จากข้อเสนอของรัฐบาลเดนมาร์กที่ต้องการให้ร้านค้าส่วนใหญ่ในเดนมาร์ก ยุติการรับธนบัตรและเหรียญ แล้วหันมาใช้การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องรูดบัตร ทำให้เชื่อว่าเดนมาร์กน่าจะเป็นประเทศแรกในโลกที่เลิกใช้ธนบัตรและเหรียญ
โดยรัฐบาลได้ประกาศเสนอให้ร้านค้าเกือบทั้งหมดทั่วประเทศ ไม่รับซื้อขายสินค้าด้วยธนบัตรและเหรียญภายในเดือน ม.ค.2559 การยุติใช้ธนบัตรและเหรียญในการช็อปปิ้ง-ซื้อสินค้าของรัฐบาลเดนมาร์กในครั้งนี้ อาจทำให้เดนมาร์กกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่โละทิ้งธนบัตรและเหรียญ
เงื่อน เวลาดังกล่าวถือว่าไม่เร็วจนเกินไป เมื่อปริมาณการใช้เงินสดหรือธนบัตรของชาวสแกนดิเนเวียน อันประกอบด้วย 3 ประเทศ ได้แก่ นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก เหลือเพียงแค่ 6% ของการจับจ่ายทั้งหมด โดยบรรดาชาวสแกนดิเนเวียน 3 ประเทศดังกล่าว ถือเป็นพลเมืองผู้นำเทรนด์การชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์(เครื่องรูดบัตร) ระดับโลก ซึ่งไม่มีประเทศกรีซมาเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังกำหนดให้ผู้ให้บริการอย่างโรงพยาบาล ร้านขายยา และร้านรับส่งไปรษณีย์ ยังต้องรับเงินสดหรือ ธนบัตร อยู่ ซึ่งข้อบังคับดังกล่าว จะต้องร่างเป็นกฎหมายเพื่อรองรับต่อไป
การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์(เครื่องอ่านบัตร) ซึ่งรวมทั้งเครดิตการ์ดนั้น ในมุมของผู้บริโภคบางราย อาจมองว่าไม่สะดวก โดยเฉพาะคนที่คุ้นชินกับการใช้และถือเงินสดหรือธนบัตร แต่สำหรับร้านค้าแล้ว การใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยสร้างความสะดวกและลดความเสี่ยงลงได้มาก โดยนอกจากลดต้นทุนในการเก็บและขนย้ายเงินแล้ว ยังลดปัญหาการโจรกรรม ยักยอกเงินได้ชะงัดอีกด้วย
นาย Micheal Busk-Jepsen ผู้อำนวยการบริหารสมาคมธนาคารแห่งประเทศเดนมาร์ก กล่าวว่า สังคมที่ไม่ใช้เงินสดหรือธนบัตร ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป ไม่นานจากนี้ เชื่อว่าโลกที่ไม่ต้องใช้เงินสดหรือธนบัตรจะเกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างพร้อม โดยเฉพาะผู้บริโภค
แม้ว่าปัจจุบัน ร้านค้าในเดนมาร์กทั้งหมดจะรับเงินสดหรือธนบัตรจาก ลูกค้า แต่ผู้บริโภคชาวเดนมาร์กส่วนใหญ่กลับไม่นิยมใช้เงินสดกันแล้ว โดยประชาชนเดนมาร์กเกือบ 40% ใช้จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือของตน ทั้งการโอนเงินระหว่างกันและการใช้ซื้อหาสินค้า เช่นเดียวกับพลเมืองสแกนดิเนเวียนในอีก 2 ประเทศ อันได้แก่ นอร์เวย์และสวีเดน
จากข้อมูลของธนาคารกลางนอร์เวย์ ปัจจุบันพลเมืองของ 3 ประเทศสแกนดิเนเวียนใช้เงินสดแค่ 6% ของการจับจ่ายทั้งหมด ในสวีเดนแม้แต่หนังสือพิมพ์ข้างทางที่ขาย โดยพวกไร้บ้าน ยังสามารถซื้อผ่านบัตรเครดิตได้ ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา คนยังใช้เงินสดอยู่ถึง 47%
ขณะเดียวกัน ความนิยมในการจับจ่ายใช้สอยที่ไม่ใช้เงินสด ยังแพร่กระจายไปยังประเทศยุโรปอื่นๆด้วย จากข้อมูลของธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) ระบุว่า การใช้จ่ายที่ไม่ใช้เงินสดเพิ่มขึ้น 6% ในปี 2556 และในปี 2557 ที่ผ่านมา การใช้จ่ายที่ไม่ใช้เงิน มีสัดส่วนแซงการใช้จ่ายด้วยเงินในอังกฤษเป็นครั้งแรก
แม้ว่าสหประชาชาติก็ยังร่วมกับมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ สนับสนุนการผลักดันให้สังคม ใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก) มากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายและสร้างความเชื่อมั่น
อย่าง ไรก็ตาม การใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ ก็ยังเป็นอุปสรรคสำหรับคนบางกลุ่ม เช่น คนสูงวัยที่ถนัดใช้เงินสด หรือกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงระบบการจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องรูดบัตร ) เช่น ไม่มีเครดิตการ์ด ขณะเดียวกันปัญหาการฉ้อโกงก็ยังเป็นเรื่องใหญ่และถือเป็นข้อกังวล
โดย ข้อมูลจากธนาคารกลางยุโรป ระบุว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องรูดบัตร) มีอัตราการฉ้อโกงมากขึ้น โดยในปี 2555 มีมูลค่า 1,300 ล้านยูโร หรือประมาณ 49,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า.
Cr.ไทยรัฐ,Synergy | Facebook,Synergy | YouTube,