่าได้บุญ 1 ต่อ

          สำหรับ สีของธงในแต่ละปีจะตรงกับวันมหิดลในปีนั้น ๆ เช่น หากปีไหนวันมหิดลตรงกับวันพุธ ธงจะเป็นสีเขียว และเมื่อบริจาคเงินสมทบทุนศิริราชมูลนิธิ จะมีสติ๊กเกอร์วันมหิดล มอบเป็นของที่ระลึก
ส่วนปีนี้จะเป็นธง " สีเหลือง " 

ธงวันมหิดล ปีนี้สีอะไร
ธงวันมหิดล ปีนี้สีอะไร
 
                                                                 การจัดกิจกรรมในวันมหิดล
 
          หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้น  อาทิ
          1. กิจกรรมรับบริจาคสมทบทุนศิริราชมูลนิธิ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา คณะนักศึกษาแพทย์และพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดกิจกรรมออกรับบริจาคสมทบทุนศิริราชมูลนิธิเนื่องในวันมหิดล ในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน ของทุกปี

          โดยกิจกรรมหนึ่งในการขอรับบริจาค คือ การจำหน่าย "ธงวันมหิดล" กิจกรรมที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เริ่มมีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ศ.นพ.กษาณ จาติกวนิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ได้เสนอให้ศิริราชมีการจำหน่าย "ธงวันมหิดล" เพื่อให้ประชาชนทุกฐานะมีส่วนเกื้อกูลผู้ป่วยยากไร้ของโรงพยาบาลศิริราช
         
          2. การจัดนิทรรศการ เช่น พระประวัติ และผลงานของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

          3. การจัดสัมมนาทางวิชาการ เช่น การแพทย์ใหม่ในประเทศไทย

          4. การอภิปรายตามแนวพระดำริ เกี่ยวกับการแพทย์ไทย

          5. การประกวด หรือการแข่งขันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การประกวดโรงพยาบาลดีเด่น

          6. อื่น ๆ เช่น การมอบรางวัลให้กับแพทย์ พยาบาล ดีเด่น และผู้เสียสละเพื่อชาวชนบท เพื่อสังคม 

       
          วัน ที่ 24 กันยายน เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (กรมหลวงสงขลานครินทร์) พระผู้ได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธยจากแพทย์และประชาชนทั่วไปว่า "พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย"

          ด้วยพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญแก่วงการแพทย์ และการสาธารณสุขของประเทศไทยมาตลอดระยะเวลา 12 ปีนั้น ได้เสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่โรงเรียนแพทย์ อีกทั้งได้ทรงพัฒนาการเรียนการสอน ตลอดจนการผลิตแพทย์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นการวางรากฐานแก่การแพทย์ และการสาธารณสุขให้เจริญพัฒนาก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศในกาลต่อมา

          คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลจึงได้ขนานนามวันสำคัญนี้ว่า "วันมหิดล" เพื่อเป็นการถวายสักการะ และน้อมรำลึกต่อพระองค์ท่าน 
 
          และในปี พ.ศ. 2493 หรือ 21 ปี หลังจากที่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ได้ทิวงคต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บรรดาศิษย์เก่าศิริราช ตลอดจนประชาชนทั่วไป ได้ร่วมใจกันสร้างพระราชาอนุสาวรีย์ขึ้น ณ ใจกลางโรงพยาบาลศิริราช เพื่อน้อมเกล้าถวายความกตัญญูกตเวที และเฉลิมฉลองพระเกียรติคุณให้ไพศาล เป็นแบบฉบับให้อนุชนรุ่นหลังได้เจริญตามรอยพระยุคลบาทสืบไป โดยมอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการสร้าง มีศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ควบคุมงาน

          ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิดพระราชอนุสาวรีย์เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2493 และนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 เป็นต้นมา ทุกวันที่ 24 กันยายน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้จัดงาน "วันมหิดล" โดยมีพิธีวางพวงมาลาถวายบังคมพระรูป พร้อมทั้งอ่านคำสดุดีพระเกียรติ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เป็นประจำทุกปี

สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดงานวันมหิดล

          1. เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและผลงานของผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก ให้ปรากฏแก่มวลสมาชิกทั่วโลก

          2. เพื่อเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง ร่วมกับประเทศที่มีผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ

          ในการนี้รัฐบาลไทย โดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นผู้สืบค้นบรรพบุรุษไทยผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมเพื่อให้ยูเนส โกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและได้ประกาศยกย่องสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงเป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก ในวาระครบรอบ 100 ปี วันพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2535

พระประวัติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก 
 
          สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2434 และสวรรคตเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2472 รวมพระชนมายุ 37 พรรษา 8 เดือน 23 วัน

         
ในเบื้องต้นได้ทรงศึกษาวิชาทหารเรือ ณ ประเทศเยอรมนี จากนั้นเสด็จกลับเข้ามารับราชการในกองทัพเรือ ต่อมาทรงมีอาการประชวรเรื้อรังไม่ทรงสามารถรับราชการหนักเช่นการทหารเรือได้ ประกอบกับทรงสนพระทัยในกิจการทางด้านการแพทย์ จึงทรงพระอุตสาหะ เสด็จไปศึกษาวิชาการสาธารณสุขและวิชาแพทย์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงสอบได้ประกาศนียบัตรการสาธารณสุข และปริญญาแพทยศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตเกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

          ภายหลังทรงสำเร็จการศึกษา พระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้อย่างมากมาย อาทิ
          1. ทรงเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์

          2. ทรงช่วยเหลือในการขยายกิจการของโรงพยาบาลศิริราช

          3. ประทานทรัพย์สินส่วนพระองค์ และจัดสร้างตึกคนไข้ และจัดหาที่พักสำหรับพยาบาลให้ได้อยู่อาศัย

          4. ทรงบริจาคทรัพย์เป็นทุนสำหรับส่งนักศึกษาแพทย์ และนักเรียนพยาบาลไปศึกษาต่อต่างประเทศ

          5. ประทานเงินเพื่อใช้ในการจัดหาเครื่องมือ สำหรับปฏิบัติการให้แก่โรงพยาบาล

          6. ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลติดต่อกับมูลนิธิรอคกีเฟลเลอร์ สาขาเอเชียบูรพา ในการปรับปรุง และวางมาตรฐานการศึกษา

          7. ทรงอุทิศเวลาส่วนใหญ่ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยด้วยพระองค์เอง


Cr.Kapook,mahidol.ac.th,

22 ก.ย. 2558

คลิปเพลง "ชูใจ" ค่าลิขสิทธิ์


คลิปเพลง "ชูใจ" ค่าลิขสิทธิ์
คลิปเพลง "ชูใจ" ค่าลิขสิทธิ์
สร้างกระแสความสนใจได้ตั้งแต่เพลงยังไม่ทันคลอด เมื่อเพลง "ชูใจ" ที่แรปเปอร์เมืองเหนือ "ฟักกลิ้ง ฮีโร่" ตั้งใจแต่งให้ลูกสาว ดันติดที่ค่าลิขสิทธิ์จำนวนหนึ่ง จึงทำให้เพลงยังไม่สามารถทำได้เสร็จสมบูรณ์ 100%

แต่ทันทีที่ได้ร้องตัวอย่างให้ "โน้ส อุดม" ฟังเท่านั้นแหละ ลุงดมจึงแอบช่วยค่าลิขสิทธิ์ก้อนดังกล่าว เพื่อให้เพลงได้เสร็จสมบูรณ์ออกมาให้คนได้ฟังกัน พร้อมเจิมให้เสร็จสรรพว่า นี่คือเพลงของชาติ เป็นเพลงของลูกๆ ทุกคน และขอเป็นส่วนหนึ่งในงานศิลปะชิ้นนี้

ต่อมา หนุ่มกอล์ฟได้ไปออกรายการ และร้องสดตัวอย่างเพลง "ชูใจ" ให้ผู้ชมได้ฟัง ซึ่งต่างชื่นชมกันว่า ขนาดร้องแค่ตัวอย่างยังซึ้งกินใจมากๆ และเป็นเพลงความหมายดีๆ ที่ทุกคนต้องฟัง!

ล่าสุด เพลงมาสเตอร์ฉบับเต็มได้ถูกปล่อยออกมาเรียบร้อยแล้ว ต้องบอกว่าเกินคาดกว่าเวอร์ชั่นแร็ปสดที่ได้ฟังกันไปก่อนหน้านี้

และคำว่าติดค่าลิขสิทธิ์ที่เจ้าตัวบอก ก็คือการนำคำร้อง และทำนองส่วนหนึ่งมาจากเพลง หลับตา ปี 2531 เนื้อร้อง โดย ชรัส เฟื่องอารมณ์ ทำนอง/เรียบเรียง โดย พนเทพ สุวรรณะบุณย์ โดยได้รับอนุญาตจาก บริษัท จีเอ็มเอ็มแกรมมีจำกัด (มหาชน)

ซึ่งเป็นส่วนเติมเต็มให้เพลง "ชูใจ" มีความขลัง และไพเราะอย่างมาก เมื่อมาผสมผสานกับเสียงร้องในสไตล์ฟักกลิ้ง ฮีโร่ จะเพราะและดีขนาดไหน ลองไปฟังกันเลย




Cr.ประชาชาติธุรกิจ,Synergy | Facebook ,เล่าสู่กันฟัง ,doly news ,

รถไฟฟ้าสายสีม่วง จากญี่ปุ่นถึงไทยแล้ว


รถไฟฟ้าสายสีม่วง จากญี่ปุ่นถึงไทยแล้ว
รถไฟฟ้าสายสีม่วง จากญี่ปุ่นถึงไทยแล้ว

รมว.คมนาคม เป็นประธานในพิธีรับมอบขบวนรถไฟฟ้าสายสีม่วงบางใหญ่-เตาปูน ลอตแรก 2 ขบวน 6 ตู้จากญี่ปุ่นถึงไทยแล้ว เตรียมให้บริการปลายปี 2559...

เมื่อ เวลา 15.00 น. วันที่ 21 ก.ย ที่ท่าเรือแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีรับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ – เตาปูน 2 ขบวนแรกจากประเทศญี่ปุ่น โดยมีนายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชลแห่งประเทศไทย ร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ขบวนรถไฟฟ้า 2 ขบวนแรก ที่จะนำมาให้บริการในระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่-เตาปูน ถูกขนส่งโดยเรือ TMN Progress โดยบริษัท บทด จำกัดด จกท่าเรือเมืองโยโกฮาม่า ถึงท่าเรือแหลมฉบัง

และหลังจากนี้ ขบวนรถที่เหลือจะทยอยเดินทางถึงประเทศไทยจนครบ 21 ขบวนภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งขบวนรถไฟฟ้าแต่ละขบวนจะมีตู้โดยสาร 3 ตู้รองรับผู้โดยสารได้ขบวนละ 921 คน ต่อขบวน ตัวรถไฟฟ้าทำจากสเตนเลสปิดทับด้วยไวนิล มีความแข็งแรง ปลอดภัยได้มาตรฐานสากล ผลิตโดยบริษัท J-TREC ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถไฟฟ้าความเร็วสูงอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ที่มีประสบการณ์ในการผลิตขบวนรถไฟฟ้า รถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูงมานาน 67 ปี

ขบวนรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่บีเอ็มซีแอลได้สั่งจากประเทศญี่ปุ่นมีทั้งสิ้น 21 ขบวน 63 ตู้ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนทยอยส่งมอบทางเรือมาไทย และหลังจากนี้ มีการทดสอบระบบและการเดินรถปลายปี 58 และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือน ส.ค.59 ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ได้รับสัมปทานให้บริการช่วงบางใหญ่ - เตาปูน สัญญาที่ 4 ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี

ขณะนี้ขบวนรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ชุดแรก 3 ขบวน 9 ตู้ ที่บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีเอ็มซีแอล ได้มอบหมายให้กลุ่มกิจการร่วมค้า มารูเบนิ - โตชิบา เป็นผู้จัดหา โดยมีบริษัทเจ-เทรค เมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ผลิตและประกอบ ได้ส่งลงเรือ ทีเอ็มเอ็น โปรเกรส จากเมืองท่าโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น มาถึงประเทศไทยแล้ว ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เมื่อเวลา 9.00 น. วันที่ 18 ก.ย.58 และหลังจากนี้ จะมีการขนส่งไปที่ศูนย์ซ่อมบำรุงสถานีคลองบางไผ่ จ.นนทบุรี ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกที
 
นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล กล่าวว่า ขบวนรถไฟฟ้าลอตแรกที่เดินทางมาถึงประเทศไทยนี้ ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความก้าวหน้าในการเร่งรัดและดำเนินการระบบรถไฟฟ้า สายสีม่วง ที่จะเปิดให้บริการเร็วกว่ากำหนด โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง นับเป็นระบบรถไฟฟ้ายกระดับสายแรกของ รฟม.และมีเส้นทางเดินรถที่ครอบคลุมถึง เขตปริมณฑล ระหว่างกรุงเทพมหานครและนนทบุรี โดยขอยืนยันรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะพร้อมให้บริการเชิงพาณิชย์ภายในเดือนสิงหาคม 2559.

Cr.ไทยรัฐ,ข้อมูลอัพเดท ,Synergy | Facebook ,e-news ,

20 ก.ย. 2558

รักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด


วิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด
 Photo : ฉีดสีดูเส้นเลือดที่ตีบเส้นเดิมก่อนและหลังทานสมุนไพร

นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ หรือ หมอเบิร์ด ประสาทและศัลยแพทย์ คลินิคโรคทางสมองและประสาท โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย วิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาดว่า จากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบมาเป็นเวลานานพบว่า โรคนี้เป็นโรคที่ติดอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิต โดยปี 2557 เส้นเลือดในสมองตีบทำให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 และก่อให้เกิดความพิการเป็นอันดับ 1  ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูงมาก ทั้งการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเฉลี่ยครั้ง 15,000 บาทต่อครั้ง และการใส่สายสวนเพื่อขยายหลอดเลือดแดงเฉลี่ย 200,000 บาทต่อครั้ง จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพเป็นประจำ ควรมี เครื่องวัดความดัน  เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เครื่องวัดออกซิเจน เพื่อดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดก่อนที่จะสายเกินแก้

สาเหตุ ของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบมี 3 ประการ ด้วยกันคือ 1.หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือลิ้นหัวใจมีปัญหา 2.เส้นเลือดที่บริเวณลำคอตีบทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ และ 3.สมองตันจากไขมันหรือหินปูนเกาะ ซึ่งคนทั่วไปที่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะเส้นเลือดในสมองตีบได้ โดยเปรียบเทียบจากท่อน้ำที่มีอายุ มองภายนอกอาจไม่ทราบเพราะน้ำยังไหลอยู่ ไม่มีอาการ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ตีบหรือตัน ภายในย่อมเกิดสนิมเกาะและในที่สุดก็จะอุดตันได้ หรือคนที่มีโรคความดันโลหิตสูง ไขมัน เบาหวาน และสูบบุหรี่ มีโอกาสที่เส้นเลือดจะขรุขระหรืออุดตันได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาทันก็ดีไป แต่หากไม่ทันมีโอกาสพิการ เรียกว่า ครึ่งต่อครึ่งพิการหากเป็น หรือเป็นอัมพาตได้

จึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ แม้นจะมีเครื่องไม้เครื่องมือตรวจวัด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดออกซิเจน เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาดูแลสุขภาพหรือออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวได้ จึงพยายามหาวิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด ทั้งการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันหรือทางการแพทย์ที่ทันสมัย

นพ.ประชา กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม มีคนไข้ในความดูแลหลายรายที่มารักษาด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งเรามีนวัตกรรมใหม่ในการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ใช้ใส่สายสวนลงไปที่เส้นเลือดแดงผ่านไปยังเส้นเลือดแดงใหญ่ที่หน้าอก คอ สมอง ขยายหลอดเลือดแดงที่สมอง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้มีคนไข้รายหนึ่งเป็นชายมีอาการหลอดเลือดที่คอตีบเข้ามารับการรักษาเลือด ไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงสมองทำให้เกล็ดเลือดอุดเป็นก้อน มีอาการอ่อนแรงและอัมพาตชั่วคราว ทางเราใช้ยารักษาและป้องกันจนอาการดีขึ้น แต่ต่อมาเกิดอาการซ้ำ มีการใช้ยาเพิ่ม 2 ตัว แต่เอาไม่อยู่ต้องผ่าตัดเพื่อทำบอลลูนขยายเส้นเลือด

คนไข้รายนี้กลัว การผ่าตัดมาก จึงตัดสินไม่ผ่าตัด และขอไปรักษากินยาสมุนไพร ซึ่งหมอเตือนไปว่าอาจเกิดอาการอุดตันซ้ำ ขอให้กินยาแผนปัจจุบันที่หมอให้ควบคู่ไปด้วย แต่หลังจาก 6 เดือนผ่านไปปรากฎว่าว่ามีเรื่องน่าสนใจและไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น หลังจากหมอเอกซ์เรย์และฉีดสีดูเส้นเลือดที่ตีบเส้นเดิมนั้น เส้นเลือดที่เคยตีบ หรือขรุขระ กลับเรียบสวย ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว เป็นเรื่องที่หมอไม่เชื่อแต่น่าสนใจจึงสอบถามว่าไปทำอย่างไรมา คนไข้อธิบายได้ความว่าได้นำขิง พุทราจีนแห้ง และเห็ดหูหนูดำ มาตุ๋นรวมกัน ดื่มเช้า-เย็น กินแทนน้ำ ปัจจุบันหยุดยาแผนปัจจุบันไปเลย เป็นวิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด

นพ.ประชา กล่าวว่า รายที่ 2 มีอาการหนักมาก เพราะเส้นเลือดในสมองตีบ และเลือดออกในกระเพาะ อายุ 70 ปี ต้องให้ยารักษาประคองอาการ เพราะจะให้ยาละลายลิ่มเลือดในสมองไม่ได้ เพราะต้องรอแผลในกระเพาะหายก่อน จึงลองเล่าให้ลูกสาวฟังถึงอาการของคนไข้รายแรกว่าหายได้ด้วยสมุนไพร 3 อย่างที่กล่าวมา ซึ่งแพทย์เองก็ไม่ได้เชื่อ แต่ไม่อันตรายเลยอยากให้ลองดู เพราะยาแผนปัจจุบันใช้ไม่ได้ ปรากฎว่า 2 เดือนกลับมาตรวจใหม่เส้นเลือดเรียบดีขึ้น และได้ลองบอกคนไข้รายต่อไปที่สนิทกันแนะวิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด ว่าให้ลองนำสมุนไพรมาตุ๋นดื่ม อาจมีประโยชน์จริง ปรากฎว่าดีขึ้นทุกราย เพราะเส้นเลือดที่เคยขรุขระเรียบสวยขึ้น

หมอก็เกรงว่าจะเป็นดาบสองคม จึงบอกเฉพาะคนไข้ที่สนิทกัน แต่ทั้ง 16 ราย ดีขึ้นหมด เพราะเหมือนเราล้างท่อทุกวัน จึงไม่มีทางตัน คนไข้รายที่ 2 กินแทนน้ำไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย ที่สำคัญไตยังทำงานได้ดีขึ้น เพราะพุทราจีนบำรุงไต ส่วนผสมที่เหมาะสมคือ น้ำ 1 ลิตร พุทราจีนแห้ง 20-30 ผล เห็ดหูหนูดำ 10 ช่อใหญ่ หรือ 20 ช่อเล็ก ขิง 1 ขีดใหญ่ ตุ๋นประมาณ 2-4 ชั่วโมง ได้น้ำ 50-60% กินแต่น้ำ

วิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด
Photo: พุทราจีน

นพ.ประชา กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้มีการพัฒนาต่อยอดในโรงพยาบาลของรัฐบาลด้วยวิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบ ให้หายขาด เพราะเราไม่มีปริมาณคนไข้มากพอที่จะทำงานวิจัย แต่เมื่อรู้ว่าดีก็บอกต่อ ขณะนี้ยังไม่ได้ทำการพัฒนาและวิจัยว่าจริงหรือไม่จริง 100% แต่เห็นว่าเป็นประโยชน์ และยืนยันว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากโรงพยาบาลรัฐจะทำการวิจัยโดยคนไข้จำนวนมากเพื่อดูผลก่อนและหลังว่าได้ผล กี่เปอร์เซนต์น่าจะดีและมีประโยชน์ในอนาคตในการป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือด สมองตีบ แต่ในแง่ของการรักษาเบื้องต้นสามารถมารับการรักษาและรับคำแนะนำได้ที่ คลินิคโรคหลอดเลือดทางสมองและประสาท โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทางโรงพยาบาลมีระบบช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ตีบหรือแตก

วิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด
Photo: เห็ดหูหนูดำ

อาการองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ คือ อ่อนแรง หรือชาแขนขาซีกใดซีกหนึ่งทันทีทันใดพูดไม่ชัด ไม่เป็นคำ หรือพูดไม่ได้ทันทีทันใด ปากเบี้ยว ตามืดมองไม่เห็นทันทีทันใดข้างใดข้างหนึ่ง คนที่มีโรคความดันโลหิตสูง ไขมัน เบาหวาน และสูบบุหรี่ มีโอกาสที่เส้นเลือดจะอุดตันได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาทันก็ดีไป แต่หากไม่ทันมีโอกาสพิการ หรือเป็นอัมพาตได้ หากมีอาการดังกล่าวให้รีบไปโรงพยาบาลทันที หากช้ากว่า 4 ชั่วโมงครึ่งอาจรักษาไม่ทันและทำให้เกิดความพิการตามมา

วิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด
Photo: ขิง

ปัจจุบันหมอก็กินน้ำตุ๋นจากสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด เพราะเชื่อว่าแก้เส้นเลือดอุดตันทั่วร่างกาย ลดไขมัน ทุกคนในครอบครัวกินหมด โดยเฉพาะพี่ชายหมอ ซึ่งก็เป็นหมอเช่นกัน หลังลองกินแล้วไปเล่นกีฬาหนักๆ ไม่มีอาการปวดขาจากกล้ามเนื้อขาดเลือดอย่างที่เคยเป็นเลย ซึ่งหมอดีใจเพราะไม่อยากรักษาคนในครอบครัวที่เป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบเช่น กัน ส่วนตัวไม่อยากให้คนไทยเป็นโรคนี้เพราะเป็นแล้วจะพิการ โดยเฉพาะหัวหน้าครอบครัวที่เป็นแล้วทำให้ครอบครัวล่มสลาย จึงมีความหวังดีมาบอกต่อแนะนำวิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด โดยไม่หวังผลด้านธุรกิจ

Cr.เห็ดลม

19 ก.ย. 2558

พิพิธภัณฑ์มดแห่งเดียวในโลก


พิพิธภัณฑ์มดแห่งเดียวในโลก
สัตว์ที่อยู่คู่โลกมาช้านานอย่าง "มด" สัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย และยังเป็นหนึ่งในสัตว์ตัวอย่างด้านความขยัน ถูกรวบรวมเอาไว้ที่ "พิพิธภัณฑ์มด" แห่งแรกและแห่งเดียวในโลก ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

"มด" ขนาดยักษ์ที่ตั้งเด่นอยู่นี้ นอกจากจะทำให้เราได้เห็นสรีระของสัตว์ตัวจิ๋วนี้อย่างชัดเจนแล้ว พื้นที่บริเวณนี้ยังจำลองให้เป็นศูนย์กลางรัง ซึ่งควบคุมกิจกรรมทั้งหมด รวมถึงที่อยู่ของนางพญา, มดเพศผู้ และส่วนนี้เองที่เราจะได้รู้จักกับ "มดงาน" มดเพศเมียที่เป็นหมันและมีจำนวนมากที่สุดของรัง ซึ่งมีหน้าหาอาหาร, สร้างรัง, ดูแลตัวอ่อนและป้องกันศัตรู

ส่วนบรรดามดสต๊าฟที่มีขนาดเล็กมากหากจะวัดขนาดจำต้องใช้ ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) อุปกรณ์สำหรับใช้วัดขนาดชิ้นงานความละเอียดสูง จำต้องใช้แว่นขยายส่องชมมดสต๊าฟนี้ พูดถึงสายสัมพันธ์แห่งมดที่เชื่อมโยงระหว่างระบบนิเวศและสัตว์อื่น ๆ รวมไปถึงมดที่หาดูได้ยาก เช่น มดหลังโล่ ที่สวยงามและไม่ดุ หรือ "มดตะนอย" ที่ต่อยปวดที่สุดแต่ไม่ดุร้าย

พิพิธภัณฑ์มด ตั้งอยู่ที่ ตึกวินิจวนันดร ภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2544 เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ในทุกๆ เรื่องราวเกี่ยวกับมด ไม่ว่าจะเป็นความเป็นมา การดำเนินชีวิต กับสืบพันธุ์ พร้อมทั้งมีการรวบรวมมดสต๊าฟกว่า 600 ชนิดจากทั่วโลก มาจัดแสดงให้ได้ชม และพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 ปี และครบรอบ 72 ปี คณะวนศาสตร์ ซึ่งได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์มดแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก

มด เป็นแมลงที่มีการสร้างรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ บางรังมีจำนวนประชากรมากถึงล้านตัว โดยในรังจะมีการแบ่งชั้นวรรณะกันทำหน้าที่ คือ "มดราชินี" มดตัวเมียที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรัง มีหน้าที่ออกไข่ และควบคุมกิจกรรมทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นภายในรังมด ลำดับต่อมคือ “มดงาน” เป็นมดเพศเมียเป็นหมัน หน้าที่หาอาหาร สร้างและซ่อมแซมรัง ปกป้องรังจากศัตรู ดูแลตัวอ่อน และงานอื่นๆ ทั่วไปเป็นวรรณะที่มีจำนวนมากที่สุดในรัง และ วรรณะสืบพันธุ์ เป็นมดเพศผู้ และราชินี เพศเมีย มีหน้าที่สืบพันธุ์

“ชีวิตอัศจรรย์ แห่งมด" ส่วนนี้ทำให้ได้รู้ว่า มดนั้นมหัศจรรย์จริงๆ ในหนึ่งรังจะมีจำนวนมากเท่าใด มดเหล่านั้นก็จะฟังคำสั่งมดราชินีเพียงตัวเดียว มีทั้งความสามัคคี ความขยัน มีความรับผิดชอบในหน้าที่ จนทำทุกๆ ภารกิจไปสู่ความสำเร็จ และในจุดนี้ได้มีการนำความมหัศจรรย์ในด้านต่างๆ นี้มาเป็นต้นแบบและข้อนำในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์เราอีกด้วย ซึ่งมองเจ้ามดน้อยเป็นตัวอย่างในเรื่องความขยัน  ไม่อย่างนั้นคงต้องอายเจ้ามดน้อย

"คุณค่าอนันต์แห่งมด" ส่วนนี้ทำให้ได้รับรู้ว่า มดนั้นมีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างไรบ้าง เช่น มดเป็นแหล่งอาหารของมมนุษย์ โดยเฉพาะไข่มดแดงที่มีการนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู มดเป็นผู้ช่วยกำจัดศัตรูพืชและผสมเกสรดอกไม้

มดนั้นโดยลำตัวของมด นั้นจะถูกแบ่ง 4 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอก ส่วนเอว และส่วนท้อง และได้รู้ว่าเพิ่มขึ้นว่า การแตะหนวดกันของมดที่เห็นจนชินตา คือวิถีการสื่อสารกัน แต่ละครั้งจะมีการหลั่งสารเคมีที่เรียกว่า "ฟีโรโมน" ออกมา ซึ่งสารเคมีตั้งนี้เป็นสารเคมีที่มดใช้เป็นเข้มทิศเพื่อเดินหาอาหารและกลับ รังเหมือนมี กล้องจิ๋ว ติดตัวแถมยังใช้ค้นหาคู่ผสมพันธุ์ ซึ่งมดแต่ละรังก็จะมีฟีโรโมนที่แตกต่างกันออกไป

 “ที่ สุดของมดไทย” ให้ได้ชมว่ามดชนิดไหนเป็นสุดยอดมดในแบบต่างๆ ซึ่งไม่ควรพลาดในจุดนี้ หลังจากกดปุ่มตามป้ายที่แสดงไว้ ก็ได้รู้จัก มดที่น่ารักที่สุด ได้แก่ “เจ้ามดหลังโล่” เป็นมดขนาดกลางที่มีขนาดสวยงาม อาศัยเป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่ดุ ถ้าถูกรบกวนจะหยุดนิ่งและงอตัว และ มดที่ต่อยปวดที่สุดได้แก่ “มดตะนอย” เพราะมีพิษร้ายแรง มีต่อมพิษขนาดใหญ่ แต่กลับเป็นมดที่ไม่ก้าวร้าว ส่วนในลำดับอื่นๆ ใครที่อยากรู้ว่ามีมดชนิดไหนบ้างเป็นที่สุดของมดไทย ก็ต้องเดินทางมาหาคำตอบกันเอาเองนะ แล้วคุณจะได้รู้ว่ามดนั้นมหัศจรรย์มากๆ

Cr.ครอบครัวข่าว,ผู้จัดการ

โลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็ก ปี 2030

โลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็ก ปี 2030
กระแสข่าวนักดาราศาสตร์ค้นพบทฤษฎีใหม่จากการสังเกตดวงอาทิตย์ว่าอีก 15 ปีข้างหน้า หรือในปี 2030 (พ.ศ.2573) โลกของเราจะเข้าสู่โลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็กนั้น ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ อธิบายว่า จากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ในช่วงประมาณปี 1645-1750 มีอยู่ช่วงหนึ่งประมาณ 50 ปี ดวงอาทิตย์มีจำนวนจุดดำบนดวงอาทิตย์ หรือ “ซันสปอต” (Sun Spot) น้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย ซึ่งเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Maunder minimum”

เรา จึงรู้จักซันสปอตกันมาเป็นร้อยปีแล้ว เพราะเวลาจะสังเกตดวงอาทิตย์ต้องใช้ฟิลเตอร์ดู แล้ววัดขนาดคล้าย ๆ จากการใช้ เวอร์เนียคาลิปเปอร์ ( Vernier Caliper ) เครื่องวัดขนาด ความยาว ความกว้าง เส้นผ่านศูนย์กลาง  ซึ่งจากการศึกษาซันสปอตพบว่ามีช่วงเวลาอยู่ประมาณทุก ๆ 11 ปีจะมีจำนวนจุดสูงสุดและลดลงมาเรื่อย ๆ และก็มีจำนวนสูงขึ้นอีกที จากนั้นก็ลงต่ำอีกเป็นวัฏจักรที่มีการสังเกตพบหลังยุคกาลิเอโอไม่นาน หรือประมาณ 400 ปีที่ผ่านมา

ส่วนปริมาณซันสปอตพบว่ามีการรีเซตตัว เองหลังจากผ่านไป 11 ปี และจะมีการกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่ ทำให้ทุก ๆ 11 ปีจะกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่และมีวัฏจักรแบบนี้แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในวัฏจักรล่าสุดพบว่าจำนวนซันสปอตที่ควรมีจำนวนสูงสุด หรือเรียกว่า “โซลาร์ แม็กซิมั่ม” (Solar Maximum) เมื่อปี 2013 แต่พอเข้าปี 2012 ควรจะเป็นแล้วแต่ก็ยังไม่เกิด กลับมีซันสปอต น้อยมาก จึงคาดว่ามันอาจจะดีเลย์ได้เพราะบางทีอาจจะไม่ 11 ปีพอดี

ในช่วง ปรากฏการณ์ Maunderminimum หากย้อนกลับไปดูจากบันทึกของคนในยุโรปจะพบว่ามันตรงกับช่วงที่มีอากาศหนาว เย็นจัดมาก ซึ่งเรียกว่าเป็น “ยุคมินิไอซ์เอจ” (Mini Ice Age) อากาศในช่วงนั้นหนาวเย็นมาก ทะเลสาบบางที่โดยเฉพาะทางตอนเหนือในยุโรปกลายเป็นน้ำแข็ง และไม่ละลายเลยทั้งปี ซึ่งแตกต่างจากช่วงอื่น ๆ ที่ในฤดูร้อนน้ำแข็งจะละลาย จึงเป็นที่มาของสมมุติฐานที่ว่านี้เมื่อมีการสังเกตดวงอาทิตย์และสร้างโมเดล ทดลอง

กระแสข่าวนักดาราศาสตร์ค้นพบทฤษฎีใหม่นั้น แต่ละคนมีโมเดลไม่เหมือนกันโดยใช้คอมพิวเตอร์ทำขึ้นมาว่าสนามแม่เหล็ก เปลี่ยนแปลงแบบนี้แล้วโลกจะเป็นอย่างไร จึงเสนอว่าโลกอาจจะลงสู่ยุค Maunder Minimum หรือโลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็ก ทำให้อุณหภูมิของโลกลดลงเพราะได้รับรังสีลดลงเล็กน้อยจากดวงอาทิตย์

อย่าง ไรก็ตามการเกิดโลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็กจะไปชดเชยกับการเกิดภาวะโลกร้อนที่เกิด ขึ้นในช่วงเวลานี้ได้หรือเปล่ายังไม่มีใครทราบ แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอน แต่ว่าจะร้อนจัดเท่าไหร่ หรือเย็นลงมากแค่ไหน สถานที่ไหนร้อนขึ้นหรือเย็นลง สถานที่ใดฝนหายไปหรือสถานที่ใดมีฝนตกมากขึ้นย่อมแตกต่างกัน แต่การเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นเกิดจากฝีมือมนุษย์ค่อนข้างชัดเจนว่าน่าจะเกิด ขึ้น เพราะว่าเราไปรบกวนสิ่งต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ การเพิ่มของกรีนเฮาส์แก๊ส และมหาสมุทรยิ่งน่ากลัวมาก เพราะมหาสมุทรสามารถดูดกลืนก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ดีได้ดีกว่าบรรยากาศถึง 400 เท่า

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราปล่อยไปส่วนมากเกิดจากการเผาฟอสซิ ลมันจะลงไปอยู่ในมหาสมุทร ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศ และคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อมันละลายในมหาสมุทรสามารถทำให้มีความเป็นกรดเพิ่ม มากขึ้น มีผลกระทบมากมายมหาศาล เพราะว่าสัตว์ที่มีกระดองหรือต้องใช้แคลเซียมคาร์บอนเนต เช่น หอย ปะการังจะถูกรบกวนหมดขนาดเล็กลงวัดได้จากเครื่องวัดขนาด เวอร์เนีย( Vernier )  ล่าสุดนักฟิสิกส์จากเยอรมนีจึงมีการเปลี่ยนคำว่า Climate Change เป็น Global Change เพราะไม่ใช่เฉพาะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนเท่านั้นแต่มหาสมุทรก็เปลี่ยนด้วย ซึ่ง Global Change ทั้งหมดเกิดจากฝีมือมนุษย์ ส่วนจะร้อนขึ้นหรือเย็นลงอย่างไรมีหลายทฤษฎีมาก

การเปลี่ยนแปลงของ สภาพภูมิอากาศนั้นเปลี่ยนแน่นอน โดยส่วนตัวเชื่อว่าภาวะโลกร้อนชัดเจนมากกว่า แต่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนต้องรอดูและศึกษากันต่อไป เพราะว่าสิ่งแวดล้อมมีความซับซ้อนมาก บางโมเดลบอกว่าถ้าคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทรเพิ่มมากขึ้นมีผลจัดการตัวเอง ได้เหมือนกัน เช่น พวกสาหร่ายเซลล์เดียวจะเกิดขึ้นมากมาย เพราะใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์แสงสร้างตัวเอง หรือถ้าโลกร้อนขึ้นสิ่งที่ตามมาจะทำให้เมฆเยอะขึ้น มีผลต่อการสะท้อนแสงอาทิตย์ทำให้โลกได้รับแสงอาทิตย์น้อยลง

ดังนั้น ในอีก 15 ปีข้างหน้า บางประเทศอาจจะไม่ได้มีอากาศหนาวเย็นจัด อย่างประเทศไทยอาจจะมีแนวโน้มที่ฝนจะตกมากขึ้น และถ้าทะเลสูงขึ้นกรุงเทพฯ จะอยู่อย่างไร เพราะเป็นพื้นที่ที่ต่ำมาก และยังมีแผ่นดินที่กำลังจมลงเนื่องจากการใช้น้ำบาดาลอีก ขณะนี้ภาวะโลกร้อนค่อนข้างชัดเจน ในหลายหลักฐานไม่ใช่เฉพาะอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่มากขึ้น และยังมีอีกข้อมูลหนึ่งที่ชัดเจนคือปริมาณน้ำทะเลที่สูงขึ้นเฉลี่ย 7 เซนติเมตร ไม่ได้เกิดจากการที่น้ำแข็งละลาย เท่าที่พูดคุยกับนักฟิสิกส์หลายคนพบว่าประมาณมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์เป็นผลมาจากการที่น้ำขยายตัวจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิค่อนข้าง เป็นหลักฐานที่สำคัญ

สรุปว่าประเทศไทยเราถึงแม้จะเข้าสู่โลกยุคน้ำ แข็งขนาดเล็กในอีก 15 ปีก็คงจะไม่หนาวเย็นจนน่าตื่นเต้นมากเท่าผลจากการกระทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ด้วยน้ำมือมนุษย์ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นโลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็กของเราจะอยู่ยากขึ้นแน่นอน ฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราควรช่วยกันลดภาวะโลกร้อนด้วยวิธีง่าย ๆ และไม่ลำบากมากเกินไปด้วยการลดใช้ถุงพลาสติก ประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ ปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยโลกของเราให้น่าอยู่มากขึ้นไม่มากก็น้อย

Cr.เดลินิวส์

18 ก.ย. 2558

แสงเลเซอร์พลังงานสูง


แสงเลเซอร์พลังงานสูง
PHOTO : CERN

โลกฟิสิกส์มีตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นตั้งแต่อดีตว่า ความอยากรู้อยากเห็นของนักฟิสิกส์ได้นำมาซึ่งเทคโนโลยีที่มีคุณประโยชน์ เช่น เมื่อ Ernest Rutherford ประสงค์จะรู้ว่าในอะตอมมีอะไรบ้าง เขาได้ยิงอนุภาคแอลฟาไปพุ่งชนแผ่นทองคำเปลว (ซึ่งในสายตาคนทั่วไป การกระทำเช่นนั้น ดูไร้ทั้งเหตุผลและสาระ) แต่การทดลองครั้งนั้นได้ทำให้ Rutherford พบนิวเคลียส (nucleus) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทำระเบิดปรมาณูเพื่อยุติสงคราม และทำให้แพทย์มีเทคโนโลยี MRI ที่ใช้วิเคราะห์โรคในอวัยวะของคน
     
สำหรับในกรณีของ Albert Einstein ซึ่งปรารถนาจะเข้าใจธรรมชาติของอันตรกริยา (interaction) ระหว่างอะตอมกับแสง (ซึ่งก็ดูไร้สาระเช่นกัน) แต่ความต้องการรู้นี้ได้ชี้นำให้ Einstein พบหลักการสร้างเลเซอร์ (laser) ซึ่งนับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีประโยชน์มากที่สุดสิ่งหนึ่งแห่งคริสต์ศตวรรษ ที่ 20 เพราะแพทย์ใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงในการผ่าตัดตา ฆ่าเซลล์มะเร็ง สลายนิ่ว วิศวกรใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงในการส่งสัญญาณโทรศัพท์ เล่นซีดี สื่อสารในอวกาศ ช่างใช้เลเซอร์ในงานเชื่อม ตัดโลหะ พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตใช้เครื่องอ่านบาร์โค้ดเลเซอร์ในการอ่านบาร์ โค้ด(barcode reader) ที่ติดอยู่กับสินค้า

นักวิทยาศาสตร์ใช้ เลเซอร์ในการวิเคราะห์กลไกการเกิดปฏิกริยาเคมี และกักขังอะตอมให้อยู่นิ่ง เพื่อสร้างมาตรฐานของเวลา รวมถึงใช้เลเซอร์ช่วยตรวจจับคลื่นโน้มถ่วง ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั้งพิเศษและทั่วไป และช่วยวิเคราะห์ความประเสริฐของทฤษฎีควอนตัมด้วย

ด้านนักเทคโนโลยี ก็ใช้เลเซอร์ในการพิทักษ์ความปลอดภัย เช่น ช่วยจับขโมย เพราะเวลาขโมยเดินตัดลำแสงเลเซอร์อย่างไม่รู้ตัว สัญญาณเสียงจะดัง วงการบันเทิงใช้เลเซอร์สร้างแสงพิเศษที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทหารใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงในจรวดนำวิถี และในเครื่องบินไร้คนขับ (drone) นักมาตรวิทยาใช้เลเซอร์ในการวัดระยะทาง นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงวัดการขยายตัวของผิวภูเขา ไฟเวลาใกล้จะระเบิด วัดความเร็วในการเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็ง ตรวจวัดปริมาณมลพิษในบรรยากาศโลก

ตำรวจใช้เลเซอร์ตรวจจับคนที่ขับรถ เร็วเกินความเร็วที่กำหนด นักฟิสิกส์ใช้เลเซอร์ทำให้ระบบอะตอมมีอุณหภูมิต่ำจนแทบจะเป็นศูนย์องศา สัมบูรณ์เพื่อทดสอบสมบัติควอนตัมของระบบอนุภาค และใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงที่มีความเข้มสูงน็อคอิเล็กตรอนที่โคจรอยู่วงใน สุดของอะตอมออกไปจากวงโคจร เพื่อสร้างรังสีเอ็กซ์พลังงานสูง นักวิทยาศาสตร์ด้านพลังงานใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงสร้างพลังงานไฟฟ้า โดยกระบวนการ fusion ซึ่งจะทำให้โลกมีพลังงานใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
     
เมื่อ ครั้งที่ Einstein เริ่มครุ่นคิดเรื่องเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเวลาอะตอมได้รับแสง นักฟิสิกส์ในเวลานั้นรู้เพียงว่า เมื่อใดที่อิเล็กตรอนซึ่งกำลังโคจรรอบนิวเคลียสได้รับพลังงาน มันจะมีพลังงานมากขึ้น คือจะอยู่ในสถานะกระตุ้น แต่มันไม่สามารถอยู่ในสถานะดังกล่าวได้นาน จึงต้องปล่อยพลังงานส่วนเกินออกมาในรูปของแสงที่สามารถวัดได้จาก เครื่องวัดแสง (LUX Meter) นักฟิสิกส์เรียกกระบวนการปล่อยแสงในลักษณะนี้ว่า การปล่อยแสงที่เกิดขึ้นเอง (spontaneous emission) ตามธรรมชาติ

ถึงปี 1918 Einstein ก็ได้พบกระบวนการปล่อยแสงอีกรูปแบบหนึ่งจากเครื่องมือวัดแสง(LUX Meter) ซึ่งเรียกว่าการปล่อยแสงที่เกิดจากการเร้า (stimulated emission) ซึ่งจะเกิดเวลาอะตอมมีอิเล็กตรอนอยู่ในสถานะกระตุ้นอยู่แล้วได้รับแสงที่มี พลังงานเท่ากับพลังงานกระตุ้นพอดี อิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นนั้นจะปล่อยแสงออกมาในทันที ดังนั้นจากเริ่มต้นที่มีแสงในปริมาณหนึ่งผ่านเข้ามาในอะตอม หลังการเร้า แสงที่ถูกปล่อยออกมาจะมีปริมาณเพิ่ม (จากที่ผ่านเข้ามารวมกับที่ถูกเร้าให้ปล่อย) ซึ่งแสงนี้มีความยาวคลื่นเท่าแสงที่มาเร้าทุกประการ แสงทั้งสอง (เดิมกับใหม่) นอกจากจะมีความยาวคลื่นเท่ากันแล้ว ยังเคลื่อนที่ไปทางเดียวกัน และอย่างพร้อมเพรียงกันด้วย คือ เป็นแสงอาพันธ์ (coherent light) กัน

แนวคิดนี้มิได้รับการพัฒนาต่อจนอีก 42 ปีต่อมา คือจนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1960 Theodore Maiman ได้ทดลองใช้แท่งทับทิมที่ถูกโด้ปด้วยอะตอมโครเมียม โดยนำแท่งทับทิมนั้นมาฉาบด้วยโลหะเงินที่ปลายทั้งสองข้างเพื่อให้สะท้อน แสงกลับไปกลับมาภายในแท่ง แล้ว Maiman นำหลอดไฟแฟลช (flash lamp) ที่มีรูปทรงเป็นเกลียวมาสวมรอบแท่ง ดังนั้นเมื่อเปิดและปิดหลอดไฟเป็นจังหวะ แสงจากหลอดจะกระตุ้นเร้าอิเล็กตรอนในอะตอมโครเมียมจำนวนมากที่อยู่ในสถานะ กระตุ้นให้ปล่อยแสงอาพันธ์ออกมา และแสงที่ถูกสะท้อนกลับไป-กลับมา จะเร้าอิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นให้ปล่อยแสงอาพันธ์ออกมาอีก ในที่สุด แสงที่ออกมาจะมีความเข้มสูงจนตาเปล่าสามารถเห็นได้และวัดได้จาก เครื่องมือวัดแสง(LUX Meter) เป็นแสง laser จากอักษรต้นของคำว่า Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation

ปัจจุบัน เทคโนโลยีการสร้างแสงเลเซอร์พลังงานสูงได้พัฒนาไปมาก เช่นนอกจากจะใช้ตัวกลางที่เป็นของแข็งในการทำแล้ว โลกยังมี dye laser ที่ใช้สารละลายสีย้อม มีเลเซอร์แก๊สที่ใช้แก๊สฮีเลียม-นีออน และเลเซอร์ที่ใช้ argon-ion แสงเลเซอร์พลังงานสูงที่มี free-electron ซึ่งเป็นอิเล็กตรอนที่ถูกเร่งจนมีความเร็วใกล้ความเร็วแสง ซึ่งเมื่ออิเล็กตรอนเหล่านั้นผ่านไปในสนามแม่เหล็กที่มีความเข้มไม่สม่ำเสมอ อิเล็กตรอนจะเปล่งแสงออกมาหลายความยาวคลื่นตั้งแต่ infrared, ultraviolet และ x-ray แต่จะเป็นชนิดใดนั้นก็ขึ้นกับความเร่งของอิเล็กตรอนในขณะนั้น
     
ใน ขณะที่เครื่องเร่งอนุภาค LHC ที่ CERN กำลังค้นหาอนุภาค Higgs ทาง Lawrence Livermore National Laboratory ในสหรัฐอเมริกาก็กำลังเดินหน้าด้วยโครงการ National Ignition Facility (NIF) มูลค่า 4,000 ล้านเหรียญและมีเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะโครงการนี้มีอุปกรณ์สร้างเลเซอร์ 192 เครื่องที่จะปล่อยแสงเลเซอร์พลังงานสูงออกมาเป็นห้วง ห้วงหนึ่งๆ นาน 10-9 วินาที ซึ่งคิดเป็นพลังงาน 50 เท่าของพลังงานทั้งหมดที่โลกใช้ในเวลาเดียวกัน (แต่ใช้สั้นมาก) พลังงานแสงทั้ง 192 ลำ จะโฟกัสที่หยดไฮโดรเจนเหลวให้รวมกันเป็นฮีเลียม โดยใช้ปฏิกิริยา fusion ซึ่งจะให้กำเนิดพลังงานมหาศาล
     
เพราะ เทคนิคนี้เป็นปฏิกิริยาเดียวกันกับที่เกิดในดาวฤกษ์ ดังนั้นโครงการ NIF เสมือนจะนำดาวฤกษ์ลงมาให้ดูกันในห้องปฏิบัติการบนโลก เพื่อให้ทุกคนประจักษ์ว่า การมีพลังงานใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
     
ปัจจุบัน นักฟิสิกส์มีความประสงค์จะสร้างแสงเลเซอร์พลังงานสูงให้มีพลังงานสูงยิ่ง ขึ้นไปอีก และนั่นก็คือ การศึกษาทัศนศาสตร์เชิงสัมพัทธภาพระดับสูงสุดยอด (ultrarelativistic optics) ซึ่งจะทำได้ถ้ามีแสงเลเซอร์พลังงานสูงที่ถูกปล่อยออกมาเป็นห้วง นานประมาณ 10-15 วินาที - 10-18 วินาที และถ้าสร้างห้วงแสงลักษณะนี้ได้ นักฟิสิกส์ก็คาดหวังจะเห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้นในสุญญากาศ รวมถึงที่ใกล้ขอบภายนอกของหลุมดำ เพราะในทฤษฎีของ Hawking หลุมดำสามารถทำให้เกิดอนุภาคกับปฏิยานุภาคได้เช่นกัน โดยอนุภาคหนึ่งจะเคลื่อนที่หนีไปจากหลุมดำ แต่อีกอนุภาคหนึ่งจะเคลื่อนที่ลงหลุมดำ
     
เหตุการณ์นี้จะเกิด เมื่อสุญญากาศได้รับพลังงานมากเพียงพอ ที่จะสร้างอนุภาคได้ และนี่จะเป็นแนวทางหนึ่งในการศึกษาทฤษฎีแรงโน้มถ่วงเชิงควอนตัม (quantum theory of gravity)

Cr.ผู้จัดการ

รถยนต์ไร้คนขับ


รถยนต์ไร้คนขับ
Photo : Google Driverless Car
ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีความเร็วสูงขึ้นและยืดหยุ่นขึ้นมาก ทำให้การตรวจวัดหรือจับสัญญาณตัวแปรเพื่อความปลอดภัยรอบข้างยานพาหนะทำได้ รวดเร็ว และอาจดีกว่าการที่มนุษย์จะเป็นผู้ตัดสินใจเองต่อสถานะการณ์ความปลอดภัยทั้ง เหตุฉุกเฉินหรือปกติ อีกทั้งความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมรถยนต์ได้ก้าวมาถึงระบบอัตโนมัติที่ทำให้ เกิดการขับเคลื่อนด้วยตนเองได้แล้ว จึงนำมาสู่ยุค“รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)” เพื่อทั้งภารกิจจำเป็นเฉพาะงานจนถึงการเป็นรถสาธารณะที่ประหยัดและปลอดภัย มากขึ้น จากงานวิจัยพบว่าอุปกรณ์ที่ติดตั้งเพิ่มราคาอยู่ที่คันละอีก 350 เหรียญ แต่สามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ถึง 592,000 ครั้ง รักษาไว้ได้ถึง 1,083 ชีวิตในแต่ละปี

กูเกิลที่โด่งดังนอกจากจัดรถมาถ่ายภาพถนนหน ทางไปทำแผนที่เสมือนจริง (Google street view) แล้ว กูเกิลก็ได้ออกตัวหนักหน่วงกับรถยนต์ไร้คนขับ (driverless car) นี้ ณ ตอนนี้ ถึงกลางปีค.ศ.2015 รัฐแคลิฟอร์เนียออกใบอนุญาตเพื่อการทดสอบรถไร้คนขับไปแล้ว 48 ราย โดยที่รถของกูเกิลทำระยะไปมากสุดประมาณ 1.8 ล้านไมล์ของช่วงเวลานั้นจากการได้ทดสอบถึง 23 รถต้นแบบ   อย่างนั้นไปดูรถกูเกิล “รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)” ที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมที่ใหญ่ยิ่งนี้กันลำดับต่อไป กับความปลอดภัยการใช้รถใช้ถนนอันเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดของสมองกลอันชาญฉลาด ที่ฝังใส่ให้รถที่วิ่งไปนับล้านไมล์ได้แล้วโดยไม่ต้องกลัว รวมถึงไปดูระบบสื่อสารด้วยไฟอัตโนมัติ จากแสงแอลอีดีด้วยว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ?

แสงสว่างจากแอลอีดีที่มีประกอบภายในและนอกยานพาหนะและมิใช่แค่เป็น หลอดไฟเปิดปิดอัตโนมัติ ให้ความสว่าง  ตบแต่งเพื่อความสวยงาม อำนวยความสะดวกการใช้ในหลายระบบ แต่ที่เรื่องใหม่กว่าคือสื่อสัญญาณด้วยแสงสว่างพ่วงมาด้วยเลย ทั้งระหว่างหรือภายในรถเอง และ จากแผงป้ายจราจรบอกข้อมูลอัจฉริยะ ริมทางข้างถนนและบนแยกต่าง ๆ เทคโนโลยีด้านหลังของงานเหล่านี้จัดอยู่ในหลายหมวด อาทิ การสื่อสารจากการมองเห็น (visual communication) และการสื่อสารระหว่างพาหนะกับโครงสร้างพื้นฐานข้างถนน (V2I: Vehicle to Infrastructure) ซึ่งเริ่มปรากฏมาตั้งแต่ค.ศ.2003 นานแล้ว จนกระโดดมาที่ การสื่อสารระหว่างยานพาหนะกันเอง (V2V: Vehicle-to-Vehicle) ที่มีทั้งการใช้คลื่นไวไฟ (WiFi) มากหน่อยและคลื่นอื่นที่พยายามปรับเข้ามาร่วม แน่นอนว่าแสงจากแอลอีดีก็แทรกตลาดนี้เป็นส่วนหนึ่งกับเขาได้ด้วย

ได้ เวลามาพิจารณาหาตัวช่วยเพื่อลดอุบัติเหตุนั้นกัน เทคโนโลยีที่จะใช้ต้องทำให้ขับขี่ดีกว่ามนุษย์ขับเองโดยรวมและลดการสูญเสีย ลงได้ หนึ่งในหัวข้อเหล่านี้คือศักยภาพและโอกาสของการส่องสว่างข้อมูล ที่สามารถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)ให้ความถูกต้องในการระบุตำแหน่งแบบละเอียดได้ระดับต่ำกว่าเมตร (sub-meter) อันจะเป็นระดับที่สามารถปรับใช้เพื่อความปลอดภัยระหว่างยานยนต์ได้ (V2V: Vehicle-to-Vehicle) ขณะที่การสื่อสารภายนอกอาคารทั่วไป ใช้การระบุตำแหน่งจากจีพีเอส (GPS) หรือระบบบอกตำแหน่งพิกัดบนพื้นผิวโลก (GPS) และระบบในเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (cellular) ผลจากการระบุได้ที่ความละเอียดกว้างเกิน (กว่าเมตร) กับรถรอบข้างนี้ จึงเป็นที่มาของการประสงค์รวมระบบการส่องสว่างข้อมูลความซับซ้อนต่ำเพื่อ ระบุตำแหน่งละเอียดขึ้น ที่จะขยายขีดความสามารถได้ดีในกรณีมีความหนาแน่นของปริมาณรถสูง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงก็ทำได้รวดเร็วอีกด้วย

การใช้หลอดไฟแอลอีดี ส่องสว่างที่มาพร้อมกับข้อมูล จึงเป็นระบบสื่อสารด้วยแสงสว่างจากแอลอีดีร่วมประยุกต์ใช้งานตรวจสอบความ เสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้าได้ รวมทั้งให้การเตือนก่อนที่จะเกิดเหตุ (early warning) เตือนการชน (collision warning) การควบคุมความเร็วหรือการเคลื่อนที่อัตโนมัติตามสภาพจราจร (adaptive cruise control) การตรวจจับรับรู้ผู้เดินอยู่บนทางเท้าหรือเฝ้าระวัง และการลดความน่าจะเป็นของการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งการส่องสว่างพร้อมรับส่งข้อมูลในเวลาเดียวกันจะมาร่วมทำอย่างน่าสนุกกับ งานเหล่านี้  มาดูพัฒนาการด้านการสื่อสารและการมองเห็นด้วยการใช้หลอดแอลอีดีบอกข้อมูลให้ การขับโดยคนหรือหุ่นยนตร์ไร้คนขับไปสู่การที่รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)เห็นถนนหนทางได้ด้วยตนเอง รับรู้ข้อมูลและตัดสินใจอย่างรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มกันอีกสองชิ้น

ก) ภาพเสมือน
อุปกรณ์ ความฉลาดเสริมให้รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)เพื่อลดเวลาการตัดสินใจของผู้ขับขี่ มีออกมาในแนวการมองเห็นได้ที่ไม่ให้ต้องก้มเงยขัดจังหวะเช่นผ่านแผงจอหรือ กระจกหน้าร่วมไปกับทัศนวิสัยปกติ หรืออุปกรณ์ช่วยมองที่จะทำให้การขับขี่ของมนุษย์ปลอดภัยขึ้นโดยรวมเป็นวิว เสมือนในขณะขับ ภาพเสมือนเหล่านี้จะไปอยู่ในสมองอัฉริยะของรถเรียบร้อยแล้ว

ข) ตาเสมือน  กล้องอินฟราเรดและเซนเซอร์ทำงานตัวอย่างหนึ่งสัมพันธ์กับไฟหน้าส่องฉลาดยาม ค่ำหรือมืด โดยปรับตัวลำแสงเปลี่ยนมุมได้อัตโนมัติตามสถานะการณ์และสถานที่ ไม่ว่าจะทางโค้งมุมกว้าง ทางยกทางเลี้ยว รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)จะจดจำภาพป้ายจราจร เช่นวงเวียน ทางแยก ทางข้ามหรือขอบทางร่วมกับแผนที่ GPS บอกตำแหน่งและ สิ่งที่เคยเห็นจากอินเทอร์เน็ตเพื่อนำมาตัดสินใจแบบคิดเองได้ เมื่อรถยนต์สวนทางที่เข้าโค้งมาเร็ว จักรยานปั่นช้าอยู่มุมอับของวงเวียนถนน แม้คนเดินบนฟุตบาทหรือสัตว์ใหญ่ตัดหน้าด้วยความเร็วน้อยนิดคิดหนีรถก็ไม่ทัน ไฟหน้าแอลอีดี (หรือเลเซอร์ผสม) จะปรับตามให้มีมุมแสงกลบได้ครบองศาสำคัญ เพื่อการตัดสินใจของมนุษย์หรือสมองกลของรถที่ขับขี่อยู่

รถยนต์ไร้ คนขับ (driverless car)แต่ละคันสื่อสารร่วมกันแม้เซนเซอร์จะอยู่แยกก็จะทำให้เกิดภาพและการมอง เห็นดีขึ้นได้แน่ รูปแบบจึงเป็นยานพาหนะคุยกันเองได้ แทนการให้ผู้ขับขี่ดำเนินการลำพังทีละส่วน โดยรวมจึงปลอดภัยสูงกว่าด้วยในที่สุดไม่ว่าด้วยทั้งคนไปขับหรือรถจะขับไปเอง “ภาพเสมือนและตาเสมือน”ทำให้รถเห็นได้ที่จะมาจากมากหน่วยเซนเซอร์ตรวจวัด สัญญาณ (เช่น radar, sonar, vision หรือ LIDAR) รถอนาคตจึงทำงานราวกับมีตามากมายกว่ามนุษย์ผู้ขับขี่ที่มีเพียงแค่สอง  เมื่อรถตัดสินใจได้มากอย่างในเวลาใกล้กันและเร็วกว่า มนุษย์จึงได้ย้ายการ“มอง”ของตนไปให้รถยนต์ได้“เห็น” โดยเริ่มให้รถทำแทนหมดกันแล้ว

Cr.เดลินิวส์,Synergy | Facebook ,e-news ,เล่าสู่กันฟัง ,