ในยุคที่สังคมไทย โดยเฉพาะในเมืองหลวงหรือตัวเมืองของแต่ละจังหวัด ฝากแขวนชีวิตไว้กับความสุ่มเสี่ยง จากน้ำมือคนที่คิดไม่ดี ขโมยขโจรต่าง ๆ นาๆ ที่ไม่คำนึงถึงชีวิตผู้บริสุทธิ์และทรัพย์สินผู้ที่ทำมาหากินโดยสุจริต ...ถ้าเป็นหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ อยากได้ชีวิตที่อุ่นใจ คงต้องหันไปพึ่ง “แบทแมน” “ซุปเปอร์แมน” ไม่ก็ “สไปเดอร์แมน” แต่ในชีวิตจริง พระเอกตัวจริงของโลกยุคนี้ คงต้องหันไปพึ่ง กล้องวงจรปิด (CCTV Camera)!!!
เพราะ ด้วยมันเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยแจ้งเบาะแสให้ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคง สามารถไขคดี ตามสะกดรอย และตามจับโจรหรือคนไม่ดีทั้งหลาย มาลงโทษตามกฎหมายมานักต่อนัก จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ทั่ว กทม. มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ตามสถานที่ต่างๆรวมทั้งสิ้นมากกว่า 1 ล้านเครื่อง (ทั้งที่ใช้ได้ และใช้ไม่ได้) หรือแม้นแต่ตามต่่างจังหวัดที่เขาพอมีงบหน่อยก็จะลงทุนติดตั้งกล้องวงจรปิด กัน เป็นหูเป็นตาแทนเรา ๆ ที่นี้มาลองดูครับว่า กล้องที่ทำหน้าที่เป็นซุปเปอร์ฮีโรของเรา เป็นอย่างไรกันบ้างครับ
หลัก การทำงานของ กล้องวงจรปิด (CCTV Camera) อาศัยวิธีส่ง สัญญาณภาพ ไปยังอุปกรณ์ปลายทาง เช่น เครื่องบันทึกภาพ หรือจอภาพของคอมพิวเตอร์ โดยจะทำการ จับภาพไปยังพื้นที่เฉพาะจุด เท่านั้น ซึ่งต่างจากระบบการกระจายสัญญาณภาพของโทรทัศน์ ที่ใช้หลักการกระจายภาพทางอากาศผ่านไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งสัญญาณภาพสามารถกระจายไปถึงทุกวันนี้กล้องวงจรปิดจึงเปรียบเสมือน กล่องดวงใจ ของแหล่งธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ธนาคาร สถานที่ราชการ สนามบิน โรงงาน โรงแรม ที่พักอาศัย หรือที่ใดก็ตามที่คาดว่าจะมีโจร...
ก่อน หน้านี้แหล่งข่าวระดับสูงของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายกล้องวงจรปิด (CCTV Camera)รายหนึ่งออกมาเปิดเผย โดยคาดว่า ในปี 2558 นี้ อัตราเติบโตหรือยอดขายกล้องวงจรปิดทั่วประเทศ จะเพิ่มขึ้นจากอัตราเติบโตปกติเฉลี่ยปีละ 10-15% เพิ่มขึ้นมาเป็น 20% หรือคิดเป็นมูลค่าทางการตลาด อยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท
ปัจจัย หลักที่ทำให้กกล้องวงจรปิด (CCTV Camera)กลายเป็นสินค้าเนื้อหอม ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกรณีเหตุลอบวางระเบิดที่ย่านราชประสงค์ กับกรณีปัญหาความไม่สงบที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมทั้งการขยายตัวของบางธุรกิจ ที่ต้องพึ่งกล้องวงจรปิด
อย่างไรก็ ตาม ทุกวันนี้มีกล้องวงจรปิด (CCTV Camera)มากมายหลายประเภท หลายคนที่กำลังมองหาอุปกรณ์ชนิดนี้มาเพิ่มความอุ่นใจให้แก่ชีวิต อาจสับสน จนเลือกไม่ถูกว่าควรเลือกใช้แบบใด จึงจะเหมาะแก่ตัวเองที่สุด
เพื่อ เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังศึกษาและหาอุปกรณ์ชนิดนี้ไปติดตั้ง ขออนุญาตนำข้อมูลจาก เชียงใหม่อินเตอร์เทค แอนด์ ซีเคียวริตี้ แหล่งจำหน่ายกล้องวงจรปิด (CCTV Camera)และระบบกันขโมยชั้นนำ และ Dahua Total Security จาก Dahua Solution Tecnology Product ซึ่งเผยแพร่ไว้ในอินเตอร์เน็ตมาให้ความรู้
สิ่งแรกที่ควรคำนึง ก็คือ กล้องวงจรปิด (CCTV Camera)ถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของระบบ CCTV เพราะถ้าตัวกล้องไม่สามารถจับภาพได้หรือจับได้แต่ไม่ชัด...ก็แทบจะถือได้ว่า ระบบ CCTV ที่มีอยู่นั้น ไร้ประสิทธิภาพ เพราะต่อให้คุณมีระบบบันทึกภาพ (DVR) ดีเลิศแค่ไหน ก็ไม่ช่วยอะไร
โดยทั่วไปกล้องวงจรปิดที่ได้รับความนิยม แบ่งออกเป็น 4-5 ประเภทด้วยกัน
1.กล้อง มาตรฐาน (Standard Camera) ส่วนใหญ่มักเป็นรูปทรงกระบอกนิยมใช้ติดตั้งภายในอาคาร กล้องชนิดนี้เหมาะใช้กับในพื้นที่ซึ่งมีแสงสว่างตลอดเวลา จุดเด่นของกล้องชนิดนี้อยู่ที่ สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ (ราคากล้องจึงไม่ได้รวมราคาเลนส์เข้าไปด้วย) และบางรุ่นอาจมีไมโครโฟนสำหรับบันทึกเสียงในตัว
2. กล้องวงจรปิด (CCTV Camera) แบบอินฟราเรด (Infarred Camera) จุดเด่นอยู่ที่สามารถจับภาพในที่มืดสนิทได้ ตัวกล้องทำจากวัสดุทนทาน กันน้ำได้ จึงสามารถนำไปติดภายนอกอาคารได้ แต่การเลือกกล้องชนิดนี้ควรเลือกตามระยะของอินฟราเรด เช่น กล้องที่มีระยะอินฟราเรด 10 เมตร 20 เมตร หรือระยะอื่นๆตามความจำเป็นที่ต้องใช้
3.กล้องวงจรปิด (CCTV Camera) แบบโดม (Dome Camera) เป็นกล้องที่มีรูปลักษณ์ครึ่งวงกลมคล้ายโดม กล้องชนิดนี้เหมาะกับพื้นที่ซึ่งต้องการความสวยงาม เพราะติดตั้งแล้วดูเรียบร้อยไม่สะดุดตา จุดเด่นนอกจากอยู่ที่ตัวกล้องสามารถป้องกันการโยนผ้าปิดหน้ากล้องได้ ยังสามารถหมุนปรับมุมกล้องได้รอบตัว หรือ 360 องศา
กล้องโดมเหมาะใช้ ติดตั้งภายในห้องโถง หรือตามออฟฟิศต่างๆ แบ่งเป็นแบบกล้องโดมธรรมดาและกล้องโดมแบบอินฟราเรด โดยกล้องโดมธรรมดาจะมีโหมด D/N สำหรับสลับดูภาพในตอนกลางวัน เป็นภาพสี และตอนกลางคืนเป็นภาพขาวดำ ส่วนกล้องโดมแบบมีอินฟราเรดในตัว สามารถมองเห็นในที่มืดสนิทได้ โดยมีระยะการมองผ่านทั่วไป อยู่ที่ประมาณ 15-20 เมตร
4.กล้องวงจรปิด (CCTV Camera) แบบสปีดโดม (Speed Dome Camera) เป็นกล้องที่สามารถหมุนรอบตัวเองได้ ก้มเงยได้ ซูมขยายภาพได้ มีทั้งชนิดที่เป็นแบบติดภายนอกอาคาร และติดตั้งภายในอาคาร ควรติดตั้งกล้องวงจรปิดชนิดนี้เพื่อตรวจตราบริเวณโดยรอบของพื้นที่ การสั่งการหรือควบคุมกล้องวงจรปิดประเภทนี้ ต้องสั่งโดยเครื่องบันทึกหรือสั่งจากคีย์บอร์ดควบคุม
ในอนาคตกล้อง ระบบไอพี IP (กล้อง IP Camera) น่าจะเข้าแทนที่ระบบเดิมทั้ง 4 แบบ ซึ่งบางประเภทยังเป็นระบบอนาล็อกที่ใช้สายสัญญาณทั่วไป เพราะด้วย IP มีความสามารถสูงในการส่งสัญญาณภาพออกมาได้คมชัดมากกว่า
กล้องวงจร ปิด (CCTV Camera) แบบไอพี หรือ กล้อง IP Camera นั้นเอง กล้องชนิดนี้ได้รวมเอา Network Card ไว้ในตัวกล้องเป็น Web Server ในตัว มีทั้งแบบ ใช้สาย (wired) และไร้สาย (wireless) เป็นกล้องดิจิตอลที่สามารถควบคุมผ่านคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือหรือ สมาร์ทโฟนได้โดยตรง สามารถทำการบันทึกที่คอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ที่ต่ออยู่ในวง LAN หรือ WAN หรือบันทึกลงที่ Network Video Recorder (NVR) ได้เช่นเดียวกัน
อีกประเภทหนึ่งที่กำลังจะมาแรง คือ กล้องจิ๋ว หรือ กล้องซ่อนตัวได้ (Hidden Camera) จุดประสงค์หลักเพื่อใช้ซ่อน เพื่อไม่ให้มองเห็นว่ามีกล้องติดตั้งอยู่จุดใดบ้าง บางครั้งจึงเรียกว่า “กล้องรูเข็ม หรือ กล้องจิ๋ว” ส่วนใหญ่ที่มีขายตามท้องตลาด ความละเอียดภาพไม่ค่อยสูงนัก รูปแบบโครงสร้างแตกต่างกันไป เช่น Minicam กล้องปากกา กล้องพวงกุญแจ กล้องนาฬิกาข้อมือ กล้องวีดีโอจิ๋ว ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อ บนโต๊ะ ในรถยนต์ ในสำนักงาน หรือในอุปกรณ์ดับไฟไหม้ (Smoke Detector) เป็นต้น
จริงอยู่ในโลกนี้ไม่มีอะไรหวังผลได้เต็มร้อย แต่อย่างน้อยถ้าหลายพื้นที่พร้อมใจกันติดตั้งกล้องวงจรปิด ก็ไม่ต่างกับสังคมไทยมี “ตาวิเศษ” ไว้ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องทุกหย่อมหญ้ามากขึ้นไม่ว่าจะเป็น แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ธนาคาร สถานที่ราชการ สนามบิน โรงงาน โรงแรม ที่พักอาศัย.
Cr.ไทยรัฐ