31 ส.ค. 2559

ออฟฟิศ คอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์

 

ออฟฟิศ คอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์


ทุกวันนี้ มีการนำ คอนเทนเนอร์หรือตู้ขนส่งสินค้า ดัดแปลงเป็นร้านค้าให้เห็นไม่น้อย แต่แทบทั้งหมด ยังเน้นดีไซน์ค่อนข้างเรียบ ในขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกภายใน ยังไม่ตอบสนองการใช้งานอย่างดีที่สุด นี่เป็นช่องว่างให้สถาปนิกหนุ่ม จากรั่วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นโอกาสที่จะเข้ามาเติบเต็มทำเป็นออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์
      
ด้วยการนำเสนอทางเลือกแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) สามารถจะมีสำนักงาน หรือร้านค้าแนวโมเดิร์น สร้างจากตู้คอนเทนเนอร์ ทั้งสวยงาม แข็งแรง เป็นคอนเทนเนอร์ เสร็จรวดเร็วภายใน 1 เดือน มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม และที่สำคัญในงบประมาณคุ้มค่าได้ เริ่มต้นที่ 2 แสนบาท

เจ้าไอเดียดังกล่าว คือสถาปนิกหนุ่ม นายชิดพันธุ์ วัฒนพรมงคล จบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีประสบการณ์เปิด สำนักออกแบบทศภูมิ รับออกแบบสิ่งปลูกสร้างต่างๆ มานับสิบปี ซึ่งจากการทำงานที่ผ่านมา รู้ดีว่า สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก หรือ เอสเอ็มอี (SMEs) ที่ต้องการจะมีสำนักงาน หรือร้านค้าที่สวยงามโดดเด่นเป็นของตัวเอง เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะต้องใช้ต้นทุนสูงมาก และมักประสบปัญหาเรื่องความรับผิดชอบของช่างก่อสร้าง จึงผุดไอเดีย ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์
      
จากที่เราเห็นปัญหานี้ เลยพยายามหาเทคโนโลยีการก่อสร้างที่สามารถทำได้ในต้นทุนที่ประหยัดกว่า เพื่อเอสเอ็มอี (SMEs)จะสามารถมีออฟฟิศ หรือร้านค้าที่สวยได้ในต้นทุนที่เหมาะสม เลยสนใจใช้ ตู้คอนเทนเนอร์หรือตู้ขนส่งสินค้า เพราะพื้นฐานเป็นวัสดุเหล็กชนิดกันสนิมที่มีความแข็งแรงสูง ทนแดดทนฝน อายุการใช้งานยาวนาน สามารถออกแบบแล้วสร้างสำเร็จรูปนำมาวางในพื้นที่ได้ทันทีทำเป็นออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ โดยไม่ต้องมีเสา หรือคาน ช่วยประหยัดและลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง เขา อธิบาย

 จากแนวคิดออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ ดังกล่าว เป็นที่มาของการเปิดบริษัท ไฮฟ คอร์ปอเรชั่น (Hiife corporation) รับออกแบบและก่อสร้างอาคารและออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ จากตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งความพิเศษของไฮฟ คอร์ปอเรชั่นที่มากกว่างานก่อสร้างจากตู้คอนเทนเนอร์ทั่วไปนั้น เขาแยกเป็น 2 ด้าน คือ ภายนอก และภายใน กล่าวคือ    

ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ สำหรับ ภายนอก นั้น ดีไซน์มุ่งเป็นแนว โมเดิร์น พลิกโฉมให้เห็นว่า ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์สามารถสร้างสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าแค่ทรงสี่เหลี่ยมทั่วไป โดยอาศัยประสบการณ์การเรียนวิชาสถาปัตยกรรม และการทำงานจริงมากว่า 10 ปี มาใช้ในการสร้างสรรค์แล้วติดตั้งโซล่าเซลล์ลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าได้ดีที่เดียว    

ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ ส่วน ภายใน นั้น มุ่งประโยชน์ใช้สอยให้สมบูรณ์ที่สุดควบคู่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะคัดนวัตกรรมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคารที่ดีเลิศจากทั่วโลกมาไว้รวมกัน โดยเรียกว่า ระบบอาคารอัจฉริยะ (Smart building automation) ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์ ที่มีการ ติดตั้งแผง โซล่าเซลล์ ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า บุฉนวนและมีระบบหมุนเวียนของน้ำ ช่วยลดอุณหภูมิภายใน และ ระบบการสื่อสารอัจฉริยะ(Internet of things) เช่น ระบบเซ็นเซอร์ เพื่อความปลอดภัยของผู้สูงอายุ และการสั่งงานอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ภายในอาคารผ่านแอพพลิเคชั่น เป็นต้น

ทั้งนี้ การก่อสร้างออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์จะเป็นอาคารสำเร็จรูป(Prefabication design and construction) คือหลังจากออกแบบเสร็จสิ้นแล้ว จะก่อสร้างออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์จนแล้วเสร็จในโรงงาน แล้วจึงค่อยนำมาวางในตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งวิธีนี้ ช่วยให้ก่อสร้างได้รวดเร็ว ทำเสร็จได้ภายในเวลา1 เดือน    

การออกแบบและก่อสร้างออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์ สำเร็จรูป จะช่วยแก้ปัญหาฝีมือช่าง ช่วยควบคุมระยะเวลาและงบประมาณในการก่อสร้างให้แก่ลูกค้าได้ โดยวางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไว้ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ที่ต้องการมีออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์ไปใช้ประกอบธุรกิจ เช่น ทำออฟฟิศ ทำอพาร์ทเมนต์ให้เช่า ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรม รีสอร์ต เป็นต้น

ซึ่งจะสามารถจะควบคุมค่าใช้จ่ายได้ในการก่อสร้างออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์ได้ง่ายกว่าการสร้างด้วยวัสดุอิฐหินปูนแบบทั่วไป และการเสร็จอย่างรวดเร็วตามกำหนด ก็จะไม่เกิดปัญหางบบานปลาย และเอสเอ็มอี (SMEs) สามารถนำออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์ไปหารายได้ตามเวลาที่วางแผนไว้ เขา เผย    

สถาปนิกหนุ่ม ชิดพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ค่าก่อสร้าง ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์นั้น ตู้คอนเทนเนอร์ที่ทำเป็นสำนักงาน กำหนดไว้ ขนาดยาว 6 เมตร เริ่มต้นที่ 200,000 บาท และตู้คอนเทนเนอร์ที่ทำเป็นที่พักอาศัย โซล่าเซลล์ กำหนดไว้ ขนาดยาว 6 เมตร เริ่มต้นที่ 250,000 บาท ซึ่งราคาดังกล่าว หากเทียบพื้นที่เท่ากัน ถ้าสร้างโดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 1 ตู้ ต้นทุนจะใกล้เคียงกับการสร้างด้วยอิฐหินปูน แต่หากยิ่งสร้างโดยตู้คอนเทนเนอร์มากขึ้นเท่าไร ต้นทุนการก่อสร้างออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์หรือที่พักอาศัย โซล่าเซลล์จะลดลงเรื่อยๆ เพราะการก่อสร้างด้วยตู้คอนเทนเนอร์เป็นลักษณะกึ่งอุตสาหกรรม ยิ่งทำมากต้นทุนจะยิ่งลด

สำหรับที่มาของออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์นั้น เขาเผยว่า มีซับพรายเออร์ส่งตู้คอนเทนเนอร์มาให้จากท่าเรือ โดยจะคัดตู้คอนเทนเนอร์ที่ไม่เคยขนส่งสินค้าอันตราย และต้องมีอายุการใช้งานมาไม่เกิน 5 ปี โดยราคาตู้คอนเทนเนอร์ที่ซื้อมานั้น ตู้ขนาดยาว 6 เมตร ประมาณ 50,000 บาท ส่วนตู้คอนเทนเนอร์ขนาดยาว 12 เมตร ราคาประมาณ 80,000 บาท ส่วนการนำมาออกแบบและก่อสร้างนั้น ทั้งหมดมีทีมงานช่างของตัวเอง ซึ่ง ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์นั้นที่สร้างเสร็จแล้ว รับประกันอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 20 ปี

ทั้งนี้ ธุรกิจ ไฮฟ คอร์ปอเรชั่น นับเป็น Start up หน้าใหม่อย่างแท้จริง โดยเริ่มโครงการ ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์นั้น เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา ทำตลาดเบื้องต้นโดยเข้าร่วมโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Start up) ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อสร้างเครือข่ายกับนักธุรกิจ และเอสเอ็มอี (SMEs)หน้าใหม่ที่มีความต้องการมีอาคารสำนักงาน หน้าร้าน หรือกำลังแสวงหาการลงทุนทำอพาร์ทเมนต์ โรงแรม และรีสอร์ต เป็นต้นด้วยราคาประหยัดรวดเร็ว จึงเกิดไอเดีย ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์นั้นเอง    

ชิดพันธุ์ สถาปนิกหนุ่ม เผยด้วยว่า ขณะนี้กำลังเจรจาก่อสร้างอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์ให้กับลูกค้าอยู่ประมาณ 2-3 ราย นอกจากนั้น กำลังก่อสร้างอาคารโซล่าเซลล์จาก ตู้คอนเทนเนอร์ต้นแบบ อยู่ย่านสมุทรสาคร โดยเป็นอาคารโซล่าเซลล์ที่ทำจาก 4 ตู้คอนเทนเนอร์ งบประมาณก่อสร้างรวม 1.2 ล้านบาท โดยจะมีทั้งร้านกาแฟ และออฟฟิศอยู่ด้วยกัน เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าโมเดลธุรกิจนี้ สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้    

เนื่องจากนี่เป็นช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เราจึงกล้าการันตีต่อลูกค้าว่า ออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์จากตู้คอนเทนเนอร์ที่สร้างขึ้น อายุการใช้งานมากกว่า 20 ปีขึ้นไป และมีระบบอำนวยความสะดวกทั้งภายในและภายนอกสมบูรณ์ครบวงจรพร้อมโซล่าเซลล์แทนค่าไฟฟ้า แต่การพูดด้วยปาก ลูกค้าย่อมไม่มั่นคง ดังนั้น อาคารโซล่าเซลล์ที่เรากำลังสร้างขึ้น จะเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า สามารถใช้งานได้จริงๆ เขาระบุ

ทั้งนี้ เป้าหมายของธุรกิจออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์นั้น ในปีนี้ (2559) คาดรายได้รวมประมาณ 3 ล้านบาท และหวังเติบโตแบบทวีคูณในปีต่อๆไป และสามารถทำรายได้ถึงร้อยล้านภายใน 4 ปี ซึ่งมั่นใจว่า มีโอกาสเป็นไปได้สูง เพราะออฟฟิศคอนเทนเนอร์ โซล่าเซลล์และอาคารโซล่าเซลล์ได้รับความสนใจอย่างสูง ทั้งจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs)ชาวไทย รวมถึง มีนักธุรกิจขอเข้าร่วมลงทุนแล้ว

Cr.ข่าวผู้จัดการ,Synergy | Facebook

30 ส.ค. 2559

แวร์เอเบิล (wearable)



แวร์เอเบิล(Wearable Device) อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ Jawbone ที่ออกมาจับตลาดกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้งาน Activity Tracker หรือ อุปกรณ์ที่จะคอยวัดกิจกรรมในแต่ละวันอย่าง ก้าวเดิน การนอนหลับ การออกกำลังกาย เพื่อนำมาคำนวนผลภายในแอปพลิเคชันช่วยให้ผู้ใช้รักษาสุขภาพ นั้นคือ แวร์เอเบิล Up Move

จุดเด่นของ แวร์เอเบิล Up Move จะอยู่ที่ขนาดที่เล็กทำให้พกพาติดตัวได้ง่าย และที่สำคัญคือเลือกวิธีการพกพาได้หลากหลายกว่า Up หรือ Up 24 เนื่องจากออกแบบมาเป็นทรงกลมเล็กๆ ที่สามารถนำมาใส่กับสายรัดข้อมือไว้ที่ข้อมือ หรือนำไปติดกับคลิปหนีบเพื่อติดตามส่วนอื่นของเสื้อผ้าก็ได้ โดยแบตเตอรีสามารถใช้งานได้นานถึง 6 เดือน
     
การออกแบบและสเปก
อย่างที่กล่าวไปแต่แรกว่า Jawbone แวร์เอเบิล Up Move ถูกออกแบบมาให้พกพาได้สะดวก ด้วยรูปลักษณ์ทรงกลม เหมือนเป็นกระดุมขนาดเล็ก ที่มีขนาดรอบตัวอยู่ที่ น้ำหนักราว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้จะเลือกใส่กับคลิปหนีบ หรือสายรัดข้อมือ  เมื่อใส่เข้าไปในคลิปหนีบ แวร์เอเบิล Up Move จะเป็นเหมือนอุปกรณ์ติดตามตัวทั่วไป โดยการยึดติดถือว่าค่อนข้างแน่นหนา จากการที่ตัวคลิปหนีบทำจากยาง และค่อนข้างแข็ง ทำให้เมื่อหนีบกับชุดที่สวมใส่ก็จะยึดติดอยู่ตลอดเวลาไม่กลัวตกหล่น

ขณะ ที่ถ้าใช้งานเป็นสายรัดข้อมือ (มีให้เลือกหลายสี) ก็จะใส่ไว้ที่ข้อมือได้เหมือนนาฬิกาทั่วไป และด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา และมีขนาดเล็กทำให้ใส่แล้วไม่รู้สึกรำคานมากนัก ที่สำคัญคือสามารถใช้ใส่ติดตัวได้ตลอดเวลาแม้ตอนอาบน้ำ เพราะตัว แวร์เอเบิล Up Move ทำมาให้กันน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถใส่ว่ายน้ำได้

 หน้าปัด LED
จะมีไฟ LED ที่สามารถบอกสถานะการใช้งาน และไฟแสดงเวลาได้ โดยใช้การกระพริบของไฟเพื่อบอกสถานะต่างๆ โดยใช้ทิศทางของเข็มนาฬิกาในการบอกข้อมูลต่างๆ สำหรับสเปกภายในของ แวร์เอเบิล Up Move จะมีเซ็นเซอร์ X-Motion เป็นหลัก และช่องใส่แบตเตอรีที่สามารถใช้เหรียญหมุนออกมาได้

เมื่อ หมุนออกมาจะพบกับแบตเตอรีแบบเม็ดกระดุม ขนาด cr2032 ซึ่งภายในกล่องจะมีอุปกรณ์ที่เป็นแผ่นพลาสติกมาให้ใช้หมุนด้วย และภายในของตัวเครื่องก็จะมีชื่อแบรนด์ กับสถานที่ผลิต ทั้งนี้ในการใส่คืนจะมีร่องให้หมุนกลับตามจุดสัญลักษณ์ เพื่อป้องกันกรณีโดนละอองน้ำด้วย
     
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
ภายในตัว แวร์เอเบิล Up Move จะมีจุดที่น่าสนใจอยู่หลักๆ 3 ส่วนด้วยกันคือ การนับก้าว และการวัดนอน ที่สามารถสลับโหมดได้ด้วยการกดหน้าปัดค้างไว้สักพัก จนมีไฟกระพริบรอบๆหน้าจอ หลังจากนั้นก็จะมีสัญลักษณ์รูปคนเดินสำหรับการวัดก้าวเดิน และพระจันทร์ขึ้นสำหรับการวัดนอน  

 โดยขณะอยู่ในโหมดใดก็ตาม ถ้ากดหน้าจอ 1 ครั้ง จะมีการแสดงผลเป็น % ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแต่ละวัน อย่างสมมุติตั้งเป้าหมายเดินไว้ 10,000 ก้าว เมื่อเดินไป 4,000 ก้าว เมื่อกดหน้าปัดก็จะมีไฟกระพริบบอกที่สี่นาฬิกา คิดเป็น 40% เช่นเดียวกับการนับช่วงเวลาการนอนก็จะมีการแสดงผลใกล้เคียงกัน
     
ถัด มาคือการกดที่หน้าจอติดกัน 2 ครั้ง จะเป็นการแสดงผลนาฬิกา โดยจะมีการกระพริบหน้าจอ 2 ครั้ง ครั้งแรกบอกชั่วโมง ครั้งที่ 2 บอกนาที โดยจะเป็นเวลาแบบประมาณการณ์ +- ใน 5 นาที ตามช่องเข็มนาฬิกาทั้ง 12 ช่องนั่นเอง
     
สุดท้ายคือ การจับช่วงเวลาการทำกิจกรรม โดยการกดที่หน้าจอ 2 ครั้ง เพียงแต่เมื่อกดครั้งที่ 2 ให้กดปุ่มค้างจนมีไฟกระพริบรอบๆหน้าปัด เพื่อเข้าสู่โหมด Activity Tracker ในช่วงที่ออกกำลัง เมื่อเสร็จจากช่วงเวลาดังกล่าวก็ให้กดซ้ำแบบเดิมเพื่อเข้าสู่โหมดนับก้าว ปกติ หลังจากนั้นค่อยเข้าไปเลือกรูปแบบกิจกรรมภายในแอปบนสมาร์ทโฟน

การ ใช้งานหลักอื่นๆต้องไปใช้งานบนแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้ทั้ง iOS และ Android สามารถเข้าไปดาวน์โหลด UP ได้จากในสโตร์เพื่อติดตั้งและเชื่อมต่อ แวร์เอเบิล Up Move เข้ากับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ 4.0
     
โดย ตัวแอปพลิเคชัน UP จะรองรับอุปกรณ์ในส่วนของ Fitness Tracker จาก Jawbone ทุกรุ่นอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเคยใช้งาน Jawbone Up รุ่นอื่นๆมา ก็จะมีอินเตอร์เฟสการใช้งานใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลเป้าหมายการเดินหรือนอนในแต่ละวันเป็นเปอเซนต์

ที่ มีเพิ่มขึ้นมากับแอปรุ่นใหม่ตัวนี้คือเรื่องของการ Coach หรือการแนะนำการออกกำลังกาย แน่นอนว่าผู้ใช้จำเป็นต้องเข้าไปตั้งค่าก่อนว่า เป้าหมายในการนอน อยู่ที่เวลากี่ชั่วโมง โดยจะมีค่ามาตรฐานมาให้อยู่ที่ 7-9 ชั่วโมง ขณะที่จำนวนก้าวเดินก็จะมีค่ามาตรฐานมาอยู่ที่ 10,000 ก้าว สุดท้ายเป็นการตั้งค่าน้ำหนัก โดยในจุดนี้จะมีให้เลือกด้วยว่าต้องการลดน้ำหนัก เพิ่มน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนัก
     
หน้าจอแสดงผลสามารถกดเข้าไปดูสถิติย้อน หลังได้ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนว่ามีช่วงใดถึงเป้าหมายที่กำหนดบ้าง นอกจากนี้กรณีที่ไม่ได้มีการตั้ง Activity แต่มีการเคลื่อนไหวติดต่อกัน ตัวแอปก็จะขึ้นมาให้ตั้งเช่นเดียวกันว่าช่วงเวลาดังกล่าวไปทำอะไรมา

ใน ขณะที่กำลังออกกำลังกาย เมื่อเข้าสู่ Activity Mode ที่จะทำการจับเวลาแล้ว ภายหลังจากออกกำลังกายเสร็จผู้ใช้สามารถเข้ามาตั้งค่าได้ว่าไปทำกิจกรรมใดมา ไม่ว่าจะเป็นเดิน ยกน้ำหนัก วิ่ง ครอสเทรนนิ่ง เดินขึ้นเขา คาดิโอ ขี่จักรยาน โยคะ เล่นเครื่องกีฬา พิลาทิส บาสเกตบอล ว่ายน้ำ เทนนิส เต้น ฟุตบอล สกี หรือจะใส่ชนิดกีฬาเพิ่มเองก็ได้
     
ถัดมาคือการเลือก ว่ากิจกรรมที่ออกไปอยู่ในระดับเท่าใด มีให้เลือกตั้งแต่ Easy Moderate In The Zone Difficult และ Gut Buster รวมไปถึงการเลือกตั้งระยะเวลาที่เริ่ม คิดเป็นกี่นาทีเป็นต้น ซึ่งปริมาณเหล่านี้จะถูกนำไปคำนวนด้วยแอปทั้งหมด เพื่อช่วยให้สามารถทำกิจกรรมได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ภายในแอปนอกจากตั้งเป้าจำนวนก้าว และชั่วโมงการนอนแล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าไปกรอกข้อมูลอาหารที่ทานได้ โดยจะมีทั้งการค้นหาจากฐานข้อมูลของ Up หรือจะกรอกข้อมูล พร้อมถ่ายภาพอาหารเข้าไปใหม่ก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็น เครื่องอ่านบาร์โค้ด เพื่อเข้าถึงข้อมูลอาหารต่างๆได้ เพียงแต่ในประเทศไทยอาจจะยังไม่รองรับ

 สุดท้ายมาดูกันในส่วนของการตั้งค่า จะมี 2 ส่วนคือบริเวณปุ่มมุมขวาบน ไว้สำหรับกดดูว่ามีการเชื่อมต่อข้อมูลกับ แวร์เอเบิล Up Move ครั้งล่าสุดเมื่อใด และสามารถเข้าไปดูรายละเอียดตัว แวร์เอเบิล Up Move หรือเข้าไปทำการเชื่อมต่อใหม่ หรือลบข้อมูลก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกตั้งโหมดการนอน โหมดจับเวลา และตั้งการแจ้งเตือนต่างๆได้ด้วย
     
อีกฝั่งหนึ่งคือการเข้าไป ตั้งค่าที่จะมีให้เลือกทั้งข้อมูลส่วนตัวอย่างเป้าหมาย และน้ำหนักที่กล่าวไป กับค่าความเป็นส่วนตัวในการแชร์ข้อมูล ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีการเชื่อมต่อกับโซเชียลเน็ตเวิร์ก และมีเพื่อนใช้งานร่วมกันก็จะเกิดเป็นคอมมูนิตี้ขึ้นมา และนำค่าต่างๆมาวัดแข่งขันกันได้
     
นอกจากนี้ก็จะมีให้เลือก ตั้งค่าการแจ้งเตือน รวมไปถึงการเลือกเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันสุขภาพอันอื่นๆที่เป็นพันธมิตรกัน เพื่อช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
     
       จุดขาย
     
       - ตัวแอปพลิเคชันได้มาตรฐาน พร้อมฟังก์ชัน Coach ที่จะคอยแนะนำตลอด
       - สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการพกพาได้ทั้งคลิปหนีบ หรือเป็นสายรัดข้อมือ
       - สามารถเป็น เครื่องสแกนบาร์โค้ด    
       - ใช้งานได้ต่อเนื่องราว 6 เดือน โดยสามารถเปลี่ยนแบตได้ด้วยตนเอง
       - ราคาจับต้องได้
     
       ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
     
       - มีการตัดฟังก์ชันอย่างการแจ้งเตือนออกไป ทำให้เลือกเป็นแค่อุปกรณ์วัดสุขภาพเท่านั้น
       - กันน้ำได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถแช่น้ำได้
     
       ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
     
  ด้วยการที่ Jawbone ต้องการออกผลิตภัณฑ์ที่มาจับกลุ่มผู้ใช้งานระดับเริ่มต้น จึงเกิดเป็น แวร์เอเบิล Up Move ขึ้นมา ในการเจาะตลาดผู้ที่ต้องการอุปกรณ์เพื่อจับการเคลื่อนไหวเป็นหลัก ในราคา 2,590 บาท ไม่ใช่กลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทวอช เพราะเชื่อว่าในอนาคต Jawbone ก็จะมีผลิตภัณฑ์ในระดับไฮเอนด์ตัวอื่นเข้ามาจับตลาดนั้นอยู่แล้ว
     
ทำให้ความสามารถของ แวร์เอเบิล Up Move เองแทบจะโดนจำกัดลงเหลือแค่การนับก้าว วัดการนอน และจับกิจกรรม รวมกับการดูนาฬิกาเท่านั้น แต่ก็แลกมากับการใช้งานแบตเตอรีที่ยาวนานขึ้น โดยทาง Jawbone เคลมไว้ว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องราว 6 เดือน ซึ่งถ้าแบตหมดก็สามารถถอดเปลี่ยนได้ ไม่จำเป็นต้องเสียบกับสายชาร์จ เพราะใช้แบตเตอรีขนาดมาตรฐานที่มีขายทั่วไป
     
 ดังนั้น ถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้งานที่รักสุขภาพ ไม่ได้เน้นความไฮเทคเป็นพิเศษ ก็เชื่อว่า แวร์เอเบิล Up Move จะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าต้องการอุปกรณ์เพื่อการตรวจจับที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้อย่างการวัด อัตราการเต้นของหัวใจ การแจ้งเตือนข้อมูลต่างๆจากสมาร์ทโฟน ก็จะมีตัวเลือกอื่นๆในตลาดอีกพอสมควร

Cr.ผู้จัดการ

โรงแรมหุ่นยนต์


หุ่นยนต์อนาคต(Humanoid Robot)ใช้จริงแล้วที่ญี่ปุ่น  โรงแรมญี่ปุ่นใช้ “หุ่นยนต์” ต้อนรับแขกแล้ว  โรงแรมใหม่ในประเทศญี่ปุ่น แถวเมืองนางาซากิ ชื่อว่าโรงแรม เฮนน์นา (Hen-na Hotel) เปิดตัวในวันที่ 17 กรกฏาคม ที่จะถึงนี้นั้น มีความแปลกกว่าโรงแรมในที่อื่น คือใช้หุ่นยนต์ที่มีหน้าตาและท่าทางคล้ายมนุษย์หญิงสาวอย่างหุ่นยนต์  ”Actroid”  ถึง 10 ตัว

หุ่นยนต์ในโรงแรม สามารถจดจำใบหน้าของลูกค้า แขกที่เข้ามาพักแค่กดปุ่มเช็กอินอัตโนมัติ จะมี กล้องวีดีโอจิ๋ว (Mini DVR) คล้าย กล้องปากกา ตรงส่วนนั้นจะจดจำใบหน้าของแขกเอาไว้เพื่อ ใช้เวลาเข้าห้องผ่าน กลอนไฟฟ้า ดิจิทัล (Digital Door Lock) โดยไม่ต้องใช้กุญแจไขให้ยุ่งยาก และสั่งปลดล็อคประตูโดยกลอนไฟฟ้าดิจิทัล ตั้งควบคุมไฟ ควบคุณอุณภูมิภายในห้องโดยอัตโนมัติด้วย  ไฮเทคจริงๆ

แนวความคิดนี้ ได้รับแรงบันดาลใจาก  ผู้บริหารระดับสูงของซีอีโอของบริษัทนำเที่ยวต้นทุนต่ำ เอชไอเอส ผู้ที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดโรงแรมหุ่นยนต์(Humanoid Robot)นี้ โดยเผยว่า แม้หุ่นยนต์ จะมาใช้งานแทนที่มนุษย์ไม่ได้เสียทั้งหมด แต่ถ้าดูในแง่ของความเป็นมิตรและความสุภาพแล้ว หุ่นยนต์น่าจะถูกนำมาใช้เป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรมได้


โรงแรมยังใช้ หุ่นยนต์(Humanoid Robot) ที่คอยช่วยขนสัมภาระ 4 ตัว และหุ่นยนต์ทำความสะอาดถึง 3 ตัว  ซึ่งหุ่นยนต์ตัวนั้น สามารถคุยกับผู้ที่จะพักโรงแรมนี้ ได้ถึง 4 ภาษาด้วยกัน คือ ญี่ปุ่น อังกฤษ จีน และเกาหลีใต้  แค่เอากระเป๋าไปวางไว้บนหุ่นยนต์ กดปุ่มเลขที่ห้อง แล้วกดปุ่มสตาร์ต หุ่นยนต์จะพากระเป๋าไปส่งต่อให้กับหุ่นยนต์อีกตัว เพื่อเอากระเป๋าไปเก็บไว้ในล็อกเกอร์ รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน

ภายใน ห้องจะมีการติดตั้งผนัง เรดิเอชัน พาเนล (Radiation Panels) เป็นผนังที่จะคอยปรับอุณหภูมิภายในห้องแบบอัตโนมัติ โดยใช้วิธีตรวจจับความร้อนจากร่างกายแขกที่มาพัก ในห้องจะเห็นหุ่นยนต์ดอกทิวลิปตั้งอยู่ด้วย ไว้คอยดูแลเรื่องการปรับความสว่างของไฟ หรือระบบแจ้งเตือนต่างๆ ทั้งยังมีหน้าจอแจ้งราคาห้องไว้ด้วย

ซีอีโอคนดังกล่าว ระบุว่า โรงแรมแห่งนี้เป็นแบบต้นทุนต่ำคิดว่า น่าจะได้รับความนิยมเหมือนสายการบินต้นทุนต่ำเช่นกัน ไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในโรงแรมได้มาจากพลังงานแสงอาทิตย์นำมาใช้ภายในโรงแรม หลายส่วน เช่น โคมไฟโซล่าเซลล์ เครื่องทำน้ำอุ่น หม้อต้มน้ำ ฯลฯ  จึงตัดลดต้นทุนลงไปได้มาก ส่วนค่าห้องเริ่มต้นที่คืนละ 7,000 เยน หรือประมาณ 2,000 บาท แต่ในช่วงฤดูท่องเที่ยว ราคาห้องจะใช้วิธีประมูล ใครประมูลได้ราคาสูงสุดก็ได้เข้าพัก


Cr.Spring News,Synergy | Facebook

รถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk) ดังไกลทั่วโลก

 

รถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk) ดังไกลทั่วโลก

หากชาวต่างชาติพูดถึงประเทศไทย นอกจากอาหารไทยและทะเลที่สวยงามแล้ว สิ่งที่พวกเขาจะกล่าวถึงเป็นลำดับแรกๆก็น่าจะเป็น “รถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)” อย่างแน่นอน บางคนถึงกับกล่าวว่า ถ้าหากคุณมาเที่ยวประเทศไทยแล้วยังไม่เคยใช้บริการรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)แล้วหล่ะก็ ถือว่าคุณยังมาไม่ถึงประเทศไทย…. อาจกล่าวได้ว่ารถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)นั้นได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยมานานแล้ว ชาวต่างชาติรู้จักรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)มากขึ้นเรื่อยๆทั้งจากสื่อต่างๆและจากการมาเที่ยวประเทศไทยด้วยตัวเอง  สำหรับคนไทยเราเองก็คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับรถสามล้อเครื่องหลากสีนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือตามเมืองใหญ่ต่างๆทั่วประเทศ


เชื่อว่าคนไทยทุกคนน่าจะรู้จักรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk) แต่คงมีไม่กี่คนที่จะรู้จักความเป็นมาของรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk) รวมไปถึงหลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเราถึงเรียกรถประเภทนี้ว่า รถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk) … วันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้ว  รถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)ที่พวกเราเห็นและใช้บริการกันอยู่ทุกวันนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า รถสามล้อเครื่อง ถูกเผยแพร่ในประเทศไทยครั้งแรกประมาณช่วงปี พ.ศ. 2503 สำหรับประเทศที่นำเข้ามานั้นมีหลากหลายแตกต่างออกไป แต่ส่วนใหญ่จะนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ในสมัยนั้นรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)มีหลากหลายยี่ห้อไม่ว่าจะเป็นไดฮัทสุ ฮีโน่ มาสด้า มิตซูบิชิ แต่ทุกวันนี้เจ้าเดียวที่ยังคงครองตลาดก็คือ ไดฮัทสุ


นอกจากนี้ราคาของรถก็ได้เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก จากในยุคแรกเริ่มที่ราคาอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นบาท ปัจจุบันราคาขึ้นมาอยู่ที่หลักแสนแล้ว และเมื่อรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)อยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลานานเข้า คนไทยเราก็ได้ปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้เหมาะสมกับคนไทยมากขึ้น เพิ่มความเป็นไทยและความสะดวกสบายให้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้รถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)บ้านเรามีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น แม้แต่ภาพยนต์ฮอลลีวูดดังๆหลายเรื่องก็ยังมีฉากที่มีรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)รวมอยู่ด้วย ชาวต่างชาติบางคนถึงกลับถูกใจซื้อรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)กลับประเทศไปด้วยก็มี


ว่ากันในเรื่องของคำว่า ตุ๊กตุ๊ก ที่เราเรียกกันจนติดปาก คำนี้ในแง่ของภาษาศาสตร์แล้วไม่ได้มีความหมายแต่อย่างใด โดยที่มาของคำว่าตุ๊กตุ๊กนี้ก็มาจากบรรดาชาวต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยและไม่รู้จะเรียกรถประเภทนี้ว่าอะไรดี หากจะให้เรียกว่ารถสามล้อเครื่องก็อาจจะยากและยาวเกินไป พวกเขาจึงตั้งชื่อรถประเภทนี้จาก “เสียง” ของรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)นั่นเอง เสียงที่ว่าก็คือเสียงของท่อไอเสียเวลาที่รถขับหรือเสียงเวลาที่รถเร่งเครื่องนั่นเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามพวกเขาคิดว่าเสียงเหล่านี้น่าจะออกเสียงได้ประมาณว่า ตุ๊กตุ๊ก รถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk) ดังไกลทั่วโลกและนั่นก็ทำให้ตุ๊กตุ๊กกลายเป็นคำเรียกติดปากของคนทั่วโลกตลอดมา


ตามหลักของภาษาไทย ชื่อรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)นี้ตรงกับเรื่องของการใช้ภาพพจน์ ซึ่งก็คือการใช้ถ้อยคำหรือสำนวนให้ผู้รับสารเกิดภาพ เกิดจินตนาการตาม ซึ่งจะทำให้เข้าใจและรับรู้ตรงกับความต้องการของผู้ส่งสาร ตัวอย่างง่ายๆก็เช่น อุปมา (การเปรียบเหมือน) อุปลักษณ์(การเปรียบเป็น) ส่วนคำว่า ตุ๊กตุ๊ก นี้ก็คือการใช้สัทพจน์ (Onomatopoeia)นั่นเอง สัทพจน์คือการใช้คำที่เลียนเสียงธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี เสียงร้องของสัตว์ หรือเสียงกิริยาอาการต่างๆของคน ทั้งนี้เพื่อทำให้ผู้รับสารเข้าใจและรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงนั้นๆ เช่น ฝนตกดังแปะๆ คลื่นซัดครืนๆ เป็นต้น และการที่รถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)ของเราได้ชื่อมาจากเสียงท่อไอเสียหรือเครื่องยนต์ของรถนั้นก็จัดอยู่ในประเภทสัทพจน์เช่นเดียวกัน (ถึงแม้หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่าเสียงของรถที่เราได้ยินทุกวันนี้ไม่ตรงกับคำว่า ตุ๊กตุ๊ก เท่าไร อาจจะด้วยเรื่องของการได้ยินที่แตกต่างกัน แต่ก็เอาเถอะ ถ้าชาวต่างชาติเขาคิดว่าเป็นเสียงนั้นและเรียกกันได้ง่ายๆก็สะดวกดีเหมือนกัน ^^ )


รถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk) ดังไกลทั่วโลกและล่าสุด เมื่อปลายปีที่แล้วเจ้ารถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)นี้ก็ได้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยทำให้คนทั่วโลกตื่นตาอีกครั้งกับชุดประจำชาติประเทศไทยในการประกวดนางงามจักรวาล หรือมิสยูนิเวิร์ส 2016 ที่สหรัฐอเมริกา เพราะเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเราได้ฉีกรูปแบบเดิมๆของการออกแบบชุดประจำชาติให้กลายเป็นแบบที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากกว่าความสวยงามในแบบเดิมๆ ในปีนี้เราได้ออกแบบชุดประจำชาติให้มีลักษะเหมือนรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)และชุด “ตุ๊กตุ๊ก ไทยแลนด์” ก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังเพราะสามารถคว้ารางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จ โดยสาวงามเจ้าของสายสะพายประเทศไทยปีนี้คือ แนท อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ วัย21ปี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนี้สาวงามของเรายังสามารถฝ่าด่านเข้าไปรอบ15คนสุดท้าย และสามารถไปยืนเป็น10คนสุดท้ายบนเวทีนางงามจักรวาลอันทรงเกียรตินี้ได้สำเร็จ


ใครจะคาดคิดกันนะว่าชุดประจำชาติรูปแบบใหม่ที่ฉีกกฏทุกอย่างที่เคยมีมานี้จะสวยงาม น่าตื่นตาจนคว้ารางวัลให้กับประเทศไทยเราได้สำเร็จ และถึงแม้ในตอนแรกจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสังคมในเรื่องของความเหมาะสมของชุดที่เรียกกันว่า “ชุดประจำชาติ” แต่ท้ายที่สุด ชุดตุ๊กตุ๊กนี้ก็พิสูจน์ให้ทั้งโลกเห็นแล้วว่าพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์สามารถเรื่องราวดีๆได้เสมอ…


กลับมาที่ตัวรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)….ในอีกแง่หนึ่ง ชาวต่างชาติหรือแม้แต่พวกเราคนไทยหลายคนอาจมีทัศนคติและมองภาพของรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)ในทางที่ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะในเรื่องของราคาค่าโดยสาร ยิ่งถ้าเป็นชาวต่างชาติยิ่งต้องระวังในการถูกโก่งราคาอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในบ้านเราในปัจจุบันก็ทราบและตระหนักถึงข้อมูลนี้ดีจากข้อมูลตามอินเทอร์เน็ตที่มีมากมายในปัจจุบัน ดังนั้นถ้าใครที่มีเพื่อนหรือคนรู้จักที่จะมาเที่ยวประเทศไทยแต่ไม่อยากใช้บริการตุ๊กตุ๊กเพราะปัจจัยดังกล่าว ก็อย่าลืมช่วยกันบอกและอธิบายให้พวกเขาทราบนะ รับรองว่าประสบการณ์บนรถตุ๊กตุ๊ก (tuk tuk)จะเป็นอีกประสบการณ์การท่องเที่ยวที่พวกเขาจะจดจำและนำไปเล่าต่อในอนาคตอย่างแน่นอน!!!

Cr.ข่าว Lexiophiles

29 ส.ค. 2559

บ้าน โซล่าเซลล์

 

บ้าน โซล่าเซลล์


การเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยในวันนี้ นับว่ามีความรวดเร็วอย่างยิ่ง อาทิ เช่น บ้าน โซล่าเซลล์ ประหยัดค่าไฟฟ้า แต่การนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในที่อยู่อาศัยจริงๆ นั้น นับว่ามีอยู่น้อยมาก เนื่องจากนวัตกรรมใหม่ที่นำเข้ามาใช้ในบ้านนั้น จะกลายเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการ และแน่นอนว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมานั้น ย่อมถูกผลักดันมาเป็นต้นทุนของผู้บริโภคอีกทอดหนึ่ง และทำให้ราคาบ้านสูงขึ้น ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ซึ่งนั่นจะทำให้ผู้ประกอบการขายของยากขึ้น
      
ดังนั้น เราจึงพบว่า แม้ในปัจจุบันจะมีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่นวัตกรรมใหม่ที่มาแรงได้แก่บ้าน โซล่าเซลล์ นั้นมีเพียงส่วนน้อยที่ถูกนำเข้ามาติดตั้งไว้ในบ้านเพื่อส่งต่อลูกค้าหรือผู้บริโภคจริงๆ ต่างจากนวัตกรรมการก่อสร้างที่เมื่อมีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้น ก็จะมีการนำมาใช้เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการก่อสร้าง เพื่อลดระยะเวลาการ่กอสร้าง และลดต้นทุนของผู้ประกอบการ
      
อย่างไรก็ตาม แม้ว่านวัตกรรมใหม่ๆ จะมีการนำเข้ามาใช้ไม่มากนัก เพราะมีต้นทุนที่สูง แต่นวัตกรรมบางตัวกลับเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ทำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมนั้นๆ เพื่อลดต้นทุนได้มากที่สุด ให้เหมาะกับการนำมาใช้จริงได้ โดยเฉพาะระบบโซล่าเซลล์ โซลาร์รูฟ ซึ่งเป็นระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นระบบที่สอดรับกับกระแสการลดการใช้พลังงาน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในการผลิตกระแสไฟฟ้า
      
โดยปัจจุบัน ระบบโซล่าเซลล์ และโซลาร์รูฟ ได้รับการพัฒนาจนสามารถนำมาติดตั้งกับตัวอาคาร และตัวบ้าน เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ภายในบ้าน และอาคาร แล้วยังสามารถขายกำลังผลิตส่วนที่เหลือจาการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านคืนกลับไปให้การไฟฟ้าได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน แผงโซลาร์รูฟ ที่ใช้ติดตั้งตามตัวอาคาร และบ้านยังมีราคาสูง โดยเฉลี่ยแล้วจะมีราคาที่ 5-6 แสนบาทต่อหลัง ทำให้มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์น้อยรายจะนำระบบโซล่าเซลล์มาติดตั้งให้ลูกค้า
      
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เสนาฯ ได้นำระบบโซล่าเซลล์มาทดลองติดตั้งในโครงการเสนาแกรนด์ รามอินทรา และโครงการอื่นๆ อีก 2-3 โครงการแล้ว ปรากฏว่าได้รับการยอมรับที่ดีจากลูกค้า นอกจากนั้น ลูกค้ายังมองว่า เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวบ้านด้วย ทำให้เสนาฯ มีนโยบายนำแผงโซล่าเซลล์มาติดตั้งให้แก่ลูค้าทั้งในโครงการบ้าน และคอนโดมิเนียม ทุกระดับราคา ฟรี ไม่ว่าจะเป็นบ้านราคาถูก หรือบ้านราคาแพง รวมถึงคอนโดมิเนียม
      
 “ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการกังวลเกี่ยวกับต้นทุนของแผงโซล่าเซลล์ที่จะนำมาติดตั้งบนหลังคาบ้าน ลูกค้าเองก็กังวลว่า แผงโซล่าเซลล์ที่ติดตั้งจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ไม่คุ้มกับราคาหรือไม่ และยังมีความกังวลเรื่องการซ่อมบำรุงกรณีที่เกิดปัญหา เนื่องจากเป็นนวัตกรรมใหม่ ลูกค้าจึงไม่มีความรู้ ซึ่งจากความกังวลดังกล่าวทำให้เสนาฯ ได้มีการศึกษา และเตรียมพร้อมรองรับปัญหาต่างๆ ให้แก่ลูกค้า ทั้งในเรื่องของการดูแลหลังติดตั้ง และยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบ และติดตามการทำงานของแผงโซล่าเซลล์ในบ้านของลูกค้า”
      
 โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันได้ตลอดเวลา และยังสามารถคำนวนปริมาณการผลิตกระแสไฟฟ้าต่อวันต่อเดือนต่อปี กลับมาเป็นจำนวนเงินให้ลูกค้าใช้เปรียบเทียบได้ว่า ในแต่ละวัน แต่ละเดือน และแต่ละปี ลูกค้าสามารถประหยัดเงินจากค่าไฟฟ้าในบ้านได้จำนวนเท่าใด นอกจากนี้ ในกรณีที่เกิดปัญหาจำเป็นต้องเรียกช่างมาซ่อมแซมแผงโซล่าเซลล์ ยังสามารถแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อเรียกช่างซ่อม ซึ่งเป็นทีมงานที่บริษัทตั้งขึ้นมาให้บริการโดยเฉพาะแก่ลูกค้า
      
“อยากถามว่า ทำไมบ้านที่จะติดตั้งโซล่าเซลล์ได้ จำเป็นต้องเป็นบ้านแพงเท่านั้นเหรอ นี้คือเหตุผลที่เสนาฯ นำแผงโซล่าเซลล์เข้ามาติดให้ลูกค้าฟรีทุกยูนิตในทุกโครงการนั้น เพราะเสนาฯ พยายามสร้างสิ่งที่ดีให้แก่ลูกค้า ตามสโลแกนการทำงานของบริษัทที่ว่า “หัวคิดหัวใจ” คือ คิด และสร้างสรรสิ่งดีๆ บริการดีๆ ให้กับลูกค้า และใส่ใจดูแลลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”

Cr.ข่าวผู้จัดการ

28 ส.ค. 2559

รถตุ๊กตุ๊ก ใน อาเซียน

 

รถตุ๊กตุ๊ก ใน อาเซียน 


ไปดูความก้าวหน้าอีกขั้นของระบบขนส่งในเพื่อนบ้านของไทยกันบ้าง เมื่อ “อีซี่ โก” ผู้ประกอบการขนส่งกัมพูชาเปิดตัวรถตุ๊กตุ๊กโดยสาร ที่คิดค่าบริการตามระยะทางในกรุงพนมเปญ เพื่อป้องกันการต่อรองราคาและการคิดค่าโดยสารที่ไม่ยุติธรรมกับผู้โดยสาร

นายท็อป นิมล เจ้าของบริษัทนี้บอกว่า วิธีนี้จะช่วยไม่ให้ผู้บริโภคถูกโกงค่าโดยสาร และไม่คิดค่าบริการเพิ่มกรณีมีการจราจรหนาแน่น เนื่องจากบริการของบริษัทคิดตามระยะทาง ไม่ใช่เวลา ส่วนราคาค่าโดยสารอยู่ที่ 3,000 เรียล หรือประมาณ 25.5 บาท สำหรับกิโลเมตรแรก และ 360 เรียล หรือประมาณ 3 บาทในทุกๆ 300 เมตรต่อไป

"รถตุ๊กตุ๊ก" หรือชื่อเรียกทางราชการว่า "รถสามล้อเครื่อง" ที่เราทุกคนรู้จักคุ้นเคยกันดี เริ่มเข้ามาในเมืองไทยครั้งแรกราวๆ ปี 2503 โดยนำเข้ามาจากหลายประเทศด้วยกัน แต่โดยส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ยุคแรกๆ รถตุ๊กตุ๊ก มีทั้งยี่ห้อไดฮัทสุ ฮีโน่ มาสด้า มิตซูบิชิ ราคาตกคันละประมาณเกือบ 2 หมื่นบาท แต่ปัจจุบันราคาขยับขึ้นไปถึงหลักแสนแล้ว และเหลือเพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้น คือ "ไดฮัทสุ"

รถตุ๊กตุ๊ก ในสมัยก่อน มีทางให้ผู้โดยสารขึ้นลง 2 ด้านแต่ต่อมาเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารเลยกำหนดให้ปิดทางขึ้นลงด้านขวา ของตัวรถ เหลือทางขึ้นลงเพียงด้านเดียว แต่กว่าจะมาเป็นรถตุ๊กตุ๊กได้อย่างทุกวันนี้ มีวิวัฒนาการจากการนำรถสามล้อเครื่องกระบะบรรทุกจากญี่ปุ่น เข้ามาดัดแปลง โดยเอามาต่อหลังคาเพิ่มไว้สำหรับนั่งโดยสารและขนของได้

แต่ในปี พ.ศ. 2508 รถตุ๊กตุ๊กก็เกือบจะต้องอันตรธานหายไปจากเมืองไทย เพราะทางราชการเตรียมจะยุบเลิก โดยเห็นว่าเป็นรถที่มีกำลังแรงม้าต่ำ แล่นช้า เกะกะกีดขวางทางจราจร แต่สุดท้ายก็สามารถต่อสู้ยืนหยัดอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้เป็นเวลาเกือบ 50 ปี แล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรถตุ๊กตุ๊กยังถือเป็นรถที่ต้องถูกจำกัดจำนวน โดยปี พ.ศ.2530 ทางราชการก็ออกกฎห้ามจดทะเบียนรถตุ๊กตุ๊กรับจ้างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี และนครราชสีมา แต่อนุโลมให้กับรถตุ๊กตุ๊กส่วนบุคคลที่นำไปประยุกต์ใช้งานเฉพาะอย่างได้ ทำให้ปัจจุบันมีรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งอยู่บนท้องถนนในกรุงเทพฯ รวมกันประมาณ 7,405 คันเท่านั้น และถ้ารวมๆ กันทั้งประเทศ จะมีรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งอยู่ประมาณ 3 หมื่นกว่าคัน

นอกจากคนไทยจะเริ่มประกอบรถตุ๊กตุ๊กใช้ในประเทศได้เองแล้ว ยังผลิตเพื่อส่งออกไปประเทศอื่นๆ ด้วย อาทิ อินเดีย ศรีลังกา สิงคโปร์ สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท แถมยังกลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยอีกด้วย  ที่มาของชื่อเรียก "ตุ๊กตุ๊ก" เพราะเดิมทีชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทยไม่รู้จะเรียกรถสามล้อเครื่องว่า อะไร เลยอาศัยเรียกชื่อตามเสียงท่อไอเสียของรถ กลายเป็นชื่อ "รถตุ๊กตุ๊ก" ติดปากมาถึงวันนี้

ความเป็นมาและวิวัฒนาการของรถสามล้อชนิดต่างๆ ในไทย

รถสามล้อพ่วงข้าง
ปี พ.ศ.2476 "รถสามล้อ" ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกที่ จ.นครราชสีมา โดย นาวาอากาศเลื่อน พงษ์โสภณ นำรถลาก หรือรถเจ็ก มาดัดแปลงร่วมกับจักรยาน ถือเป็นต้นแบบของรถสามล้อที่ใช้รับผู้โดยสารแพร่หลายไปทั่วประเทศ ต่อมามีผู้นำจักรยานมาเพิ่มล้อและกระบะพ่วงเข้าที่ด้านข้าง ติดตั้งเก้าอี้หวายยึดแน่นกับกระบะ ออกวิ่งรับจ้าง นับเป็นต้นแบบของ "สามล้อพ่วงข้าง" ซึ่งปัจจุบันยังใช้อยู่ในจังหวัดภาคใต้

ซาเล้ง หรือ สามล้อแดง
เพื่อทุ่นแรงและสามารถรับส่งผู้โดยสารได้ในระยะที่ไกลขึ้น นักประดิษฐ์ชาวไทยได้ดัดแปลงนำเครื่องจักรยานยนต์มาติดกับรถสามล้อแบบที่ใช้คนถีบ ได้รับความนิยมแพร่หลาย เพราะนอกจากไปได้ในระยะทางไกลกว่าแล้ว ความรวดเร็วก็เป็นส่วนสำคัญ ทุกวันนี้ "สามล้อเครื่อง" ยังเกลื่อนเมือง ตามด้วย "ซาเล้ง" หรือสามล้อแดง ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ส่งสินค้าที่มีน้ำหนักไม่มาก ระยะทางไม่ไกลนัก เป็นสามล้อใช้แรงถีบ ผู้ขับขี่อยู่ด้านหลังกระบะบรรทุก

รถตุ๊กตุ๊ก
"รถตุ๊กตุ๊ก" กำเนิดจากการนำสามล้อเครื่องกระบะบรรทุกจากญี่ปุ่นเข้ามาดัดแปลงเป็นรถนั่งโดยสาร เมื่อปี พ.ศ.2503 เพื่อทดแทนรถสามล้อถีบซึ่งถูกห้ามวิ่งในเขตกรุงเทพฯ ทุกวันนี้เราผลิตได้เองแล้ว และส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วย ในนาม "TUK-TUK" สามล้อตุ๊กตุ๊กมีบริการทั่วไปทุกจังหวัดและเป็นที่นิยมเป็นอย่างยิ่งของทัวริสต์

รถตุ๊กตุ๊กสองแถว
วิวัฒนาการมาจากตุ๊กตุ๊กธรรมดา ดัดแปลงเบาะนั่งด้านหลังเป็นที่นั่งสองแถวเพื่อรับผู้โดยสารได้จำนวนมาก พบเห็นได้ตามแหล่งชุมชนอย่างท่ารถโดยสาร ท่าเรือข้ามฟาก ตลาดสด และด้วยฝีมือไทยประดิษฐ์ ได้มีการนำรถตุ๊กตุ๊กธรรมดามาดัดแปลงประดับตกแต่งสวยงามทั้งตัวถัง วงล้อ เบาะนั่ง แผงหน้าปัด กระบังหน้า เครื่องยนต์เปลี่ยนจาก 2 เป็น 4 จังหวะ จากตุ๊กตุ๊กธรรมดาก็กลายเป็น "ตุ๊กตุ๊กเดอลุกซ์" บริการในจังหวัดภาคตะวันออก

สามล้อสกายแล็บ
เมื่อครั้งสถานีอวกาศ "สกายแล็บ" ได้เป็นที่กล่าวขานไปทั่วโลก คนไทยร่วมฮิตด้วยการประดิษฐ์สามล้อและเรียกชื่อตามสมัยนิยมว่า "สามล้อสกายแล็บ" โดยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ จ.อุดรธานี ก่อนแพร่ไปจังหวัดต่างๆ ทั่วอีสาน เป็นสามล้อที่ใช้กำลังเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ ที่นั่งโดยสารตอนหลังเป็นสองแถว จุดเด่นคือสีสันสดใส และช่วงหน้าเชิดสูง

รถสามล้อแบบมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง
เมื่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างถือกำเนิดและแพร่หลายไปทุกท้องถิ่น ก็มีแนวคิดว่าทำอย่างไรจึงจะรับผู้โดยสารได้ครั้งละหลายๆ คน รถสามล้อแบบมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างจึงถูกประดิษฐ์ขึ้น เมื่อไม่ออกรับจ้างผู้โดยสารก็สามารถถอดเฉพาะตัวรถขับขี่ไปทำธุรกิจได้ ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เรียกสามล้อแบบนี้ว่า "ไก่นา"

Cr.ข่าวสนุก

27 ส.ค. 2559

"เอธิโอเปีย" ที่หนึ่งของโลก


"เอธิโอเปีย" จุดหมายแห่งการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลกในปีนี้   การโหวตจากสภาการท่องเที่ยวยุโรป  จากการแข่งขันกันกับประเทศต่างๆ 30 ประเทศทั่วโลก โดยเอธิโอเปียนั้นมีความงามทางธรรมชาติที่โดดเด่น ภูมิประเทศที่สวยงาม รวมถึงยังคงรักษาวัฒนธรรมเก่าแก่ไว้ในรูปของซากปรักหักพังของเมืองโบราณ ต่างๆ

จากสถิติสถานที่ท่องเที่ยวดีเด่นของโลกที่ผ่านมา การจัดอันดับมักยกให้กับพื้นที่ที่มีอัตราการท่องเที่ยวที่มากที่สุด สถานที่ที่สวยงาม หรือแม้กระทั่งความคิดเห็นจากประสบการณ์ตรงของนักท่องเที่ยว ทว่า การคัดเลือกล่าสุดโดยสภาการท่องเที่ยวและการค้าแห่งยุโรป หรืออีซีทีที ยกให้ประเทศเอธิโอเปียเป็นจุดหมายแห่งการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลกในปี นี้

จากข้อมูลของกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของเอธิโอเปีย เผยว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศแห่งนี้เพิ่มขึ้น 10% โดยมีอุทยานทางธรรมชาติ และร่องรอยทางประวัติศาสตร์กว่า 3,000 ปี ที่ยังคงเหลือไว้ให้เห็น รวมถึงสถานที่มรดกโลกอีก 9 แห่ง ที่ประกาศโดยองค์การยูเนสโก เป็นจุดดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้ามาลองสัมผัส

ตัวอย่างของไฮไลท์ ทางธรรมชาติ ได้แก่ ภูเขาไฟเอร์ตาอาเล ที่มีทะเลสาบลาวาเก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งคาดว่าคุกรุ่นมาตั้งแต่ปี 1906 มีชื่อเสียงตามคำร่ำลือแบบท้องถิ่นว่าเป็นประตูสู่นรก

ศาสนาคริสต์นิ กายออร์โธดอกซ์เป็นที่นับถือหลักของชาวเอธิโอเปีย จากการสืบสานต่อกันมาอย่างยาวนาน โดยมีศาสนสถานเก่าแก่เป็นเครื่องยืนยัน หนึ่งในนั้นคือ วิหารนักบุญจอร์จ ในเมืองลาลิเบลา วิหารแกะสลักขึ้นจากศิลาก้อนเดียวซึ่งอยู่ลึกลงไปจากพื้นดิน

อุทยาน แห่งชาติซีเมียน ที่ซึ่งดำรงด้วยสัตว์ป่าและต้นไม้ใบหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ รายล้อมไปด้วยชุมชนชาวพื้นเมืองที่ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์ พื้นที่ธรรมชาติแห่งนี้เป็นที่อยู่ของสัตวป่าใกล้สูญพันธุ์จำนวนมาก รวมถึงแพะวาเลีย ไอเบ็กซ์ ที่มีข้อมูลว่าพบเห็นได้ที่นี่แห่งเดียวในโลก

บี รฮัน'เอธิโอเปียไม่สิ้นคนรวยเมื่อเราพูดถึงเอธิโปเปีย สิ่งแรกที่จะนึกถึงคือดินแดนแห่งความแร้นแค้น ผู้คนอดอยาก และหากท่านผู้อ่านจำกันได้ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ประเทศนี้ประสบกับภาวะทุพภิกขภัยรุนแรง เป็นที่น่าเวทนา จนชาวโลกต้องระดมพลังช่วยเหลือ และกลายเป็นที่มาของเพลง We Are The World อันโด่งดัง

แต่ในวันนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เอธิโอเปียกลายเป็นประเทศเนื้อหอมที่ใครๆ ก็อยากจะเดินทางไปเที่ยว จนติดอันดับที่หนึ่งจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุด (World Best Tourism Destination) อีกทั้งยังมีทรัพยากรมหาศาลเป็นที่หมายตาของนักลงทุน จนได้รับฉายาว่าเป็น "ราชสีห์แห่งแอฟริกา"

เอธิโอเปียมีคนร่ำรวยติด อันดับมหาเศรษฐีเช่นกัน แต่เขาผู้นี้พำนักอยู่ในซาอุดีอาระเบีย นั่นคือ โมฮัมเหม็ด ฮุสเซน อัลมูดี อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ อัลมูดี มีความคาบเกี่ยวหลายประเทศ ทำให้ยากที่จะสรุปชัดว่าเขาคือชาวเอธิโอเปียที่ร่ำรวยที่สุด เป็นชาวซาอุฯ ที่รวยที่สุดเป็นอันดับสอง หรือเป็นคนผิวดำที่มั่งคั่งที่สุดกันแน่

แต่ เอธิโอเปียไม่สิ้นคนรวย เพราะยังมีนักธุรกิจที่น่าจับตามองอีกมากมาย เพราะอัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐีในประเทศนี้สูงถึง 108% ระหว่างปี 2007-2013
เช่น เบธเลเฮม ติลาฮุน อาเลมู วัย 35 ปี นักธุรกิจสาว เจ้าของแบรนด์รองเท้า SoleRebels ที่ได้รับการจัดโดยนิตยสารฟอร์บส์ ให้เป็นนักธุรกิจที่ไดรับการจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งในทวีปแอฟริกา

นอก จากนี้ยังมี บีรฮัน ยังกุมธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในชื่อ บริษัท แอมบาสเดอร์ เรียล เอสเตท (Ambassador Real Estate) มีบ้านพักระดับหรูที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อจำหน่ายจำนวน 100 หลัง อพาร์ทเม้นท์อีก500 แห่ง และห้างสรรพสินค้าในพื้นที่ทำเลทองกลางเมืองหลวงอีก 1 แห่ง ส่วนเรื่องความปลอดภัยไม่ต้องห่วงเพราะมีระบบ กลอนประตูไฟฟ้า อัตโนมัติ (Digital Door Lock) ดูแลความปลอดแก่ผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว

บ้าน พักระดับหรู อพาร์ทเม้นท์ หรือแม้นแต่ห้างสรรพสินค้า ก็ได้แรงบันดาลใจจากเขาผู้นี้ผู้เกิดและพัฒนาความเจริญให้ชาวเอธิโปเปีย เขาผู้นี้ บีรฮัน คือคนที่จะพอเทียบชั้นได้กับ โมฮัมเหม็ด ฮุสเซน อัลมูดี แต่มีสิ่งที่เหนือกว่าก็คือ เขาเป็นนักธุรกิจที่สร้างตัว และประสบความสำเร็จที่นี่

บีรฮัน เกิดในครอบครัวชาวนาในจังหวัดติเกร จบการศึกษาเพียงแค่ชั้นประถม 4 เพราะเกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนกับเอริเทรียขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เขาก็พยายามหางานทำจนมีเงินเก็บราว 3,000 บีรร์ หรือประมาณ 4,800 บาท เขานำเงินส่วนนี้มาเป็นทุนซื้อจักรเย็บผ้ามือสอง และเช่าห้องเล็กๆ เพื่อเริ่มต้นธุรกิจซึ่งวันนี้จะขยายตัวเป็นร้านเสื้อผ้าถึง 85 แห่งทั่วเอธิโอเปีย

และเป็นอีกหนึ่ง "ราชสีห์" ที่น่าจับตาที่สุดคนหนึ่งในดินแดน "ราชสีห์แห่งแอฟริกา"

Cr.M2F News,โพสต์ทูเดย,Synergy | Facebook

แผ่นดินไหว ศาสตร์ที่ซับซ้อน



      งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ผศ.ดร.ภาสกร ปนานนท์ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแผ่นดินไหวและธรณีแปรสัณฐานของโลก (SEIS-SCOPE) ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ศึกษาแผ่นดินไหวด้วยเครื่องไม้เครื่องมือสำรวจ เครื่องมือวัดละเอียด และวัดค่าต่างๆ ของพื้นดิน  เครื่องมือวัด ต่าง ๆ อาทิ เช่น ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper)  เครื่องวัดแสง (LUX Meter) และงานกว่าครึ่งของเขาเป็นเรื่องแผ่นดินไหว

       ผศ.ดร.ภาสกรนิยามตัวเองว่าเป็น “นักธรณีฟิสิกส์” ในขอบข่ายการศึกษาของเขานั้นกว้างกว่าแค่เรื่องแผ่นดินไหว ขณะเดียวกันการศึกษาทางด้านแผ่นดินไหวก็ใช้หลายๆ ศาสตร์ ทั้งศาสตร์ทางด้านธรณีวิทยา ศาสตร์ทางด้านธรณีฟิสิกส์ ศาสตร์ในการวิเคราะห์ข้อมูลแผ่นดินไหว และในบางครั้งต้องใช้ความรู้ทางด้านวิศวกรรมร่วมด้วย และเมื่อพูดถึงแผ่นดินไหวในเมืองไทยจะหมายถึง 2 ส่วน คือ ส่วนของการศึกษาทางด้านธรณีวิทยา ดูในเรื่องรอยเลื่อน และส่วนที่ศึกษาข้อมูลแผ่นดินไหวและนำข้อมูลมาวิเคราะห์
     
       “ถ้านิยามตัวเอง ผมเป็นคนที่ศึกษาการเปลี่ยนแปลงโลกในด้านต่างๆ แผ่นดินไหวก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของโลกส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นผมจึงศึกษาหลายๆ อย่าง ตอนนี้ศึกษาในเรื่องลักษณะการเกิดแผ่นดินไหว ลักษณะรอยเลื่อน โครงสร้างใต้แผ่นเปลือกโลก โดยเน้นประเทศไทยเป็นหลัก ดูว่ารอยเลื่อนแต่ละรอยเลื่อนมีพลังมากน้อยแค่ไหน มีหลักฐานการเกิดแผ่นดินไหวในอดีตมาก่อนไหม และมีศักยภาพให้เกิดแผ่นดินไหวในอนาคตมากน้อยแค่ไหน โดยอาศัยเครื่องมือทางธรณีฟิสิกส์” ผศ.ดร.ภาสกรกล่าว
     
       ศาสตร์ทางด้านแผ่นดินไหวเป็น ศาสตร์ที่ซับซ้อน เพราะแผ่นดินไหวเกิดจากการที่โลกไม่ได้เป็นเนื้อเดียว โลกมีหลายแผ่นเปลือกโลก และแต่ละแผ่นเปลือกโลกมีคุณสมบัติทางเคมี คุณสมบัติฟิสิกส์ต่างกัน ดังนั้น เมื่อศึกษาแบบจำลองแผ่นดินไหวของบริเวณ หนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าแบบจำลองของบริเวณนั้นจะใช้เป็นตัวแทนของบริเวณอื่นได้ โดย  ผศ.ดร.ภาสกรได้ยกตัวอย่างลักษณะทางธรณีวิทยาของภูเก็ตที่แตกต่างจาก เชียงใหม่ ดังนั้นเราไม่สามารถเอาแบบจำลองแผ่นดินไหวที่ภูเก็ตไปใช้สมมติกับเชียงใหม่ ได้
     
       “ฉะนั้นเราต้องศึกษาให้เยอะที่สุด นั่นคือสิ่งหนึ่ง แต่ข้อจำกัดในการศึกษาโลกของเราคือ เราศึกษาลงไปไม่ได้ลึกมากนัก เราเจาะหลุมสำรวจลงไปประมาณ 7 กิโลเมตร หลังจากนั้นเจาะไม่ได้แล้ว ดังนั้น ส่วนที่เหลือคือการเอาข้อมูลมาสร้างแบบจำลองเพื่อให้เกิดภาพ และข้อจำกัดในการศึกษาโลกก็เป็นข้อจำกัดในการศึกษาแผ่นดินไหวด้วย” นักธรณีฟิสิกส์ จาก ม.เกษตร กล่าว
     
       อย่างกรณีแผ่นดินไหวเนปาล จากการชนกันของเปลือกโลก 2,000 กิโลเมตรนั้น นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ทราบว่าตลอด 2,000 กิโลเมตรนั้น เปลือกโลกชนกันด้วยแรงมากแค่ไหน นักวิทยาศาสตร์รู้แค่ในระดับหนึ่งเพราะการศึกษาเรื่องนี้ใช้งบเยอะ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงศึกษาโดยแบ่งพื้นที่ในระดับที่พวกเขาสามารถศึกษา ได้ ภายใต้งบประมาณและเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งข้อมูลต่างๆ ก็มีน้อย
     
       “แบบจำลอง” เครื่องมือวัดอธิบายแผ่นดินไหว
       ผศ.ดร.ภาสกรย้ำว่าการอธิบายเรื่องแผ่นดินไหวจำเป็นต้องมีแบบจำลอง หากไม่มีแบบจำลองก็ทำได้แค่เดา เช่น ถามเรื่องแผ่นดินไหวที่เนปาลซึ่งเขาไม่ได้ลงมือศึกษาเอง เขาก็ทำได้เดาไปตามข้อมูลที่มี ซึ่งจุดนี้เป็นความแตกต่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์ไทยและนักวิทยาศาสตร์ต่าง ชาติ โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ ซึ่งต่างประเทศจะมีข้อมูลเชิงตัวเลขหรือปริมาณกำกับทุกครั้ง
     
       ความแตกต่างดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากความพร้อมเรื่องเครื่องมือสำหรับบันทึกข้อมูลพื้นฐานสำหรับนำไปวิเคราะห์แผ่นดินไหว ซึ่งต่างประเทศเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานกันมาเป็นร้อยปี แต่สำหรับเมืองไทยเพิ่งเริ่มเก็บข้อมูลเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา แม้หลังเกิดสึนามิในปี 2547 จะมีข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินไหวมากขึ้น แต่ ผศ.ดร.ภาสกรระบุว่า ไทยยังขาดข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการวิจัย ซึ่งต้องอาศัยการเก็บข้อมูลจากเครื่องมือที่มีราคาแพง
     
       รวมถึงการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรอยเลื่อนในเมืองไทย แม้เราจะทราบว่ามีรอยเลื่อนมีพลัง 14 รอยเลื่อน แต่ในแต่ละรอยเลื่อนนั้นยังมีรอยเลื่อนย่อยต่อกันเป็นแนวยาว ซึ่งหากเปรียบเทียบกับต่างชาติที่มีความพร้อมมากกว่าแล้ว จะให้ความสำคัญในการศึกษาข้อมูลของทุกรอยเลื่อนย่อย ขณะที่ไทยอาจศึกษาได้เพียงไม่กี่รอยเลื่อนแล้วใช้สรุปแทนรอยเลื่อนอื่นๆ ในกลุ่มรอยเลื่อนเดียวกัน ส่วนหนึ่งนั้นอาจเป็นเพราะไทยยังขาดทั้งเวลา งบประมาณ และบุคลากร
     
       “สิ่งที่เราขาดคือการวิจัยระดับลึก เรามีการวิจัยระดับพื้นฐานบ้าง แต่เราไม่เคยลงไปในระดับลึกที่จะได้ข้อมูลในเชิงปริมาณ ส่วนหนึ่งเพราะว่าเทคโนโลยีและศาสตร์เหล่านี้เพิ่งมีขึ้นเมื่อสมัย 10 กว่าปีที่ผ่านมานี่เอง เพราะฉะนั้นนักวิชาการที่มีในปัจจุบันจึงเป็นนักวิชาการที่เรียนมาในสมัย ก่อน ซึ่งไม่ได้มีทักษะในส่วนนี้ จริงๆ เราต้องการนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ๆ ที่จะรับเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาในประเทศไทย และใช้ให้มากขึ้น” ผศ.ดร.ภาสกรกล่าว

  “แผ่นดินไหวเล็ก” ข้อมูลสู่ความเข้าใจรอยเลื่อน
       แม้ไทยมีข้อมูลแผ่นดินไหวขนาด ใหญ่เยอะขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลจากการติดตั้งสถานีเพื่อวัดแผ่นดินไหวระยะไกลและใช้ เตือนภัยสึนามิ แต่ข้อมูลที่มีค่ามากๆ และไทยยังขาดคือข้อมูลแผ่นดินไหวขนาด เล็กๆ ซึ่งจะบอกถึงพฤติกรรมของรอยเลื่อนแต่ละรอยเลื่อน และต้องติดตั้งเครื่องตรวจวัดในบริเวณแนวรอยเลื่อน แต่บางครั้งมีข้อจำกัดในการเข้าไปศึกษา เพราะหลายๆ พื้นที่ที่ถูกพัฒนาไปแล้ว และถูกครอบครองโดยเอกชนซึ่งไม่อนุญาตให้นักวิจัยเข้าไปศึกษา
     
       “ทุกอย่างที่พูดไม่สามารถทำได้ภายใน 1-2 ปีหรอก แต่เรากำลังพูดถึง 10-20 ปี ข้างหน้าที่สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานให้ลูกหลานเรามาใช้ทำในสิ่งที่ เราทำไม่ได้ในตอนนี้ วิเคราะห์ข้อมูลได้มากขึ้น เพราะข้อมูลแผ่นดินไหวนั้น ค่อยๆ เกิดขึ้น และแผ่นดินไหวในไทยไม่ได้เกิดขึ้นมากมาย ต่อให้เป็นแผ่นดินไหวขนาด 2.0 เองก็ตาม ในเมืองไทยเกิดอย่างมากก็ปีละ 50 ครั้งหรือน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ” หัวหน้าศูนย์ SEIS-SCOPE กล่าว
     
       จากข้อมูลสู่แผนที่เสี่ยงและนโยบาย
       ตัวอย่างการศึกษาแผ่นดินไหวใน ต่างประเทศอย่างในสหรัฐฯ นั้นมีข้อมูลมากพอสำหรับทำนายได้ว่าในอนาคตข้างหน้านั้นมีโอกาสเกิดแผ่นดิน ไหวกี่เปอร์เซนต์ เช่น มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.0 มากกว่า 60% ในรอบ 30 ปีข้างหน้า  แสดงว่าในอีก 30 ปี มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวมากกว่า จะไม่เกิด เป็นต้น ซึ่งจะเป็นข้อมูลเชิงนโยบายให้รัฐบาลนำไปบริหารจัดการ เช่น การออกกฏหมายสิ่งก่อสร้างรองรับแผ่นดินไหว กฎหมายการประกันภัย เป็นต้น
     
       “ส่วนไทยนั้นเราทราบว่ามีรอยเลื่อนมีพลัง 14 แห่งอยู่ในพื้นที่ไหนบ้าง และทราบว่าบริเวณรอยเลื่อนนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวมากกว่าบริเวณอื่น เช่น ภาคเหนือ-ภาคใต้มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวมากกว่า ภาคอีสาน เป็นต้น แต่สิ่งที่เราไม่รู้เลยคือ รอยเลื่อนไหนจะเกิดแผ่นดินไหวก่อน หรือรอยเลื่อนแต่ละตัวสะสมพลังงานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งทำให้เราไปต่อไม่ได้ ขณะที่ต่างประเทศจะมีแผนที่ความเสี่ยงแผ่นดินไหว ตรงไหนมีอันตรายระดับเท่าไร ไทยก็พยายามทำ แต่ยังมีหลายเวอร์ชัน ยังไม่มีหน่วยงานกลางที่รับทำเป็นเจ้าภาพแล้วประกาศใช้ในเชิงกฎหมาย” ผศ.ดร.ภาสกรกล่าว
     
       ในการทำแผนที่ความเสี่ยงแผ่นดินไหวนั้น รศ.ดร.ภาสกรกล่าวว่า ประกอบด้วยงานหลายๆ ด้าน ทั้งด้านธรณีวิทยาและงานวิศวกรรม ซึ่งควรจะมีผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นผู้สั่งการ และอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากหลายด้านเป็นคณะทำงาน อาทิ นักแผ่นดินไหว นักธรณีวิทยา วิศวกร และต้องใช้บุคลากรมากถึง 50-100 คน แม้ระหว่างทางอาจมีการถกเถียงกันบ้าง แต่สุดท้ายทุกอย่างจะถูกเกลี่ยให้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในสหรัฐฯ ก็มีการทำงานในลักษณะนี้และได้มาตรฐานฉบับเดียวที่ใช้กันทั้งประเทศ
     
       “สึนามิ” ซัดสู่ความเข้าใจที่มากขึ้น
       “หลังสึนามิปี 2547เรามีพัฒนาการในภาพรวมที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ตื่นตัวขึ้นเยอะ เดี๋ยวนี้ทุกครู้จักแล้วว่าแผ่นดินไหวคือ อะไร แต่ว่ายังเป็นการรู้จักเพียงผิวเผิน ถามทำไมแผ่นเปลือกโลกถึงเลื่อนไป เลื่อนมา ทราบไหม? คนส่วนมากก็ยังไม่ทราบ ผมมองว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการให้การศึกษา ซึ่งปัจจุบันทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จัดองค์ความรู้เหล่านี้เข้าไปในระบบ การศึกษาแล้ว เพราะฉะนั้นคนรุ่นใหม่จะไม่มีช่องว่างตรงนี้แล้ว แต่ช่องว่างเป็นของคนรุ่นก่อน ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเพราะเขาไม่ได้เรียน เหมือนถามผมในสิ่งที่ผมไม่ได้เรียน ผมก็ไม่รู้เรื่อง มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็ต้องค่อยๆ ให้ความรู้เขา”
     
       ส่วนเรื่องความน่ากลัวของแผ่นดินไหวใน เมืองไทยนั้น ผศ.ดร.ภาสกรกล่าวว่า ต้องมองที่ความเสียหาย ซึ่งรอยเลื่อนทุกรอยเลื่อนในไทยมีศักยภาพมทำให้เกิดแผ่นดินไหวเกือบ 7 แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดแผ่นดินไหวที่ตรงไหน หากเกิดในป่าเขาก็ไม่ส่งผลกระทบมาก แต่ถ้าแผ่นดินไหวขยับเข้าใกล้เมืองมากขึ้น ผลกระทบก็เยอะขึ้น แต่เราไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหนขึ้นที่ตรงไหน
     
       “แผ่นดินไหว” ไม่เคยฆ่าคน
       “ฝรั่งบอกว่า “แผ่นดินไหวไม่เคยฆ่าคนหรอก อาคารต่างหากฆ่าคน” เพราะฉะนั้นคนที่เสียชีวิตทั้งหมดก็เกิดจากอาคารที่หล่นมาทับ ตรงนี้เป็นส่วนของข้อมูลพื้นฐานที่เราจะใช้บอกแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวและ ความเสี่ยงแผ่นดินไหว แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านี้คือความพร้อมของเรา เราไม่ต้องเถียงกันหรอกว่าเนปาลจะส่งผลกระทบถึงเมืองไทยหรือเปล่า เถียงไปไปก็ไม่ได้อะไร แต่ถามว่าถ้าวันนี้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 หรือขนาดใกล้ๆ เราพร้อมไหม วันหนึ่งมันเกิดกลางเมืองเชียงใหม่ กลางเมืองเชียงราย ภาคเหนือของประเทศไทย เราพร้อมหรือยัง ถ้าเราบอกว่าเราพร้อม เราก็สบายใจได้ระดับหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เรายังไม่พร้อม”
     
       แม้ว่าทั้งข้อมูลและความพร้อมในเรื่องแผ่นดินไหวของไทยยังมีอยู่น้อย แต่ ผศ.ดร.ภาสกรให้มุมมองว่า พัฒนาการของคนไทยในการรับมือภัยสึนามิซึ่งเป็นผลพวงจากแผ่นดินไหวนั้น ดีขึ้นมาก นอกจากความโชคดีที่ไทยมีเวลารับมือกับสึนามิ ถึง 1 ชั่วโมงแล้ว ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยยังทราบถึงวิธีปฏิบัติตัว พร้อมยกตัวอย่างเมื่อเกิดแผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ใน อ.เกาะยาว จ.ภูเก็ต ที่ผ่านมา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งวิ่งขึ้นที่สูงโดยไม่ต้องรอสัญญาณเจ้งเตือน
     
       การสนทนาและซักถามในที่สิ่งที่เราไม่รู้จาก ผศ.ดร.ภาสกร ทำให้ทราบว่าเรายังมีความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวใน เมืองไทยน้อยมาก และยังมีช่องว่างให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาอีกมาก ซึ่งความรู้และความเข้าใจที่มากขึ้น จะช่วยให้เรารับมือกับภัยพิบัติที่ไม่อาจเตือนได้ล่วงหน้านี้ได้ดีขึ้น

ผลพวงจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เนปาลปีที่ผ่านมา ขณะเดียวก็มีแผ่นดินไหวที่ รู้สึกได้ในเมืองไทยที่ อ.เกาะยาว จ.ภูเก็ต เมื่อ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวลือและข่าวลวงในจังหวะผู้คนตื่นตระหนกต่อปรากฏการณ์ดัง กล่าว ก็ทำให้เราสบายใจที่ได้ฟังนักวิทยาศาสตร์อธิบายให้เข้าใจปรากฎการธรรมชาติ นี้เป็นอย่างดี

Cr.ผู้จัดการ

โซล่าเซลล์ เเบบใส

 

โซล่าเซลล์ เเบบใส

จากผลการสำรวจเมื่อปี ค.ศ. 2012 มีอาคารสำนักงานทั้งหมดในสหรัฐฯจำนวน 5 ล้าน 6 เเสนหลังและมีพื้นที่หน้าต่างรวมกันเเล้วมากกว่า 8 พันล้านตารางเมตร หากเพียงเเค่เสี้ยวหนึ่งของบานหน้าต่างกระจกเหล่านี้ สามารถแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยโซล่าเซลล์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ ก็จะช่วยลดความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานถ่านหินลงมาได้อย่างมาก

ในขณะนี้ ทีมนักวิจัยทั้งของบริษัทเอกชนเเละในมหาวิทยาลัยแห่งต่างๆ กำลังพยายามพัฒนาโซล่าเซลล์ แบบใส ที่ใช้ทาลงบนบานหน้าต่างกระจกเพื่อแปลงพลังงานแสงแดดให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยไม่บดบังวิวทิวทัศน์ บริษัท Solar Windows Technologies ตั้งอยู่ในเมือง Columbia ในรัฐ Maryland เปิดเผยว่าทางบริษัทกำลังพัฒนาโซล่าเซลล์ แบบใสที่มีประสิทธิภาพ

คุณ John Conklin ซีอีโอแห่งบริษัท Solar Windows Technologies กล่าวว่า ทางบริษัทได้นำเทคโนโลยีแบบ photovoltaics หรือ PV cells ไปพัฒนาให้เป็นโซล่าเซลล์ แบบใสเพื่อใช้ทาลงบนบานหน้าต่างกระจกเพื่อปรับให้บานหน้าต่างกระจกธรรมดาผลิตกระเเสไฟฟ้าได้

คุณ Conklin กล่าวว่า บานหน้าต่างโซล่าอาจจะเป็นทั้งเเบบใส หรืออาจจะติดแผ่นกรองเเสงก็ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น เขากล่าวอีกว่าสามารถผลิตโซล่าเซลล์ให้มีสีต่างๆ แล้วแต่ความต้องการของสถาปนิก เจ้าของอาคารและลูกค้า อาจจะปรับให้สีเข้มขึ้นหรือสีสดขึ้น หรืออาจจะผสมให้เป็นสีฟ้าเขียวหรือสีเขียวเทาหรือสีน้ำตาลก็ได้

ด้านคุณ Troy Townsend นักวิจัยด้านโซล่าเซลล์แห่งมหาวิทยาลัย St. Mary’s College of Maryland กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่า การปล่อยให้เเสงแดดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าส่องผ่านโซล่าเซลล์ จะลดประสิทธิภาพของโซล่าเซลล์ลงครึ่งหนึ่ง เพราะกระเเสไฟฟ้าที่ผลิตได้จะเกิดจากเฉพาะส่วนที่มาจากแสงอุลตร้าไวโอเล็ตกับเเสงอินฟราเรดเท่านั้น แทนที่จะได้จากแสงอาทิตย์ทั้งหมด

คุณ Troy Townsend นักวิจัยอเมริกัน กล่าวว่า อุปสรรคอย่างหนึ่งที่เกิดกับโซล่าเซลล์ แบบใส คือการพัฒนาระบบที่ช่วยให้สามารถดูดเอาเเสงอุลตร้าไวโอเล็ตหรือเเสงยูวีและเเสงอินฟราเรดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากกระจกช่วยดูดซับเเสงยูวี คุณ Townsend กล่าวว่าประสิทธิภาพของโซล่าเซลล์เเบบใสที่ทาบนกระจกหน้าต่างจะยิ่งลดลง

อย่างไรก็ตาม คุณ Conklin ซีอีโอเเห่งบริษัท Solar Windows Technologies กล่าวว่าตนเองมั่นใจว่าทางบริษัทจะสามารถนำโซล่าเซลล์เเบบใสทาบานกระจกหน้าต่างออกมาวางตลาดได้ ภายในปลายปี ค.ศ. 2017 หรือปลายปีหน้า

Cr. ข่าว VOA

26 ส.ค. 2559

รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์

 

รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์


รักโลก-รักษ์สิ่งแวดล้อม กำลังเป็นกระแสฮิต ปลูกจิตสำนึกไปทั่วโลก ส่วนเทคโนโลยียานยนต์ก็มุ่งพัฒนาไปในทิศทางดังกล่าว ดังนั้นถ้าองค์กร-สถานประกอบการใดอยากได้ภาพลักษณ์ หรือจำเป็นต้องวิ่งในพื้นที่ธรรมชาติปราศจากมลพิษทางกลิ่นและเสียง “รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์” พลังแสงอาทิตย์ ฝีมือนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล คงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

ผลงานสุดยอดของ นศ. ชาวฝรั่งเศส วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตร Double Degree สร้างนวัตกรรม รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์ พลัง แสงอาทิตย์ พลังธรรมชาติและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ทดลองวิ่งจริงจากกรุงเทพฯ สู่ฝรั่งเศส  ระยะทางประมาณ 20,000 กิโลเมตร ตะลุย 16 ประเทศ 120 วัน ขณะที่ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco University) และมุ่งสู่ มหาวิทยาลัยมหิดลแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน (Mahidol Sustainable University)

มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดตัวโครงการ Pilgreens project ของ 2 นักศึกษาหลักสูตร Double Degree ชาวฝรั่งเศส ระหว่างวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยตูลูส ประเทศฝรั่งเศส โดยนักศึกษาทั้ง 2 คน จะขับ รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์ พลังแสงอาทิตย์ คันแรกของโลก ซึ่งจะออกเดินทางจากกรุงเทพมหานคร ไปยังเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศสที่ผ่านมา ใช้เวลา 120 วัน ผ่าน 16 ประเทศ อาทิ ไทย ลาว จีน รัสเซีย ตรุกี ออสเตรีย เยอรมนี และ ฝรั่งเศส รวมระยะทาง 20,000 กิโลเมตร

รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมา ได้ดำเนินการนโยบายต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน เช่น ดำเนินการมหาวิทยาลัยได้มีนโยบาย เช่น การเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียว โดยเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในมหาวิทยาลัยอย่างจริงจัง จนทำให้ในปี 2556 มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการคัดเลือกเป็นสถาบันการศึกษาสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อันดับ 1 ของประเทศไทย อันดับ 4 ของเอเชีย และอันดับ 31 ของโลก

รวมถึงได้พยายามส่งเสริสนับสนุนบุคลากรและนักศึกษาให้หันมาใช้ พลังงานทดแทน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฟฟ้า น้ำ และเชื้อเพลิงอย่างคุ้มค่า นำพลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนเป็นแสงสว่างด้วย  โคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Lamp) เป็นต้น ดังนั้น มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะมหาวิทยาลัยที่มีบทบาทในการช่วยชี้นำสังคม จึงได้สนับสนุนโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นการเผยแพร่ ส่งเสริมให้เห็นถึงประโยชน์ในการใช้พลังงานไฟฟ้า กระตุ้นให้เกิดการเห็นคุณค่าในการใช้พลังงานอย่างประหยัด คุ้มค่าโดยใช้ระบบความรู้ เข้ามาบริหารจัดการ โดย มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งเป้าเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco University) และมุ่งสู่มหาวิทยาลัยมหิดลแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน (Mahidol Sustainable University)

“โครงการดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เกิดจากนักศึกษาของ มหาวิทยาลัยมหิดล แม้พวกเขาจะเป็นนักศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส แต่การได้มาเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีการบริการหลักสูตร กิจกรรม ส่งเสริมการลดใช้พลังงาน และรู้จักใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ทำให้พวกเขาเกิดแนวคิดใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อม และยังเป็นการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ให้คนไทยและคนต่างชาติในแต่ละประเทศที่พวกเขาเดินทางเข้าใจและ ตระหนักในการดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานทดแทน จึงอยากฝากคนไทยทุกคนติดตามและให้กำลังใจนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลที่เดิน ทางโดย รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์ พลังแสงอาทิตย์ ในครั้งนี้” รศ.นพ.ปรีชา กล่าว

ด้าน รศ.ดร.อรรณพ ตันละมัย คณบดีวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า วิทยาลัยการจัดการ ได้จัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโท ซึ่งโครงการนี้ เป็นหลักสูตร Double Degree ความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ มหาวิทยาลัยตูลูส ที่ได้ร่วมกันจัดการเรียนการสอน การเรียนรู้ผ่านกรณีศึกษา เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่ม เติม นำมาคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา ซึ่งไม่ใช่การเรียนรู้เพียงองค์ความรู้เท่านั้น แต่ให้นักศึกษาได้รู้จักคิด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนำสิ่งที่เรียนรู้ประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
นายลูดวิก แมร์ส นักศึกษาหลักสูตร Double Degree กล่าวว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาสำคัญที่ทุกคนในโลกต้องช่วยกัน ไม่เช่นนั้นอาจต้องเผชิญปัญหาภัยพิบัติอีกมากมาย โดยเฉพาะการใช้รถของผู้คนที่นับวันจะปล่อยมลพิษจากการใชัพลังงานเชื้อเพลิง มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพวกเราเห็น  รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์ พลังแสงอาทิตย์ ของไทยและเกิดไอเดียว่าจะพัฒนาเป็น รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์ พลังแสงอาทิตย์ และขับจากประเทศไทยไปประเทศฝรั่งเศส จึงเสนอไปยังมหาวิทยาลัย และรู้สึกดีใจที่มหาวิทยาลัยสนับสนุน

เพราะการขับ รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์ พลังแสงอาทิตย์ ครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเผยแพร่ความเป็นไทยผ่านเท่า นั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยให้มนุษย์สามารถใช้พลังงานสะอาดจากธรรมชาติ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นพลังน้ำ พลังแสงอาทิตย์ ที่สามารถนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า พลังความร้อน และ พลังแสงสว่าง เก็บไว้เป็นพลังงานสำรอง หรือ นำประยุกต์ใช้เป็น  โคมไฟโซล่าเซลล์ (Solar Lamp) รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์ พลังแสงอาทิตย์ เพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืน
    
“กว่า 1 ปีที่มาเรียนที่วิทยาลัยฯได้ส่งเสริมให้ผู้เรียน เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ผมและเพื่อนชาวฝรั่งเศสจึงได้เริ่มโครงการดังกล่าว เพื่อพิสูจน์และสำรวจว่าคนทั่วโลกมีความเข้าใจและสนใจการใช้รถพลังงานไฟฟ้า และพลังงานแสงอาทิตย์อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้รถพลังงานไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ข้ามประเทศ รวมถึงทำให้คนทั่วโลกตระหนัก และหันมาสนใจการใช้พลังงานทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ต้องเผชิญมลภาวะที่ส่งผลต่อสุขภาพ และที่สำคัญ จะช่วยยืนยันว่าสามารถนำพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในการเดินทางคมนาคมขน ส่งได้จริง”นายลูดริก กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับ รถตุ๊กตุ๊ก โซล่าเซลล์ พลังแสงอาทิตย์  ครั้งแรกของโลกที่เดินทางจากกรุงเทพฯไปฝรั่งเศส ได้มีการติดตั้งแผนโซลาร์เซลล์บนหลังคารถ โดยกักเก็บไว้ในแบตเตอรีลิเธียม 72 โวลต์ ความจุ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สามารถเดินทางได้ 200 กิโลเมตรต่อการชาร์ตไฟ 1 ครั้ง (6 - 8 ชั่วโมง) คิดเป็นค่าไฟ 0.7 บาทต่อกิโลเมตร หรือ 14,000 บาท ตลอดการเดินทางผ่าน 16 ประเทศ อาทิ ไทย ลาว จีน รัสเซีย ตรุกี ออสเตรีย เยอรมนี และ ฝรั่งเศส รวมระยะทาง 20,000 กิโลเมตร

Cr.ผู้จัดการ

25 ส.ค. 2559

กล้องถ่ายภาพ 360 องศา


วันนี้เราคงเห็นว่าว่าใครๆ ก็ใช้กล้อง Action Cam กันหมดแล้ว อย่าง GoPro ที่เราเพิ่งนำเสนอข่าวกันไป คนทั่วไปที่ไม่ได้เล่นกีฬา Extream ก็หาซื้อมาใช้มากขึ้น เพราะสามารถบันทึกเหตุการณ์ในชีวิตได้สะดวกรวดเร็ว แต่เชื่อเถอะว่าปีหน้าเทรนด์กล้อง Actioncam จะก้าวไปสู่กล้องถ่ายภาพ 360 องศาที่สามารถวิดีโอได้ทุกทิศทางพร้อมกัน

มาดูเทรนเทคโนโลยีของกล้อง ถ่ายภาพ 360 องศากัน ว่าจะมีอะไรใหม่มาบ้าง มาเริ่มที่ตัว Sphericam 2 มีลักษณะเป็นลูกบอลหน้าตาเหลี่ยมๆ ประกอบไปด้วย กล้องจิ๋ว 6 ตัว ไมโครโฟนอีก 4 ตัวที่ทำงานสัมพันธ์กันเพื่อนำภาพจากกล้องทั้งหมดมารวมให้กลายเป็นวิดีโอแบบ 360 องศาความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที

ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะให้กล้องจิ๋วบันทึกเป็นไฟล์สำเร็จรูปพร้อมเอาไปชมแบบ 360 องศา หรือไฟล์ดิบแยก กล้องมินิ 6 ตัวให้ใช้โปรแกรมในคอมพิวเตอร์เอาไปต่อกันเอง โดยผู้ใช้สามารถนำวิดีโอไปชมในแว่น VR อย่าง Oculus Rift หรือ Google Cardboard ได้ด้วย แถมยังมี GPS ในตัวเพื่อบันทึกตำแหน่งที่ถ่ายภาพได้ตลอดเวลา

กล้องถ่ายภาพ 360 องศาบันทึกวิดีโอได้ 3 รูปแบบคือ

    ระดับ Pro เป็นไฟล์ดิบ 12-bit (Cinema DNG), 30/60 FPS บิทเรท 2.4 GBPS
    ระดับ High เป็นไฟล์ H.264 10-bit, 30/60 FPS บิทเรท 600 MBPS
    วิดีโอ 360 องศา 30 FPS H.264

นอก จากเรื่องคุณภาพภาพแล้ว โครงสร้างของ Sphericam 2 ก็ดีไม่แพ้กัน โดยตัวกล้องถ่ายภาพ 360 องศาสร้างจากอลูมิเนียมทำให้แข็งแรงทนทาน สามารถติดตั้งขาเล็กๆ รอบกล้องเพื่อกันไม่ให้กล้องจิ๋วตกกระแทกได้ (โดยเจ้าขาที่ว่านี้จะไม่ไปติดอยู่ในวิดีโอที่ถ่ายออกมาด้วยนะ)

โดยกล้อง ถ่ายภาพ 360 องศาตัวนี้มีแบตเตอรี่ในตัวเพื่อใช้ถ่ายวิดีโอต่อเนื่องได้สูงสุด 1 ชั่วโมงครึ่ง ทั้งหมดนี้ก็ทำให้กล้องมีน้ำหนักราวๆ 400 กรัม ก็ถือว่าหนักพอสมควร แต่สิ่งที่หนักว่าน้ำหนักคือราคาครับ

ราคาที่ ทำให้ทุกคนคงคิดอยู่นานพอควร ตัวถูกสุดของ Sphericam 2 ที่ตอนนี้ขายในราคา $1,399 หรือเกือบ 50,000 บาท บ้านเราเลยไม่ค่อยจะมีใครสนใจสักเท่าไร  เพราะเรายังคงสนุกกับสมาร์ทโฟน และการเซลฟีมากกว่า

Cr.แบไต๋,Synergy | Facebook

11 นักประดิษฐ์หญิงของโลก



บริษัทอินเทล (Intel)ได้ศึกษาค้นคว้าและนำเสนอผู้หญิงที่ได้เป็นนักคิดนักประดิษฐ์และทำ ให้นักประดิษฐ์รุ่นต่อมามีจินตนาการสร้างโลกโลกาภิวัตน์จนถึงยุคไอที ปัจจุบันว่ามีใครบ้าง

บริษัทอินเทล (Intel) ยกย่อง 11 นักประดิษฐหญิงของโลก ในด้านผลงานและการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติในปัจจุบัน และก็เป็นแรงจูงใจให้อินเทล (Intel) พยายามคิดค้นประดิษฐ์เทคโนโลยีสวมใส่ข้อมือ  มีท่านใดบ้าง นักประดิษฐ์หญิง ดังต่อไปนี้


1) เฮดี้ ลามาร์ (Hedy Lamarr) เป็นนักแสดง ซึ่งทางโลกตะวันตกบอกว่า เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ดูหน้าตาเธอสมัยนั้นในรูปถ่ายยอมรับว่าสวยจริง ๆ เธอเป็นผู้เขียนบทละครเรื่อง “ระบบการสื่อสารแบบลับ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง” และความคิดบทละครของเธอได้กลายเป็นเทคโนโลยีเครือข่ายแบบเซล บลูทูธ(Bluetooth) และไวไฟ(WiFi)ในปัจจุบัน ที่มีการต่อเข้ากับ ตัวรับ WiFi Bluetooth


2) เอดา เลิฟเลซ (Ada lovelace) เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นนักโปรแกรมคนแรกของโลก เอดา เลิฟเลซได้เป็นผู้ริเริ่มเขียนคำสั่งอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ ในช่วงที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยเกียร์ขาดและเครื่องจักรกลในปี ค.ศ. 1943 และเธอได้พยากรณ์ว่า คอมพิวเตอร์สามารถที่จะสร้างโน้ตประกอบเพลงและบรรยายเพลงด้วยเครื่องดนตรี ทางวิทยาศาสตร์หลาย ๆ ชิ้นได้ในสมัยนั้น


3) เกรซ ฮ้อปเปอร์ (Grace Hopper) หลังจาก เอดา เลิฟเลซหนึ่งร้อยปีต่อมา ท่านพลเรือหญิง เกรซ ฮ้อปเปอร์ได้เป็นผู้หญิงที่เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์จริงในสมัยสงครามโลก ครั้งที่สอง เธอเป็นคนที่ประดิษฐ์เครื่องแปลภาษาที่เรียกว่า คอมไพเลอร์ (Compiler) จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ และก็ทำให้เกิดมีการคำนวณทางคอมพิวเตอร์ติดขัด หรือ Computer bug ในครั้งแรกของโลก ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เขียนลงบนคอมพิวเตอร์รุ่นมาร์คทู (Mark II)


4) สเตฟานี่ ควาเล็ก (Stephanie Kwolek) นักประดิษฐ์หญิงท่าน นี้ มีความคิดจากเสื้อเกราะป้องกันตัวได้พัฒนากลายเป็นเคเบิลสายใยแก้วนำแสงใน ปัจจุบันซึ่งคิดโดย เคฟลาร์ (Kevlar) และในท้ายที่สุดนักเคมีที่ ชื่อ สเตฟานี่ ควาเล็กก็ได้ใช้ความรู้ทางเคมีอุตสาหกรรมสร้างเส้นใยแก้วในปี ค.ศ. 1965 ซึ่งมีความแข็งแกร่งขนาดเหล็กกล้าและสามารถทนไฟได้ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นสายไยแก้วนำแสง สำหรับการสื่อสารที่เร็วเท่าแสง ด้วยเคเบิลในปัจจุบัน


5) แอนนี่ อิสลีย์ (Annie Easley) เป็นคนอเมริกันผิวดำแค่ดูรูปหน้าตาดีมาก แม้ว่าเธอไม่จบปริญญาตรีเมื่อขณะที่เธอทำงานที่นาซาในปี ค.ศ. 1955 แต่การศึกษาไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเธอ นักประดิษฐ์หญิงท่าน นี้ได้เป็นผู้ประดิษฐ์สร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อวัดคลื่นพายุจากดวงอาทิตย์หรือโซลาร์วิน (Solar Winds) เพื่อหาจุดสมดุลในการแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ นำมาใช้กับ ตะเกียงไฟฟ้า โคมไฟโซล่าเซลล์ (Solar Lamp) หลอดไฟพลังแสงอาทิตย์ และ อีกมากมาย และสามารถเขียนโปรแกรมควบคุมการยิงจรวดสู่อวกาศในตลอดระยะเวลา 34 ปีที่ทำงานกับนาซา สหรัฐอเมริกา


6) มารี คูรี (Marie Curie) เธอเป็นนักเคมีและนักฟิสิกส์ซึ่งเป็นผู้ค้นพบเรื่องรังสี (Radioactivity) และทำให้เธอได้รางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งในชีวิตและเธอคือผู้หญิงหรือนักวิทยาศาสตร์หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล โนเบล ในปัจจุบันเธอก็ยังคงเป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก คนหนึ่งจนกระทั่งปัจจุบันและตลอดกาล“


7) มาเรีย เท็ลส์ (Maria Telkes) เธอเองไม่ค่อยประทับใจกับการพัฒนาประดิษฐ์ เรื่องกลั่นน้ำทะเล เตาอบแสงอาทิตย์และเครื่องทำความเย็นหรือแอร์คอนดิชั่นตามบ้านเท่าไรนัก ในช่วงปี ค.ศ. 1940 มาเรีย เท็ลส์ได้ช่วยสร้างบ้านให้ความร้อนด้วยพลังแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถให้อุณหภูมิซึ่งมีความอุ่นสบายภายในบ้านในตลอดช่วงฤดูหนาวที่รัฐ แมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา หรือนำไปประยุกต์ใช้ กับ โคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์  เพื่อให้แสงสว่างแก่บ้านในยามค่ำคืน


8) โดโรธี ฮอคคิน (Dorothy Hodgkin) เธอคือนักประดิษฐ์หญิง ผู้ค้นพบแบบโครงสร้างผลึกโปรตีน ซึ่งก็ได้ศึกษาจากโครงสร้างอะตอมและโมเลกุลของผลึกโปรตีน โดโรธี ฮอคคิน ได้ใช้รังซีเอ็กซ์เข้าไปทำลายโครงสร้างและโมเลกุลของเพนนิซิลิน อินซูลิน และวิตามิน บี 12 ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1964

9) เคธารีน เบอร์ บล็อดเก็ตต์ (Katharine Burr Blodgett) เธอคือผู้หญิงคนแรกที่จบปริญญาเอกทางฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร บล็อดเก็ตต์ได้สร้างกระจกไร้แสงสะท้อนในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งทำให้เธอสามารถใช้กระจกเหล่านี้สร้างเป็นกล้องถ่ายรูปและหน้าต่าง บ้าน สำนักงานตามตึกต่าง ๆ ในปัจจุบัน ถ้าหากท่านผู้อ่านท่านใดสวมแว่นสายตา ท่านคงจะต้องขอบคุณ เคธารีน เบอร์ บล็อดเก็ตต์  ที่ช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น โดยใช้เครื่องมือวัด ต่าง ๆ ช่วยทำงานผ่านแว่นตาได้ง่ายขี้น เช่น   เวอร์เนียร์ดิจิตอล (Vernier Caliper)  ไมโครมิเตอร์  ฯลฯ


10) ไอดา เฮ็นรีเอ็ตตา ไฮด์ (Ida Henrietta Hyde) เธอก็ถือเป็นแชมเปี้ยน นักวิทยาศาสตร์หญิงเหล็กคนหนึ่ง ไอดา ไฮด์ เป็นผู้ประดิษฐ์สร้าง ไมโครอิเล็กโทรด หรือเครื่องนำไฟฟ้าอิเล็กตรอนขนาดจิ๋วซึ่งสามารถใช้กระตุ้นเนื้อเยื่อเซลล์ ได้และเครื่องมือไมโครอิเล็กโทรด ทำให้เธอสามารถปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ในสาขานี้ได้มหาศาลในปี ค.ศ. 1902 เธอเป็นผู้หญิงท่านแรกซึ่งได้เป็นสมาชิกสมาคมสรีรวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา


11) เวอร์จิเนีย แอปการ์ (Virginia Apgar) ถ้าหากท่านผู้อ่านท่านใดที่เป็นพยาบาล ท่านจะต้องรู้จักวิธีการวัดคะแนนแบบแอปการ์ (Apgar Score) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาระบบการประเมินสุขภาพของทารกเกิดใหม่ เวอร์จิเนีย แอปการ์ เป็นวิสัญญีแพทย์หรือแพทย์ผู้ชำนาญด้านยาสลบและเป็นผู้สร้างระบบในการปรับ ปรุงสุขภาพของมารดาและทารกแรกเกิด ซึ่งใช้มาจนตราบเท่าทุกวันนี้และได้เป็นรากฐานของระบบป้องกันสุขภาพที่ยัง ไม่มีใครทัดเทียมจนกระทั่งปัจจุบัน

ซึ่งทั้ง 11 ท่านที่ทางบริษัทอินเทล (Intel)เลือกมาก็ชัดเจนในด้านผลงาน เพื่อพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติในปัจจุบัน และก็เป็นแรงจูงใจให้อินเทล (Intel)พยายามคิดค้นประดิษฐ์เทคโนโลยีสวมใส่ข้อมือ ก็คอยดูแล้วกันว่าอินเทล (Intel)จะมีเทคโนโลยีข้อมืออะไรออกมาบ้าง

แต่ที่แน่ ๆ คือบทความนี้ก็ขอยกย่องเกียรติประวัติของนักคิดนักประดิษฐ์หญิงของ โลกทั้ง 11 ท่านที่สามารถทำให้เราอยู่ในมนุษย์โลกไอทีปัจจุบันด้วยความสะดวกสบายปลอดภัย มากขึ้นในปัจจุบัน ขอแสดงความคารวะสดุดีต่อทั้ง 11 ท่านด้วยครับ.“

Cr.เดลินิวส์

23 ส.ค. 2559

กล้องจับภาพ วัตถุสั่น



สิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ สิ่งของต่างๆ มีการเคลื่อนไหวและสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลาเมื่อกระทบกับสัญญาณเสียง เพียงแต่ตาคนเรามองไม่เห็นการสั่นสะเทือนของเหตุการณ์เหล่านี้เท่านั้น ยกตัวอย่าง แก้วไวน์กับเสียงที่ดังมาก แก้วไวน์จะเกิดการสั่น แม้ว่าจะดูนิ่งๆ ไม่ไหวติง เมื่อดูด้วยตาเปล่า

อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีและการวิจัยค้นคว้าของนักวิจัยที่ไม่หยุดนิ่ง นักวิจัย MIT ทำการบันทึกภาพด้วยกล้องวิดีทัศน์ที่มีความเร็วสูงเป็นพิเศษ จะสามารถบันทึกการสั่นสะเทือนของแก้วไวน์ที่ถูกกระทบด้วยคลื่นเสียงนี้ได้ กล้องพิเศษนี้ที่เรียกว่า กล้องจุลทรรศน์วัด การสั่นสะเทือน (Motion Microscope) สามารถบันทึกภาพได้ถึงหลายพันภาพต่อวินาทีและใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นตัว ช่วยขยายผลการสั่นสะเทือนนี้ แล้วต่อภาพเข้าด้วยกันเป็นภาพวิดีทัศน์

นักวิจัย Neil Wadhwa นักศึกษาปริญญาโทแห่งสถาบัน Massachusetts Institute of Technology กล่าวว่า กล้องไมโครสโคป (Microscope) วัดการสั่นสะเทือน (Motion Microscope) นี้สามารถจับภาพการสั่นไหวแม้เพียงเล็กน้อยได้ซึ่งจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ผลลัพท์ที่ออกมาน่าทึ่งมาก กล้องจุลทรรศน์วัดการสั่นสะเทือน (Motion Microscope)  สามารถถ่ายภาพแก้วไวน์ที่สั่นสะเทือนราวกับว่าทำขึ้นจากเยลลี่

นัก วิจัย Neil Wadhwa จาก MIT ทำการบันทึกและขยายการสั่นไหวของใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งที่แสดงให้เห็นความ ดันโลหิตที่ขึ้นลงทุกจังหวะการหายใจอย่างชัดเจน เขากล่าวว่ากล้องจุลทรรศน์วัดการสั่นสะเทือน (Motion Microscope) นี้นอกจากจะเป็น เครื่องวัดความดัน ยังมีประโยชน์ในการตรวจวัดการเคลื่อนไหวที่สำคัญๆ อาทิ การตรวจจับการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์มารดาหรือการตรวจจับการหายใจของทารก

นัก วิจัย Wadhwa กล่าวว่าด้วยเทคโนโลยีของ กล้องคุณสมบัติพิเศษนี้ใช้เป็นอุปกรณ์ตรวจวัดที่ช่วยตรวจจับการอัตราการเต้น ของหัวใจและระดับความดันโลหิตได้โดยไม่จำเป็นต้องติดเข้ากับคนไข้

เขา กล่าวปิดท้ายรายงานว่าการบันทึกภาพของการสั่นไหวที่มองไม่เป็นด้วยตาเปล่า นี้ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ นอกจากการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นทางวิศวกรรมที่ช่วยให้นักวิศวกรตรวจจับการสั่นไหวของอุปกรณ์ก่อ สร้างได้ หรือแม้แต่ตัวอาคาร สะพานที่รถวิ่งผ่านหรือเครนก่อสร้าง หรือสัญญาณเตือนการสั่นสะเทือนของวัตถุสิ่งของรอบตัวเรา ก่อนล่วงหน้าที่จะมีการเกิดแผ่นดินไหว ก็จะสามารถป้องกันความเสียหายจากแผ่นดินไหวได้ในอนาคต

Cr. Voice Of America,Synergy | Facebook

อาหารเสริม วัยหมดประจำเดือน

 

อาหารเสริม วัยหมดประจำเดือน


นิตยสารต่างประเทศ Goodealth รายงานว่า โดยเฉลี่ยคุณผู้หญิงชาวออสเตรเลียถึงวัยหมดประจำเดือน (menopause) ขณะอายุ 51 ปี และมีเพียงร้อยละ 20 หรือทุก 1 ใน 5 คนผู้ที่โชคดีไม่มีอาการใดๆ รบกวน เลยแต่ส่วนใหญ่แล้วอาจมีอาการตั้งแต่น้อยมากไปจนถึงระดับปานกลาง เช่น อาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน  เป็นต้น แต่มีวิธีแก้ปัญหาอยู่หลายๆแนวทางด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ อาหารเสริม อาหารสุขภาพที่เลือกบริโภค ช่วยบรรเทาอาการภาวะหมดประจำเดือน และยังส่งผลถึงสุขภาพคุณคุณผู้หญิงในระยะยาวได้

อาหารรักษาหัวใจ
คุณ คุณผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนนั้นมีความเสี่ยงต่ออาการหัวใจวายเพิ่มขึ้นได้ เพราะเนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่รักษาความยืดหยุ่นของหลอดเลือด อาจมีผลให้ความดันโลหิตสูงหรือต่ำและอัตราการเต้นหัวใจผิดปกติล้วนเป็น อันตรายใกล้ตัวอาจถึงแก่ชีวิตได้จึงควรมี เครื่องวัดความดัน (Blood Pressure Monitor) ชนิดรัดข้อมือที่หาซื้อได้ง่่ายใท้องตลาด ที่ใช้งานง่ายทำการวัดค่าความดันโลหิตและอัตราการเต้นหัวใจของคุณคุณผู้หญิง โดยอัตโนมัติทันที แสดงผลผ่านหน้าจอ LCD ลดอันตรายจากหัวใจวายได้อีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้แล้ว ภาวะหมดประจําเดือนนี้ยังทำให้ไขมันเอชดีแอล (HDL)หรือไขมันชนิดดีที่มีผลต่อสุขภาพหลอดเลือดนั้นหายไปด้วย จึงแนะนำให้บริโภคส้ม ผลไม้ที่อุดมด้วยกากเส้นใย และช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากโรคหัวใจในคุณผู้หญิง ผลไม้ตระกูลซิตรัสได้ชื่อว่า เป็นอาหารเสริมที่มีประโยชน์มีสรรพคุณในการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงที่ สุดอีกประเภทหนึ่ง เพราะในนั้นมีวิตามินซีสูงมาก ช่วยลดระดับโปรตีนที่ทำให้หลอดเลือดตีบ หากได้บริโภคผลไม้ทุก 80 กรัมต่อวัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงเนื่องจากภาวะหัวใจวายราวร้อยละ 7 ที่เดียวและถ้าบริโภคส้มคราวละ 2 ผลเป็นประจำ สามารถลดความเสี่ยงหัวใจวายถึงร้อยละ

อาหารรักษากระดูกพรุน
ฮอร์โมน เอสโตรเจนมีบทบาทสำคัญยิ่งมากต่อการคงสภาพความแข็งแกร่งของมวลกระดูก ทันทีที่ฮอร์โมนตัวนี้ได้ลดระดับลงเนื่องจากภาวะหมดประจําเดือน ร่างกายก็จะเริ่มสูญเสียมวลกระดูก มีผลให้ร้อยละ 50 ของคุณผู้หญิงที่อายุมากกว่า 60 ปีประสบปัญหากับกระดูกหักหรือร้าวอย่างน้อยหนึ่งครั้ง จึงแนะนำให้บริโภคน้ำเต้าหู้ที่ทำมาจากถั่วเหลือง ที่มีสารไอโซฟลาโวนส์โครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนมากสุด ผลจากการศึกษายืนยันว่า สารไอโซฟลาโวนส์สามารถป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก ได้แก่ ภาวะกระดูกเปราะบาง และภาวะกระดูกพรุนในคุณผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้เป็นอย่างดี

อาหารรักษาน้ำหนักตัวและลดมวลไขมัน
น้ำหนัก ตัวที่เพิ่มขึ้น จากภาวะหมดประจําเดือนไม่ได้นำไปสู่การที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดย อัตโนมัติ แต่เป็นเพราะว่าความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่างหากที่ส่งผลให้การ เปลี่ยนวิธีเก็บสะสมมวลไขมันในร่างกาย โดยมวลไขมันมักสะสมอยู่บริเวณโดยรอบช่องท้อง ยิ่งเป็นการเพิ่มอัตราความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวาน ไม่ว่าจะเป็น อ้วน ลงพุง ความเครียด มวลไขมันส่วนเกิน ริ้วรอย ต่างเป็นศัตรูตัวร้ายของสาวๆ โดยเฉพาะมวลไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหนังคุณผู้หญิงมากเกินกว่าที่ร่างกาย สามารถเผาผลาญออกไปหมด

หากคุณผู้หญิงเป็นคนหนึ่งที่ห่วงใยสุขภาพ เครื่องวัดไขมันในร่างกาย (Digital Weight Scale) จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณเพราะจะช่วยให้คุณรับรู้ว่ารูปร่างของคุณขณะนี้ มีความสมดุลหรือไม่เพียงใด เมื่อคุณขึ้นเหยียบบนเครื่องชั่งจะสามารถบ่งบอกได้ถึง น้ำหนักร่างกาย มวลน้ำ มวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อ มวลกระดูก และดัชนีมวลกาย แสดงผลผ่านหน้าจอ LCD จากนั้นคุณผู้หญิงเตรียมออกกำลังกายและลดมวลไขมันได้แล้ว หรือรับประทานอาหารเสริมลดมวลไขมัน ซึ่งนักวิจัยแนะนำให้บริโภคถั่วอัลมอนด์เป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพเพียงวัน ละ 42 กรัม คุณผู้หญิงจะสามารถลดขนาดเส้นรอบเอวและลดมวลไขมันช่องท้องได้ เพราะกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในถั่วอัลมอนด์ มีผลต่อการทำให้มวลไขมันที่สะสมตามอวัยวะส่วนต่างๆ ภายในร่างกายกระจายตัวออก

อาหารรักษาความต้องการทางเพศ
คุณ ผู้หญิงที่อยู่ในภาวะหมดประจําเดือนร้อยละ 45 ได้ยอมรับว่ามีความต้องการทางเพศลดลง จึงแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้ทับทิมคั้นทุกวัน เพียงแค่ภายในเวลาสองสัปดาห์ โพลีฟีนอล (Pholyphenols)ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดระดับของคลอเรสเตอรอล(cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์(triglyceride) ที่ช่วยให้ฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนสูงขึ้นได้ถึงร้อยละ 24 โดยประมาณ ประเด็นนี้สำคัญมาก ภาวะพร่องฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนโดยตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น มีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับการหมดความต้องการทางเพศในคุณผู้หญิง

นอก จากนี้ ยังแนะนำให้บริโภคข้าวโอ๊ตและถั่วเปลือกแข็งที่มีกรดอะมิโนอาร์จินีน L–arginine ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลาย ๆ ประเภทที่ผลิตขึ้นเพื่อช่วยเสริมเพิ่มความต้องการทางเพศในคุณผู้หญิง ผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายว่ากรดอะมิโนอาร์จินีน L–arginine นั้นมีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด และกรดอะมิโนอาร์จินีน L–arginine ยังทำหน้าที่เป็นโมเลกุลส่งสัญญาณกระตุ้นอารมณ์เพศได้อีกด้วย

อาหารรักษาอาการร้อนวูบวาบ
คุณ ผู้หญิงทุก 3 ใน 4 คนจะเกิดอาการนี้ขณะก้าวสู่ภาวะหมดประจําเดือน แต่ก็ยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไรกันแน่ จึงแนะนำให้บริโภคอาหารเสริมสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งนักวิจัยชาวออสเตรเลียระบุว่า สามารถลดอาการร้อนวูบวาบได้ถึงร้อยละ 20 ที่เดียว ลักษณะเด่นของการบริโภคอาหารเสริมประเภทนี้ที่สำคัญ คือ

- บริโภคผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่วต่างๆ และถั่วเปลือกแข็ง ที่ไม่ผ่านการขัดสี
- ใช้น้ำมันมะกอกมาแทนเนย
- ใช้เครื่องเทศและสมุนไพรช่วยปรุงรสอาหารแทนเกลือ
- บริโภคเนื้อสัตว์จากปลาและไก่อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่ให้จำกัดปริมาณเนื้อแดง

ที่ น่าสังเกตคือ หลังจากที่ได้บริโภคอาหารเสริมดังกล่าวแล้ว คุณจะมีความรู้สึกปลอดโปร่งจากอาการร้อนวูบวาบนานราว 90 นาที สาเหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะความสัมพันธ์ระหว่างระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำกับ ความถี่ของอาการร้อนวูบวาบ ยิ่งมีช่วงห่างกันระหว่างมื้ออาหารมากเท่าไร คุณจะยิ่งมีอาการร้อนวูบวาบมากขึ้นเท่านั้น เคล็ดลับก็คือให้บริโภคอาหารครบถ้วนทุกมื้อ และระหว่างมื้ออาหารนั้น ควรเลือกบริโภคอาหารเสริม อาหารว่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

อาหารรักษาอารมณ์แปรปรวน
การ มีระดับเอสตร้าไดออล (Estradiol) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของฮอร์โมนเอสโตรเจนนั้นไม่คงที่ หมายความว่าคุณผู้หญิงมีแนวโน้มอาจจะต้องเผชิญกับภาวะจิตตก เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดหรือผิดปกติ ผลก็คือ มีคุณผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนถึงร้อยละ 33 จำทนทุกข์ทรมานจากอาการภาวะซึมเศร้า จึงแนะนำให้บริโภคปลาแซลมอน เป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัว หลายตำแหน่ง กรดโอเมก้า 3 ที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคุณผู้หญิง โดยมีผลต่อโครงสร้างและการทำงานของเซลล์สมอง

จากผลการศึกษาในสหรัฐฯ ระบุว่า ผู้ที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในเลือดในระดับที่สูง นั้นจะมีความสุขมากกว่าและอะลุ้มอล่วยกว่า ตรงกันข้ามกับผู้ที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในเลือดระดับต่ำ มีแนวโน้มของการเกิดอาการโรคซึมเศร้าได้มากขึ้น นอกจากนี้ แนะให้บริโภคปลาแซลมอนและผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อาทิ สตรอเบอร์รี่  บลูเบอร์รี่และราสเบอร์รี่ ที่มีองค์ประกอบแร่ธาตุธรรมชาติที่คล้ายคลึงกับ วัลโพรอิคแอซิด(Valproic acid) ซึ่งสารนี้นำไปใช้เป็นยาควบคุมอารมณ์ให้คงที่

Cr.ผู้จัดการ

20 ส.ค. 2559

แอปเปิ้ลวอช (Apple Watch) กับรอยสัก

 

 

แอปเปิ้ลวอช (Apple Watch) กับรอยสัก


นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะของแอปเปิล (แอปเปิ้ลวอช)ที่ เพิ่งออกสู่ตลาด ดูเหมือนว่าจะไม่กินเส้นกับรอยสักดำๆ ที่มีอยู่บนเนื้อหนังของหลายคน เพราะมันทำให้การทำงานบางอย่างต้องติดขัด รอยสักที่เป็นสีดำรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสีผิวหนัง ที่ทำให้มันมีสีดำมืดขึ้นทุกแบบ ได้ขัดขวางการทำงานของตัว เครื่องวัดแสง ที่ติดอยู่ทางด้านหลังของนาฬิกาแอปเปิ้ลวอช (Apple Watch)


บริษัท แอปเปิลได้ชี้แจงทางเว็บไซต์ของตนว่า การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นอย่างถาวรหรือชั่วคราว อย่างรอยสักบางรอยอาจไปรบกวนการทำงานของตัววัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ ด้วยเหตุว่า สีหมึกและรอยสักได้ไปบังแสงของตัวเครื่องมือวัดแสง ทำให้ไม่อาจอ่านค่าอันเชื่อถือได้ นาฬิกาแอปเปิ้ลวอชได้ใช้แสงแอลอีดีสีเขียวในการวัดปริมาณโลหิตที่ไหลผ่านข้อมือ เพื่อเอาไปใช้คำนวณหาอัตราการเต้นของหัวใจ


อย่างไรก็ดี ปัญหาแบบนี้ไม่ได้เป็นแต่เฉพาะแอปเปิ้ลวอช นาฬิกาของแอปเปิลเท่านั้น หากยังเป็นกับอุปกรณ์สวมใส่เพื่อวัดความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่งใช้ตัววัดยี่ห้อเดียวกันอื่นๆด้วย เนื่องจากมันจะทำให้แสงซึ่งสะท้อนมาจากสีผิวของผิวหนังอ่อนลงไป จนตัววัดวัดไม่ได้.

Cr.ไทยรัฐ

ไฮสปีดอินเทอร์เน็ต



นโยบายดิจิทัลอีโคโนมีขอบรัฐบาล "อัลคาเทล-ลูเซ่น (Alcatel Lucent Thailand))" ตามกระแสเปิดตัวซอฟต์แวร์ "Nuage" อัพ สปีด "บรอดแบนด์" ไฮสปีดอินเทอร์เน็ต รับกระแสคนไทยเสพติดออนไลน์ ลุยเจาะตลาดสถาบันการเงิน-ประกันภัย-ค้าปลีก

นายเซบาสเตียน โลฮอง ประธานภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนตะวันตก และกรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลคาเทล-ลูเซ่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในไทยมี 24.94% และใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตมากกว่าดูทีวี 43-50% คือ ใช้อินเทอร์เน็ต 16.36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่ดูทีวี 10.56 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
เนื่องจาก เห็นว่าอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญและน่าเชื่อถือ โดยใช้เวลาออนไลน์ 25.78% ไปกับการใช้งานอีเมล์ 23.42% กับการใช้งานโซเชียลและ 9.9% ฟังเพลง และใช้งานระบบความปลอดภัยผ่าน IP Camera รวมทั้งการอัดวิดิโอผ่านกล้อง IP Camera แล้วแชร์ขึ้นยูทูบ (Youtube) ทั้งประเทศไทยยังติดอันดับที่ 10 ของประเทศที่ใช้งานยูทูบ(Youtube) มากที่สุดในโลก

ข้อมูล จาก www.netindex.com พบว่าคนไทยใช้ความเร็วเฉลี่ยของอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 17.7 Mbps ในขณะที่ในประเทศจีนอยู่ที่ 18.3 Mbps ความเร็วเฉลี่ยที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกใช้งานอยู่ที่ 12.4 Mbps และความเร็วเฉลี่ยที่ทั่วโลกใช้งานอยู่ที่ 17.5 Mbps

"พฤติกรรมการ ใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยเริ่มเปลี่ยน สมาร์ททีวีก็เริ่มเข้ามามากขึ้น จากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ความต้องการใช้บริการต่าง ๆ อาทิ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ดิจิตอลทีวีผ่าน กล่องแอนดรอย การเก็บข้อมูลบนคลาวด์ ผ่านการใช้งานสมาร์ทดีไวซ์ต่าง ๆ ที่มีการส่งทั้งภาพ เสียง วิดีโอ ทำให้มีการใช้ทราฟฟิกหนาแน่น ตลาดเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งจึงน่าโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับไฮสปีดอินเทอร์เน็ต ระบบการสนับสนุนการเชื่อมต่อส่งผ่านข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น"

ล่า สุดแนะนำแพลตฟอร์มเพื่อคลาวด์ป้อนสู่ตลาดมาแล้วภายใต้ชื่อ Nuage เป็นซอฟต์แวร์ไอพีเราเตอร์ (IP Router) ยุคเน็กซ์เจเนอเรชั่นใหม่รองรับไฮสปีดอินเทอร์เน็ต สปีด 400 Gbps ลดค่าใช้จ่าย และลดการบริโภคพลังงานต่อบิตลง 50% เหมาะในการเพิ่มศักยภาพเครือข่ายบรอดแบนด์ และนำไปติดตั้งในอุปกรณ์เซอร์วิสเราเตอร์ ของดาต้าเซ็นเตอร์

ปัจจุบัน อัลคาเทล-ลูเซ่น (Alcatel Lucent Thailand) มีส่วนแบ่งตลาดด้านเทคโนโลยี IP Edge Routing เป็นอันดับที่ 2 ของโลกและเป็นอันดับที่ 1 ในภูมิภาคเอเชีย สำหรับในประเทศไทยตั้งเป้าจะเพิ่มลูกค้ากลุ่มสถาบันการเงิน ประกันภัย และค้าปลีก รวมถึงเจาะตลาดระบบงานเครือข่ายไอพีด้วยกล้องวงจรปิด หรือ กล้อง IP Camera ให้มากขึ้นด้วย

"นโยบาย ดิจิทัลอีโคโนมีจะผลักดันให้ไทยมีการลงทุนด้านไอทีเพิ่มขึ้นในอนาคตหากมีการ ลงทุนทางด้านดาต้าเซ็นเตอร์ของภาครัฐทางบริษัทพร้อมที่จะนำเสนอเทคโนโลยีการ เชื่อมโยงข้อมูลไฮสปีดอินเทอร์เน็ต รวมทั้งการสำรองข้อมูลระหว่างดาต้าเซ็นเตอร์และเทคโนโลยีอื่นๆ ด้วยเช่นกัน"

Cr.ประชาชาติธุรกิจ,Synergy | Twitter