30 ต.ค. 2558

พวงมาลัยเพื่อนักดื่ม


พวงมาลัยเพื่อนักดื่ม
"พวงมาลัยเพื่อนักดื่ม" เหมาะสำหรับเพื่อนักดื่มแอลกอฮอล์ เมาไม่ขยับ-กลับไม่ได้

รายงาน ข่าวจากวงการรถยนต์แจ้งว่า บริษัท โซเบอร์ สเตียริ่ง (Sober Steering) หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตพวงมาลัยน้องใหม่จากอเมริกา ได้คิดค้น"พวงมาลัยเพื่อนักดื่ม" เป็นพวงมาลัยวัดระดับแอลกอฮอล์ออกมา สำหรับนักดื่มทั้งหลายที่ยอดเสียชีวิตเฉลี่ยปีละกว่า 11,000 คน ในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว ทำให้ทางบริษัทคิดค้น"พวงมาลัยเพื่อนักดื่ม" หรือ พวงมาลัยวัดระดับแอลกอฮอล์ออกมา
เป็นการใช้ความทันสมัยของ การตรวจจับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดผ่าน ชุดไบโอเมตริก เซ็นเซอร์ (Biometric Sensor) สามารถอ่านค่าแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดได้เพียงแค่ ผู้ขับขี่แตะใช้งานพวงมาลัยเหมือนกับการขับรถธรรมดาทั่วไป

นอกจากจะ วัดค่าแอลกอฮอลล์ในกระแสเลือดได้แล้ว "พวงมาลัยเพื่อนักดื่ม" นี้ยังสามารถติดตามผลของระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดโดยส่งข้อมูลผ่านทางระบบ ดาวเทียม จีพีเอส (GPS) ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สมาชิกในครอบครัว ตลอดจนผู้จัดการฟลีทรถของบริษัทได้อีกด้วย แต่อีกหน่อยน่าจะมีเซนเซอร์ตรวจสุขภาพคนขับน่าจะดี ทั้ง เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดออกซิเจน หรือ เครื่องวัดชีพจร ฯลฯ เพราะเราเป็นห่วงนักดืมและคนเดิมถนน ชีวิตจะได้ปลอดภัยทั้งคู่

แค ทเธอรีน แคลรอล ซีอีโอ โซเบอร์ สเตียริ่ง (Sober Steering) อดีตผู้บริหารจากเจพี มอร์แกน กล่าวว่า ทุกคนที่เป็นนักขับเมื่อดื่มก็มักจะบอกว่าไม่เป็นไร ฉันขับได้สบายมาก แต่การตัดสินใจไม่ควรเป็นของคนดื่ม แต่ควรเป็นของคนที่รู้ว่าสภาวะคุณเป็นอย่างไรในตอนนั้น การพัฒนาตัว"พวงมาลัยเพื่อนักดื่ม"ใช้เวลากว่า 5 ปี
เริ่มจากการทดลองในรถโรงเรียน ที่โรงเรียนใกล้ๆ บริษัทในเมืองออนตาริโอ และสร้างความสนใจให้กับทางการอยากจะยัด"พวงมาลัยเพื่อนักดื่ม"เข้าไปในรถ ยนต์ทุกคันบนถนน เพื่อป้องกันพวกเมาแล้วขับทั้งหลาย

แคลรอลกล่าวว่า สำหรับวิธีการทำงานของ "พวงมาลัยเพื่อนักดื่ม" นั้นง่ายมาก ถ้าคุณไม่มีแอลกอฮอล์ ระบบก็จะอนุญาตให้คุณขับรถตามปกติ แต่ถ้าคุณมีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดเมื่อไร รถจะขยับไม่ได้ แต่คุณก็ยังมีความร้อนให้อบอุ่น มีไฟฟ้าให้ใช้งาน แต่แค่ขับรถออกไปไม่ได้ ทั้งหมดทั้งปวงก็เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง และเพื่อนร่วมทาง

Cr. นสพ.มติชน

ระบบจราจรไฮเทค WiFi


3 เมืองใหญ่ในสหรัฐ ลองใช้ระบบ "ระบบจราจรไฮเทค WiFi"

กระทรวง คมนาคมสหรัฐอเมริกาประกาศเมื่อเดือนที่ผ่านมา ใช้งบประมาณ 42 ล้านดอลลาร์ ทดสอบการใช้ "ระบบจราจรไฮเทค WiFi" ใน 3 เมืองขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา คือ นิวยอร์ก ซิตี ในรัฐนิวยอร์ก, แทมปา ในรัฐฟลอริดา และอีกแห่งในรัฐไวโอมิง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอุบัติเหตุ ลดปัญหาการจราจร รวมทั้งลดการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์ลงให้เหลือน้อยที่สุด

หลักการทำงานของ"ระบบจราจรไฮเทค WiFi" ดังกล่าวก็คือ เซ็นเซอร์ ตัวรับสัญญาณ WiFi ที่ติดตั้งไว้กับรถยนต์แต่ละคันจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณสัญญาณ WiFiผ่านเครือข่ายไวไฟ(WiFi) ที่ย่านความถี่เฉพาะ (เพื่อไม่ให้เกิดการรบกวนกันกับสัญญานไวไฟทั่วไป) ในเวลาเดียวกันก็สามารถรับสัญญาณจากเซ็นเซอร์ตัวรับสัญญาณ WiFi ที่ส่งออกมาจากรถยนต์คันอื่น หรือเสาสัญญาณไฟจราจร ฯลฯ กลายเป็นเครือข่ายสื่อสารไวไฟ(WiFi) อัตโนมัติของ เซ็นเซอร์(Sensor) จำนวนมาก ซึ่งจะส่งสัญญาณไวไฟ(WiFi) เตือนในทันทีที่มีเหตุอันจะก่อให้เกิดอันตราย อย่างเช่น เมื่อมีรถคันหนึ่งเบนออกจากเลนโดยไม่ให้สัญญาณ หรือเมื่อคนขับรถคันหนึ่งต้องเหยียบเบรกกะทันหัน เป็นต้น

เทคโนโลยี"ระบบ จราจรไฮเทค WiFi" ดังกล่าวเป็น เทคโนโลยีการสื่อสารสัญญาณ WiFi อัตโนมัติ ระหว่างรถยนต์กับรถยนต์, รถยนต์กับสาธารณูปโภคเพื่อการจราจรต่างๆ รวมถึงการสื่อสารสัญญาณ WiFi อัตโนมัติระหว่างรถยนต์กับคนเดินถนนทั่วไป โดยในนิวยอร์ก ซิตี ทางสำนักงานกระทรวงคมนาคมสาขานิวยอร์กจะร่วมกับทางการมหานครนิวยอร์ก ติดตั้งเซ็นเซอร์ ตัวรับสัญญาณ WiFi ให้กับรถยนต์ชนิดต่างๆ ที่หน่วยรัฐบาลเป็นเจ้าของรวมทั้งสิ้น 10,000 คัน ซึ่งจะมีทั้งรถประจำทาง, รถลีมูซีน และรถยนต์ทั่วไป นอกเหนือจากนั้นยังจะมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตัวรับสัญญาณ WiFi  ให้กับเสาสัญญาณการจราจรต่างๆ อาทิ เสาสัญญาณหยุดรถเพื่อให้คนข้ามถนน, เสาสัญญาณไฟจราจร และวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ ที่ติดตั้งไว้ตามถนนสายต่างๆ

ใน รัฐไวโอมิง การทดลองกำหนดจะใช้"ระบบจราจรไฮเทค WiFi" เพื่อศึกษาและควบคุมการจราจรใน เส้นทางที่มีการจราจรของ รถบรรทุกหนาแน่น ส่วนในรัฐแทมปา ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการจราจรเลวร้ายที่สุดเมืองหนึ่ง นอกจาก"ระบบจราจรไฮเทค WiFi"จะมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ให้กับรถ และอุปกรณ์เพื่อการจราจรต่างๆ แล้ว ยังเตรียมการหาอาสาสมัครที่เป็นคนเดินถนนในเมืองดังกล่าวติดตั้งระบบ"ระบบ จราจรไฮเทค WiFi" แบบเดียวกันลงในสมาร์ทโฟนของตัวเอง เพื่อช่วยให้ตัวเซ็นเซอร์ในรถยนต์ต่างๆ ได้รับรู้ตำแหน่งของคนเดินเท้าที่ใช้ถนนร่วมกันในช่วงเวลาการจราจรหนาแน่น อีกด้วย

เทคโนโลยี"ระบบจราจรไฮเทค WiFi"เพื่อการจราจรดังกล่าว เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า "เวฮิเคิล ทู เวฮิเคิล (Vehicle-to-Vehicle) เทคโนโลยี"ระบบจราจรไฮเทค WiFi"นี้ทางการสหรัฐอเมริกาเรียกย่อสั้นๆ ว่า "วี 2 วี" (V2V) ซึ่งเริ่มคิดค้นโดยทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน และได้รับการสนับสนุน จากกระทรวงคมนาคมสหรัฐอเมริกา เริ่มโครงการทดลองในสภาพแวดล้อมจริงเมื่อปี 2012 ที่แอนน์ อาเบอร์ เมืองเล็กๆ ในรัฐมิชิแกน ด้วยจำนวนรถยนต์ (อาสาสมัคร) เพียง 3,000 คัน ก่อนที่จะได้รับความนิยมขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 9,000 คัน ในเวลาต่อมา

นอก จากนั้น"ระบบจราจรไฮเทค WiFi" ยังมีเครือข่ายที่เป็นการสื่อสารระหว่างเซ็นเซอร์ของรถ กับสัญญาณไฟ จราจร หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ สำหรับใช้ในการจราจรที่ติดตั้งเซ็นเซอร์เอาไว้อีกด้วย

โครงการนำ ร่อง"ระบบจราจรไฮเทค WiFi" ที่แอนน์ อาเบอร์ ได้ผลดี แต่ยังจัดว่าเป็นเมืองขนาดเล็กที่การจราจรไม่มากมายนัก จึงจำเป็นต้องขยายการทดลองในสภาพจริงสู่เมืองใหญ่ที่มีการจราจรหนาแน่นกว่า เมืองดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงคมนาคมสหรัฐอเมริกาดูเหมือนจะให้การสนับสนุนระบบนี้เต็มที่

แอ นโธนี ฟอกซ์ รัฐมนตรีคมนาคม ถึงกับแสดงความเชื่อมั่นว่าจะผลักดัน "ระบบจราจรไฮเทค WiFi" และในที่สุดอาจบังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกาทุกคันต้อง ติดตั้งเซ็นเซอร์นี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน และตั้งเป้าจะผลักดันให้มีการใช้งาน"ระบบจราจรไฮเทค WiFi"ใหม่นี้เร็วขึ้นกว่าที่เคยวางแผนเอาไว้เดิมอีกด้วย

Cr.มติชน

29 ต.ค. 2558

สิ่งประดิษฐ์แปลงอักษรเป็นเสียงพูด


สิ่งประดิษฐ์แปลงอักษรเป็นเสียงพูด
สิ่งประดิษฐ์แปลงอักษรเป็นเสียงพูด สร้างจากวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller )ควบคุมด้วยตัวรับสัญญาณ WiFi ระบบไร้สาย สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับระบบสื่อโฆษณาหรือข้อความเสียงต้อนรับต่างๆ ซึ่งระบบไร้สายสะดวกในการติดตั้งใช้งาน ลดการใช้ทรัพยากร ผลงานของอาจารย์และ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ ออกแบบและสร้างสิ่งประดิษฐ์แปลงอักษรเป็นเสียงพูด หรือเครื่องแปลงตัวอักษรเป็นเสียงพูดควบคุมด้วยระบบไร้สายต้นแบบ (TEXT TO SPEECH MACHINE CONTROLLING VIA WIRELESS SYSTEM) ขึ้นมา

นายปริญญา ปุณณะรัตน์ และ นายนพคุณ สามเรืองศรี โดยมีดร.วิเชียร อูปแก้ว เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม  ออกแบบและสร้างสิ่งประดิษฐ์แปลงอักษรเป็นเสียงพูด สร้างจากวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller )ควบคุมด้วยตัวรับสัญญาณ WiFi ระบบไร้สายต้นแบบขึ้นมาใช้แล้ว หลักสำคัญของเครื่องแปลงตัวอักษรเป็นเสียงพูด ได้แก่ส่วนของภาคส่ง รับข้อมูลอักษรทางแป้นพิมพ์ เพื่อส่งไปยังภาครับผ่านทางโมดูลเชื่อมต่อไร้สาย และส่วนของภาครับ ทำหน้าที่รับข้อมูลจากภาคส่งแล้วแปลงเป็นเสียงออกทางลำโพง

สำหรับ ขั้นตอนการสร้างบอร์ดการส่ง-รับข้อมูลตัวอักษร ในการทำงานของบอร์ดเป็นการทำงานแบบบอร์ดถึงบอร์ด ผ่านระบบไร้สายส่งข้อมูลผ่าน Protocol เป็น ASCII Code ออกไปยังบอร์ดรับข้อมูล และให้ไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller )ประมวลผลส่งไปให้โมดูล Emic 2 แปลงเป็นเสียงส่งออกลำโพง จะควบคุมด้วยตัวรับสัญญาณ WiFi ระบบไร้สายต้นแบบผ่านทางโมดูลเชื่อมต่อไร้สายความถี่ 2.4 GHz เมื่อส่งในที่ไม่มีสิ่งใดๆ กีดขวาง สามารถส่งสัญญาณไปได้ 40-50 เมตร

เจ้า ของผลงาน เล่าว่า หลักสำคัญของเครื่องแปลงตัวอักษรเป็นเสียงพูดควบคุมด้วยระบบไร้สายต้นแบบ ประกอบด้วยสองส่วน ได้แก่ ส่วนของภาคส่ง รับข้อมูลอักษรทางแป้นพิมพ์ เพื่อส่งไปยังภาครับผ่านทางโมดูลเชื่อมต่อไร้สาย และส่วนของภาครับ ทำหน้าที่รับข้อมูลจากภาคส่งแล้วแปลงเป็นเสียงออกทางลำโพง ในหลักการออกแบบวงจร แบ่งเป็น 6 ส่วนคือ

1. ส่วนโปรแกรม
2. ส่วนไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller ) เป็นส่วนที่สำคัญ เพราะเป็นส่วนที่ใช้ติดต่อกับส่วนต่างๆ เป็นส่วนที่ควบคุมข้อมูลที่ส่งมาจากคีย์บอร์ด เพื่อนำไปแสดงผลการรับค่าที่ จอ LCD และควบคุมการรับค่าไปจนกว่าจะมีการสั่งให้ส่งข้อมูลออกไปยัง โมดูล WI-FI ให้ส่งต่อไปยังภาครับ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อย คือ ส่วนฮาร์ดแวร์ไมโครคอนโทรลเลอร์ และส่วนซอฟแวร์ไมโครคอนโทรลเลอร์
3. ส่วนแสดงผล
4. ส่วน wireless เป็นตัวรับสัญญาณ WiFi
5. ส่วนโมดูลแปลอักษรเป็นเสียงพูด เป็นอีกส่วนสำคัญ เพราะเป็นส่วนที่เปลี่ยนข้อมูลที่ได้เป็นเสียงพูด ในการออกแบบเลือกใช้ Emic 2 parallax ที่มีการเชื่อมต่อ 6 พอร์ตใช้งาน
6.ส่วนสุดท้ายคือส่วนภาค ขยายสัญญาณ การขยายจากลำโพงภายนอก เนื่องจากบอร์ดมี output เป็นการส่งสัญญาณออก แบบสเตอริโอ 3.5 mm. ที่ใช้ได้กับลำโพงทั่วไปในปัจจุบัน

สำหรับขั้นตอนการสร้างสิ่ง ประดิษฐ์แปลงอักษรเป็นเสียงพูด เริ่มจากบอร์ดการส่ง-รับข้อมูลตัวอักษร ในการทำงานของบอร์ดเป็นการทำงานแบบบอร์ดถึงบอร์ด ผ่านระบบไร้สายส่งข้อมูลผ่าน Protocol เป็น ASCII Code ออกไปยังบอร์ดรับข้อมูล ประกอบด้วย

1. การทำงานภาคส่ง การส่งข้อมูลจากบอร์ดถึงบอร์ด ผ่านระบบไร้สาย โดยที่บอร์ดสำหรับส่งจะมีหน้าจอ LCD เป็นตัวแสดงผลที่พิมพ์ ก่อนจะส่งไปยัง wireless เพื่อที่จะส่งสัญญาณไปยังบอร์ดภาครับ
2. การทำงานภาครับ การรับค่าข้อมูลมาจาก ตัวรับสัญญาณ WiFi ใช้ ไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller ) ประมวลผลส่งสัญญาณไปแสดงผลยังจอโน้ตบุ๊ก เพื่อเป็นการทดลองการรับส่งค่าข้อมูลก่อนที่จะใช้โมดูลเสียงเพิ่มเติมเข้าไป และเป็นการทดสอบระยะการส่งข้อมูล
3. การทำงานของบอร์ด การรับค่าข้อมูลจากคีย์บอร์ดโดยตรง เข้าที่ IC แล้วให้แสดงผลที่หน้าจอ เมื่อกด Enter ข้อมูลก็จะผ่านระบบไร้สาย ไปยังบอร์ดภาครับ และให้ไมโครคอนโทรลเลอร์ประมวลผลส่งไปให้โมดูล Emic 2 แปลงเป็นเสียงส่งออกลำโพง เป็นเสียงให้ได้ยิน เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่ป้อน กับผลที่ได้ ออกมาข้อมูลตรงกันหรือไม่

หลักการทำงานโดยรวมของสิ่ง ประดิษฐ์แปลงอักษรเป็นเสียงพูดควบคุมด้วยระบบไร้สายต้นแบบ คือ เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อมูลตัวอักษรผ่านทางแป้นพิมพ์ ระบบจะประมวลผล และส่งข้อมูลไปยังภาครับผ่านทางโมดูลเชื่อมต่อไร้สาย ตัวรับสัญญาณ WiFi ความถี่ 2.4 GHz ภาครับมี ไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller )ประมวลผลสัญญาณไฟฟ้าให้โมดูล Emic2 สร้างความถี่เสียงส่งออกทางลำโพง ในการรับ-ส่งสัญญาณทำได้มีประสิทธิภาพ ส่งถูกต้อง ในระยะทางที่กำหนดโดยที่มีสิ่งกีดขวางต่างๆ และได้ไกลกว่าที่กำหนดเมื่อส่งในที่ไม่มีสิ่งใดๆ กีดขวาง สามารถส่งสัญญาณไปได้ 40 – 50 เมตร ต้นทุนในการผลิตสิ่งประดิษฐ์แปลงอักษรเป็นเสียงพูดควบคุมด้วยระบบไร้สายต้น แบบ ราคาอยู่ที่ 3,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ดร.วิเชียร อูปแก้ว โทร.091-4062224

Cr.กรุงเทพธุรกิจ,มทร.ธัญบุรี

สมาร์ตโฟนหุ่นยนต์


บริษัทชาร์ปของญี่ปุ่นเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ "โรโบฮอน" (RoBoHoN) เป็นสมาร์ตโฟนหุ่นยนต์ หรือโทรศัพท์มือถือรูปทรงหุ่นยนต์ขนาดเล็ก เน้นลูกเล่นการรับคำสั่งเสียงและสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้พร้อมรองรับการใช้ งานผ่านอินเตอร์เน็ตด้วยไวไฟเหมือนมีไวไฟพกพา(Pocket WiFi)อยู่ในตัว
     
โทรศัพท์ รุ่นสมาร์ตโฟนหุ่นยนต์ดังกล่าวเป็นผลงานการสร้างของบริษัทชาร์ปโดยใช้ความ เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์สมาร์ตโฟนของตนเองร่วมมือกับ "โทโมทากะ ทาคาฮาชิ" ซีอีโอบริษัทโรโบกาเรจ นักออกแบบหุ่นยนต์ผู้มีตำแหน่งเป็นถึงรองศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยโตเกียว
     
ลักษณะ ของสมาร์ตโฟนหุ่นยนต์โรโบฮอนจะเป็นหุ่นยนต์รูปร่างมนุษย์ (Humanoid) ขนาดเล็กสามารถถือพกพาได้ มีหน้าจอทัชสกรีนอยู่กลางหลังเพื่อการควบคุมใช้งาน ส่วนด้านหน้าจะมีกล้องถ่ายรูป ไฟสัญญานแจ้งเตือน และโปรเจคเตอร์ฉายภาพเพื่อแสดงรูปถ่าย วีดีโอ แผนที่บนกำแพงหรือพื้นผิวอื่น
     
จุด เด่นของอุปกรณ์สมาร์ตโฟนหุ่นยนต์นี้คือลูกเล่นการสั่งงานด้วยเสียง สามารถบอกให้ค้นหาข้อมูล ถ่ายรูป แสดงภาพ จดจำใบหน้าหรือแม้แต่ลุกขึ้นมาเต้น โดยที่ยังทำหน้าที่เป็นโทรศัพท์ปกติ ลงแอพพลิเคชัน ท่องอินเตอร์เน็ตได้ด้วยไวไฟพกพาในตัว(Pocket WiFi) และใช้ระบบแอนดรอยด์เป็นพื้นฐาน
     
ทา คาฮาชิแสดงความเห็นว่าที่เขาทำเป็นสมาร์ตโฟนหุ่นยนต์ หรือหุ่นรูปทรงมนุษย์เนื่องจากเทคโนโลยีสั่งงานด้วยเสียงมีการพัฒนาไปมาก แต่ผู้ใช้สมาร์ตโฟนกลับไม่ค่อยยอมรับกัน ซึ่งถึงแม้จะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเพียงใดแต่การที่มนุษย์จะคุยกับกล่องทรงสี่ เหลี่ยมก็ยังเหมือนมีอะไรขวางกั้นอยู่
     
สเปคเบื้องต้นของ สมาร์ตโฟนหุ่นยนต์โรโบฮอนจะมีความสูงประมาณ 19.5 ซม. น้ำหนัก ประมาณ 390 กรัม ใช้หน่วยประมวลผลสแนปดราก้อน 400 MSM 8926 ความเร็ว 1.2 GHz แบบ 4 คอร์ หน้าจอ QVGA ขนาดประมาณ 2 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อไวไฟ 3G และ 4G LTE พร้อมกลไกแขนขาที่สามารถลุกขึ้นยืนเองและเดินได้
     
ทางบริษัทชาร์ปยืนยันว่าจะผลิตสมาร์ตโฟนหุ่นยนต์ออกมาขายจริงภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2016 โดยยังไม่เผยราคาและวันที่แน่นอนออกมา

Cr.ผู้จัดการ

28 ต.ค. 2558

เทคโนโลยีไร้สาย ZigBee


เทคโนโลยีไร้สาย ZigBee
วันนี้จะพาทุกท่านไปดูเทคโนโลยีไร้สายเพื่อใช้ทำโครงข่ายเซ็นเซอร์แบบเครื่อข่ายครอบคุมพื้นที่ครับ นั้นคือโปรโตคอล Zigbee ครับ แล้วเจ้าตัว Zigbee นั้นเป็นอย่างไรครับ

เทคโนโลยี ไร้สาย ZigBee การสื่อสารไร้สายระยะใกล้ที่เน้นการใช้พลังงานต่ำ ราคาถูก ทนต่อสภาพสัญญาณรบกวนสูง ตามมาตรฐานสากล IEEE 802.15.4 เหมาะสำหรับงานควบคุม งานออโตเมชั่น งานเซ็นเซอร์ต่าง ๆ  หรือนำไปใช้ในโรงพยาบาลและการแพทย์ เช่น industrial control, embedded sensing, medical data collection, smoke and intruder warning, building automation, home automation, and domotics, etc.

เทคโนโลยีที่ว่า นี้คือ Zigbee ซึ่งมันจะใช้เป็นระบบสื่อสารไร้สายที่ใช้พลังงานน้อย รับส่งได้ไกลโดยใช้ส่งข้อมูลขนาดเล็กๆอย่าง Censor ได้สบายๆ ทำให้เราสามารถสร้างโครงข่ายเซ็นเซอร์แบบเครื่อข่ายครอบคุมพื้นที่ด้วยปลาย นิ้วคือควบคุมพื้นที่ด้วยระบบไร้สาย เช่น เตือนน้ำท่วม เตือนสารพิษ วัดความชื้น ความเป็นกรดด่างของน้ำ หรือแม้แต่ควบคุมระบบไฟฟ้าต่างๆทั้งเมืองได้เลยทีเดียว

ที่สำคัญคือ เทคโนโลยีไร้สาย Zigbee สามารถส่งต่อข้อมมูลกันในระยะไกลๆได้ ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องของระยะทางในการติดตั้ง แถมเชื่อมต่อโซล่าเซลล์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์จ่ายไฟได้สบาย

เทคโนโลยี ไร้สาย Zigbee นี้ แต่ละตัวจะใช้ Zigbee ในการส่งสัญญาณต่อกันไปเรื่อยๆ ผูกกันแบบรังผึ้ง ทำให้แม้ติดตั้งในสถานที่ขนาดใหญ่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณอ่อน

นอก จากนี้ยังสามารถไปพัฒนาเป็นโครงการป้องกันน้ำท่วมในจังหวัดที่มีความเสี่ยง ได้ครับหรือถ้าไม่ว่าใครนำเทคโนโลยีไร้สาย Zigbee ไปใช้ก็สามารถทำให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยได้แน่นอนครับ

Cr.Tamgin Academy

กระจกโซล่าเซลล์


จะดีแค่ไหนถ้าคุณออกนอกสถานที่หรือออกค่ายในป่าตั้งแคมป์แล้วพกพาโคมไฟโซล่าเซลล์ประหยัด พลังงานติดตัวไปด้วย คุณสามารถชาร์ตพลังงานไฟฟ้าเข้าโคมไฟโซล่าเซลล์ได้ ผ่านพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีอยู่ทั่วไปแบบฟรีตลอดชีพ  ตัวโคมไฟโซล่าเซลล์มีเซ็นเซอร์ตรวจจับความสว่างโดยเมื่อคุณเดินผ่านจุดที่มี แสงสว่างน้อย โคมไฟโซล่าเซลล์จะทำการเปิดไฟอัตโนมัติช่วยให้คุณประหยัดพลังงานได้ในอีกรูป แบบหนึ่ง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าพลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไร้มลภาวะและฟรี โดยไม่เสียสตางค์เลย  แต่ปัจจุบันนี้วิวัฒนาการได้ก้าวไปอีกขั้นที่เราสามารถทำกระจกให้เป็นกระจก พลังงานแสงอาทิตย์หรือกระจกโซล่าเซลล์นั้นเอง อีกหน่อยเราจะเห็นโคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์แบบโปร่งแสงบางใสในไม่ช้า

ทีม วิจัยจาก Michigan State University ได้สร้างกระจกโซล่าเซลล์ หรือกระจกพลังงานแสงอาทิตย์ ที่โปร่งใสได้สำเร็จ ซึ่งสิ่งนี้เป็นการค้นพบที่สามารถทำให้กระจกหน้าต่าง หรือบานกระจก และแม้กระทั่งตึกทั้งตึกสามารถที่จะเป็นกระจกโซล่าเซลล์สร้างพลังงานที่เกิด จากแสงอาทิตย์ได้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ กระจกโซล่าเซลล์จากพลังงานแสงอาทิตย์จะมีลักษณะโปร่งใสบางส่วนและมีสีอ่อนๆ  แต่สำหรับเทคโนโลยี่ล่าสุดกระจกโซล่าเซลล์จากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดใหม่นี้ มีความใสมากและดูเหมือนกับแผ่นกระจกธรรมดา

ก่อนหน้านี้การพูดถึง เกี่ยวกับกระจกโซล่าเซลล์จากพลังงานแสงอาทิตย์ที่โปร่งใสนั้นก่อให้เกิดการ เข้าใจผิด เนื่องมาจากว่า วัสดุตามธรรมชาติที่โปรงใสนั้นหมายถึงแสงต้องผ่านมันไปได้ เซลล์เปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้าที่โปร่งใสนั้นไม่สามารถเป็นไปได้ จริงๆ ซึ่งในความจริงแล้ว กระจกโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ให้พลังงานโดยการเปลี่ยนพลังงานของการดูด ซับแสงในอิเล็กตรอนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า สำหรับวัสดุที่โปร่งใสจริงๆนั้น แสงจะต้องผ่านเข้ามาโดยปราศจากอุปสรรคเข้าสู่ตาของคน ซึ่งนั่นหมายความว่าแสงเหล่านี้จะต้องผ่านวัสดุอย่างสมบูรณ์แบบ

เพื่อ จะทำให้เกิดกระจกโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์แบบโปร่งใสจริงๆ ทีมวิจัยของ Michigan State ได้สร้างสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า transparent luminescent solar concentrator (TLSC) ซึ่งเป็นเกลืออินทรีย์ที่ดูดซับความยาวคลื่นแสงที่คนเราไม่สามารถมองเห็นได้ ความท้าทายที่จะสร้างกระจกโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์แบบโปร่งใสนั้นทำให้ นักวิจัยเลือกใช้พลังงานจากแสงอินฟาเรดและอัลตราไวโอเล็ตแทน

TLSC สร้างแสงสว่างได้ ซึ่งมาจากการเปลี่ยนคลื่นแสงช่วงอินฟาเรดซึ่งมนุษย์เราไม่สามารถมองเห็นได้ กระจกโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์แบบดั้งเดิมนั้นถูกนำมาใช้เป็นวัสดุหลัก และมันทำให้กระจกโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนแสงอินฟาเรดที่เข้มข้น ไปเป็นพลังงานไฟฟ้าได้

กระจกโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์แบบกึ่ง โปร่งใสในรูปแบบก่อนหน้าซึ่งจับแสงที่มนุษย์เห็นได้นั้นมีประสิทธิภาพในการ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ราวๆ 7 เปอร์เซ็นต์ แต่ TSLC ของทีมวิจัยจาก Michigan State คาดว่าจะขึ้นไปถึงสูงสุดได้ประมาณ 5 % ในการทดสอบครั้งต่อไป (ซึ่งในตอนนี้เป็นการทดสอบกับเซลล์ที่เป็นต้นแบบอยู่ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1%) ในขณะที่ตัวเลขของประสิทธิภาพนั้นอยู่ที่ 7 และ 5 % นั้นดูจะมีค่าน้อย แต่บ้านที่ประกอบไปด้วยกระจกที่ทำจากกระจกโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ หรือตึกที่มีกระจกที่เป็นกระจกโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดที่ทำมา จากวัสุดอินทรีย์ชนิดนี้อาจจะสร้างพลังงานไฟฟ้าในระดับที่มากพอได้

นัก วิจัยจาก Michigan State เชื่อว่าเทคโนโลยี TLSC สามารถขยายตัวเข้าไปในโรงงานได้ซึ่งจะสามารถทำไปใช้ประโยชน์กับอุปกรณ์ สำหรับการค้าต่างๆ และอุปกรณ์ขนาดเล็กอื่นๆได้ ซึ่งกระจกโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์สามารถที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตและมี บทบาทหลักในแหล่งพลังงานทดแทนได้

Cr.วิชาการ

27 ต.ค. 2558

คอมพิวเตอร์ยุคแรก


คอมพิวเตอร์ยุคแรก
ในภาพคือเครื่องคิดเลขยุควิคตอเรีย เรียกว่า "ดิฟเฟอเรนซ์ เอนจิ้น(Difference Engine)" สร้างขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์และนักประดิษฐ์คนสำคัญผู้หนึ่งในยุคนั้นคือ ชาร์ลส์ บับบาจ ที่คาดหวังว่าเครื่องคำนวณดังกล่าวนี้จะสามารถนำมาใช้ในการคำนวณสูตรคูณหรือ ตารางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนได้ ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ

อย่าง ไรก็ตาม เครื่องคำนวณดังกล่าวนี้ไม่เคยแล้วเสร็จสมบูรณ์ แต่เอดา เลิฟเลซ ได้เห็นการสาธิตวิธีการใช้เครื่องดังกล่าวนี้ในปี 1833 ขณะอายุเพียง 17 ปี ที่บ้านของบับบาจ และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เอดา เลิฟเลซ หันมาให้ความสนใจศึกษาคณิตศาสตร์ จนกลายเป็นผู้วางรากฐานซึ่งนำไปสู่การสร้างคอมพิวเตอร์ในเวลาต่อมา จนกลายเป็นคอมพิวเตอร์ใช้ภายในบ้าน คอมพิวเตอร์อุตสาหกรรม ฯลฯ

เอ ดา เลิฟเลซ เขียนบันทึกและตารางแสดงตัวอย่างการคำนวณเอาไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อแสดงความคิดเห็นเอาไว้ว่า เครื่องจักรไม่เพียงนำมาใช้เพื่อประมวลผลตัวเลขเท่านั้น ยังสามารถนำมาใช้ในการประมวลผลทั่วไปได้ด้วยจนวิวัฒนาการกลายมาเป็น คอมพิวเตอร์ยุคแรก จนถึงยุคปัจจุบัน

"ออกุสตา เอดา คิง" หรือเคาน์เตสส์ ออฟ เลิฟเลซ ภรรยาในเอิร์ลแห่งเลิฟเลซ นักคณิตศาสตร์และปัญญาชนสมัยวิคตอเรียชาวอังกฤษ ได้ชื่อว่าเป็นผู้วางแนวความคิดพื้นฐานเรื่องอัลกอริธึมและทฤษฎีเกี่ยว กับการประมวลผลด้วยเครื่องจักร ซึ่งกลายมาเป็นพื้นฐานสำหรับการสร้างคอมพิวเตอร์ประมวลผลเป็นคอมพิวเตอร์ยุค แรกในเวลาต่อมา

ทางพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งลอนดอนนำเอาเครื่อง คำนวณยุคแรกๆ มาจัดแสดงไว้ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ เอดา เลิฟเลซ ได้แนวความคิดและวางแนวทางพื้นฐานดังกล่าวจนมากลายเป็นคอมพิวเตอร์ใน ปัจจุบัน

Cr.มติชน

พิพิธภัณฑ์นิคอนฉลอง100 ปี


บริษัท นิคอน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า นิคอน ประกาศเปิดพิพิธภัณฑ์นิคอนอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558 โดยพิพิธภัณฑ์นี้จะตั้งอยู่บนชั้นสองของสำนักงานใหญ่ของนิคอนที่ชินากาว่า โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยการเปิดพิพิธภัณฑ์นิคอนฉลอง100 ปี ในครั้งนี้ถือเป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งนิคอนที่จะครบรอบ 100 ปีใน พ.ศ. 2560

สำหรับพิพิธภัณฑ์นิคอนฉลอง100 ปี ถือเป็นสถานที่แรกที่จะจัดเก็บและแสดงให้เห็นถึงประวัติ ความเป็นมา ตลอดจนผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีทั้งหมดของนิคอน วัตถุประสงค์ของพิพิธภัณฑ์นิคอนก็เพื่อจัดแสดงเทคโนโลยีและสิ่งที่สืบทอดมา ช้านานของนิคอนตั้งแต่วันก่อตั้งบริษัทฯจวบจนปัจจุบัน รวมถึงนวัตกรรมและวิวัฒนาการต่างๆตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

พิพิธภัณฑ์ นิคอนฉลอง100 ปี  ประกอบไปด้วยพื้นที่จัดแสดงขนาด 580 ตารางเมตร นำเสนอผลิตภัณฑ์อันทรงคุณค่าของนิคอน รวมถึงระบบ ‘NSR-1505G2A’ ซึ่งเป็นระบบ step-and-repeat ที่มีฐานรองแผ่นซิลิคอนเวเฟอร์แบบเคลื่อนที่ได้ และกล้องนิคอนราว 450 รุ่น นับตั้งแต่รุ่น ‘Nikon Model I’ ซึ่งเป็นกล้องนิคอนตัวแรกที่เปิดตัวในปี พ.ศ. 2491

นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์นิคอนฉลอง100 ปี  ยังมีกล้องดิจิตอลรุ่นล่าสุด กล้องจุลทรรศน์ กล้องจิ๋ว เครื่องมือวัด และอุปกรณ์อื่นๆที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมอันหลายหลากทางวิทยาศาสตร์และ อุตสาหกรรม จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อีกด้วย ในส่วนของพื้นที่จัดแสดง แบ่งเป็น

หนึ่งศตวรรษกับนิคอน (A Century at Nikon) พื้นที่ในส่วนนี้แสดงภาพรวมกว้างๆ ของประวัติความเป็นมาของนิคอนที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายตลอดช่วง เวลาตั้งแต่ครั้งก่อตั้งจนถึงทุกวันนี้กว่าจะมาเป็นพิพิธภัณฑ์นิคอนฉลอง100 ปี

แท่งแก้วซิลิก้าสังเคราะห์ (Universe of Nikon) นวัตกรรมการผลิตที่หลากหลายของนิคอนในปัจจุบันนั้นมีรากฐานมาจาก Optical Materials ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญของบริษัทฯ แท่งแก้วซิลิก้าสังเคราะห์สื่อให้เห็นถึงแก่นของเทคโนโลยีการผลิต Optical Materials ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อระบบการพิมพ์

นิคอนเธียเตอร์ (Theater) จัดแสดง ‘LUX CENTURIAE - A Century of Light’ ซึ่งเป็นซิมโฟนีที่ประพันธ์โดยคีตกวีชาวญี่ปุ่น คาโอรุ วาดะ เพื่อโอกาสครบรอบ 100 ปีของนิคอนโดยเฉพาะ เพื่องานของพิพิธภัณฑ์นิคอนฉลอง100 ปี

จักรวาลนิคอน (Universe of Nikon) ไลน์ผลิตภัณฑ์ของนิคอนมีความหลากหลายกว้างไกลอย่างน่าทึ่ง เริ่มตั้งแต่อุปกรณ์วัดขนาดที่มีความแม่นยำสูงในระดับนาโนเมตรไปจนถึงการวัด อวกาศที่ขนาดใหญ่เป็นปีแสง

ห้องทดลองเลนส์ (Lens Laboratory) พื้นที่ในส่วนนี้ได้รับการดูแลโดยคุณ ฮิเดยูกิ อาเบะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่จะมามอบประสบการณ์ตรงให้ผู้เยี่ยมชมได้เรียนรู้ คุณลักษณะของแสงและเลนส์ การออกแบบเลนส์เบื้องต้น รวมไปถึงประเด็นอื่นๆที่น่าสนใจ

จิตวิญญาณแห่งนิคอน (Spirit of Nikon)นิคอนนำเสนอรากฐานและจิตวิญญาณความเป็นนิคอนในช่วง 100 ปีแรกผ่านธีมต่างๆ จนได้มาเป็นพิพิธภัณฑ์นิคอนฉลอง100 ปี

Cr.เดลินิวส์

จักรยานไฟฟ้า


จักรยานไฟฟ้า Gi FlyBike
จักรยานไฟฟ้า Gi FlyBike จักรยานไฟฟ้าเชื้อสายอาร์เจนตินา ที่สุดฉลาด พับเก็บเก็บง่าย น้ำหนักเบา เดินทางสะดวกด้วยระบบนำทาง GPS มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม       

คนรักจักรยานต้องถูกใจ ไปตาม ๆ กัน เพราะขณะนี้มีจักรยานไฟฟ้า Gi FlyBike แห่งอนาคตที่ใช้เวลาในการพับเก็บเพียง 1 วินาที ออกแบบโดยทีมดีไซเนอร์จากประเทศอาร์เจนตินา ประกอบด้วย Mr.Lucas Toledo, Mr. Agustín Agostinoy และ Mr.Eric Sevilla โดยหลังจากทำการศึกษาค้นคว้ามาอย่างมากมาย ในเรื่องคมนาคมขนส่งและการเดินทาง จึงเข้าใจและตระหนักดี

ทีมดีไซเนอร์ จากประเทศอาร์เจนตินา จึงมีความเห็นว่า จักรยานควรมีน้ำหนักเบา และเรียบง่าย อีกทั้งยังเห็นถึงความจำเป็นของโทรศัพท์มือถือที่จะติดไว้ตรงแฮนด์จักรยาน เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยในการเชื่อมต่อกับเส้นทางโดยรอบ ไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองใดก็ตาม จึงเป็นที่มาของจักรยานไฟฟ้า Gi FlyBike มาพร้อมกับระบบติดตามตัว GPS ทั้งยังรวมระบบรักษาความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกัน

จักรยาน ไฟฟ้า Gi FlyBike ดีไซน์ออกมาเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บสามารถพับเก็บได้  เหมาะสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหรืออพาร์ทเมนท์ขนาดเล็ก จักรยานไฟฟ้า Gi FlyBike คันนี้ทำงานได้อย่างครบวงจรยิ่งขึ้นเมื่อได้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพื่อแสดงผลเส้นทางให้ผู้ขี่จักรยานทราบเส้นทางที่ดีที่สุดในการเดินทางด้วย ระบบนำทาง GPS  ทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม

เมื่อ คุณลืมล็อครถจักรยาน แอพระบุพิกัดต่ำแหน่ง GPS ของรถจักรยานจะทำงานแทนคุณโดยอัตโนมัติทันที เมื่อตรวจพบว่าคุณออกห่างจากตัวรถจักรยานไปเกินกว่า 5 เมตร และถ้าเพื่อนของคุณต้องการยืมรถจักรยาน คุณจำเป็นต้องบอกรหัสให้กับเพื่อนของคุณ เพื่อใช้ในการปลดล็อครถจักรยานที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน

แล้วถ้าเกิดแบตเตอรี่สำรอง โทรศัพท์ของคุณเกิดหมดกะทันหัน ก็สามารถที่จะชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่สำรองได้ โดยการปั่นจักรยานไฟฟ้า Gi FlyBike เท่านั้น ซึ่งพลังงานที่ได้จากการปั่นจักรยานไฟฟ้า Gi FlyBike ยังสามารถใช้เป็นพลังงานในการขับเคลื่อนจักรยานได้ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และขับเคลื่อนได้ไกลกว่า 60 กิโลเมตร จากการชาร์จเพียงแค่ครั้งเดียว ทำให้คุณไม่ต้องหยุดพักและไปถึงที่หมายได้ทันเวลา  

จักรยานไฟฟ้า Gi FlyBike สามารถรองรับการทำงานได้ทุกระบบ ทั้ง Android และ iOS ที่มีระบบนำทาง GPS พร้อมเสาอากาศ GPSใน ตัว อีกทั้งผู้ออกแบบยังคำนึงถึงเรื่องของความปลอดภัยเป็นหลัก ทั้งไฟหน้าที่จะช่วยในการขับขี่ยามค่ำคืน และระบบป้องกันการโจรกรรม เมื่อเกิดการโจรกรรมขึ้นระบบช่วยในการค้นหาและติดตามจากระบบ GPS ขณะนี้สามารถสั่งซื้อจักรยานไฟฟ้า Gi FlyBike คันนี้มาเป็นเจ้าของได้แล้ว สนนราคาเพียง 1,990 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ โดยจะจัดส่งให้ถึงมือประมาณเดือนมิถุนายน ปี 2016

Cr.Energy Saving,บ้านเมือง

ที่ชาร์ตแบตสํารองโทรศัพท์จากพืช


ชาวรักษ์โลกหรือชาวอีโค่ทั้งหลายก็มีเฮ เมือวิวัฒนาการและเทคโนโลยีก็ได้พัฒนามาถึงวิธีการใช้พลังงานทดแทนด้วยพืช กันแล้ว  ที่จะช่วยรักษาโลก ใช้พลังงานทดแทนที่ไร้มลพิษ แล้วยังช่วยประหยัดพลังงานมาให้ชาวเน็ตและชาวโซเชียวทั้งหลายได้ใช้ในอีกไป ไม่ช้าในเร็ว ๆ นี้ นั้นคือที่ชาร์ตแบตสํารอง โทรศัพท์จากพืชโดยการปักลงใต้ต้นไม้นั่นเอง

สิ่ง ประดิษฐที่พัฒนาขึ้นมาโดยวิศวะกรจากประเทศชิลี ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องเสียบเจ้าเครื่องที่ชาร์ตแบตสํารอง โทรศัพท์จากพืชตัวนี้เข้ากับปลั๊กไฟเลย เพราะเพียงแค่เสียบหรือปักลงไปในดินของกระถางต้นไม้ที่มีต้นไม้เล็กๆ ที่ปลูกอยู่  เพียงเท่านี้ที่ชาร์จแบตเตอรี่สำรองอัจฉริยะ ก็จะดึงเอาพลังงาน ในขณะที่พืชสร้างสารอินทรีย์ไปแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าและชาร์จแบตเตอรี่สมาร์ท โฟน หรือแบตเตอรี่สำรองมือถือให้เราได้ คล้ายๆ กับเป็นพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืนให้กับผู้ใช้มือถือหรือสมาร์โฟนอย่างพวก เราชาวโซเชียวได้

ด้วยสิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะที่ชาร์ตแบตสํารอง โทรศัพท์ จากพืชของ ทีมนักศึกษา จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ประเทศชิลี ได้พัฒนาอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือจากพืชขึ้นเป็นผลสำเร็จนั้นจุด เริ่มต้นนั้นเป็น อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่แบบพกพานี้ เป็นไอเดียที่ถูกคิดค้นขึ้นในปี 2552 ซึ่งสามารถใช้ชาร์จโทรศัพท์มือถือ แทบเล็ต แบตเตอรี่สำรองและอุปกรณ์อื่นๆ  ส่วนแรงบันดาลใจของการคิดค้น เกิดจากหนึ่งในทีม หาปลั๊กไฟสำหรับชาร์จแบตไม่ได้

วิธีใช้ที่ชาร์ต แบตสํารอง โทรศัพท์จากพืชคือเสียบเครื่องชาร์จกับดินใต้ต้นพืช เพื่อให้เครื่องดักจับพลังงานส่วนเกินที่พืชปล่อยออกมา ระหว่างสังเคราะห์แสง จากนั้นก็แปลงเป็นไฟฟ้าที่มีความต่างศักย์ 5 โวลท์ และมีกำลัง 800 มิลลิแอมป์ ซึ่งโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จด้วยวิธีนี้ 1 ครั้ง จะใช้ต้นไม้ 1 ต้น และจะใช้ได้นานราว 1 ชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมง ถือว่าสะดวกและไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย แถมหาได้ง่าย ๆ จากพืชและต้นไม้รอบ ๆ ตัวเรา

ผลงานการคิดค้นดังกล่าว ได้รับรางวัลจากรัฐบาลชิลี ซึ่งให้ทุนสนับสนุนทำเครื่องต้นแบบ ซึ่งได้มีการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานจากที่ชาร์ตแบตสํารอง โทรศัพท์จากพืชอันนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถส่งพลังงานไฟฟ้าผ่านสาย USB ไปชาร์จแบตเตอรี่ และแบตเตอรี่สำรองให้กับสมาร์ทโฟนได้จริงๆ และขณะนี้กำลังยื่นขอจดสิทธิบัตร ยังไม่มีการผลิตเพื่อจำหน่าย

โดย ในตอนนี้ อุปกรณ์ที่ชาร์ตแบตสํารอง โทรศัพท์จากพืชดังกล่าวก็ยังไม่มีวางจำหน่าย เพราะยังอยู่ในระหว่างสร้างต้นแบบ และทดสอบอุปกรณ์อย่างละเอียดนั้นเอง แต่สำหรับผู้ผลิตก็อยากที่จะเริ่มวางตลาดสินค้าชิ้นนี้ในปีหน้า ไม่แน่ว่าในอนาคตหากหากสิ่งประดิษฐนี้ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบ เราอาจจะสามารถเสียบชาร์จแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนหรือแบตเตอรี่สำรองได้ทุกที่แม้ กระทั่งริมต้นไม้ข้างทางเลยทีเดียว แล้วอย่างนี้จะไม่ถือว่ารักษโลก หรือถูกใจชาวอีโค่อย่างเรา ๆ ได้อย่างไรละค่ะ

Cr.Buffohero,ครอบครัวข่าว

25 ต.ค. 2558

โปรโตคอล ZigBee เพื่อ IOT


โปรโตคอล ZigBee เพือ IOT
Photo : Telegesis
Legrand ประกาศทำงานร่วมกับ Nest Inc. และเตรียมใช้โปรโตคอล ZigBee เพื่อการสื่อสารในผลิตภัณฑ์ Nest Weave เชื่อมต่อ เพื่อยกระดับ Internet of Things

Legrand ยังคงเดินหน้าสนับสนุนความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์เชื่อมต่อ ภายในอาคาร หลังจากที่ได้ประกาศเปิดตัวโปรแกรม Internet of Things ในชื่อ Eliot ด้วยเหตุนี้ Legrand จึงได้วางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายในบ้านโดยใช้ Nest Weave

ด้วยความเชื่อที่ว่า การทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ถือเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการ ใช้ Internet of Things ในอาคาร Legrand จึงตั้งใจสนับสนุน "ภาษาแบบเปิด" ที่สามารถผนวกการทำงานและสื่อสารกับระบบจากภายนอกมากเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์มากมายและมีตัวเลือกการใช้งานเสริม พร้อมกันนี้ยังทำให้ผู้ใช้มีอิสระในการเลือกซื้ออุปกรณ์ที่เหมาะกับตนเอง ในขณะที่ความต้องในด้านนี้เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ

Legrand ยังเป็นสมาชิกของ AllSeen Alliance สมาคมนานาชาติที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ ระบบ และบริการ Internet of Things ที่ใช้เทคโนโลยี AllJoyn นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นสมาชิกของ ZigBee(R) Alliance มาอย่างยาวนาน โดย ZigBee(R) เป็นมาตรฐานสากลสำหรับการสื่อสารไร้สายที่รองรับเทคโนโลยี Internet of Things

เกี่ยวกับโปรแกรม Eliot โดย Legrand  Eliot คือชื่อโปรแกรมซึ่งเปิดตัวในปี 2558 โดย Legrand เพื่อเร่งผลักดันการใช้งาน Internet of Things ในผลิตภัณฑ์ของบริษัท Eliot ถือกำเนิดขึ้นจากกลยุทธ์นวัตกรรมของบริษัท ด้วยเป้าหมายที่จะพัฒนาโซลูชั่นที่เชื่อมต่อถึงกันได้ใน 40 ตระกูลผลิตภัณฑ์ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ที่ยั่งยืนสำหรับทั้งผู้ใช้งานส่วนบุคคลและผู้ใช้ใน สายอาชีพ

ZigBee เป็นภาษาไร้สายระดับโลกซึ่งเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่แตกต่างกันมากให้สามารถทำงาน ร่วมกันได้และช่วยยกระดับชีวิตประจำวัน โดย ZigBee Alliance เป็นสมาคมไม่แสวงผลกำไร ซึ่งมีบริษัทต่างๆกว่า 340 แห่งเป็นสมาชิกเพื่อร่วมกันผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีไร้สาย Zigbee ให้เป็นเครือข่ายไร้สายชั้นนำที่ควบคุมและกำหนดมาตรฐานการใช้งานในภาค อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภค ภาคอุตสาหกรรมพลังงาน ภาคครัวเรือน อุตสาหกรรมการค้าและพาณิชย์

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้มาตรฐาน ZigBee  ยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้งานภายในบ้าน ศูนย์ออกกำลังกาย บ้านพักคนชรา สถานพยาบาล และศูนย์บริการทางการแพทย์หลายแห่ง นอกจากนี้ มาตรฐานดังกล่าวยังสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า รวมถึงผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ นา ๆ เป็นมาตรฐานแบบเปิดระดับโลกสำหรับอุปกรณ์ไร้สายประหยัดพลังงาน

ขณะ เดียวกันก็สามารถติดตั้งระบบไร้สายอย่างเป็นอิสระภายนอกตัวอาคารได้ด้วย นอกจากนั้นแล้ว Zigbee ยังได้รับการทดสอบแล้วว่า เป็นเทคโนโลยีประหยัดพลังงานที่สามารถใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีไร้สายอื่นๆ ซึ่งรวมถึงระบบเครือข่าย Wi-Fi ได้เป็นอย่างดี


Cr.RYT9

สุดยอดสแกนไวรัส Kaspersky


จากการสำรวจความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไอที ระดับคอนซูมเมอร์ (Consumer IT Security Risks Survey 2015) พบว่า จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่กังวลกับความเป็นส่วนตัวทางออนไลน์ได้เพิ่ม สูงขึ้นเทียบกับปีที่ผ่านมา มาดูตัวเลขกับว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์กังวลอะไรบ้าง a)  70% ของผู้ใช้งานกังวลว่าตนเองอาจโดนใครบางคนแอคเซส (Access)เข้ามายังไฟล์ส่วนตัว  b) 61% กังวลว่าอาจจะมีโปรแกรมแฝงบนอุปกรณ์ที่ตนใช้งานคอยแอบดักข้อมูล และ c) 49% ไม่วางใจกล้องในคอมพิวเตอร์หรือกล้อง IP Camera โดยเฉพาะโปรแกรมเว็บแคม(Webcam)ของตนเอง ซึ่งกล้องจิ๋วเหล่านี้เป็นที่รู้กันว่าอาจถูกแอบขโมยใช้อยู่บ่อยๆ แม้จะอยู่บนอุปกรณ์ของเราเองก็ตาม

จากรายงาน ของ Kaspersky Security Network ระบุว่าประเทศไทยติดอันดับที่ 33 จากทั้งหมด 250 ประเทศทั่วโลกที่เป็นเป้าหมายการโจมตีทางไซเบอร์ แล้วไทยเรากำลังกลายมาเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของแฮกเกอร์ อันเป็นผลจากการติดตั้งซอฟต์แวร์เถื่อนและการทำธุรกรรมธนาคารออนไลน์ที่แพร่ หลาย อย่างรวดเร็วรวมถึงการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งานอุปกรณ์สื่อสารไร้สายและโซเชีย ลเน็ตเวิร์กที่มากขึ้นนั้นเอง ยุคนี้ไวรัสไม่ได้เพียงแค่เจาะข้อมูลบนคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว แต่มีอีกหลายตัวที่สามารถล้วงไปถึงกล้องบนคอมพิวเตอร์หรือกล้องบนมือถือ (Webcam) กล้อง IP Camera  ที่คุณติดตั้งไว้ด้วย ขอบอกได้เลยว่างานนี้มีคลิปหลุดได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว

ด้วยประเด็น ความท้าทายเหล่านี้ผลักดันให้โซลูชั่นความปลอดภัยแคสเปอร์สกี้ แลป (Kaspersky) สุดยอดสแกนไวรัส ต้องคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้ในความเป็นส่วนตัวบนอุปกรณ์ของตนเอง เวอร์ชั่นใหม่ของแคสเปอร์สกี้ออกแบบมาให้มีเทคโนโลยีป้องกันความเป็นส่วนตัว รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

แคสเปอร์สกี้ แลป (Kaspersky) สุดยอดสแกนไวรัสใหม่ล่าสุดมาพร้อมช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณจากไวรัสและ มัลแวร์ได้ มาพบกับ Kaspersky Internet Security และ Kaspersky Anti-Virus เวอร์ชั่น 2016 ด้วยฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่สามารถป้องกันผู้ใช้ทั่วไปได้อย่างดีเยี่ยม และเน้นการรักษาความเป็นส่วนตัว แถมมีระบบช่วยปกป้องลูกของคุณจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้เป็นอย่างดี

แค สเปอร์สกี้ แลป(Kaspersky) สุดยอดสแกนไวรัสเผยเวอร์ชั่นล่าสุดของโซลูชั่นซีเคียวริตี้เหมาะสำหรับผู้ ใช้ทั่วไป  ทั้งสองตัวนี้คือ Kaspersky Internet Security 2016 และ Kaspersky Anti-Virus 2016 รองรับการใช้งานกับ Windows 10 พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะเพื่อตอบโจทย์ให้ตรงความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุดด้วย การปกป้องสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความเป็นส่วนตัว ข้อมูลส่วนบุคคล (identity) ข้อมูลทางการเงินและข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน โซลูชั่นใหม่ประกอบด้วยเทคโนโลยีที่อัพเดททันสมัยมั่นใจได้ว่า ผู้ใช้งานจะได้รับการปกป้องไม่ว่าจะทำอะไรอยู่บนคอมพิวเตอร์ก็ตาม มาพร้อมด้วยฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเติมมากขึ้นเพื่อการป้องกันข้อมูลส่วนตัวของผู้ ใช้

โซเชียลเน็ตเวิร์ก เอเจนซี่โฆษณา และการสำรวจวิเคราะห์ข้อมูลมักเก็บข้อมูลของผู้ใช้เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ งานบ่อยๆ บนบราวเซอร์ สถานที่ หรือประวัติการสืบค้นข้อมูล เป็นต้น พวกเขาเรียกใช้ข้อมูลผ่านบราวเซอร์และสามารถนำมาขายต่อได้ และใช้เพื่อทำโฆษณามุ่งไปสู้เป้าหมายไปยังผู้ใช้เอง

Private Browsing จะเป็นฟีเจอร์ที่ปกป้องการเอาข้อมูลเช่นนี้ออกจากอินเทอร์เน็ตและปกป้อง รายงานคำร้องขอจากภายนอกที่ถูกบล็อกผ่านทางปลั๊กอินที่ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ (ซึ่งจะมีอยู่ใน Mozilla Firefox, Internet Explorer และ Google Chrome) โดยเทคโนโลยีของแคสเปอร์สกี้ แลป(Kaspersky)ต่างจากเครื่องมืออื่นๆ ที่มีอยู่ในบราวเซอร์ นั่นคือ สามารถปกป้องได้มากกว่า สามารถป้องกันผู้ใช้จากการถูกระบุตัวตนผ่านคุ้กกี้ไฟล์ หรือเตือนเรื่องไซต์ที่เราไม่ต้องการส่งข้อมูลที่จะทำให้ติดตามเราได้ โดยจะการันตีได้ว่าข้อมูลนี้จะไม่เล็ดลอดออกนอกอุปกรณ์เด็ดขาด

เป็น เรื่องธรรมดาทั่วไปสำหรับติดตั้งโปรแกรมปลั๊กอินหรือเอ็กซ์เทนชั่นเพิ่มเติม (additional extensions) ที่จะฝังไปบนอุปกรณ์ของผู้ใช้โดยที่เจ้าของอุปกรณ์ไม่รู้ตัวว่ามีการติดตั้ง ฟรีแวร์ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อบราวเซอร์โฮมเพจ และดิฟอล์ทเสิร์ชเอ็นจิ้น หรือการติดตั้งปลั๊กอินพิเศษเพิ่ม (additional extensions) เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งค่าเน็ตเวิร์คและค่าคอนฟิกูเร ชั่น(Configuration) ระบบของอุปกรณ์ได้โดยที่เจ้าของไม่ยินยอมไม่รู้เรื่องเลย

เป็นไปได้ ว่าองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้เป็นไปเพื่อล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว เพราะปลั๊กอินและเอ็กซ์เทนชั่นบางตัวอาจคอยเก็บข้อมูล และพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ จากนั้นนำมาใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ “System Change Control” เป็นตัวตรวจสอบกระบวนการที่พยายามจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตาม และรายงานไปยังผู้ใช้ พร้อมทั้งสอบถามว่าต้องการให้จัดการกับกระบวนการนั้นอย่างไร เช่น ยอมรับ หรือบล็อกซะเลย

จิมมี่ ฟง ผู้อำนวยการฝ่ายช่องทางการจัดจำหน่าย แคสเปอร์สกี้ แลป ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลนี้ถือเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะอยู่ในโลกแห่งความจริงหรือเสมือนจริง ซึ่งเป็นสาเหตุที่แคสเปอร์สกี้ แลปมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชั่นด้วยเป้าหมายในการป้องกันทุกข้อมูลอันมีค่าของผู้ ใช้งานของเรา ได้แก่ ไฟล์ข้อมูลส่วนตัวและความเป็นส่วนตัวในการใช้งานติดต่อสื่อสาร ให้พ้นเงื้อมมืออาชญากรไซเบอร์และประชากรไซเบอร์ผู้อยากรู้อยากเห็นทั้งหลาย บนอินเทอร์เน็ต

โดยธรรมชาติแล้ว มาตรการเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากผู้ใช้ปฏิบัติตามข้อแนะนำการใช้ อินเทอร์เน็ตให้ปลอดภัย ป้องกันอุปกรณ์และบัญชีใช้งานด้วยรหัสผ่านที่ยากต่อการแกะรอย หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าไว้วางใจ และมีการติดตั้งเครื่องมือเครื่องสแกน ข้อมูลต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นบนคอมพิวเตอร์ทั่วไปหรือคอมพิวเตอร์อุตสาหกรรมในโรงงานของคุณเป็นประจำเพื่อหาภัยคุกคามไซเบอร์ที่อาจเป็นไปได้ในเครื่อง

เนื่อง จากภัยคุกคามไซเบอร์นี้มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้บ่อยๆ เราจึงขอแนะนำให้ผู้ใช้งานทุกคนหมั่นอัพเดทโปรแกรมระบบความปลอดภัยเป็นเวอร์ ชั่นที่ล่าสุดที่สุด เพื่อให้มั่นใจสมรรถนะการป้องกันและรับมือกับภัยไซเบอร์หน้าใหม่ได้ โปรดักส์สำหรับผู้ใช้ทั่วไปของแคสเปอร์สกี้ แลปที่โดดเด่นเป็นที่นิยม ได้แก่ ออโตเมติกอัพเดทและอัพเกรดแบบไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถที่จะบริหารจัดการได้จากระยะไกลผ่านบัญชีผู้ใช้แคสเปอร์สกี้ แลป (My Kaspersky account) ส่วนตัว

นอกจากฟีเจอร์ใหม่ๆ เหล่านี้ เวอร์ชั่น 2016 สำหรับคอนซูเมอร์ ได้ปรับปรุงฟีเจอร์พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในการรับมือป้องกันรูปแบบใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปของภัยไซเบอร์ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและสมรรถนะของการป้องกันระดับพรีเมี่ยม อาทิ Safe Money, Application Control, Trusted Application Mode และ Two-Way Firewall

Kaspersky Anti-Virus สุดยอดสแกนไวรัสเป็นรากฐานการต่อกรกับไวรัส ให้การปกป้องจากไวรัสทุกชนิด ตรวจจับ กำจัดไวรัสที่เกิดขึ้นใหม่ล่าสุดได้ทันที แจ้งเตือนเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย ตรวจสอบความปลอดภัยของไฟล์ โปรแกรมต่างๆได้ทันที ด้วยการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพนี้ จึงมั่นใจได้ว่าผู้ใช้งานจะปลอดภัย ไม่ว่าขณะทำงาน หรือท่องอินเทอร์เน็ต

Kaspersky Internet Security สุดยอดสแกนไวรัสให้การปกป้องระดับพรีเมี่ยมจากภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตทุก รูปแบบ ผ่านแอนตี้ไวรัส แอนตี้ฟิชชิ่ง พร้อมด้วยเครื่องมือต่าง ๆ(Tool)และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัว ข้อมูลส่วนบุคคลและธุรกรรมการเงินออนไลน์ มีโมดูล Parental Control สนับสนุนผู้ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองในการสอดส่องกิจกรรมบนเว็บของเด็กๆ

Cr.แบไต๋

ทางเดินแถบแม่เหล็ก


ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ได้จากแม่เหล็กที่เรานำมาทำถ่านไฟฉาย หรือ บัตรแถบแม่เหล็กเพื่อเก็บข้อมูลทางการเงินและบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็มแล้วก็มีเครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็กที่ เก็บข้อมูลนั้น ได้มีการวิวัฒนาการนำผงแม่เหล็กที่ไม่ได้ใช้แล้วมาใช้สำหรับคนพิการแล้ว แนวคิดนำผงแม่เหล็กจากถ่ายไฟฉายเก่า ได้ประโยชน์ 2 ทาง ทั้งลดมลพิษ ผลิตผงแม่เหล็ก (เฟอร์โรแมกเนติก) ใช้เคลือบบนผิวอิฐทางเท้าให้เป็นทางเดินแถบแม่เหล็ก ช่วยนำทางให้กับผู้พิการทางสายตา เป็นเสมือนเครื่องสแกนแบบพกพา นำพาเราเดินไปไม่สะดุดกับพื้นผิวทางเดินแบบเดิมๆ เป็นไอเดียสุดเจ๋ง!!ผลงานนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มจธ.

ถ่าน ไฟฉาย ที่ใช้แล้วเมื่อทิ้งไปก็จะกลายเป็นขยะอันตรายเพราะมีโลหะหนักปนเปื้อน แต่ทุกวันนี้ทำได้เพียงแค่การฝังกลบเท่านั้น ซึ่งขยะพิษเหล่านี้นับวันจะมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น แต่วันนี้ นางสาวแพรวา ฐานนันทน์, นายสาธิต ประทีปธีรานันต์ และนายสิริวัช ทนงศักดิ์ 3 นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เกิดแนวคิดในการหาวิธีใช้ประโยชน์จากถ่านไฟฉายที่เสื่อมสภาพ มาผลิตสารแม่เหล็ก หรือ เฟอโรแมกเนติกขึ้น แล้วนำสารดังกล่าวมาฉาบหรือเคลือบลงบนผิวอิฐทางเท้าเพื่อใช้เป็น "ทางเดินแถบแม่เหล็ก" ให้กับผู้พิการทางสายตา ซึ่งประโยชน์ต่อสังคมแทนการปล่อยให้ทิ้งเป็นขยะ

ผศ.ดร.ธิดารัตน์ บุญศรี ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา กล่าวว่า ถ่านไฟฉายนั้นเป็นแหล่งจ่ายพลังงาน แต่เมื่อเสื่อมสภาพแล้ว ถ่านไฟฉายยังคงมีสารที่มีประโยชน์ เช่น ออกไซต์ของซิงค์ และแมงกานิส หากเติมออกไซต์ของเหล็กเข้าไปเพิ่ม จะสามารถสังเคราะห์สารที่เรียกว่า เฟอรร์โรแมกเนติก หรือสารแม่เหล็ก จึงมีแนวคิดในเรื่องของการกำจัดถ่ายไฟฉายที่เสื่อมสภาพ ผนวกเข้ากับเรื่องของผู้พิการทางสายตา ซึ่งนักศึกษากลุ่มนี้ได้ประยุกต์ใช้สารแม่เหล็กดังกล่าวมาทำทางเดินแถบแม่ เหล็ก ที่สามารถนำทางสำหรับผู้พิการทางสายตา เพื่อให้เขาสามารถเดินทางไปสู่จุดหมายได้โดยไม่สะดุด

นางสาวแพรวา ฐานนันทน์ กล่าวว่า จากการศึกษาข้อมูลพบว่ากระป๋องยาฆ่าแมลง หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ และถ่านไฟฉาย จัดเป็นขยะที่มีการปนเปื้อนสารที่เป็นอันตรายต่อคนและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะถ่านไฟฉายที่เสื่อมสภาพแล้วและนับวันยิ่งมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ส่วนที่มีการนำไปรีไซเคิล พบว่า ในถ่านไฟฉาย 1 ก้อน จะประกอบด้วย แผ่นโลหะที่เป็นเปลือกหุ้ม จะถูกนำไปหลอมใหม่ ส่วนขั้วหรือหัวหมุดทองแดง ก็นำไปแปรรูปใหม่ได้ ขณะที่ผงถ่านถือเป็นส่วนที่เป็นปัญหา ซึ่งวิธีกำจัดส่วนใหญ่คือการนำไปฝังกลบ แต่จากการลงพื้นที่สำรวจโรงกำจัดขยะพิษที่จังหวัดระยอง พบว่า ขยะจากถ่านไฟฉายส่วนใหญ่กลับถูกทิ้งอยู่ในถัง ไม่มีการนำไปรีไซเคิลเพราะกังวลเรื่องของส่วนประกอบที่ปนเปื้อนด้วยโลหะหนัก แต่ในเชิงวิทยาศาสตร์แล้วเราสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้เพียงแต่ต้องหา วิธีการสกัดแยกและการกำจัดโลหะหนักที่มีประสิทธิภาพซึ่งเป็นโจทย์ที่ ทางกลุ่มได้รับมอบหมายจนกลายมาเป็นนวัตกรรม "ทางเดินแถบแม่เหล็ก"

นาย สาธิต ประทีปธีรานันต์ กล่าวว่า เนื่องจากสารเฟอโรแมกเนติกที่เราผลิตขึ้นจากถ่านไฟฉายที่เสื่อมสภาพ มีคุณสมบัติใช้เป็นสารในการสร้างสนามแม่เหล็ก มีความแข็ง และมีความคงทนไม่ละลายน้ำ จึงน่าสนใจที่จะใช้เป็นสารเคลือบผิวคอนกรีตหรืออิฐ เพื่อสร้างทางเดินแถบแม่เหล็ก เชื่อว่า แนวคิดนี้จะเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้พิการทางสายตา ทำให้สามารถเดินได้สะดวกขึ้น เพราะทางเดินเท้าของผู้พิการทางสายตาที่มีอยู่ในปัจจุบันจะใช้การทำเป็นลอน นูน หรือปุ่มบนผิวอิฐทางเดิน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้กับผู้พิการทางสายตาได้ทราบถึงจุดสิ้นสุดหรือระยะที่ ต้องหยุดเพื่อความปลอดภัย แต่อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ใช้รถเข็น หรือคนปกติทั่วไปที่ใช้ทางเท้าร่วมกัน แม้แต่ผู้พิการทางสายตาก็อาจเดินสะดุดกับผิวทางเดินที่ไม่เรียบได้ หากเราสามารถนำสารดังกล่าวมาเคลือบผิวทางเดินเป็นพื้นเรียบ และติดแถบแม่เหล็กที่บริเวณปลายไม้เท้า เมื่อผู้พิการใช้ปลายไม้เท้าแตะหรือสัมผัสกับพื้นผิวทางเดินแถบแม่เหล็กที่ เคลือบด้วยสารแม่เหล็กก็จะรู้สึกได้ถึงสัมผัสของแรงดูดที่เกิดขึ้นซึ่งช่วย นำทางให้กับผู้พิการเดินทางได้สะดวกและคนทั่วไปที่ใช้ทางเดินร่วมกันก็ไม่ ต้องสะดุดกับพื้นผิวที่ไม่เรียบ

นายสิริวัช ทนงศักดิ์  กล่าวเสริมว่า  ทางกลุ่มฯได้จำลองอิฐบล็อก และไม้เท้าขึ้น เพื่อทดสอบแรงดูด โดยได้จำลองอิฐบล็อคในขนาดความกว้าง 10 ซม. ยาว 20 ซม. และหนา 3 ซม.ซึ่งเป็นขนาดใกล้เคียงกับอิฐมาตรฐานทางเท้า โดยนำอิฐที่จำลองมาฉาบผิวหน้าด้วยสารแม่เหล็กที่พัฒนาขึ้นเคลือบลงบางๆใน ปริมาณ 3 กรัม ส่วนแม่เหล็กที่ติดปลายไม้เท้าจะมีสนามแม่เหล็กที่อยู่ระดับสูงกว่าอิฐแม่ เหล็ก เมื่อสัมผัสกับผิวอิฐบนทางเดินแถบแม่เหล็ก ไม้เท้าจะถูกดูดด้วยสารแม่เหล็กที่พัฒนาขึ้นบนแผ่นอิฐทางเท้า ในระดับที่ผู้พิการทางสายตารับรู้ได้ แต่อิฐแม่เหล็กจะไม่ดูดแผ่นแม่เหล็กที่มีสนามแม่เหล็กต่ำๆ ไม่ว่าจะเป็นแมคเน็ทหรือที่ติดตู้เย็น บัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม   ในกรณีที่บัตรอิเลคโทรนิกส์ตกลงบนพื้นทางเดินที่เคลือบสารดังกล่าว จะไม่ทำให้ข้อมูลในบัตรสูญหายแต่อย่างใดและไม่ลบข้อมูลในบัตรดังกล่าวได้ จึงไม่น่าห่วงที่จะนำบัตรดังกล่าวไปใช้กับเครื่องรูดบัตรได้ตามปกติ นอกจากนี้สนามแม่เหล็กของทางเดินแม่เหล็กจะไม่รบกวนคลื่นโทรศัพท์

ทั้ง นี้ ผศ.ดร.ธิดารัตน์ ยังได้กล่าวถึงประโยชน์ของผลงานชิ้นนี้ว่าถ้าเรารู้จักนำของเสียมาสร้าง ประโยชน์โดยการสร้างมูลค่าขึ้นจากของเสีย ของเสียจะไม่เป็นภาระแต่จะเป็นวัตถุดิบในการผลิตแทน ผลงานชิ้นนี้นอกจากช่วยลดภาระในการกำจัดถ่านไฟฉายที่เสื่อมสภาพ ยังเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ที่สำคัญคือเราจะได้บุคลากรที่มีคุณภาพออกสู่สังคม การทำโครงงานของนักศึกษาด้วยโจทย์ดังกล่าวนอกจากนักศึกษาจะได้เรียนรู้การ ฝึกทักษะการเป็นวิศวกรแล้วจะต้องคิดอย่างสร้างสรรค์ได้เพราะหัวใจหลักของ วิศวกรสิ่งแวดล้อม คือ ต้องมองหาส่วนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ในของเสีย แล้วแยกส่วนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ออกมา พร้อมกับลดความเป็นพิษของส่วนที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งก็จะช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาดังเช่นผลงานทางเดินแถบแม่ เหล็กจากถ่านไฟฉายที่เสื่อมสภาพดังกล่าว

สำหรับผลงานทางเดินแถบแม่ เหล็กชิ้นนี้ได้มีการนำไปทดสอบกับผู้พิการทางสายตาที่โรงเรียนสอนคนพิการ ตาบอดกรุงเทพซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและเห็นว่าสิ่งประดิษฐ์นี้ เป็นประโยชน์ต่อผู้พิการทางสายตาและสนใจจะนำมาทดสอบกับพื้นทางเดินภายใน โรงเรียนโดยรอบต่อไปเมื่อผลงานแล้วเสร็จสมบูรณ์ล่าสุด ผลงานชิ้นนี้ยังได้รับคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ให้เข้าร่วมประกวดนวัตกรรมในงาน Taipei International Invention Show and Technomart หรือ INST 2015 ที่ไต้หวัน ในเดือนตุลาคม 2558

Cr.ประชาชาติธุรกิจ

24 ต.ค. 2558

แว่นตา “วิชั่นเนียร์”


สำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็น การจะแยกแยะธนบัตร อาจถือเป็นเรื่องยาก แต่ แว่นตา“วิชั่นเนียร์” ผลงานนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จะมาช่วยให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป แว่นตา “วิชั่นเนียร์” นวัตกรรมแว่นตาพร้อมกล้องจิ๋วแยกแยะวัตถุพร้อมเสียงบรรยาย ช่วยคนตาบอดแยกธนบัตร-สีสัน-ยี่ห้อสินค้า-ไฟห้องเปิดปิดได้ภายใน 5 วินาที คว้ารางวัลที่ 2 เวทีสิ่งประดิษฐ์เพื่อคนพิการ i-CREATEd ประเทศสิงคโปร์ จากน้อง ๆ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ผู้ค้นคิดนวัตกรรมใหม่พร้อมโปรแกรมวิเคราะห์ภาพจากกล้องถ่ายรูป
     
นาง สาวบุษภาณี พงษ์ศิริยาภรณ์ บัณฑิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) หนึ่งในผู้ประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์สวมใส่สำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็นหรือ แว่นตา “วิชั่นเนียร์” กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้พิการทางสายตามากกว่า 2 แสนคน เมื่อต้องเลือกพัฒนานวัตกรรมสำหรับการทำโครงงานจบการศึกษา เธอจึงมุ่งเป้าไปที่นวัตกรรมเพื่อกลุ่มคนตาบอด ซึ่งตรงกับความถนัดของอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานของเธอที่สร้างสรรค์ผลงาน เพื่อคนตาบอดมาแล้วหลายต่อหลายชิ้น
     
บุษภาณี กล่าวว่า ช่วงแรกเธอยังไม่มีแนวความคิดชัดเจนว่าจะทำนวัตกรรมอะไร แต่เมื่อได้ลงพื้นที่วิจัยในสถานที่จริงกับผู้พิการทางสายตาที่สมาคมคนตาบอด กรุงเทพฯ ทำให้เธอทราบว่า ปัญหาสำคัญที่คนตาบอดต้องการ การแก้ไขมีด้วยกัน 4 เรื่องหลัก ได้แก่ การแยะแยะธนบัตร, การแยกแยะสีสัน, การอ่านบาร์โค้ดเลือกซื้อสินค้า และการประเมินการเปิดปิดไฟในห้อง ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันแสนง่ายของคนทั่วไป แต่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากสำหรับผู้พิการทางสายตา
     
เมื่อ ได้โจทย์วิจัย เธอและทีมจึงสร้างชุดประมวลผล ด้วยการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลภาพ ที่ได้จากกล้องจิ๋วขนาดเล็ก ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ซึ่งติดอยู่บริเวณด้านหน้าของแว่นตา“วิชั่นเนียร์”สำหรับผู้พิการ ทำหน้าที่เสมือนเครื่องสแกน เครื่องอ่านบาร์โค้ด ที่จะคอยจับรายละเอียดของลายน้ำบนธนบัตร,ความเข้มสีบนเสื้อผ้า,รหัสบาร์โค้ด ของสินค้าต่าง ๆ และแหล่งกำเนิดแสงในห้อง ก่อนจะประมวลผลแล้วสั่งการผ่านเสียงเพื่อบอกใหัผู้ใช้รับรู้ว่าสิ่งที่กำลัง ตรวจสอบอยู่คือวัตถุชนิดใด
     
เวลาจะใช้ก็แค่หมุนปุ่มปรับที่กล่องประมวลผลว่าจะใช้โหมดใด เช่น เครื่องสแกนเพื่ออ่านธนบัตร เครื่องสแกนบาร์โค้ดเพื่อ อ่านรหัสบาร์โค้ดสินค้า แล้วเอาวัตถุนั้นมาไว้ใกล้ๆ ตาที่ใส่แว่นตา“วิชั่นเนียร์” ประมาณ 5 วินาทีก็จะมีเสียงจากลำโพงว่าแบงค์นี้คือแบงค์อะไร สินค้านั้นเป็นอะไร ราคาเท่าไร เพราะกล้องจะจับรายละเอียดแล้วส่งข้อมูลผ่านบลูทูธไปยังส่วนวิเคราะห์ เพื่อเทียบกับฐานข้อมูล ซึ่งจะทำให้ผู้พิการใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น พึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น ซึ่งเครื่องนี้สามารถทำงานได้ โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต แต่เมื่อเชื่อมต่อแว่นตา“วิชั่นเนียร์” กับ แอปพลิเคชั่นวิชั่นเนียร์บนโทรศัพท์มือถือ จะสามารถเชื่อมต่อกับเฟซบุ๊คแฟนเพจ 'ช่วยอ่านหน่อยนะ' เพื่อขอคำอธิบายภาพที่ปรากฎด้านหน้าผู้ใช้จากบุคคลอื่น
     
บุ ษภาณี เผยว่า จุดเด่นที่ทำให้แว่นตา“วิชั่นเนียร์”ได้รางวัลเหรียญเงินด้านเทคโนโลยี สำหรับคนพิการและสูงอายุ จากเวทีการประกวดนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุและผู้พิการ i-CREATEd ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ อยู่ที่การใช้งานซึ่งมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานจริง และด้วยการออกแบบที่เรียบง่าย ใช้งานง่ายทำให้วิชั่นเนียร์เข้าถึงผู้บกพร่องทางการมองเห็นทุกระดับตั้งแต่ ตาพร่ามัวจนถึงบอดสนิท อีกทั้งมีราคาที่เหมาะสมทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะต่อยอดไปสู่การผลิตใน เชิงพาณิชย์
     
ก่อนนำไปแข่งขันก็นำไปให้ผู้พิการใช้ ซึ่งพวกเขาก็ให้การตอบรับค่อนข้างดี บอกว่าใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้น แต่ก็พบปัญหาใหม่คือแว่นตา“วิชั่นเนียร์”ค่อนข้างหลวม ขั้นต่อไปจึงเป็นการพัฒนาให้แว่นตา“วิชั่นเนียร์”มีความกระชับของแว่นตารับ กับสรีระใบหน้าของแต่ละคนมากขึ้น ส่วนแบตเตอรี่ที่ใช้กับกล่องประมวลผลไม่มีปัญหา ใช้ได้นานพอๆ กับแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ แล้วในอนาคตก็มีแผนที่จะพัฒนาให้เป็นนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ด้วย โดยจะพยายามทำให้ราคาถูกที่สุดเพื่อให้เข้าถึงผู้พิการทางสายตาทุกคน ซึ่งตอนนี้มีต้นทุนการผลิตแว่นตา“วิชั่นเนียร์”อยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 บาท

แว่นตา“วิชั่นเนียร์” เป็น 1 ใน 2 ผลงานที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 การประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนักศึกษา ในงานประชุมวิชาการ I-CREATe 2015 (ไอครีเอท 2015) ที่มหาวิทยาลัยนันยางเทคโนโลยี สาธารณรัฐสิงคโปร์

Cr.ผู้จัดการ,VoiceTV

23 ต.ค. 2558

หุ่นยนต์ AI ในญี่ปุ่น



ย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของโลกจะเห็นว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกของ โลกเริ่มที่เครื่องจักรไอน้ำหรือ steam engines ตามมาด้วยปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองคืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ electric power ศาสตร์แห่งคอมพิวเตอร์คือแกนหลักของการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบที่สาม ก่อนที่จะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมโลกคือศาสตร์หุ่นยนต์ AI หรือ Robotics ที่ทำงานผ่าน  AI (Artificial Intelligence) หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” ที่จะสร้างพลังแห่งนวัตกรรมครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

ทุกวันนี้ นวัตกรรมเช่นนี้เริ่มด้วยการสามารถใช้อุปกรณ์เล็ก ๆ ในรูปนาฬิกาข้อมือที่เป็นเครื่องวัดความดัน เครื่องวันอุณหภูมิร่างกาย  เครื่องวัดออกซิเจน  อีกทั้งคอนแทคเลนส์ที่อ่านระดับน้ำตาลจากความชื้นของตา หรืออุปกรณ์จิ๋วประจำตัวที่วัดคลื่นสมองได้ ซึ่งจะช่วยทำให้คนที่บาดเจ็บกระดูกสันหลังสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งหนึ่ง

เยอรมัน เดินหน้าในทิศทางนี้ด้วยการประกาศยุทธศาสตร์ Industry 4.0 ร่วมกับบริษัทเอกชนชั้นนำของเขา 57 แห่งเพื่อลดค่าใช้จ่ายการผลิตในอุตสาหกรรมของเขาอย่างมีนัยสำคัญด้วยการผสม ผสานเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT( information technology) กับเทคโนโลยีหุ่นยนต์ AI เยอรมันกำลังสร้างสิ่งที่เขาเรียก IOT (Internet of Things) ซึ่งเป็นเครือข่ายแบ่งปันข้อมูลระหว่างอุตสาหกรรมการผลิตกับการตลาด โดยไม่ต้องมีการติดต่อระหว่างคนกับคนและไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับ คอมพิวเตอร์อีกต่อไปเท่ากับเขาจะลดค่าใช้จ่ายในการผลิตอย่างมหาศาล ซึ่งแปลว่าสามารถแข่งกับใครก็ได้ในโลกด้วยการมุ่งมั่นทุ่มเทการวิจัยและ พัฒนาศาสตร์แห่งหุ่นยนต์ AIอย่างไม่หยุดยั้ง

ญี่ปุ่นบอกว่ารัฐบาลของ เขาก็กำลังประสานมือกับเอกชนเพื่อลุยด้านนี้เหมือนกันและญี่ปุ่นประกาศแล้ว ว่าเขาจะต้องเป็นผู้นำโลกทางด้านAI Robotics หรือหุ่นยนต์ AI โดยผ่าน  "ปัญญาประดิษฐ์ AI (Artificial Intelligence)" เพราะนี่คือวิวัฒนาการที่มนุษย์กำลังมุ่งมั่นทำให้เกิดขึ้น เพื่อก้าวกระโดดไปสู่อีกระดับหนึ่งของการพัฒนาโลกมนุษย์

มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีแห่งฟูกูอิ หรือ Fukui University of Technology (FUT) ที่อยู่เมืองฟูกูอิริมทะเลญี่ปุ่นหรือ Sea of Japan ทางตะวันตกของประเทศเพื่อร่วมการสัมมนาร่วมกับมหาวิทยาลัยเนชั่น อาจารย์ที่นั่นกำลังพัฒนา software ให้กับหุ่นยนต์ AI ที่ชื่อว่า หุ่นยนต์ Nao (“นาโอะ”) ที่กำลังโด่งดัง เจ้าหุ่นยนต์ AI หรือ หุ่นยนต์ Nao (“นาโอะ”) สามารถร้องเพลง เต้นรำ เตะฟุตบอลได้แล้วครับ อ่านข่าวที่เขียนให้เป็นภาษาอังกฤษ เขาก็ทำได้อย่างน่าทึ่งทีเดียว

ท่าน อธิการบดีของ FUT ดอกเตอร์โยทาโร โมริชิมา พาตระเวนห้องทดลองหลายห้องที่กำลังสร้าง software สำหรับหุ่นยนต์ AI เพื่อให้ทำงานสร้างสรรค์และเสี่ยงอันตรายหลายอย่างเช่น ใช้เป็นหุ่นยนต์ AI ทำงานแทนคนในจุดที่เกิดภัยธรรมชาติอาทิแผ่นดินไหวหรือสึนามิที่ไปสร้างความ เสียหายให้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ หรือหุ่นยนต์ AI สำหรับช่วยเหลือคนพิการและอาวุโส รวมไปถึงหุ่นยนต์เพื่อกิจกรรมอุตสาหกรรมทั้งหลายทั้งปวงที่เริ่มใช้แล้วใน หลาย ๆ กรณี

แต่การพัฒนาการยังเดินหน้าต่อไปโดยมีเป้าหมายที่สูงกว่า นั้นเพราะนโยบายของเขาคือการเร่งทดลองสร้าง “ศาสตร์แห่งหุ่นยนต์” ทุกรูปแบบที่เขาเรียกว่า Robotics เพื่อนำไปสู่ “การปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบที่ 4 ของโลก” ให้ชนะทั้งสหรัฐและเยอรมันให้จงได้ ด้วยการเป็น หุ่นยนต์ AI เต็มรูปแบบและสมบูรณ์ที่สุด

วันหนึ่งใน อนาคตอันใกล้นี้ หุ่นยนต์ AI จะฉลาดกว่าคน เพราะหุ่นยนต์ AI สามารถจะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากขึ้นตลอดเวลา เราเรียกว่า self-learning process คือสอนให้มันรู้อะไรแล้ว เขียน software ให้มันเรียนรู้ต่อเนื่องไปได้โดยไม่ต้องให้มนุษย์สอนเพิ่มเติมอีก

Cr.กรุงเทพธุรกิจ

22 ต.ค. 2558

2 นักศึกษาไทยกับรถไฟชินคันเซ็น


เมื่อเร็วๆ นี้ประเทศญี่ปุ่นจ้าวแห่งเทคโนโลยีรถไฟระบบรางก็เพิ่งเปิดตัวรถไฟพลังแม่ เหล็กอย่าง Maglev ทำลายสถิติอีกครั้งโดยฝ่ากำแพงความเร็ว 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นไปสร้างสถิติที่ 603 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้แล้ว ส่วนในประเทศไทยกำลังปฏิรูปพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งขนานใหญ่เพื่อนำพาประเทศไทย เป็นศูนย์กลางคมนาคมของภูมิภาคอาเซียนก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่งคั่งและ ยั่งยืน โดยมีสองหนุ่มนักศึกษาคนรุ่นใหม่จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ประเทศไทยได้รับคัดเลือกบินไปฝึกงานและออกแบบชิ้นส่วนรถไฟความเร็วสูงชินคัน เซ็น ณ โรงงานฮิตาชิ เมืองยามากูชิ ประเทศญี่ปุ่น

รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) กล่าวว่า เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสไปเรียนรู้งานรถไฟ ความเร็วสูงชินคันเซ็นที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้านวิจัยและพัฒนารถไฟความเร็ว สูงในแดนอาทิตย์อุทัย ฮิตาชินั้นอยู่ภายใต้กลุ่มเจอาร์ กรุ๊ปหรือการรถไฟประเทศญี่ปุ่น และเป็นปีแรกที่บริษัทฮิตาชิตอบรับให้มีนักศึกษาไทยเข้าฝึกงานที่โรงงาน โดยให้โควต้าเพียง 2 คน ซึ่งก่อนไปทั้งสองได้ผ่านด่านคัดเลือกกันหลายด่านเลยทีเดียว

ตั้งแต่ ความรู้ความสามารถในวิชาวิศวกรรมไปจนถึงความสามารถพิเศษทางภาษาญี่ปุ่น โดยในขั้นแรกฝ่ายคณาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล จะเป็นผู้คัดเลือกโดยดูจากประวัติการเรียน ความรู้ความสามารถในวิชาวิศวกรรม ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ และมีข้อบังคับว่าต้องสามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นในขั้นพื้นฐานได้ จากนั้นเมื่อผ่านการคัดเลือกจึงไปสัมภาษณ์ที่สำนักงานใหญ่ของฮิตาชิในประเทศ ไทย โดยมีระยะเวลาในการฝึกงาน 30 วัน ซึ่งนักศึกษาทั้งสองคนนั้นได้เก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการขน ส่งระบบรางในอนาคต และสามารถนำประสบการณ์มาใช้ในการพัฒนาระบบรถไฟของประเทศ

ผศ.ดร.มน ศักดิ์ พิมสาร ประธานสาขาวิศวกรรมขนส่งทางราง คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) กล่าวถึง หลักสูตรวิศวกรรมขนส่งทางราง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ได้เปิดมาเป็นปีที่ 2 แล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตวิศวกรที่มีความรู้ความรู้สามารถอย่างเชี่ยวชาญทั้ง ทางวิชาการและทางปฏิบัติเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศและตอบรับวิถีโลกศตวรรษ ที่ 21 ที่การอุปโภคบริโภคที่เพิ่มมากขึ้นจึงต้องมีการจัดระบบการขนส่งให้มี ประสิทธิภาพมากที่สุด ไร้มลพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยแก้ปัญหารถติดได้

มารู้จักกับ 2 นักศึกษาไทยคนรุ่นใหม่จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ประเทศไทยได้รับคัดเลือกบินไปฝึกงานและออกแบบชิ้นส่วนรถไฟความเร็วสูงชินคัน เซ็น ณ โรงงานฮิตาชิ เมืองยามากูชิ ประเทศญี่ปุ่น

นายธณวิน มั่นสกุล นักศึกษาชั้นปีที่4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) กล่าวดีใจที่ได้รับโอกาสไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นในโรงงานผลิตชิ้นส่วน และประกอบรถไฟชินคันเซ็น ซึ่งมีพนักงานรวมกว่า 1,500 คน ได้ฝึกงานในส่วนของแผนกวิศวกรรมล้อเลื่อน (Rolling stock) โรงงานนี้ทำงานเชื่อมโยงกับเจอาร์กรุ๊ปในการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนของตู้ผู้ โดยสารชินคันเซ็น เช่น พื้นของห้องโดยสาร หรือที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า โยโกฮาริ (yokohari) เป็นต้น ผมได้ฝึกการออกแบบชิ้นส่วนของรถไฟชินคันเซ็นและมีโอกาสได้ดูงานการประกอบ รถไฟ การใช้เครื่องมือวัดขนาดต่างๆ อุปกรณ์สำหรับใช้วัดขนาดงานความละเอียดสูง หรือพวกไมโครมิเตอร์ (Micrometer)  ก่อนนำแต่ละชิ้นส่วนมาประกอบกัน

เริ่ม จากการฝึกดูแบบ 2 มิติ จากนั้นนำมาวาดให้เป็น 3 มิติ แล้วจึงนำมาทดลองใส่แรงกระทำเพื่อทดสอบว่าสามารถนำเอาไปใช้ได้จริงไหม และยังได้ออกแบบชิ้นส่วนที่จะนำไปใช้ประกอบรถไฟจริง โดยได้ออกแบบเป็นพื้นของห้องโดยสารรถไฟชินคันเซ็น บรรยากาศของการทำงานของคนญี่ปุ่น ผู้ที่เป็นคนดูแลระหว่างฝึกงานนั้นได้ให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาให้ ระหว่างที่ฝึกทำงานจะมีงานวิจัยด้านการออกแบบและพัฒนาให้เราศึกษาค้นคว้า และได้เข้าเทรนนิ่งสำหรับทีมงานชินคันเซ็นทุกๆวันพุธ

คนญี่ปุ่นจะทำ งานกันจริงจังไม่มีคุยเล่นระหว่างงาน ถ้าจะคุยก็ต่อเมื่อพักกลางวัน และทำงานหนักโดยจะมีการทำงานล่วงเวลา 2 ช่วง คือช่วง 6-8 โมงเช้า และอีกช่วงคือ 5 โมงเย็นถึงสี่ทุ่ม โดยอุปนิสัยของคนญี่ปุ่น มีความขยัน ทุ่มเท มีระเบียบวินัย รักองค์กร และให้ความสำคัญด้านการเสริมสร้างความปลอดภัยระหว่างการทำงาน เช่น การบังคับให้สวมใส่อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น แว่น หมวกและรองเท้านิรภัยทุกครั้งหากเข้าโรงงาน

นายฐาปนิก ศรีพันธ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) บอกเล่าความประทับใจที่มีต่อการฝึกงานที่โรงงานฮิตาชิ เมืองยามากูชิ ประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ว่า สนใจและหลงใหลในรถไฟหัวกระสุนนี้มาตั้งแต่เด็กทำให้ตั้งใจเกี่ยวเก็บความรู้ และประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกงาน ในระหว่างฝึกงาน รู้สึกประทับใจมาก เพราะไม่มีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน จึงได้เปิดโลกทัศน์ ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากทีมงานชาวญี่ปุ่นที่ให้คำแนะนำและวิจารณ์ผลงานซึ่ง ทำให้เราได้พัฒนาทักษะต่างๆจากที่ได้เรียนมา รวมถึงความรู้และประสบการณ์ตรงนอกเหนือจากห้องเรียน ผมได้ฝึกงานที่ฝ่ายการผลิต ได้ทำหน้าที่ออกแบบ และสั่งผลิต ได้ใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper) เครื่องวัดขนาด และอื่น ๆ ที่นำมาใช้ในงานออกแบบและทำการผลิต

หน้าที่ โดยรวมคือการประสานงานกับฝ่ายผลิตโดยตรง โรงงานฮิตาชิแห่งนี้จะผลิต 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ชิ้นส่วนต่างๆของรถไฟ ทั้งรถไฟความเร็วสูงอย่างชินคันเซ็น รถไฟรางเดียว (Monorail) และรถไฟฟ้าใต้ดิน (Subway) ต่อมา คือ ระบบปรับอากาศ (Air Conditioning) และตู้รถไฟโดยสาร (Car) นอกเหนือจากนี้ สิ่งทีได้ฝึกฝนในระหว่างการฝึกงาน คือ ภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ หากสนทนาโดยทั่วไปในที่ทำงานจะใช้ภาษาญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็นเรื่องงานทางด้านวิศวกรรมจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ในช่วงเวลาหยุดสุดสัปดาห์ ผมกับธณวินก็จะออกไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆในประเทศญี่ปุ่นโดยใช้รถไฟชินคัน เซ็น ในอนาคตจะได้นำไปพัฒนาการรถไฟในประเทศของเรารวมถึงแบ่งปันประสบการณ์เป็นแรง บันดาลใจให้นักศึกษารุ่นน้องที่สนใจในอนาคตด้วยครับ

โลกคมนาคมขนส่ง ก้าวไกลด้วยการวิจัยและพัฒนาคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยขนส่งระบบรางเพื่อตอบสนองความต้องการของการคมนาคมในเมือง ระหว่างเมือง และเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน แล้วอีกไม่นานประเทศไทยเราก็มีระบบขนส่งระบบรถไฟฟ้าทั้งที่เชื่อมระหว่าง เมือง และรถไฟฟ้าภายในเมืองเชื่อมโยงครบวงจรอีกในไม่ช้าไม่นาน

Cr.Thai PR

21 ต.ค. 2558

15 อาชีพกำลังจะสูญหายในอนาคต


15 อาชีพกำลังจะสูญหายในอนาคต
ด้วยวิวัฒนาการและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น อีเมล์ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ มีประโยชน์อย่างมากต่อการใช้งาน ตอบโจทย์ชีวิตของมนุษย์ยุคดิจิทัล แต่ไม่แน่ว่าสักวันเทคโนโลยีเหล่านี้อาจจะล้าสมัยไปในวันใดวันหนึ่ง เช่นเดียวกับหลายอาชีพที่เคยมีบทบาทสำคัญในอดีต และกำลังมีแนวโน้มว่าจะหมดความสำคัญลงในอนาคตหากไม่มีการปรับตัวเข้าสู่ยุค ดิจิทอล

สำนักข่าวบิซิเนสอินไซเดอร์ รายงานว่า สำนักงานสถิติแรงงานแห่งชาติสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าในปี 2022 อาชีพพนักงานไปรษณีย์จะลดลง 28% หรือคิดเป็นจำนวนตำแหน่งงานกว่า 139,100 ตำแหน่ง นอกจากนี้อาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและการตลาดก็กำลังจะได้รับผลกระทบ เช่นกัน

การสำรวจ 15 อาชีพกำลังจะสูญหายในอนาคต ของประเทศสหรัฐฯ  เป็นการสำรวจจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้นอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างออกไปจากประเทศไทย มาติดตามกันว่า 15 อันดับนี้จะมีอาชีพอะไรบ้างที่ทำให้พนักงานในสหรัฐอเมริกาต้องตกงานกัน

1.พนักงาน สื่อสิ่งพิมพ์ พบว่าเป็นหนึ่งใน15 อาชีพกำลังจะสูญหายในอนาคต  เนื่องจากความนิยมของหนังสือพิมพ์และนิตยสารลดลงอย่างมากในปัจจุบัน ในขณะที่สื่อดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 34,100 เหรีญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 276,000 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 5%

2. ชาวประมง ปัจจุบันมีวิทยาการและเทคโนโลยีการประมงที่ทันสมัย มีการจับสัตว์น้ำมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนสัตว์น้ำลดลง อีกทั้งมีการเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นธุรกิจ และการนำเข้าอาหารทะเลเพิ่มขึ้น จึงทำให้อาชีพนี้ลดความสำคัญลงเป็นหนึ่งใน15 อาชีพกำลังจะสูญหายในอนาคต ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 33,430 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 31,300 คน
คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 5%

3.ผู้ออกแบบสิ่งพิมพ์ มีแนวโน้มลดลงเนื่องจากอาชีพกราฟฟิกดีไซน์หรือเว็บดีไซน์ อาจเข้ามาแทนที่เนื่องจากงานมีลักษณะคล้ายคลึงกัน และครอบคลุมมากกว่า
ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 37,040 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 16,400 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 5%

4.เจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องจักรเหล็กหรือพลาสติก เนื่องจากการใช้ระบบคอมพิวเตอร์อุตสาหกรรม (Factory PC) ในโรงงานที่ทำงานได้ยาวนานและไม่หยุดพัก ได้เข้ามาแทนที่ การควบคุมการทำงานของเครื่องจักรโดยมนุษย์ การแข่งขันจากต่างประเทศ รวมถึงความต้องการสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้อัตราการผลิตลดลง ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 32,950 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 1,013,200 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 6%

5.เจ้าหน้าที่ประกัน ภัย ปัจจุบันผู้ทำประกันภัยสามารถกรอกรายละเอียดได้สะดวกรวดเร็วผ่านทางออนไลน์ จึงทำให้อัตราความต้องการอาชีพนี้ลดลงตามเป็นหนึ่งใน15 อาชีพกำลังจะสูญหายในอนาคต ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 62,870 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 106,300 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 6%

6.พนักงาน ต้อนรับบนเครื่องบิน อาชีพที่ทำหน้าที่ให้บริการและดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร มีแนวโน้มลดลงเนื่องจากเกิดความลำบากในการจัดการสัญญาว่าจ้างพนักงาน ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี  37,240 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 84,800 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 7%

7.เจ้าหน้าที่โรงงาน ไฟฟ้า ผู้ควบคุมและตรวจสอบการผลิตไฟฟ้า เช่น ผู้ควบคุมห้องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ จากการมีวิทยาการที่ทันสมัย ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น ความจำเป็นในการจ้างงานจึงลดลงเป็นหนึ่งใน15 อาชีพกำลังจะสูญหายในอนาคตเช่นกัน ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 68,230 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 60,700 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 8%

8.คนจัดดอกไม้ อาชีพที่อาศัยความปราณีตและฝีมือในการออกแบบ อย่างไรก็ตามความนิยมในการซื้อดอกไม้ที่มีการจัดอย่างละเอียดปราณีตใน ปัจจุบันก็ลดลงอย่างมาก ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 23,810  เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 62,400 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 8%

9.ช่าง ตัดไม้ ในทุกๆปีจะมีการตัดไม้ทำลายป่าหลายพันกว่าไร่ในสหรัฐฯ  สหรัฐฯจึงมีข้อกำหนดในการจำกัดการใช้ทรัพยากรป่าไม้ของอุตสาหกรรมไม้มากขึ้น อาชีพนี้ก็ลดลงโดยปริยายก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นหนึ่งใน15 อาชีพกำลังจะสูญหายในอนาคต ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 33,630 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 43,900 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 9%

10. นักเจียระไนอัญมณี แนวโน้มที่ทำให้อาชีพนี้หายไปเนื่องจาก อุตสหกรรมอัญมณีส่วนมากผลิตขึ้นนอกประเทศสหรัฐอเมริกา
ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 35,350 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 32,700 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 10%

11.บริษัท นำเที่ยว ปัจจุบันผู้คนสามารถวางแผนการท่องเที่ยว จองโรงเเรมผ่านทางออนไลน์หรือศึกษาข้อมูลการท่องเที่ยวทางอินเทอร์เน็ตผ่าน ทางไวไฟ(WiFi) สะดวกจากทุกสถานที่ หรือ ด้วยอุปกรณ์ไวไฟพกพา(Pocket WiFi) ใช้งานแชร์เน็ทแรงได้ทุกที่ราบรื่นไม่มีสะดุด จึงลดความสำคัญของบริษัทท่องเที่ยวที่ช่วยเป็นไกด์วางแผนการท่องเที่ยวก็ลด ตามไปด้วย ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 34,600 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 73,300 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 12%

12.ผู้ สื่อข่าว หรือผู้ประกาศข่าว ผู้ทำหน้าที่รายงานสถานการณ์ต่างๆทั้งในท้องถิ่นและทั่วโลก เนื่องจากรายได้จากการโฆษณาลดลง ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ จึงมีผลต่อการการเติบโตของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 37,090 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 57,600 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 13%

13.เกษตรกร เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ หรือ อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าทางการเกษตร เนื่องจากที่ดิน เครื่องจักร เมล็ดพันธุ์ และสารเคมีทางการเกษตร มีราคาสูงขึ้น ดังนั้นเกษตรที่มีเงินทุนมากจึงจะสามารถซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ในการทำ เกษตรกรรมได้อย่างไม่ติดขัด ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 69,300 เหรียญสหรัฐฯ
จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 930,600คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 19%

14.นัก ประมวลผลการทดลองในอุตสาหกรรมผลิตปัจจุบันมีหุ่นยนต์ที่สามารถประมวลผลได้ อย่างแม่นยำจึงทำให้ความต้องการแรงงานคนลดลง เป็นหนึ่งใน15 อาชีพกำลังจะสูญหายในอนาคตเช่นกัน ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 33,020 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 21,300 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 21%

15.พนักงานไปรษณีย์ไปรษณีย์ที่มี ระบบการคัดแยกอัตโนมัติรวมถึงการสื่อสารด้วยระบบออนไลน์และโทรคมนาคม ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้ลดจำนวนความต้องการพนักงานไปรษณีย์ลง ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปี 53,100 เหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพ 491,600 คน คาดว่าจะมีอัตราลดลงในปี 2022 28%

Cr.ประชาชาติธุรกิจ

20 ต.ค. 2558

ตะกอทอผ้าไมโครคอนโทรลเลอร์


ตะกอทอผ้าไมโครคอนโทรลเลอร์
การทอผ้าพื้นเมืองด้วยสิ่งประดิษฐ์สุดไฮเทค “ตะกอทอผ้าไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller)” ผลงานอาจารย์สาว ม.สารคาม ที่จะทำให้การทอผ้าแบบบ้านๆ ไม่ใช่เรื่องของคนเฒ่าคนแก่อีกต่อไป ก้าวใหม่ของนวัตกรรมกู้ศิลปวัฒนธรรมอีสาน  
     
สัปดาห์นี้พาไป ดูนวัตกรรมสุดล้ำที่จะมาช่วยให้การทอผ้าลายยกแบบพื้นบ้านของไทยไม่สูญหายไป ตามกาลเวลา กับเครื่องควบคุมตะกอทอผ้าที่ถูกออกแบบให้สามารถจดจำลายผ้าโบราณได้นับร้อย นับพันลาย ผ่านอุปกรณ์ตะกอทอผ้าไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller)ที่ทำให้ไม่ว่าเด็กหรือคนแก่ก็สามารถทอผ้าลายยกได้ แถมรวดเร็วกว่าการทอมือแบบเก่าถึง 3 เท่า
     
ผศ.ดร.เกสร วงเกษม อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเมคาทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า เครื่องตะกอทอผ้า ที่เธอและทีมวิจัยได้ร่วมกันพัฒนาตะกอทอผ้าไมโคร คอนโทรลเลอร์(Microcontroller)ขึ้น เป็นผลงานการประดิษฐ์คิดค้นทางเทคโนโลยีที่สร้างมาเพื่อให้เกิดประโยชน์กับ วัฒนธรรมการทอผ้าท้องถิ่นของ จ.มหาสารคาม ที่นับวันยิ่งหาคนรุ่นใหม่สานต่อได้ยาก เพราะขั้นตอนมีความซับซ้อนยุ่งยาก จำเป็นต้องใช้ฝีมือและความประณีตค่อนข้างสูง อีกทั้งคนรุ่นใหม่ก็สนใจที่จะเข้าไปทำงานในเมืองมากกว่า
     
โดย เฉพาะเด็กรุ่นใหม่ส่วนมากเรียนจบมาก็เข้าเมืองหางานทำ ไม่ก็อยู่ตามโรงงานอุตสาหกรรมกันหมด แทบไม่มีแล้วคนที่จะมาสืบต่อศิลปะประเพณีที่ดีงามเอาไว้ ในขณะที่คนรุ่นเก่าก็ทะยอยล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ ในฐานะที่ตัวเองเป็นนักประดิษฐ์และเห็นปัญหานี้มานาน คงจะต้องทำอะไรสักอย่างให้การทอผ้าพื้นเมืองเหล่านี้ทำได้ง่ายขึ้น ทั้งในกลุ่มของคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยมีทักษะหรือคลุกคลีกับการทอผ้ามาก่อน และคนรุ่นเก่าที่มีทักษะแต่เรี่ยวแรงร่อยหรอ ไม่สามารถจำลายที่มีความสลับซับซ้อนได้เหมือนสมัยหนุ่มสาว จึงเกิดไอเดียนวัตกรรมตะกอทอผ้าไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller) ขึ้น
     
ผศ.ดร.เกสร ระบุว่า ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการสืบทอดการทอผ้าลายยก คือ จำนวนตะกอที่ใช้สำหรับขึ้นลายผ้ามีค่อนข้างมาก ต้องอาศัยการจดจำและความแม่นยำของผู้ทอผ้าจึงจออกมาสวยงามแปลกตา และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เองจึงทำให้ชาวบ้านสามารถผลิตผ้าทอได้ความยาวเพียง แค่วันละ 1 คืบเท่านั้นการประดิษฐ์เครื่องตะกอทอผ้าไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller) ให้มีประสิทธิภาพแปลกใหม่นั้น ด้วยการใช้กระบอกลมนิวเมติกส์ช่วยดึงลำตะกอไม้ไผ่เพื่อให้เกิดลายผ้า

ตะกอ แต่ละตัวจะถูกควบคุมด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller)ที่มีความสลับ ซับซ้อนมากถึง 160 ขั้นตอนรวมทั้งได้ใช้เครื่องมือวัด เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper) มาช่วยบางส่วน ซึ่งไมโครคอนโทรลเลอร์นี้จะเป็นระบบที่ช่วยจดจำลายผ้าและทำให้ได้ผ้าที่ทอมี ลวดลายถูกต้องและสวยงามตามที่ผู้ทอต้องการ ผู้ทอที่ใช้เครื่องทอผ้าแบบใหม่จึงมีหน้าที่แค่สอดกระสวยเส้นพุ่งไปมา แล้วกดปุ่มควบคุมก็จะทำให้เกิดลายผ้าตามที่ต้องการแทนการดึงไม้ตะกอที่ค่อน ข้างกินเวลา ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จนชำนาญก็สามารถเริ่มการทอผ้าลายยกได้ทันที ผศ.ดร.เกสร กล่าว
     
ด้วยการทอผ้าลายยกสมัยเก่าถ้าในคนที่ยังไม่ ชำนาญ การทอแต่ละครั้งอาจต้องใช้คนช่วย 2-3 คน ใช้เวลาในการทอแต่ละแถวลายนานถึง 10 นาที แต่สำหรับตะกอทอผ้าไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller)ที่เราพัฒนาขึ้นนอก จากจะใช้คนควบคุมแค่เพียงคนเดียวแล้ว ยังสามารถทอผ้าได้เร็วขึ้นถึง 3 เท่าโดยที่ความสวยงามและความประณีตของลายยกยังเหมือนเดิมทุกประการ จึงค่อนข้างเชื่อมั่นว่าสิ่งประดิษฐ์ที่ทำขึ้นนี้จะมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ วัฒนธรรมประจำถิ่นไม่มากก็น้อย ซึ่งในอนาคตก็จะเดินหน้าพัฒนาเครื่องต่อให้สามารถทอผ้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และจะพัฒนาตะกอให้มีรูปแบบที่เรียบง่าย น่าใช้มากกว่านี้ เพราะผู้สูงอายุบางรายที่ได้ทดลองใช้เครื่องยังรู้สึกไม่เคยชินและไม่กล้าทำ งานกับเครื่องจักร ผศ.ดร.เกสร กล่าวทิ้งท้าย
     
ทั้งนี้สิ่ง ประดิษฐ์เครื่องควบคุมตะกอทอผ้าไมโครคอนโทรลเลอร์(Microcontroller) ไดัรับรางวัลที่ 2 ในโครงการแข่งขันสิ่งประดิษฐ์คิดค้นไทยประจำปี ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมูลนิธิธนาคารกรุงเทพ เมื่อช่วงกลางเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ได้รับโล่เชิดชูเกียรติพร้อมเงินรางวัลมูลค่า 150,000 บาท จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Cr.ผู้จัดการ

19 ต.ค. 2558

หุ่นยนต์ส่วนตัวในบ้าน (AI)


หุ่นยนต์ส่วนตัวในบ้าน (AI)
บริษัทโรบอตเบส (Robotbase) บริษัทเกิดใหม่ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ผุดไอเดียสร้าง “หุ่นยนต์ส่วนตัว (AI Robot)” สมองกลระบบอัจฉริยะ เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในบ้าน

วิทยาการปัจจุบันด้านระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) บรรลุสำเร็จในขั้นสูงสุดที่สามารถสรุปข้อมูล และการเข้าหาองค์ความรู้ใหม่จากข้อมูลตั้งต้น แน่นอนครับว่า ปรมาจารย์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับโนเบลไพรซ์ เช่น ศาตราจารย์ เอิร์บ ไซม่อน  คงจินตนาการความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI)ไปไกลถึงเป็นหุ่นยนต์ส่วนตัว (AI Robot) และแล้วในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าความฝันของศาตราจารย์ เอิร์บ ไซม่อน จะเป็นจริง เนื่องด้วยบรรดานักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มุ่งไปที่ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ งานของหุ่นยนต์ให้กลายเป็น หุ่นยนต์ส่วนตัว (AI Robot) สมองกลอัจฉริยะขึ้นมา

ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)ของโรบอตเบสเรียกว่าเป็น “หุ่นยนต์ส่วนตัว (AI Robot)”  ที่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าอุปกรณ์ให้รู้จำภาพ มีความเข้าใจภาษาธรรมชาติ และเทคโนโลยีอื่นๆในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)โดยรวมอยู่ในอุปกรณ์เดียวกัน เพื่อให้พูดคุยและสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อัตโนมัติ รวมทั้งสามารถให้คำแนะนำในฐานะสไตลิสต์ส่วนตัว แม้กระทั่งเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กฟัง

ปัญญาประดิษฐ์ (AI)ที่ถือว่าก้าวหน้าที่สุดในปัจจุบันมีอัลกอริทึมซับซ้อน มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทัดเทียมหรือเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ละโปรแกรมมีความอัจฉริยะในทางของตน ไม่เกี่ยวข้องกัน

ยกตัวอย่าง เช่น “ดีพบลู” (DeepBlue) เป็นโปรแกรมเล่นเกมหมากรุกที่บริษัทไอบีเอ็มคิดค้น และโค่นแชมป์หมากรุกตัวจริงอย่าง “แกร์รี คาสปารอฟ” (Kasparov) ในปี 1997 ซึ่งระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)ทำให้คอมพิวเตอร์มีสมองและความสามารถคล้ายมนุษย์หรือเลียนแบบพฤติกรรม มนุษย์

เมื่อ 2 ทศวรรษที่ผ่านมาการผสมผสานความสามารถต่างๆไว้ในระบบเดียวกันยังไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งบริษัทโรบอตเบสพยายามรวมระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)หลายโปรแกรมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยพัฒนาชุดอัลกอริทึมเรียนรู้ใบหน้า อารมณ์ รู้จำวัตถุ รวมถึงเข้าใจภาษามนุษย์ที่ซับซ้อน

หุ่นยนต์ส่วน ตัว (AI Robot) จะตอบคำถามผ่านระบบค้นหาความรู้ด้วยการคำนวณที่เรียกว่า “Wolfram Alpha” เป็นเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวในบ้านที่ใช้งานได้อเนกประสงค์ ทั้งถ่ายรูป เล่านิทาน แนะนำเมนูอาหาร เป็นสไตลิสต์ส่วนตัว จัดประชุมทางไกลเสมือน ตลอดจนระบบควบคุมสมาร์ตโฮม

ระบบหุ่นยนต์ส่วนตัว (AI Robot) จะควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่เชื่อมต่อ WiFi (XBee Wi-Fi), Bluetooth, Zigbee(XBEE PRO) หรือ Wireless Z-Wave Plus มีฟังก์ชันคล้ายกับสมาร์ตโฟน สามารถตอบคำถามเรื่องสภาพอากาศ ข่าว และผลกีฬา รวมถึงการเล่นเพลง ตั้งนาฬิกาปลุก ตารางการประชุม และสั่งอาหาร

คุณสมบัติ เด่นหุ่นยนต์ส่วนตัว (AI Robot) คือ โปรแกรมควบคุมระบบอัตโนมัติในบ้าน ซึ่งมีเซ็นเซอร์หลายชนิด รวมทั้งกล้อง 3 มิติ เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ ความชื้น แสง ความดัน หรือแม้แต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด

ตัวหุ่นยนต์ ส่วนตัว (AI Robot) ติดตั้งบนฐานล้อ มาพร้อมระบบสร้างแผนที่ทางเดินในบ้านเพื่อที่จะเคลื่อนตัวไปมาได้เอง ขณะที่ไม่มีคนอยู่บ้านกล้องในตัวหุ่นยนต์จะส่งภาพและสตรีมวิดีโอสดจากทุก ห้องภายในบ้าน โดยทำหน้าที่เป็นยามรักษาความปลอดภัยไปในตัว

การผนวก หลายโปรแกรมในหุ่นยนต์ส่วนตัว (AI Robot)ตัวเดียวนั้นท้าทายและน่าสนใจมาก ทำให้หุ่นยนต์ส่วนตัว (AI Robot)เข้าใจความซับซ้อนของภาษา การแสดงออกทางสีหน้า น้ำเสียง และข้อมูลอื่นๆประกอบกัน

ในช่วงเริ่ม ต้นผู้ผลิตหุ่นยนต์ส่วนตัว (AI Robot)ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ซึ่งเปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบ Android ที่สนใจเข้ามาสร้างแอพพลิเคชั่นของตัวเองเพื่อจำหน่ายในร้านค้าเสมือนจริงใน ช่วงปลายปีนี้

การระดมทุนออนไลน์บรรลุเป้าหมายที่ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ (1.6 ล้านบาท) ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนราคาสั่งจองหุ่นยนต์ส่วนตัว (AI Robot)ประมาณ 32,000 บาท ยังไม่รวมการจัดส่งนอกสหรัฐ 6,400 บาท คาดว่าจะเริ่มส่งมอบลูกค้าได้ภายในเดือนธันวาคมปีนี้

Cr.โลกวันนี้

18 ต.ค. 2558

โดรน Parrot Bebop


โดรน Parrot Bebop
เดิมที่ “อากาศยานไร้คนขับติดกล้อง” หรือ “โดรน” ถูกนำไปใช้ในงานทหารเพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของเหล่าทหารในการเข้าถึง พื้นที่ที่ยากลำบากหรือเสี่ยงอันตรายมาก แต่ปัจจุบันได้เปิดกว้างให้คนทั่วไปสามารถนำโดรน มาใช้เพื่อการพาณิชย์และความบันเทิงมากขึ้น และ ด้วยเทคโนโลยีของกล้องถ่ายภาพที่สูงขึ้น โดรน ถูกพัฒนาต่อยอดใหม่ให้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และราคาถูกลง

การใช้ งานที่ง่ายและฉลาดขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก โดรน รุ่นใหม่ในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆได้ดีขึ้น จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันเราจะได้เห็นโดรนถูกใช้ในงานถ่ายภาพ งานถ่ายทำภาพยนตร์และ บางครั้งก็ถูกใช้สำรวจพื้นที่ที่เข้าถึงยากลำบากแทน การใช้เฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กแบบเก่า และในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซก็ขอแนะนำโดรน รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า ”Parrot Bebop (แพร์รอท บีบ๊อป)” ที่พัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น AR.Drone 2.0

สำหรับ ภาพรวม Parrot Bebop ก็ถือเป็นโดรน Parrot Bebopขนาดเล็กอีกหนึ่งตัวที่มีพลังในตัวสูง ส่วนราคาก็อยู่ที่ 21,900 บาท สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย สามารถถ่ายได้ทั้งในบ้าน นอกบ้าน โรงถ่ายต่างๆ ด้วยขนาดตัวที่เล็กและน้ำหนักเบามาก สามารถใช้ร่วมกับสมาร์ทดีไวซ์ (สมาร์ทโฟนหรือ แท็บเล็ต) ที่ถึงแม้จะบินได้ไม่สูงมาก แต่ก็สามารถนำไปบินถ่ายวิวทิวทัศน์เล็กๆน้อยๆ หรือใช้ในงานถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดเล็ก ถ่ายทำรายการได้
     
การออกแบบและสเปก
Parrot Bebop Drone ถูกออกแบบใหม่หมดให้มีขนาดเล็กและน้ำหนักน้อยลง และด้วยผลิตและประกอบที่ละเอียดจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือวัดขนาดวัดจาก เวอร์เนียร์(Vernier Caliper) เพื่อการประกอบเครื่องที่ลงตัว โดยทางแพร์รอทเน้นใช้วัสดุเป็นพลาสติก ABS ความยืดหยุ่นสูงร่วมกับโฟมกันกระแทก โดยตัวโดรน Parrot Bebopมีขนาดเล็กเพียง  33x38x3.6 เซนติเมตร (กว้างxยาวxสูง) น้ำหนักอยู่ที่ 420 กรัม
     
ในส่วนใบพัดมี 4 ชุด 4 มอเตอร์ (ใบพัดสามารถถอดเปลี่ยนได้เมื่อชำรุด) ผลิตจากวัสดุพลาสติกโพลีคาร์บอเนต พร้อม Bumper โฟมกันกระแทกเกรด EPP เมื่อต้องใช้บินในที่ร่ม นอกจากนั้นมอเตอร์ควบคุมใบพัดยังมาพร้อมระบบป้องกันมอเตอร์ไหม้ เมื่อใบพัดหมุนไปติดกับวัตถุใดก็แล้วแต่ ใบพัดจะหยุดหมุนทันที
     
สำหรับ สเปกโดรน Parrot Bebop การควบคุมต้องทำผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต รองรับระบบปฏิบัติการ iOS, Android และ Windows Phone ร่วมกับสัญญาณ WiFi 802.11 a/b/g/n/ac รองรับทั้งความถี่ 2.4GHz และ 5GHz โดยภายในตัวโดรน Parrot Bebopมาพร้อมเสาสัญญาณ WiFi MIMO dual-band จำนวน 2 เสา
     
ในส่วนการรับส่งสัญญาณระหว่างโดรน Parrot Bebopกับสมาร์ทโฟนมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้

1.ถ้า เชื่อมต่อโดรน Parrot Bebopกับสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตผ่าน WiFi โดยตรง ระยะเชื่อมต่อสูงสุดคือ 250 เมตร แต่ทางผู้ผลิตแนะนำไว้ไม่ควรบินไกลเกิน 50-100 เมตร และเมื่อบินในแนวตั้งฉากไม่ควรสูงเกิน 10-20 เมตร  แต่ทั้งนี้เงื่อนไขของข้อนี้ขึ้นอยู่กับความแรงของ WiFi ในสมาร์ทโฟนของผู้ใช้และสภาพแวดล้อมด้วย เช่น ทีมงานทดสอบแถวชายทะเล ปากน้ำระยองด้วย iPhone 6 จะสามารถส่งสัญญาณในแนวตั้งฉากได้สูงถึง 90 เมตรเลยทีเดียว
    
2.ถ้าเชื่อมต่อโดรน Parrot Bebopกับสมาร์ทโฟนผ่าน Sky Controller (ซื้อแยก) ระยะเชื่อมต่อสูงสุดคือ 2,000 เมตร แต่ทางผู้ผลิตแนะนำไว้ไม่ควรบินไกลเกิน 300 เมตร และเมื่อบินในแนวตั้งฉากไม่ควรสูงเกิน 120 เมตร แต่ทั้งนี้ทีมงานขอแนะนำว่า การหาระยะบินสูงสุดและไกลสุดของโดรน Parrot Bebopรุ่นนี้ เมื่อผู้อ่านซื้อมาใช้งานครั้งแรก ควรมองหาลานกว้างโล่งแจ้งทดสอบหาระยะบินในแนวต่างๆด้วยตัวเองจะดีที่สุด
     
มา ดูในเรื่องสเปกหน่วยประมวลผลและกล้องถ่ายภาพกันบ้าง เริ่มจากสเปกหน่วยประมวลผลที่ทางผู้ผลิตเครมว่าเร็วกว่ารุ่นเดิมถึง 8 เท่าด้วยซีพียู Parrot P7 Dual-Core (บนสถาปัตยกรรมซีพียู Cortex 9) ประกบหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Quad-core บนระบบปฏิบัติการ Linux
     
ใน ส่วนหน่วยเก็บข้อมูลภายในเป็น Flash memory ขนาด 8 GB ไม่สามารถเพิ่มการ์ดความจุได้ โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บอยู่ใน Flash memory ผู้ใช้สามารถโอนถ่ายไปยังสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตหรือ คอมพิวเตอร์ได้สองวิธีคือ โอนไฟล์ผ่าน WiFi และผ่านทางสาย MicroUSB
  
ด้านสเปกกล้องถ่ายภาพ มาพร้อมเซนเซอร์รับภาพ CMOS ขนาด 1/2.3 นิ้ว ที่วัดจากเวอร์เนียร์(Vernier) เครื่องมือวัดขนาดชิ้นงาน  เลนส์กล้องมี 6 ชิ้นเลนส์ เป็นเลนส์มุมกว้างพิเศษ Fisheye สามารถเก็บภาพได้ 180 องศา พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวฮาร์ดแวร์แบบ 3 แกนทำงานสอดประสานกับซอฟต์แวร์และเซนเซอร์ Gyroscope, Magnetometer, Accelerometer, Optical flow sensor และ Ultrasound sensor ที่ช่วยให้งานวิดีโอออกมานิ่งแม้โดรน Parrot Bebopจะแกว่งไปมาจากแรงลมเมื่อบินขึ้นสูง รวมถึงช่วยประคองและสั่งถ่ายเทความแรงของมอเตอร์ใบพัดทั้ง 4 มุมให้โดรน Parrot Bebopบินได้ตรงและบังคับทิศทางได้แม่นยำ ลื่นไหล
     
สำหรับ ความละเอียดของภาพ รองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียด 1,920x1,080 พิกเซล ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที ในรูปแบบไฟล์ H264 ภาพนิ่งสามารถบันทึกที่ความละเอียด 14 ล้านพิกเซล (4,096x3,072 พิกเซล) รองรับฟอร์แมตภาพ JPEG และ RAW แบบ DNG
   
แบตเตอรีในชุดให้มา จำนวน 2 ก้อน เป็นแบบ Lithium Polymer ความจุ 1,200 mAh สำหรับการบันทึกวิดีโอต่อเนื่องทำได้นาน 11-12 นาทีต่อแบตเตอรี 1 ก้อน  ด้านสเปกอื่นๆ ระบบ GPS เลือกใช้ GPS+GLONASS และความเร็วสูงสุดที่บินได้คือ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
     
การใช้งานและฟีเจอร์เด่น   
อย่าง ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า Parrot Bebop Drone ใช้การควบคุมจากสมาร์ทโฟนหรือ แท็บเล็ตบนระบบปฏิบัติการ iOS, Android และ Windows Phone เป็นหลัก โดยแอปฯ ที่เป็นตัวกลางในการใช้ควบคุมมีชื่อว่า ”FreeFlight 3” (ดาวน์โหลดฟรี) ซึ่งภายในแอปฯ สามารถแบ่งส่วนใช้งานได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ๆดังต่อไปนี้

1.FreeFlight หน้าใช้งานหลักเพื่อควบคุมโดรน Parrot Bebopทั้งหมด ซึ่งในส่วนของปุ่มควบคุมจะใช้ปุ่มทิศทางแบบเสมือนในการบังคับการบินไปในทิศ ทางต่างๆของโดรน Parrot Bebop แบ่งเป็นด้านซ้ายควบคุมมุมกล้องขึ้น-ลง หมุนกล้องไปทางซ้ายหรือขวา ส่วนด้านขวาเป็นปุ่มบังคับให้โดรน Parrot Bebopบินไปข้างหน้าหรือถอยหลัง
     
แต่ทั้งนี้สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ ถนัดการควบคุมด้วยลักษณะนี้ ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้จากเมนู Piloting Settings โดยจะมีให้เลือกเลย์เอาท์ส่วนควบคุมเพิ่มอีก 2 แบบได้แก่ ACE และ Joypad พร้อมสามารถปรับองศาความลาดเอียงของโดรน Parrot Bebopเวลาบินไปข้างหน้าได้ด้วย
     
กลับมาดูหน้าจอหลักอีกครั้ง สำหรับการใช้งานครั้งแรกหลังจากวางโดรน Parrot Bebopในพื้นที่ที่ต้องการบินได้แล้ว ให้กดปุ่ม Take Off วิดีโอจะเริ่มบันทึกและโดรน Parrot Bebopจะเริ่มบินขึ้น ส่วนเมื่อเลิกบินต้องการให้โดรน Parrot Bebopลดระดับลงมา ก็เพียงกดปุ่ม Landing เท่านั้น หรือถ้าโดรน Parrot Bebopบินไปไกลเกินตาจะมองเห็นและต้องการให้โดรน Parrot Bebopบินกลับมาหาที่จุดเริ่มต้นก็เพียงกดปุ่ม Settings (รูปเฟืองมุมขวาบน) จากนั้นกดเลือก Return Home โดรน Parrot Bebopจะบินกลับมาจุดเริ่มต้นอัตโนมัติ
     
สำหรับปุ่ม Emergency หรือปุ่มฉุกเฉิน เมื่อกดปุ่มนี้ ระบบจะตัดการทำงานของมอเตอร์ใบพัดทั้ง 4 ในทันที ควรกดใช้เวลาจำเป็นจริงๆเท่านั้น เมื่อแบตเตอรีกำลังจะหมดลง จะมีข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้นและโดรน Parrot Bebopจะบินกลับมายังจุดเริ่มต้นอัตโนมัติทันที

สำหรับการบินทุกครั้ง ระบบจะมีการบันทึกพิกัดจุด Take off และพิกัดการบินตลอดเวลา โดยเมื่อระหว่างใช้งานและเกิดเหตุ WiFi หลุดจนไม่สามารถควบคุมโดรน Parrot Bebopได้ โดรน Parrot Bebopจะไม่ปิดการทำงานในทันที แต่จะบินค้างบนท้องฟ้าจนแบตเตอรีเริ่มหมด (ใช้เวลาประมาณ 12 นาที) และหลังจากนั้นโดรน Parrot Bebopจะบินกลับมายังจุดเริ่มต้นและค่อยๆลดระดับลงมาจนถึงพื้นดินอย่างช้าๆ
     
 2.ส่วน ของ Settings ปรับแต่งโดรน Parrot Bebopที่น่าสนใจ เริ่มจาก Recording Settings ที่นอกจากโดรน Parrot Bebopจะบันทึกวิดีโอและถ่ายภาพนิ่งได้แล้ว ระบบยังรองรับการถ่ายภาพนิ่งแบบ Timelapse และถ่ายรูป 180 องศาได้ด้วย  นอกจากนั้นระบบยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งความสว่าง ชดเชยแสงและ White Balance ได้ด้วย
 
Flight Limit เป็นอีกหนึ่งออปชันที่ผู้ใช้ควรให้ความสนใจเป็นอันดับแรก เพื่อป้องกันการบังคับโดรน Parrot Bebopเพลินจนหลุดออกจากเขตเชื่อมต่อ โดยออปชันส่วนนี้จะช่วยจำกัดระยะบินในส่วนความสูงและระยะทางได้ เมื่อโดรน Parrot Bebopบินไปถึงระยะที่กำหนดไว้ โดรน Parrot Bebopจะไม่บินต่อไปข้างหน้าหรือบินขึ้นสูงกว่าระยะที่กำหนดไว้

3.Drone Academy ส่วนสำคัญส่วนสุดท้าย เพราะส่วนนี้จะช่วยให้เราเห็นสถิติการบินของเราทั้งหมดในแผนที่ตั้งแต่จุด เริ่มต้นไปถึงจุดสุดท้ายที่บิน นอกจากนั้นแอปฯ ยังมีการสรุปความสูง ระยะทางบินและความเร็วที่ใช้บินไว้ในส่วนของ Graphics ด้วย
     
อีก ทั้งในส่วน Drone Academy ยังมาพร้อมบริการ Parrot Cloud ที่ช่วยเก็บสถิติการบินรวมถึงวิดีโอหรือ รูปภาพนิ่งที่ถ่ายได้แชร์ไปยังเครือข่ายสังคม รวมถึง Facebook และ Youtube ด้วย
     
นอกจากนั้น สำหรับผู้ใช้ที่อยากได้ซอฟต์แวร์ควบคุมโดรน Parrot Bebop ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทางผู้ผลิตก็มี in-app purchase ให้เลือกซื้อผ่านสโตร์ของ Parrot ไม่ว่าจะเป็น Flight Plan ที่ช่วยกำหนดเส้นทางบินก่อนจะปล่อยให้โดรน Parrot Bebopบินตามเส้นทางที่กำหนดไว้อัตโนมัติแบบเดียวกับระบบ Auto Pilot ของเครื่องบินปกติ เป็นต้น
     
สรุป
  
ถือเป็นโดรน Parrot Bebopรุ่นกลางๆ ที่ใช้การควบคุมผ่านสมาร์ทดีไวซ์เป็นหลัก และให้ Controller เป็นส่วนซื้อแยกต่างหาก แน่นอนข้อดีของโดรน Parrot Bebopลักษณะนี้คือ มีราคาที่ไม่สูงมากอยู่ที่ 21,900 บาท ในขณะโดรน Parrot Bebopรุ่นท็อปที่มาพร้อม Controller ส่วนใหญ่จะมีราคาเกิน 3-4 หมื่นบาท
     
แต่ ทั้งนี้การใช้โดรน Parrot Bebopด้วยการควบคุมผ่านสมาร์ทดีไวซ์ จะมีปัญหาหลักอยู่ในเรื่องความเสถียรของ สัญญาณ WiFi ที่ปล่อยมาจากสมาร์ทดีไวซ์แต่ละรุ่นที่แตกต่างกัน สมาร์ทดีไวซ์บางรุ่นรับส่งสัญญาณ WiFi ไม่ดี ก็จะทำให้ระยะใช้งานโดรน Parrot Bebopสั้นลง และไม่เสถียรเท่ากับการควบคุมโดรน Parrot Bebopผ่าน Controller หรือแม้กระทั่งส่วนของซอฟต์แวร์ควบคุมหลักเอง ที่บางครั้งก็อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แอปฯ ค้างระหว่างใช้งานจนไม่สามารถควบคุมโดรน Parrot Bebopได้
     
จุด ที่ต้องชื่นชม Bebop Drone ที่แม้ว่าระหว่างทำงานจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นบ้าง แต่โดรน Parrot Bebopก็ไม่เกิดปัญหาให้ทีมงานต้องสูญเงินหมื่นบาทไป ส่วนนี้ต้องยกความดีให้กับ เรื่องระบบเก็บพิกัดคล้ายกล่องดำบนเครื่องบิน ทันทีที่การเชื่อมต่อมีปัญหา โดรน Parrot Bebopจะยังคงรักษาเพดานบินอยู่บนท้องฟ้าในตำแหน่งสุดท้ายก่อนการเชื่อมต่อ หลุดออก จนกว่าผู้ใช้จะเชื่อมต่อใหม่ได้ ระบบก็จะสามารถทำงานต่อเนื่องได้อย่างไร้รอยต่อ
     
แต่ทั้งนี้ ถ้าการเชื่อมต่อหลุดไปแบบถาวร โดรน Parrot Bebopก็จะบินอยู่บนท้องฟ้าจนแบตเตอรีหมด แล้วจะค่อยๆ Landing ลงมายังพื้นดินให้อัตโนมัติ หรืออีกกรณีถ้าระหว่างใช้งาน ผู้ใช้บินโดรน Parrot Bebopเพลินไปในระยะทางไกล เมื่อแบตเตอรีหมด โดรน Parrot Bebopจะพยายามบินกลับมายังจุดเริ่มต้นให้อัตโนมัติ แต่ถ้าบินไปไกลมากจนเกินไป การพยายามบินกลับจุดเริ่มต้นอาจทำได้ไม่สำเร็จ โดยโดรน Parrot Bebopอาจตกกระแทกพื้นบริเวณใดก็ได้ (ส่วนนี้ก็แล้วแต่โชค...)
     
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงตัว โปรแกรมมิ่งของ Parrot Bebop ที่เขียนมาได้ค่อนข้างฉลาดและช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากความไม่ตั้งใจได้ ส่วนหนึ่ง (อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่ผู้ใช้ต้องวางแผนการบินให้ดีก่อนนำโดรน Parrot Bebopขึ้นบินทุกครั้ง)
 
แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมว่า โดรน Parrot Bebopเป็นอุปกรณ์ที่มีอันตรายและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นได้ การจะเลือกบินโดรน Parrot Bebopในพื้นที่ต่างๆ ควรมีการวางแผน ดูความเหมาะสม ไม่ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลผู้อื่น และที่สำคัญก่อนนำโดรน Parrot Bebopขึ้นบินทุกครั้งต้องเช็คความเรียบร้อย โดยเฉพาะระยะสัญญาณ WiFi ไม่ควรบินสูงหรือไกลเกินระยะที่ทางผู้ผลิตแนะนำไว้ รวมถึงแบตเตอรีที่ควรตรวจให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานทุกครั้ง

Cr.ผู้จัดการ

17 ต.ค. 2558

สตาร์เชดส์ ค้นหาดาวเคราะห์


สตาร์เชดส์ ค้นหาดาวเคราะห์
โครงการ "สตาร์เชดส์ (Starshade)" ค้นหาดาวเคราะห์ เป็นโครงการที่แอนโธนี ฮาร์เนสส์ นักศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยโคโลราโด เมืองบุลเดอร์ สหรัฐอเมริกา คิดค้นระบบที่ทำงานร่วมกับกล้องโทรทรรศน์อวกาศเพื่อช่วยให้กล้องโทรทรรศน์ เหล่านั้นสามารถตรวจสอบพบดาวเคราะห์ในกาแล็กซีที่ห่างไกลได้ดีขึ้น และสามารถถ่ายภาพได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม

โครงการ "สตาร์เชดส์ (Starshade)" เป็นโครงการที่ฮาร์เนสส์ออกแบบและดำเนินการทดสอบร่วมกับทิฟฟานี กรอสส์แมน และสตีฟ วอร์วิค ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินอวกาศจากบริษัท นอร์ธร็อป กรัมแมน เพื่อทดสอบการใช้งานของสตาร์เชดส์ (Starshade)บนพื้นโลกเพื่อพิสูจน์หลักการทำงานก่อนที่ จะเดินหน้าโครงการเต็มตัวร่วมกับโครงการสำรวจและศึกษาดาวเคราะห์ที่มีสภาพ ใกล้เคียงกับโลกในกาแล็กซีอื่นๆ ที่เรียกว่าโครงการ "เอ็กโซ-เอส" โดยมีมูลค่าของโครงการสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์

"สตาร์เชดส์ (Starshade)" ค้นหาดาวเคราะห์ เกิดขึ้นจากความเป็นจริงที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่เราหมุนกล้องโทรทรรศน์เข้าหาดาวฤกษ์สักดวง ความสว่างจ้าของมันที่วัดได้จาก เครื่องวัดแสง (LUX Meter) จะมากเสียจนกลบแสงสะท้อนจากดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่โดยรอบ จนเกือบหมด เนื่องจากแสงที่สะท้อนออกมาจากดาวเคราะห์ทั้งหลายซึ่งไม่มีแสงสว่างในตัวเอง นั้นเบาบางกว่าแสงที่ดาวฤกษ์เปล่งออกมาจากตัวของมันเองได้มากที่สุดถึง 1,000 เท่า ทำให้การค้นหาดาวเคราะห์เหล่านั้นเป็นไปได้ยาก และการถ่ายภาพยิ่งยากมากขึ้นไปอีก

หลักการทำงานของสตาร์เชดส์ (Starshade) ค้นหาดาวเคราะห์ คล้ายๆ กับการทำงานพื้นฐานของเราเองเมื่อเรายกมือขึ้นป้องตาเพื่อลดแสงสว่างของดวง อาทิตย์ที่เข้าสู่ตาของเราลง แล้วทำให้เราสามารถมองเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนขึ้นนั่นเอง "สตาร์เชดส์ (Starshade)" ก็จะทำหน้าที่แบบเดียวกัน คือ ทำหน้าที่บังแสงของดาวฤกษ์และเป็น เครื่องวัดแสง (LUX Meter)ให้กับกล้องโทรทรรศน์ ขนาดของมันอาจหลากหลายแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไป "สตาร์เชดส์ (Starshade)" ควรมีขนาดกว้างราวๆ 30 เมตร และจะโคจรอยู่ห่างจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศเพื่อทำงานควบคู่กันเป็นระยะทางนับ หมื่นๆ ไมล์ก็ได้

ลักษณะของสตาร์เชดส์ (Starshade) จะไม่เป็นทรงกลมสมบูรณ์ แต่จะมีแผ่นโลหะลักษณะเหมือนกับกลีบดอกไม้เรียงต่อกัน เพื่อให้ริมขอบมีความนุ่มนวลลง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการโค้งงอของแสงน้อยลง ทำให้ส่วนที่เป็นเงามีความมืดมากขึ้น

สตาร์เชดส์ (Starshade) สามารถใช้งานร่วมกับ กล้องโทรทรรศน์อวกาศใดๆ ก็ได้ ตั้งแต่กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ เรื่อยไปจนถึงกล้องโทรทรรศน์อวกาศใดๆ ที่จะมีการจัดส่งขึ้นไปสู่วงโคจรในอวกาศในอนาคต

ในการเตรียมการทดสอบ การทำงานของสตาร์เชดส์ (Starshade)จากภาคพื้นดิน ฮาร์เนสส์ใช้กล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดิน 2 กล้อง และใช้จรวดนำสตาร์เชดส์ (Starshade) ค้นหาดาวเคราะห์ขึ้นสู่ท้องฟ้าในระดับสูงราว 2 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน บริเวณลำตัวจรวดที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ติดตั้งหลอดไฟแอลอีดีที่ทำหน้าที่ทั้งเป็นตัวกำหนดตำแหน่งที่แน่ชัดของสตา ร์เชดส์ (Starshade) และเป็นจุดทดสอบ โดยทำหน้าที่แทนแสงจากดาวเคราะห์ที่อ่อนจางมากเมื่อเทียบกับแสงสว่างจ้าใน ยามกลางวันของท้องฟ้าในทะเลทรายอันเป็นสถานที่ทดสอบและวัดแสงจากเครื่องมือวัดแสง (LUX Meter)

กล้อง โทรทรรศน์ 2 กล้อง จะทำหน้าที่ถ่ายภาพพื้นที่เดียวกัน กล้องแรกจะถ่ายภาพดังกล่าวเพียงลำพัง กล้องตัวที่สองจะทำงานร่วมกับสตาร์เชดส์ (Starshade) โดยเป้าหมายเปรียบเทียบความสว่างของแสงจากเครื่องวัดแสง (LUX Meter) เทียบกับดวงไฟแอลอีดี

ฮาร์เนสส์เชื่อว่าภาพถ่ายที่ ได้จากกล้องโทรทรรศน์ที่ทำงานร่วมกับสตาร์เชดส์ (Starshade)จะให้ค่าคอนทราสต์สูงกว่า เป็นพันเท่าเมื่อเทียบกลับกล้องที่ทำงานโดยลำพังนั่นเอง


Cr.ประชาชาติธุรกิจ

16 ต.ค. 2558

ตลาดสด LED ประหยัดพลังงาน


ตลาดสด LED ประหยัดพลังงาน
หลอดไฟแอลอีดี(LED)เริ่มได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นที่สามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าหลอดทั่วไป แม้ในช่วงแรกยังมีปัจจัยด้านราคาที่สูงกว่าหลอดไฟทั่วไปหลายเท่าตัว เข้ามามีผลต่อการตัดสินใจซื้อของกลุ่มผู้บริโภค แต่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลอดแอลอีดีมีการเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้เป็นผลมาจากราคาหลอดไฟแอลอีดีที่เริ่มปรับลดราคาลงต่อเนื่อง ทำให้ตลาดแอลอีดีมีการเติบโตที่สวนกระแสกับตลาดหลอดไฟในกลุ่มอื่นๆอย่างเห็น ได้ชัด
ขณะที่ด้านอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นของหลอดไฟแอลอีดี หรือประมาณ 10 ปี จะทำให้โอกาสในการเปลี่ยนหลอดไฟน้อยลง

ณ ตอนนี้หน่วยราชการได้ใช้เริ่มนำหลอดแอลอีดีมาติดตั้งตามหน่วยงานราชการ ตลาด แล้วเห็นผลคือค่าไฟฟ้าประหยัดลงเกือบถึง 50% ซึ่งตลาดนำล่องที่เปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอดแอลอีดี หลอดไฟเปิดปิดอัตโนมัติ ด้วยแอลอีดี เป็นตลาดเทศบาลนครสวรรค์ ร่วมมือกับสำนักงานพลังงานจังหวัดนครสวรรค์ จัดทำ “โครงการจ้างออกแบบและติดตั้งตลาดสด LEDประหยัดพลังงาน”

เทศบาลนคร นครสวรรค์ ช่วงเดือนที่ผ่านมาได้มีการลงนามในข้อตกลงกับกระทรวงพลังงาน สร้างจิตสำนึกส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมด้านพลังงานทดแทนสำหรับ เป็นตัวอย่าง ทั้งนี้ จากการได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าที่ผู้ค้าขายในตลาดสดเทศบาล นครสวรรค์ ต้องแบกรับค่าไฟฟ้าด้วยอัตราสูงในแต่ละเดือนรวมทุกรายแล้วมีจำนวนเดือนละ กว่า 40,000 บาท

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้มอบให้สำนักงานพลังงานจังหวัดนครสวรรค์ จัดทำ “โครงการจ้างออกแบบและติดตั้งตลาดสดประหยัดพลังงาน หรือ ตลาดสด LED ” โดยใช้งบประมาณจากกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินการให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประหยัดพลังงานด้วยตน เอง และยังทำให้เกิดแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานให้กับประชาชนใน จังหวัด นอกเหนือจากการลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าด้านพลังงานของประเทศ และรองรับกลไกด้านราคาทางด้านพลังงานในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี นี้ รวมทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ในด้านพลังงานอีกทางหนึ่งด้วย

ทาง ด้านนายณรงค์ อยู่สนิท หัวหน้ากลุ่มอำนวยการ และแผนพลังงานสำนักงานพลังงานจังหวัดนครสวรรค์ในฐานะผู้จัดการโครงการฯ เผยว่า ได้ชี้แจงอบรมทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการในตลาดซึ่งเบื้องต้นไม่มั่นใจว่า การเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมดที่มีราคาสูงกว่าเดิมจะช่วยในการประหยัดค่าไฟ ได้ดีขึ้นหรือไม่และจะคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด จึงช่วยให้มีเสียงตอบรับที่ดีขึ้นโดยที่บางรายได้เปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้ามาใช้ หลอด LED ด้วยตัวเองก่อนดำเนินการ

หลังจากมีการปรับเปลี่ยนมาใช้ หลอดไฟ LED และ หลอดไฟเปิดปิดอัตโนมัติ ในบริเวณรัศมีส่องสว่างของหลอดไฟและบริเวณข้างเคียงโดยรอบตลาดสด LEDแห่งนี้แล้วได้ช่วยเพิ่มความสว่างภายในตลาดสด LEDได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยให้อัตราค่าไฟฟ้าลดลงร้อยละประมาณ 43 ซึ่งเท่ากับเป็นการใช้พลังงานได้อย่างเหมาะสม สามารถเห็นผลได้เร็วโดยใช้งบลงทุนต่ำกว่าการใช้เทคโนโลยีอื่น ด้วยการใช้หลอดไฟประหยัดพลังงานแอลอีดีและระบบเปิดปิดไฟอัตโนมัติเท่าที่จำเป็น

สำหรับ นายจิตตเกษมณ์ นิโรจน์ธนรัฐ นายกเทศมนตรีนครนครสวรรค์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมระบุว่า หลังจากที่สำนักงานพลังงานจังหวัดได้เข้ามาเปลี่ยนหลอดไฟแบบเดิมที่ได้ติด ตั้งในตลาดสด ไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งมีจำนวนประมาณ 200 หลอดรวมทั้งเปลี่ยนมาติดตั้งหลังคาโปร่งแสงบางส่วนเพื่อเพิ่มความสว่างภายใน ตลาดช่วงกลางวันแล้วได้เห็นผลที่ชัดเจนตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา คืออัตราค่าไฟฟ้าลดลงเหลือเพียงเดือนละ 2 หมื่นบาทเศษ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของอัตราที่เคยจ่ายก่อนหน้านี้ ซึ่งได้ก่อให้เกิดความชื่นชมยินดีแก่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด LED นครสวรรค์อย่างมากโดยที่ร้านค้าบางแห่งไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้าเลยก็มี ช่วงนี้จึงเตรียมขยายโครงการไปยังตลาดสด อื่นๆ ภายในจังหวัดต่อไปโดยใช้ ตลาดสด LED เทศบาลนครนครสวรรค์ เป็นโครงการนำร่อง

Cr.ไทยรัฐ

เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย Zigbee


เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย Zigbee
Photo: http://embedded-computing.com
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนมาส่ง เสริม สนับสนุน ให้ผู้เรียนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้จากแหล่งและ วิธีการที่หลากหลาย โดยจัดให้มีการพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พัฒนาผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษา พัฒนาหลักสูตรให้เอื้อต่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับจัดการเรียน การสอน นักศึกษาจากทีมคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังได้พัฒนาการสื่อสารข้อมูล แบบเครือข่ายไร้สาย Zigbee จนคว้ารางวัลจากการแข่งขันประชันทักษะระบบสมองกลฝังตัวชิงแชมป์ประเทศไทยมา ได้ในที่สุด

นักศึกษาจากทีมคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นจาก การคว้าชัยชนะจากการแข่งขันประชันทักษะระบบสมองกลฝังตัวชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 8 (TESA Top Gun Rally) ที่จัดขึ้นโดยสมาคมสมองกลฝังตัวไทย (Thai Embedded Systems Association) หรือ TESA ถือเป็นเวทีระดับประเทศในการค้นหาสุดยอดฝีมือวิศวกรทางด้านระบบสมองกลฝังตัว ของประเทศไทย ในระบบเครือข่าย ควบคุม และตรวจวัดประมาณการใช้ไฟฟ้ารายอุปกรณ์ (Energy Controller and Monitoring in Home Area Network) ด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย Zigbee

ศ.ดร.สุ ชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อาจารย์ที่ปรึกษาทีมผู้ชนะเลิศ อธิบายว่า “ระบบสมองกลฝังตัว (Embedded System)” เป็นระบบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่พัฒนาใช้เป็นอุปกรณ์ควบคุมอัจฉริยะฝังไว้ใน อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องเล่นอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความฉลาดและความสามารถในการทำงานที่กำหนดไว้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ เหล่านั้นผ่านซอฟต์แวร์ ซึ่งปัจจุบันมีการนำระบบสมองกลฝังตัวมาประยุกต์ใช้ทุกวงการ และมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเราอย่างกว้างขวาง เช่น ยานยนต์ สมาร์ทโฟน เครื่องมือวัดทางการแพทย์ หม้อหุงข้าว เครื่องซักผ้า เตาไมโครเวฟ เครื่องเล่นเกม เป็นต้น

เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย Zigbee ได้รับความสนใจจากภาคอุตสาหกรรมเพื่อนำมาพัฒนาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้ก้าว ลํ้ามีคุณภาพมากขึ้น ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยจะก้าวเป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เราจำเป็นที่จะต้องพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ดังเช่น ระบบสมองกลฝังตัว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรมของไทย เสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชน เศรษฐกิจ ที่ยั่งยืน และลดการนำเข้า

ด้วย เทคโนโลยีแบบไมโครคอนโทรลเลอร์ มิเตอร์อัจฉริยะ (Smart Meter) การสื่อสารข้อมูลแบบเครือข่ายไร้สาย Zigbee การถ่ายโอนข้อมูลแบบ NFC และการควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน ในการพัฒนาระบบ ทั้งนี้จะเห็นแล้วว่าการนำบทเรียนที่ได้รับจากห้องเรียนมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์นั้นก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมโลก แห่งอนาคต พร้อมกับการเพิ่มองค์ความรู้ใหม่ในการพัฒนาต่อยอดคุณภาพการเรียนการสอนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์ความเจริญในด้านต่าง ๆ ที่มีผลมาจากการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง หรือการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และประยุกต์มาใช้ในการพัฒนางานจนเกิดเป็นเทคโนโลยี

ในบ้านเราก็มีการ นำเข้าเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย Zigbee อยู่หลายกลุ่มสินค้า ส่วนที่เป็นระบบสมองกลฝังตัว (Embedded System) ก็มีจากค่าย Digicom ที่มีจำหน่ายในชื่อสินค้าเป็น Xbee ( XBee® 802.15.4 ) หรือ XBEE PRO ( XBee® Pro 802.15.4 ) ใช้ โปรโตคอล IEEE 802.15.4 Zigbee  ในการรับส่งข้อมูลผ่านทางไวเลส ทำให้มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูง ซึ่งลักษณะเครือข่ายจะอยู่ในรูปแบบ piont-to-multipoint หรือ peer-to-peer ออก แบบสำหรับงานที่ต้องการค่าใช้จ่ายถูก และประหยัดพลังงาน  สำหรับ XBee PRO RF module นั้นจะเป็นเวอชั่นที่มีการขยายกำลังส่ง สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระยะทางรับส่งข้อมูลที่สูงขึ้น

Cr.เดลินิวส์

มหาลัยพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกในเอเชีย

มหาลัยพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกในเอเชีย
ม.นเรศวรก้าวไกลผลิตพลังงานใช้เองแห่งแรกในเอเชีย โดยมีกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นแรงหนุนหลัก  ดร.สุขฤดี สุขใจ ผู้อำนวยการ วิทยาลัยพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัยนเรศวร หรือ มน.ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมถึงกรณีที่วิทยาลัยพลังงานทดแทน ม.นเรศวร ได้ริเริ่มดำเนินการระบบ “ไมโครกริด” ผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ เป็นแห่งแรกของเอเชียเมื่อประมาณ 2-3 ปีมาแล้ว โดยได้รับการสนับสนุนจาก “เนโดะ” ของประเทศญี่ปุ่น

แม้ว่าจะช่วยให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 120 kW แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของวิทยาลัย จึงได้ทำการค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติม พร้อมกับจัดทำโครงการสถานีผลิตไฟฟ้าในหน่วยงานราชการเสนอต่อกรมพัฒนาพลังงาน ทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณประจำปี  จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมาสนับสนุน ในการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 400 kW

ดร.สุขฤดี สุขใจ ผู้อำนวยการ วิทยาลัยพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เปิดเผยถึงผลสำเร็จของการดำเนินโครงการสถานีผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์ แสงอาทิตย์ในหน่วยงานราชการ ซึ่งวิทยาลัยฯ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน  ณ ปัจจุบันการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กับระบบการเก็บและจ่ายกระแสไฟฟ้าด้วยกำลัง ไฟ 400 kW เป็นที่เรียบร้อยได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว พร้อมกับเดินระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์

โดยจ่ายกระแส ไฟฟ้าผ่านเข้าสู่ระบบ “สมาร์ท กริด” และป้อนไปใช้งานวิทยาลัยพลังงานทดแทนทั่วบริเวณ รวมทั้งป้อนเข้าสู่ระบบจ่ายไฟฟ้าภายในมหาวิทยาลัยนเรศวรด้วย จึงส่งผลให้มีกำลังผลิตรวมแล้วกว่า 500kW พร้อมกับพัฒนาให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์เชื่อมเป็นระบบเดียว กันในชื่อ “สมาร์ท กริด” โดยมีระบบบริหารจัดการแบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ หรือ Building Energy Management (BEM)
     
สำหรับในแง่ของส่วน ประกอบหลักสำหรับระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ในโครงการนั้น ผศ.ดร.นิพนธ์ เกตุจ้อย ผู้อำนวยการโครงการสถานีผลิตไฟฟ้าในหน่วยงานราชการ วิทยาลัยพลังงานทดแทน ม.นเรศวร ระบุว่ามีด้วยกัน 2 แบบ แบบแรกเป็นการติดตั้งแบบกราวนด์เมาท์ (ตั้งบนพื้น) มีกำลังผลิต 350 kW อีกแบบคือติดตั้งแบบ “รูฟท็อป” (ติดตั้งบนหลังคา) มีกำลังผลิต 50 kW โดยมีระบบสะสมพลังงานจากแบตเตอรี่ที่มีความจุ 100 kW ต่อชั่วโมง

การ ออกแบบผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์เป็นระบบบริหารจัดการ พลังงานแบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (BEM) ที่ให้ประโยชน์ยิ่งกว่าระบบผลิตไฟฟ้าในอดีต ซึ่งแต่ละระบบจะทำงานในลักษณะแยกจากกัน แล้ววิทยาลัยพลังงานทดแทนจึงได้พัฒนาระบบต่างๆ ให้สามารถสื่อสารเข้ากันได้ ทั้งการผลิตไฟฟ้า และการควบคุมการใช้งานที่เราสามารถกำหนดการใช้ในแต่ละวันและแต่ละช่วงเวลา ได้
     
ด้วยเหตุนี้ ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ดังกล่าวจึงมีประสิทธิภาพสูงสำหรับ การควบคุมในเรื่องความต้องการกระแสไฟฟ้าสูงสุด โดย ดร.สุขฤดี สุขใจ ได้ยกตัวอย่างการติดเซ็นเซอร์เพื่อควบคุมแสงสว่างในอาคารติดตั้งเป็นระบบไฟ อัตโนมัติ ซึ่งหากไม่มีคนอยู่ในห้องก็จะไม่มีการจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปยังหลอดไฟและ เครื่องปรับอากาศ แต่จะจ่ายพลังงานไฟฟ้าตามปกติเฉพาะเมื่อมีคนอยู่เท่านั้น ทำให้ช่วยลดค่ากระแสไฟฟ้าได้ร้อยละ 30-40 ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่มีระบบ โคมไฟโซล่าเซลล์ ใช้แทนไฟฟ้าที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย และเป็นมหาวิทยาลัยผลิตพลังงานแสงอาทิตย์(โซล่าเซลล์)ใช้เองแห่งแรกในเอเชีย
     
ที่ ผ่านมามีหน่วยงานราชการ และหน่วยงานเอกชนเดินทางมาศึกษาดูงานผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ที่วิทยาลัยของเราเกือบทุกวัน ดูระบบการจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปยังหลอดไฟ โคมไฟโซล่าเซลล์ และเครื่องปรับอากาศ ตัวโคมไฟโซล่าเซลล์มีเซ็นเซอร์ตรวจจับความสว่างโดยเมื่อคุณเดินผ่านจุดที่มี แสงสว่างน้อย โคมไฟโซล่าเซลล์จะทำการเปิดไฟอัตโนมัติช่วย ให้คุณประหยัดพลังงานได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง ต้องถือว่าบรรลุเป้าหมายและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงานทุกประการ และทีมงานเราเองก็มีความเต็มใจอย่างยิ่งสำหรับการแบ่งปันข้อมูลและเทคโนโลยี ในเรื่องนี้

Cr.ผู้จัดการ,Voice of America