15 เม.ย. 2558

NCDs โรคที่เราสร้างขึ้นเอง



แนวทาง “ความสำเร็จในการดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง”  โดยอาจารย์ไกร  มาศพิมล     การดื่มน้ำเต้าหู้ มีประโยชน์มากสำหรับสุภาพสตรี กินเป็นประจำช่วยลดอาการปวดประจำเดือนและอาการตกขาวเพราะมี ไฟโตเอสโตเจนสูง    ในกล้วยหอม ผู้สูงอายุควรทานสัปดาห์ละ 2 ผลเพราะในกล้วยหอมอุดมไปด้วยโปตัสเซียมช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้ความจำดี ป้องกันอัมพฤตอัมพาต    วิธีการต้มจับฉ่าย นั้นควรต้มนานๆ เพราะเป็นการสกัดเอาโอสถสารมาอยู่ในน้ำส่วนในเนื้อคือไฟเบอร์ ขณะต้มส่วนที่หายไปคือเอ็นไซม์และสารพิษระวังอย่าให้น้ำแห้ง ถ้าน้ำแห้งจะดึงเอาวิตามินต่างๆไปด้วย เช่น     
   1. วิตามินc และ B ที่ละลายได้ในน้ำ    
   2. วิตามิน A,D,E,K     การต้ม การหมักผักกาดดอง ซุบหน่อไม้ ผักกาดกระป๋อง ทำให้เอนไซม์จากผักหายไป แต่จะได้จุลินทรีย์ 3 ตัว ที่มีประโยชน์เข้ามาแทน   
 
ผักกาดดอง  ต้มใส่เห็ดหูหนู,เห็ดหอม,เห็ดฟางดีกว่าใส่ซี่โครงหมูซี่โครงไก่เพราะหมู,ไก่สมัยนี้อุดมไปด้วยยาที่เร่งการเจริญเติบโต กว่ายาจะสูญสลายไปใช้เวลา 50 ปี เมื่อเรารับประทานเข้าไปเราจะได้รับสารเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกาย    ไข่ต้ม มีประโยชน์มากกว่านม 1 กล่อง  
      
ข้อควรรู้เกี่ยวกับใบชา
1. ใบชาชงแล้วทิ้งไว้เย็นผู้หญิงห้ามกิน เพราะมีสารแทนนิน,อัลคะลอย กระตุ้นให้   มีเซลล์เล็กๆงอกขึ้นในโพรงมดลูก
2. ชาชงแล้วข้ามวันให้เททิ้ง ห้ามชงกินต่อจะทำให้เกิดตะคริวที่น่อง และท้องน้อย
3. ใบหรือน้ำชา ชาเขียวหรือชาแดง ถ้าชงเก็บไว้นานๆ ปริมาณสารแทนนินจะเพิ่มขึ้น   เรื่อยๆ  สารแทนนินในใบชา กินแล้วทำให้อุจจาระแข็ง
4. ชาชงร้อนๆแล้วดม ให้ประโยชน์สูงสุดและมีฟาวานอยยอดเยี่ยม
5. ชงแล้วนำมาบ้วนปาก ปากไม่เหม็น
6. ใบชาเอาไว้รองก้นโลงศพ เวลาเอาศพลงโลง         

    เวลารับประทานอาหารในแต่ละมื้อ ควรรับประทานผลไม้ก่อนทานข้าวขณะทานข้าวควรเคี้ยวช้าๆให้เกิดการย่อย ซึ่งในน้ำลายจะมีอะไมเลสเป็นตัวย่อยเพื่อจะได้กลูโคสไปเลี้ยงสมอง        น้ำมันที่ใส่ถุงขายตามท้องตลาด ไม่ควรซื้อมาใช้เฉพาะเป็นน้ำมันที่ใช้แล้วนำมาใส่กรดเกลือ(น้ำยาล้างห้องน้ำ)เพื่อให้ตกตะกอนแล้วใส่โซดาไฟเพื่อปรับสภาพให้เป็นกลาง         การล้างผักกระเฉด  ควรล้างให้สะอาด  ถ้าล้างไม่สะอาด  จะมีไข่พยาธิหลงเหลืออยู่ เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วพยาธิจะเข้าสู่ร่างกายและลงไปฝังตัวตามปากทวารหนักทำให้เกิดระคายเคืองหรือสุภาพสตรีทานเข้าไปอาจคันหรือเกิดตกขาวได้ 

      แครอทดิบๆ กินแล้วเบตาแคโรทีนไม่เปลี่ยนเป็นวิตามินAและหากกินเป็นประจำจะทำให้คลอเลสเตอรอลสูงมีไขมันเกาะตับเพิ่มขึ้นกินแครอทต้องต้มก่อนถึงจะมีประโยชน์ สีส้มของแครอทช่วยดับความกลัวโรคมะเร็งได้ ในแครอทมีเบต้า-แคโรทีน ที่กำจัดสารก่อมะเร็งที่มาจากควันบุหรี่หรือแสงแดดที่แรงจัด สารนี้ป้องกันมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งในปอด ใครกินผักและผลไม้เสมอจะมีสารนี้ในเลือดมาก เราไม่ต้องเสี่ยงกับมะเร็งในปอด     
      ขี้เหล็ก เป็นผักที่คนส่วนใหญ่เมิน ไม่ค่อยมีโอกาสได้รับประทานสักเท่าไหร่ทั้งๆที่ขี้เหล็กมีแร่ธาตุที่มีคุณประโยชน์มากมาย  ขี้เหล็กมีเบต้าแคโรทีนสูง บำรุงสายตา ต้านอนุมูลอิสระ ลดโอกาสการเป็นมะเร็ง สารแอนทราควิโนนในใบและดอกตูมเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยให้ถ่ายคล่อง แก้ท้องผูก และช่วยป้องกันการเกิดนิ่วอีกด้วย ใบขี้เหล็กมีสรรพคุณทำให้นอนหลับได้ง่ายละคลายเครียด โดยใช้ใบแห้ง 30-40 กรัม หรือใบสด 50 กรัม ต้มกับน้ำ 1 ลิตรให้เดือด 15 นาที ดื่มก่อนนอนจะทำให้นอนหลับสบาย ได้แก่ ใบ แก้นอนไม่หลับ ช่วยระบาย หากกินเกิน 3 เดือน ตับวาย      ดอก แก้นอนไม่หลับ แก้รังแค แก้หืด       ขี้เหล็กทั้งห้า  ถ่ายพิษกระษัย  นมถั่วเหลือง นมลูกเดือย นมข้าวโพด นมข้าวกล้องมีประโยชน์อย่างมาก การกินนมวัวเป็นการถ่ายทอดยีนส์ของเชื้อโรคเข้าสู่คน มีฮอร์โมนที่ทำให้ไม่เหมาะแก่ร่างกายและยังมีสารกระตุ้นทำให้เกิดการตื่นเต้น และเป็นที่มาของการเกิดโรคภูมิแพ้ คนที่เป็นโรคเบาหวานเมื่อกินผลไม้หวานๆ น้ำตาลในผลไม้เป็นฟรุ้ตโต๊ส เมื่อกินผลไม้เข้าไปแล้วเป็นกลูโคสที่เป็นโมโนแซ็คคาราย เป็นตัวที่ไปสร้างพลังงาน จึงไม่มีโอกาสตรวจเจอน้ำตาล คนที่ไม่อยากเป็นโรคเบาหวานหรือเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว ถ้าอยากหาย ก่อนทานข้าวทุกครั้ง เมื่อตักข้าวเปล่าคำที่ 1 ใส่ปาก แล้วเคี้ยวช้าๆ โดยนับในใจ 1-30 แล้วค่อยกลืนเพื่อให้น้ำลายรวมตัวกับข้าว เพราะในข้าวมีสังกะสี เวลาที่อะไมเลสรวมตัวกับข้าวมันจะสกัดเอาสังกะสีจากข้าวออกมา  เมื่อกลืนจะดูดซึมไปที่ตับอ่อนทันที และไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตอินซูลิน  สุขภาพของท่านจะมีดีได้ต้องปรับพฤติกรรม 3 อย่าง
        1. การรับประทานอาหาร                    
        2.  ออกกำลังกาย           
        3.  มีอารมณ์ขัน สุขภาพจิตดี
                                           
   ถั่วฝักยาวดิบ ป้องกันบรรเทาอาการโรคเบาหวานเม็ดถั่วบำรุงไต
กวางตุ้ง คะน้า ผักกาดขาว  กระหล่ำปลี  เวลาต้มห้ามปิดฝา เพราะถ้าปิดฝาเมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้ความดันต่ำ เพราะมีสารโอไวยาเนตจะทำให้ท้องเสีย แต่ถ้าเปิดฝาสารตัวนี้จะระเหยไป

  น้ำกระเจี๊ยบ ละลายไขมัน ละลายลิ่มเลือด    ในกล้วยไข่ปริมาณเท่ากับกล้วยหอมให้พลังงานมากกว่ากล้วยหอม 5 เท่า       กล้วยไข่ 1 ลูก มีวิตามิน B1 B2  B6มีเบตาแคโรทีนสูงมากกว่าแครอทมีสารป้องกันมะเร็ง      กล้วยไข่สุก ขยำพอกหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สำหรับคนเป็นสิวผิวมันกล้วยไข่ดีกว่าแอปเปิ้ลเขียว แอปเปิ้ลเขียวต่างประเทศเอาไว้เลี้ยงหมู กล้วยน้ำว้า ห่าม ดิบ มีสารแทนนินสูง ช่วยให้โรคท้องร่วงหายไป      กล้วยน้ำว้าสุกเป็นยาระบายแก้ท้องผูก ทานกล้วยน้ำว้าสุกๆ 2 ผลกับน้ำอุ่นก่อนนอน     แครอทดิบๆกินแล้วเบตาแคโรทีนไม่เปลี่ยนเป็นวิตามินAและหากกินเป็นประจำจะทำให้คลอเลสเตอรอลสูงมีไขมันเกาะตับเพิ่มขึ้นกินแครอทต้องต้มก่อนถึงจะมีประโยชน์    ดอกอัญชัญนำมาต้มช่วยบำรุงสายตา (สดๆดีที่สุด)     ผมหงอก ให้กินมะนาววันละลูกผสมน้ำอุ่น ผมจะไม่หงอกและดกดำ       กวางตุ้งเข้ามาในเมืองไทย จนเรากินเป็นผักไทยไปแล้ว   ผักกวางตุ้ง ต้ม ลวก ผัด ก็อร่อย แต่ดีที่สุดเวลาต้ม ต้องเปิดฝาเวลาตั้งไฟเพื่อความอร่อย ปลอดภัย นั่นเป็นเพราะกวางตุ้ง มีสารบางชนิดหากสัมผัสความร้อนจะกลายเป็นสารตัวใหม่ชื่อ โอไซยาเนต สารนี้เมื่อเข้าสู้ร่างกายจะทำให้ท้องเสีย ความดันเลือดต่ำร่างกายอ่อนเพลีย แต่สารนี้จะสลายไปกับไอน้ำเมื่อเราเปิดฝาทิ้งไว้  แต่กินสดๆก็ปลอดภัย  กินกว้างตุ้งกินเท่าไร ก็ไม่อ้วน  ช่วยทำให้กล้ามเนื้อ กระชับกระฉับกระเฉงเนื้อแข็งเพราะกวางตุ้งมีไขมันน้อย  กากใยอาหารมาก ขับถ่ายสะดวก กินกว้างตุ้งแล้ว   ร่างกายได้ภูมิต้านทานดีนัก   กินกวางตุ้ง  วันละ 1  กำมือ ประมาณ 3 วัน กวางตุ้งจะไปทำให้สารฟรีนีโมนหลั่ง กินเป็นประจำ จะทำให้กลิ่นตัวหอม       ส้ม มะนาว เกรปฟรุต ผลไม้รสเปรี้ยวเหล่านี้เป็นที่รู้กันว่ามีวิตามินซี แอนติออกซิแดนต์สูง และก็มีฟลาโวนอยด์สูง รวมเรียกว่า เฮสเพอSlaronoid,Organic acid, citral  และวิตามิน ซี น้ำมะนาวมีฤทธิ์รักษา โรคลักปิดลักเปิด เนื่องจากมีวิตามินซี สูง ส่วนฤทธิ์ในการแก้ไอขับเสมหะ เนื่องจากกรดที่มีอยู่ในน้ำมะนาว กระตุ้น ให้มีการขับน้ำลายออกมา ทำให้เกิดการชุ่มคอจึงลดอาการไอลงได้  แก้ไอขับเสมหะได้ดีมากที่เดียว ประโยชน์ของเรติน ที่จะทำงานร่วมกันกับวิตามินซีในผลไม้จำพวกส้ม ช่วยดูแลสุขภาพ ช่วยลดมะเร็งในท้อง ปาก หลอดอาหาร และทรวงอก ลดความดันโลหิตสูง เพิ่มโคเลสเตอรอลที่ดี และลดโคเลสเตอรอลตัวผู้ร้าย

  วิธีล้างผักที่ดีที่สุด นำผักล้างน้ำให้สะอาดก่อน 2 ครั้ง1.  ใส่เกลือลงไป 1 กำมือ2.  น้ำประมาณ 5 ลิตร ใส่น้ำแข็งก้อนหรือน้ำในตู้เย็นเพราะผักที่ล้างด้วยเกลือและใส่น้ำแข็ง จะลด   สารเคมี มากกว่าล้างน้ำเปล่าถึง 20 เท่า และผักจะสดอยู่อย่างนี้อีก 3-4 วัน ไม่ต้องแช่เย็น *  ควรแช่ไว้ 3-5 นาที แล้วจึงล้าง ออก

 ข้าวกล้อง  ข้าวขาว  ข้าวหอมแดง  ข้าวหอมดำวิธีการหุง  ไม่ต้องแช่น้ำ ซาวประมาณ 3-4 ครั้ง แล้วจึงหุง ใส่น้ำมากกว่าข้าวขาวนิดหน่อย เมื่อสุกแล้วเปิดฝาคนให้เข้ากันข้าวจะไม่แฉะเพื่อไล่ไอน้ำออกให้เร็วขึ้น  เคล็ดลับ   ในการทานข้าวควรเคี้ยวช้า ๆ ให้เกิดการย่อย ซึ่งในน้ำลายจะมีตัวย่อยเรียกว่าอะไมเลสเพื่อที่จะได้กลูโคสไปเลี้ยงสมอง ข้าวกล้องมีคุณค่าทางอาหารที่สำคัญหลายอย่าง  ในข้าวกล้องมีคาร์โบไฮเดรท ให้พลังงานแก่ร่างกาย  โปรตีนช่วยซ่อมแซม  ส่วนที่สึกหรอ  ไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัวให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย เส้นใยช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ขับถ่ายสะดวก ป้องกันอาการ  ท้องผูก และ  การเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ วิตามิน  บี๑  (Thiamin)  ช่วยป้องกันโรคเหน็บชาช่วยการทำงานของระบบประสาทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ วิตามินบี ๒ (Ribo flavin)ป้องกันปากนกกระจอก ช่วยเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ไนอาซิน (Niacin)ช่วยในการ ทำงานของระบบผิวหนัง และระบบประสาท แคลเซียม  ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง เหล็กช่วย สร้างเม็ด เลือดแดงในจมูกข้าวมีวิตามินอี ซิลิเนียม และแมกนีเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานระบบต่าง ๆของร่างกายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ วิตามินอี  ยังมีส่วนช่วยชลอความแก่  และซิลิเนี่ยมช่วยป้องกันโรคมะเร็งอีกด้วย   ถั่วฝักยาวเป็นผักกินสดแกล้มกับลาบ ส้มตำ น้ำตก น้ำพริกต่างๆหรืออาจจะเอามาแกงส้ม ผัดกินก็อร่อย  และมีไฟเบอร์ช่วยลดคอเลสเตอรอล  ป้องกันและบรรเทาอาการโรคเบาหวาน  และมีวิตามินซีช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี ช่วยให้เลือดดี เคี้ยวถั่วฝักยาวมันดี และมีสารอาหารที่ร่างกายเราต้องการ..ทั้งหุ่นสวย ทั้งเลือดดี ผิวพรรณดูสดชื่น ส่วนเม็ดถั่วช่วยบำรุงไต   การรับประทานถั่ว Almondจะเพิ่มระดับวิตามินอี ในกระแสเลือด                  ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อาจจะช่วยในการควบคุมน้ำตาล  และไขมันให้ดีขึ้น จะช่วยลดไขมัน LDL ได้ถึงร้อยละ35 รับประทานเป็นประจำจะช่วย     ลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่  พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้น นอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกาย  ช่วยป้องกัน และรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่าง ๆ ได้ ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง 

สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไร 
1. ปวดหัว กินปลามาก ๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลา มีสรรพคุณ   ป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือ นมเปรี้ยว
3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี
5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน  ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมัน!  ปลาทำให้โรคไขข้&ออักเสบบรรเทาลง
7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และ ขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป
 8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูก แคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว ) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
9. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้ กินข้าวโพด ช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้
10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีส อยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครง หรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
14.  มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลี  จะช่วยป้องกันได้ดี โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปี    ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม
15. ข้อสำคัญ อย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโตมะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
 
  ขนุนอ่อน  มีเยื่อใยในอาหารสูงมาก ขนุนอ่อน เป็นยาระบายจึงเป็นพนักงานทำความสะอาดลำไส้ได้เป็นอย่างดี และยังช่วยในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ด้วยขนุนดิบ ฝานบางๆต้มจิ้มน้ำพริก ต้มแกงเลียงบำรุงน้ำนม สำหรับสุภาพสตรีหลังคลอด เส้นใยของขนุน ช่วยบรรเทาและป้องกันมะเร็งลำไส้
  ขนุนสุก หอม หวานเป็นเมือกช่วยในการหล่อลื่นลำไส้ รับประทานมากๆ จะช่วยระบาย มีความเชื่อกันว่าการรับประทานขนุนกับน้ำผึ้ง (หรือน้ำเชื่อมก็ได้) จะเป็นยาบำรุงกำหนัดชั้นยอด ขนุนสุกจะช่วยแก้กระหายน้ำ แก้เมาสุรา เป็นยาบำรุงกำลังและช่วยย่อย
  เม็ดขนุน เป็นอาหารที่มีประโยชน์ให้พลังงานมาก มีปริมาณโปรตีนสูง พร้อมทั้งเกลือแร่และวิตามิน ช่วยขับน้ำนมช่วยเพิ่มน้ำนมมารดาให้ทารกได้ดูดดื่มอย่างจุใจ ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำสเปริมของผู้ชายและน้ำหล่อลื่นของผู้หญิง แก่นขนุน ต้มกินเพื่อเป็นยาบำรุงเลือดลม บำรุงสุขภาพ มีรสหวานปนขมเล็กน้อย
รากขนุน ใช้ต้มกินแก้ท้องเสีย ใบขนุน ใบอ่อนกินเป็นผักได้ และใช้ใบแก่เผารวมกับ กะลามะพร้าว และซังข้าวโพด จนเป็นเถ้า เอาไปรักษาแผลมีหนองเรื้อรังช่วยดูดพิษ และรักษาแผลได้ดี 
   
 ไข่ไก่และไข่เป็ด มีคุณสมบัติเหมือนกันต่างกันที่ขนาดในไข่แดงมีสารเรซิติน ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือดฝอยทำให้กระชับกระฉับกระเฉงทุกสัดส่วน และมีสารโคลีนบำรุงสองวิธีต้มไข้  ในเกลือ 1 กำมือ ใส่น้ำท่วมไข่ไม่ต้องปิดฝาขณะต้มเมื่อน้ำเดือดให้หรี่ไฟอ่อนและนับต่อไปอีก 30- 40 นาที จึงนำลงใส่น้ำเย็น

 อายุ 1  ขวบ – 25 ปี    รับประทาน  3  ฟอง
 อายุ 25  ปี   – 45 ปี    รับประทาน  2 ฟอง
 อายุ  45 ปี   – เสียชีวิต รับประทาน  1 ฟองไข่ปิ้ง 

สุภาพสตรีรับประทานวันละ 2 ฟอง เกิน 10 วัน จะทำให้กล้ามเนื้อช่องคลอดกระชับกระฉับกระแฉงไม่ต้องไปรีแพร์

ไข่ปิ้งประกอบด้วย   
1.  แป้งหมี่มีโปรตีน        
2.  พริกไทย มีสารแคบไซซีนสูงช่วยกระตุ้นความดันโลหิตและละลายไขมัน      
3. ไข่ไก่มีสารเรซิติน ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไขมันใน  เส้นเลือดฝอย, มีสารโคลีนบำรุงสมอง

สูตรลับห้าพันปี

เวลา 07.00 - 09.00 น. กระเพาะอาหารจะทำงานได้สูงสุดในช่วงนี้เท่านั้น  กระเพาะอาหารจะต้องการอาหารและจะหลั่งน้ำย่อยมากที่สุด..ผู้ที่ไม่รับประทาน อาหารเช้าจะมีโอกาสเป็นโรคกระเพาะอาหาร และจะเกิดโรคหัวใจด้วย  เพราะไม่ได้ สารอาหารสำหรับทุกอวัยวะเพื่อกลับไปสร้างพลังงานรวม..


เวลา 09.00 - 11.00 น.ม้ามจะเริ่มเก็บพลังงานสำรอง  เก็บสารอาหารจากการย่อยของกระเพาะอาหาร...การที่เราไม่ได้รับประทานอาหารเช้า  ร่างกายจะดึงพลังงานสำรองออกมาใช้ พลังงานรวมจะหายไป  ร่างกายจะอ่อนแอ ไม่มีแรง...


เวลา 11.00 - 13.00 น. พลังงานจะเคลื่อนที่ไปที่หัวใจ... ถ้าร่างกายไม่ได้สารอาหาร  หัวใจจะทำงานลำบาก  หัวใจวายได้ง่ายในช่วงนี้..


เวลา 13.00 - 15.00 น.พลังงานจะเคลื่อนสู่ลำไส้เล็ก...ลำไส้เล็กจะทำงานโดยเปลี่ยนรูปอาหารที่ได้จากตอนเช้า  ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ เป็นพลังงานทั้งหมด...ถ้าไม่ได้รับอาหารเช้า  อาหารที่จะย่อยในลำไส้เล็กก็ไม่


เวลา 15.00 - 17.00 น. พลังงานจะเคลื่อนมาที่กระเพาะปัสสาวะ..ของเสียที่เกิดขึ้นจากการแปรรูปอาหารที่ลำไส้เล็กจะเกิดขึ้น  กระเพาะปัสสาวะจะทำงานมากที่สุด...


เวลา 17.00 - 19.00 น. พลังงานจะเคลื่อนมาที่ไต...ช่วงนี้ไตทำงานหนัก  ไม่ควรออกกำลังกาย  การออกกำลังกายช่วงเย็นจะทำให้...ไตวายง่าย เวียนหัว ตาพร่า ปวดศีรษะ..



Cr.Gotoknow Post