30 ก.ค. 2559

สมาร์ตโฟน & คีย์การ์ด



         จากข่าวพาดหัวและภาพยนตร์ที่ทุ่มเทความสนใจไปที่การป้องกันอาชญากรรมโลกไซเบอร์ และการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นความลับสุดยอดขององค์กร แต่การควบคุมดูแลความปลอดภัยหลักในองค์กรทั้งหลายยังคงเป็นการควบคุมการเข้าออกประตู (physical access security) โดยการกำหนดควบคุมสิทธิผู้เข้าถึงพื้นที่ในสำนักงาน ศูนย์ข้อมูลสำคัญ และสถานที่ต่าง ๆ ยังคงใช้การป้องกันที่หน้าประตูทางเข้าออกเป็นหลัก โดยใช้อุปกรณ์แบบเดียวกันอันได้แก่ สมาร์ตการ์ด และอุปกรณ์แบบอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้กันทั่วๆ ไปในสำนักงาน

          ในโลกยุคปัจจุบันที่พนักงานทุกคนล้วนมีโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนใช้ในการติดต่อสื่อสาร ความบันเทิงและแม้กระทั่งในการทำงาน องค์กรจึงมีความต้องการอยากจะใช้ประโยชน์จากโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำอยู่บนอุปกรณ์พกพาติดตัวอัจฉริยะนี้ให้เข้ามาบรรจบกับระบบควบคุมความปลอดภัยในการเข้าออกสำนักงาน โดยหลอมรวมระบบเครือข่ายดิจิทัลและระบบการควบคุมความปลอดภัยในการเข้าออกของพนักงานเข้าด้วยกัน และทำให้เกิดสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีการเชื่อมโยงมากยิ่งขึ้น
         
          อุปกรณ์พกพาติดตัวอัจฉริยะมีอยู่ในทุก ๆ ที่ จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนทั่วโลกคาดว่าจะถึง 6.1 พันล้านคนในปี พ.ศ. 2563 นั้นคือประมาณ 70 % ของประชากรโลกในขณะนั้น ตามรายงานของ Ericsson ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนในเอเชียที่เคยมีเพียงประมาณพันล้านคนในปี พ.ศ. 2558 และพุ่งทะยานไปถึง 1.48 พันล้านคนในปี พ.ศ. 2562
        
          นอกจากนั้น ยังมีอุปกรณ์อัจฉริยะอันใหม่เกิดขึ้นเรียกว่า อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (smart wearables) อย่างเช่นแว่นตา นาฬิกา และอุปกรณ์พกพาติดตัวทางด้านการออกกำลังกายและการดูแลรักษาสุขภาพ จะยิ่งเพิ่มจำนวนของอุปกรณ์พกพาติดตัวอัจฉริยะในตลาดให้มากยิ่งขึ้น IDC คาดว่าตลาดอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะทั่วโลกพอถึงสิ้นปี พ.ศ. 2559 จะมีอุปกรณ์สวมใส่ถูกขายไปทั้งหมดถึง 111.1 ล้านชิ้น และพุ่งขึ้นไปถึง 214.6 ล้านชิ้นในปี พ.ศ. 2562 ทำให้เป็นทางเลือกใหม่แทนพวกคีย์การ์ด สมาร์ตการ์ดและอุปกรณ์แบบธรรมดาที่ใช้กับระบบควบคุมการเข้าออกสำนักงานในปัจจุบันเพราะว่าความสะดวกในการพกพาอุปกรณ์สวมใส่เหล่านี้และความสามารถใช้งานได้หลากหลายนั้นเอง
         
            องค์กรทั้งหลายคาดหวังว่าโลกต่อไปจะเป็นยุคของทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำบนอุปกรณ์พกพาติดตัว (mobile-first world)
การขยายระบบการควบคุมการเข้าออกเชิงกายภาคไปสู่อุปกรณ์พกพาติดตัวอัจฉริยะ จะเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่องค์กรในการสร้างระบบให้เป็นอัตโนมัติมากขึ้นและขจัดงานที่ต้องทำด้วยมือในหลายขั้นตอนลง ลองจิตนาการว่ามันเปลี่ยนแปลงการเข้าถึงสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกในแต่ละวันได้อย่างไรดู
พนักงานผู้หนึ่งกำลังเดินทางเพื่อไปสถานที่อีกแห่งหนึ่งของบริษัทเพื่อเข้าร่วมประชุม ก่อนที่จะมาถึง เขาแจ้งวันที่ เวลาและระยะเวลาที่จะใช้สถานที่นั้นแก่ผู้ดูแลระบบรักษาความปลอดภัยของสถานที่นั้น ซึ่งจะสร้าง PACS ID ให้แก่พนักงานคนนั้นและสิทธิที่เกี่ยวข้องโดยส่งผ่านเว็บท่าในการควบคุมการเข้าออกผ่านอุปกรณ์โมไบล์ (mobile access portal) ไปยังโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนของเขา
         
             ด้วยอุปกรณ์พกพาติดตัวของพนักงานคนนั้นเอง เขาสามารถเข้าสู่บริเวณที่จอดรถและสถานที่นั้น และพร้อมที่จะเข้าสู่ห้องประชุมที่มีการประชุมได้เลย การเข้าถึงโดยใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟน (Mobile access) ทำให้เขาดำเนินการต่าง ๆ ในสถานที่นั้นได้อย่างราบรื่นตามสิทธิที่มอบให้และเมื่อการประชุมนั้นสิ้นสุดลง สิทธิชั่วคราวในการเข้าใช้สถานที่นั้นจะถูกตั้งโปรแกรมให้สิ้นสุดลงเองโดยอัตโนมัติ
         
              ประโยชน์ของการเข้าถึงโดยใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์พกพาติดตัวอัจฉริยะต่าง ๆ
          1. อิสรภาพในการการเข้าถึงโดยใช้ โทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต แถบรัดข้อมือ (wristbands) นาฬิกาและอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะอื่น ๆ แทนคีย์การ์ดและสมาร์ตการ์ดทำให้มีทางเลือกและสะดวกมากขึ้นกับพนักงานหรือผู้ใช้ในการเปิดประตูเข้าสู่สำนักงาน
          • สามารถพกพาได้ตลอดเวลาบนอุปกรณ์อันเดียวกัน : ผู้ใช้ไม่จำเป็นที่จะต้องถือและดูแลการ์ดหลาย ๆ ใบ
          • เป็นประสบการณ์ที่รวดเร็วและราบรื่นในการใช้ : อย่างเช่นในที่จอดรถหรือที่ประตูทางผ่าน ด้วยการสามารถเข้าถึงจากระยะไกลของ the Bluetooth Smart communications standard ทำให้สามารถขับรถยนต์ผ่านประตูไปได้เลยโดยไม่ต้องเปิดกระจกเพื่อเอาการ์ดมาแตะเครื่องอ่านเหมือนแต่ก่อน
          • สามารถจับท่าทางความเคลื่อนไหวของผู้ใช้ (Gesture detection) : Smart device sensors ซึ่งใช้เทคโนโลยี gyroscope และ accelerometer สามารถทำให้จับความเคลื่อนไหวได้ ดังนั้นจึงทำให้สามารถเปิดประตูจากระยะไกลผ่านกริยาท่าทาง ตัวอย่างเช่น HID Global's patented Twist และ Go technology ทำให้ลูกค้าสามารถปลดล็อกประตูหรือเปิดประตูโดยขยับโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนไห้เหมือนหมุนลูกกุญแจเปิดประตู ทำให้เพิ่มระดับการพิสูจน์อัตลักษณ์ (layer of authentication) ในระบบความปลอดภัยได้อีกขั้นหนึ่ง
          2. การเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์พกพาติดตัวอัจฉริยะจะเป็นหนทางใหม่ในการจัดการแสดงอัตลักษณ์บนโมไบล์ (mobile identities) ในอนาคตอันใกล้
          • ประหยัดเวลา : การนำเว็บท่าบนคลาวด์ (cloud-based portal) มาใช้เพื่อเป็นศูนย์กลางในการจัดการ mobile identity แทนการจัดการผ่านบัตรประจำตัวพนักงานจะทำให้ผู้ดูแลระบบมีเวลาเพิ่มขึ้น ยิ่งกว่านั้นสามารถจะจัดการสิทธิให้หลาย ๆ คนพร้อม ๆ กันได้โดยใช้การนำเข้าระบบผ่านไฟล์ CSV หรือ Excel (batch upload) ในขณะที่ทำการเชิญและจัดการดำเนินงานผ่าน email ได้ไปพร้อม ๆ กัน
          • ง่ายในการใช้งานสำหรับด้านผู้ใช้ : เมื่อผู้ใช้ได้รับจดหมายเชิญผ่าน email สามารถดาว์โหลด แอพพลิเคชั่นและ ลงทะเบียน (enrolls) โดยสิทธิต่าง ๆ ของเขาจะถูกกำหนดไปให้แต่ละ mobile ID และจะถูกส่งเข้าไปอยู่ในอุปกรณ์พกพาติดตัวของเขาทันทีเลย
          • สามารถจัดการหลายสถานที่ได้พร้อม ๆ กัน : องค์กรหลาย ๆ องค์กรมีสำนักงานกระจายอยู่ทั่วโลกที่มีระบบการควบคุมการเข้าออกต่าง ๆ กัน ด้วยการใช้ระบบโซลูชั่นควบคุมการเข้าออกผ่านอุปกรณ์โมไบล์ (mobile access solution) นี้จะทำให้สามารถกำหนด mobile identities หลาย ๆ อันให้แก่แต่ละอุปกรณ์พกพาติดตัวได้ พนักงานสามารถได้รับ mobile identity ที่บนมือถือของตนได้อย่างง่ายดายก่อนจะออกจากที่ทำงานหรือทันทีที่ไปถึง ทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องทำบัตรเยี่ยมผู้มาเยือนหรือบัตรพนักงานชั่วคราวให้แก่พนักงานคนนั้น
          3. การเข้าถึงผ่านอุปกรณ์โมไบล์ (Mobile access) สามารถช่วยเสริมระบบโซลูชั่นควบคุมการเข้าออกที่มีอยู่เดิมโดยให้ทางเลือกใหม่ ๆ ให้แก่พนักงาน ขณะที่ยังคงระบบเดิมที่ใช้ สมาร์ตการ์ด หรือ key fobs เหมือนเดิมไว้ได้
          • สามารถใช้ PIN numbers ร่วมกับระบบอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ง่ายแต่ปลอดภัยขึ้น : ระบบดั้งเดิมอย่างเช่น Magstripe และ low-frequency proximity cards สามารถสำเนาเลียนแบบขึ้นมาใหม่ได้ง่าย แต่ในระบบควบคุมการเข้าออกผ่านอุปกรณ์โมไบล์ตัว digital credentials หรือ Mobile IDs จะถูกเก็บอย่างปลอดภัยและมีการป้องกันที่แน่นหนา ด้วยการใช้คุณสมบัติด้านความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการณ์ของโมไบล์ (อย่างเช่น sandbox or PIN) และมีการเข้าระหัสที่ซับซ้อนป้องกันอีกชั้นหนึ่ง
          • สามารถสื่อสารกับเครื่องอ่านได้ในระยะไกล: เครื่องอ่านสามารถติดตั้งได้ในด้านที่ปลอดภัยของประตู ลดความเสี่ยงที่จะถูกขโมย ทำลายหรือแอบดู
          • หายยากกว่าการ์ด : โทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนไม่มีการใช้ร่วมกันและยากที่จะถูกขโมยในสถานที่ทำงาน ขณะที่การ์ดสูญหายหรือถูกขโมยได้ง่ายกว่ามาก
          • สิทธิในการเข้าถึงสามารถกำหนดได้จากระยะไกล : ในกรณีที่โทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนพกพาสูญหาย ถูกขโมย หรือมีการเปลี่ยนเครื่องกัน สิทธิในการเข้าถึงสามารถจะถูกยกเลิกได้อย่างง่ายดายผ่านเว็บท่าที่ใช้บริหารจัดการ (management portal)
          • อัตลักษณ์ (Authentication) : อุปกรณ์อัจฉริยะสามารถใช้งานได้กับ multi-factor authentication , biometric identification และระบบความปลอดภัยที่ก้าวหน้ามาก ๆ อื่น ๆ ได้ดีกว่าระบบเก่าที่ใช้เพียงการ์ด
          
           ทุกวันนี้องค์กรต่าง ๆ เริ่มต้นที่จะมองหาประโยชน์จากการหลอมรวมระบบควบคุมการเข้าออกเชิงกายภาพเข้าด้วยกันกับระบบดิจิทัล เนื่องจากอุปกรณ์โมไบล์กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานของพนักงานและองค์กรในเรื่องเกี่ยวกับ กระบวนการทำงาน ระบบเครือข่าย และความปลอดภัย การนำอุปกรณ์โมไบล์เข้ามาร่วมเป็นอุปกรณ์ในการกำหนดความปลอดภัยในการเข้าถึงจะทำให้ผู้ใช้มีความสะดวกสบายมากขึ้น องค์กรสามารถจัดการควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น มีความปลอดภัยมากกว่าระบบดั้งเดิมที่เป็นเทคโนโลยีรุ่นเก่า และสร้างโอกาสให้สามารถดูแลความปลอดภัยได้ครอบคลุมทั้งระบบเครือข่ายดิจิทัลและทางกายภาพซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอุปกรณ์ควบคุมการเข้าถึงแบบดั้งเดิม คุณ อเล็ก ตัน ผู้อำนวยการฝ่ายขายภาคพื้นเอเชีย ด้าน Physicals Access Control System กล่าว

Cr.ข่าว Thai PR,Synergy | Twitter

29 ก.ค. 2559

BlackBerry ฟื้นคืนชีพ

 
มาแล้ว BlackBerry รุ่นใหม่ล่าสุด

สำหรับ คนที่คิดว่า "แบล็คเบอร์รี่ (BlackBerry)" ได้ตายจากวงการมือถือไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ คงต้องคิดใหม่! เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีกระแสข่าวเกี่ยวกับมือถือยอดฮิต (ในอดีต) ของแบรนด์ดังกล่าว ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงและเกิดความร่วมมือครั้งใหญ่ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อแบล็คเบอร์รี่ออกสู่ตลาดมือถืออีกครั้ง

ข่าว ลือเกี่ยวกับแบล็คเบอร์รี่ (BlackBerry) อดีตแบรนด์มือถือยอดฮิต กำลังจะกลับมาอีกครั้งในรูปแบบ สมาร์ทโฟนแอนดรอย (Android Smartphone) หน้าจอ 5.4 นิ้ว กล้องถ่ายภาพความละเอียด 18 ล้านพิกเซล.

กระแสข่าว ที่ว่านี้ มาจาก "Evan Blass" หรือที่รู้จักกันว่า @evleaks ในโลกทวิตเตอร์ ผู้ที่ถือเป็นหนึ่งในคนชอบปล่อยภาพและข่าวหลุดเกี่ยวกับแวดวงมือถือนั่นเอง ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา เขาเคยออกมาประกาศว่าขอเกษียณตัวเองจากวงการข่าวลือข่าวหลุด แต่เขาก็ยังคงอัพเดตความเคลื่อนไหวในแวดวงมือถืออยู่เสมอ

เช่นเดียว กับที่เขาได้ทวีตข้อความว่า "The Android-powered BlackBerry Venice slider is AT&T-bound." เพื่อประกาศว่าแบล็คเบอร์รี่  (BlackBerry) กำลังจะกลับมาภายใต้ความร่วมมือกับ AT&T ค่ายมือถือระดับโลก ด้วยรูปแบบสมาร์ทโฟนแอนดรอย (Android Smartphone)

ด้วยความสามารถของแอปแอนดรอยที่สามารถใช้งานร่วมกับทีวี กลายเป็น กล่องแอนดรอย (Android TV Box) ที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเล่นเน็ตฟังเพลงดูหนังก็สามารถทำได้ภายใต้การควบคุมใช้งานของสมาร์ท โฟนนี้  ตามเทรนของชาวเน็ตทั่วโลกที่ตอบรับการพัฒนาที่ไม่หยุดยังของการเป็นโลกของ อินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อทุกสิ่งด้วยสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว  IoT(Internet of Things)

เว็บไซต์ phonearena ออกมารับลูกเกี่ยวกับกระแสดังกล่าวแล้วเช่นกันถึง โดยมีทั้งภาพและรายละเอียดเกี่ยวกับสมาร์ทโฟนในชื่อ BlackBerry Venice ซึ่งระบุความเป็นไปได้ของมือถือรุ่นดังกล่าว ที่จะมาพร้อมหน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว ความละเอียด 1440x2560 หน่วยประมวลผลสแนปดราก้อน 808 ซีพียู 1.8GHz และมีหน่วยความจำเครื่อง 3GB ส่วนกล้องหลังอาจมีความละเอียดราว 18 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล

คาดว่าเราจะได้เห็นการเปิดตัวแบล็คเบอร์รี่รุ่นดังกล่าวพร้อมการใช้งานบนแอปของแอนดรอยประมาณเดือนพ.ย.นี้  คงได้เห็น สมาร์ทโฟนแอนดรอย อีกค่ายที่ชาวเน็ตเคยหลงไหลมาก่อน

Cr.ที่นี่

28 ก.ค. 2559

ร่มอัจฉริยะ พยากรณ์อากาศ



“ร่ม ๆๆๆ ฝนตก ๆๆๆ” เป็นของคู่กัน นับว่าเป็นของใช้อีกอย่างหนึ่งเลยที่ทำหายบ่อยมากถึงมากที่สุด!! ถ้าคิดดูคร่าวๆแล้ว ทั้งชีวิตน่าจะทำร่มหายพังมาเกือบๆ 1 โหลแล้ว มันคงดีไม่น้อย ถ้าจะมีร่มที่บอกเราได้ว่ามันอยู่ไหน และมีความแข็งแรงทนทาน ไม่พังง่ายๆ แถมยังพยากรณ์อากาศได้อีก โอ้วววว เริ่ดอะไรจะปานนั้น ไม่น่าเชื่อว่าฝันของกำลังจะเป็นจริงแล้ว คุณสมบัติของร่มที่บอกมาข้างต้นนี้มีคนจะทำขายจริงๆแล้ว โดยบริษัท Startup ที่กำลังระดมทุนผ่านเว็บไซต์ Indiegogo เจ้าเก่า

ร่มอัจฉริยะ พยากรณ์อากาศ ดังกล่าวนี้มีชื่อว่า TARAbrella ซึ่งทางผู้ผลิตโฆษณาว่ามีน้ำหนักเบา มาพร้อมระบบพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ ระบบป้องกันการลืมโดยแจ้งเตือน ถ้าผู้ใช้งานลืมทิ้งร่มอัจฉริยะ พยากรณ์อากาศไว้ และยังทำมาจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีความแข็งแรงกว่าเหล็กถึง 5 เท่า

ถ้าคุณสั่งซื้อร่มอัจฉริยะ พยากรณ์อากาศนี้ก็จะได้แท่นชาร์จติดผนังแถมมาด้วย  ส่วนฟีเจอร์หลักๆของเจ้าร่มอัจฉริยะ พยากรณ์อากาศนี้มีดังนี้

    น้ำหนักเบาเพียง 198 กรัม (เบากว่า iPhone นะเออ!)
    ระบบพยากรณ์อากาศ แจ้งเตือนสภาพอากาศได้อย่างแม่นยำล่วงหน้า 6 ชั่วโมง โดยจะแสดงเป็นสีไฟบนที่จับของร่ม
    ไฟ Super LED Light บนส่วนปลายของร่ม ส่องสว่างได้แม้ยามมืดมิดหรือหมอกลงจัด
    ระบบแจ้งเตือนป้องกันการลืมร่ม โดยที่มันจะแจ้งเตือนผ่านตัวเซ็นเซอร์เล็กๆที่ผู้ใช้งานจะต้องพกเอาไว้ ถ้าผู้ใช้งานอยู่ห่างจากร่มเกิน 30 ฟุต เซ็นเซอร์จะร้องเตือนทันที
    ดีไซน์สวยงาม ออกแบบมาให้จับร่มได้ถนัดมือ ตามหลักสรีรศาสตร์

ใครสนใจโปรเจคท์ร่มอัจฉริยะ พยากรณ์อากาศดังกล่าว สามารถเข้าไปสนับสนุนและ pre-order ได้ที่ Indiegogo  สนนราคาก็ประมาณ 1,750 บาท (49$) เหมือนจะแพง แต่ก็ไม่แพงเว่อร์มากนะ ถ้าคิดถึงความสะดวกสบายของร่มอัจฉริยะ พยากรณ์อากาศ …ที่ห่วงอย่างเดียวคือกลัวว่าจะลืมร่มอัจฉริยะ พยากรณ์อากาศอยู่ดี เพราะไม่ได้เอาตัวเซ็นเซอร์ออกมาติดตัวไว้น่ะสิ 55555

Cr.ข่าว ARIP,Synergy | Google+

27 ก.ค. 2559

สุดยอด 5 Gadgetsในออฟฟิศ


ในยุค ปัจจุบัน เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามามีอิทธิพลต่อเรามากขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะชีวิตการทำงานที่ต้องการความถูกต้อง แม่นยำและสะดวกรวดเร็ว! ทำให้บริษัทต่างๆคิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตการทำงานได้อย่าง สะดวกสบายออกมามากมายจนเลือกใช้กันแทบไม่ถูก และในวันนี้เราจะมาแนะนำ 5 แก็ดเจ็ต (Gadgets) เทคโนโลยีในออฟฟิศ ที่ควรมีไว้ในที่ทำงาน ที่รับรองว่าเจ๋งสุดๆ ช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้นจนต้องร้อง ว้าว!! แน่นอน


 เครื่องเก็บนามบัตร (Digital Name card Holder)

1. เครื่องเก็บนามบัตร (Digital Name card Holder)
เครื่อง เก็บ นามบัตรในรูปแบบของภาพ CG Digital หากเรานำนามบัตรที่ได้มาสอดเข้าด้านบน เครื่องเก็บนามบัตร จะสแกนนามบัตรใบนั้นเป็นรูปภาพแล้วทำการบันทึกลงในเครื่องให้ทันที โดยสามารถเก็บนามบัตรได้ถึง 5000 ใบ!! เมื่อไหร่ที่ต้องการหานามบัตรก็สามารถ Search ชื่อหรือหมุนปุ่มด้านข้างเพื่อเลือกหานามบัตรทีละใบก็ได้ สะดวกสุดๆ Gadgets สุดยอด !!!
คีย์บอร์ดแสงเลเซอร์ (Laser Keyboard)

2. คีย์บอร์ดแสงเลเซอร์ (Laser Keyboard)
นี้ ไม่ใช่ Gadgets คีย์บอร์ดธรรมดา แต่เป็นคีย์บอร์ดเกิดจากแสงเลเซอร์ที่ตัวเครื่องฉายออกมา วิธีการใช้งานก็ง่ายแสนง่ายไม่จำเป็นต้องต่อสายให้ยุ่งวุ่นวาย เพราะสามารถเชื่อมต่อกับ Tablet หรือ Smartphone ผ่านทางระบบ Bluetooth ได้ทันที เมื่อเปิดใช้งานให้วางเครื่องไว้บนพื้นระนาบ เครื่องจะยิงแสงเลเซอร์สีแดงเป็นรูปร่างของคีย์บอร์ดออกมาซึ่งเราสามารถใช้ พิมพ์ได้เหมือนคีย์บอร์ดจริงๆ เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้งานคีย์บอร์ดได้ทุกที่ทุกเวลา แถมพกพาได้สะดวกสุดๆ อีกด้วย !!!
สมุดโน๊ตดิจิตอล (Digital Notebook)

3. สมุดโน๊ตดิจิตอล (Digital Notebook)
สมุด โน๊ตดิจิตอล จะเชื่อมต่อกับ Smartphone หรือ Tablet ของเราผ่านระบบ Bluetooth ไม่ว่าเราจะเขียนข้อความอะไรลงไปในสมุด ข้อความเหล่านั้นจะถูกสแกนส่งไปในแอพพลิเคชั่นเป็นไฟล์รูปภาพที่หน้าตา เหมือนกับที่เราเขียนลงไปในสมุดแบบเป๊ะๆ แต่ที่พิเศษยิ่งกว่านั้น คือนอกจากจะสแกนข้อมูลต่างๆเป็นรูปภาพแล้ว สมุดโน๊ตดิจิตอล ยังสามารถอ่านค่าตัวหนังสือที่เราเขียนบนสมุด ออกมาเป็น Digital Text แบบที่เราพิมพ์บนคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย
สแตนแม่เหล็กเมโม (Memo Magnet Stand)

4. สแตนแม่เหล็กเมโม (Memo Magnet Stand)
เวลา นัดหมายหรืองานสำคัญๆ แปะMemoกันลืมเอาไว้รอบๆคอมพิวเตอร์หรือตามกำแพงอยู่เต็มไปหมด บางทีดูแล้วอาจไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อยแถมไม่เข้ากับยุคเทคโนโลยีใน ปัจจุบันแบบสุดๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีอุปกรณ์ Gadgetsที่เรียกว่าสแตนแม่เหล็กเมโมถือกำเนิดขึ้นมา!!
สแตนแม่เหล็กเมโม นี้ ไม่ได้เป็นแม่เหล็กที่ดูดเหล็กเหมือนทั่วๆไป แต่อุปกรณ์ที่สามารถดูดกระดาษได้!! โดยแผ่นกระดาษจะถูกดูดติดอยู่กับเครื่องด้วยพลังงานไฟฟ้า ขนาดกำลังพอเหมาะสามารถตั้งบนโต๊ะทำงานได้อย่างสบายๆ แถมใช้พลังงานจากถ่านไซส์ AA เพียงแค่4ก้อนเท่านั้น อะไรจะสะดวกขนาดนั้น!!
 เม้าส์สแกนเนอร์ (Mouse Scanner)

5. เม้าส์สแกนเนอร์ (Mouse Scanner)
Gadgets ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเม้าส์คอมพิวเตอร์ชิ้นนี้   แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่เม้าส์   แต่มันคือ เม้าส์สแกนเนอร์ (Mouse Scanner)!!   หรือ เครื่องสแกนแบบพกพา ที่เล็กกระทัดรัด ที่นอกจากจะพกพาสะดวกแล้ว ความสามารถของมันก็ยังไม่ธรรมดา เพราะ เครื่องสแกนแบบพกพา นี้มันสามารถสแกนเอกสารเฉพาะจุดได้เพียงแค่ลากเม้าส์สแกนเนอร์ (Mouse Scanner) ไปตามเนื้อหาที่ต้องการ เครื่องก็จะอ่านข้อมูลออกมาเป็นรูปภาพและสามารถปรับแต่งให้เสร็จสรรพก่อนทำการบันทึกได้อีกด้วย

Cr.Mthai

26 ก.ค. 2559

มาสเตอร์พาส (Masterpass)



บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดได้ปักอีกหนึ่งหมุดสำคัญในวงการ โดยนำเสนอ ‘มาสเตอร์พาส (Masterpass)’ บริการชำระเงินดิจิตอลระดับสากลใหม่สู่ลูกค้าในประเทศไทย ทั้งนี้ ‘มาสเตอร์พาส’ จะเป็นโซลูชั่นที่ช่วยให้ผู้บริโภควางใจในธนาคารหรือสถาบันผู้ออกบัตรเครดิตที่ตนเลือกเพื่อให้สามารถทำการชำระเงินด้วยระบบดิจิตอลที่ปลอดภัย สะดวก รวดเร็ว และไม่ซับซ้อน โดยสามารถชำระเงินด้วยทุกอุปกรณ์และช่องทางการจับจ่าย รวมทั้งในโลกออนไลน์ ทั้งนี้ บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่มอบบริการชำระเงินด้วยระบบดิจิตอลเต็มรูปแบบผ่านทุกช่องทางให้กับผู้บริโภค ผู้ออกบัตรเครดิต และผู้ค้า โดย ‘มาสเตอร์พาส’ ซึ่งเป็นวิธีการชำระเงินที่ปลอดภัยและล้ำสมัยที่สุดในยุคปัจจุบัน พร้อมกันนี้ บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดได้ประกาศรีแบรนด์เพื่อให้เหมาะกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในยุคดิจิตอล

Masterpass by Mastercard ทำให้การชำระเงินในทุกวันเป็นเรื่องง่าย

ไม่ว่าจะเป็นการซื้อตั๋วรถไฟจากมือถือ หรือจ่ายค่าอาหารโดยแยกบิลในระหว่างที่ยังนั่งอยู่ในร้าน ไปจนถึงการซื้อของกินของใช้ผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือ และการจองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ มาสเตอร์พาสจะช่วยให้การจ่ายเงินเป็นเรื่องง่ายดาย

ปัจจุบัน มีผู้ค้าออนไลน์ รวมถึงแอพพลิเคชั่นหลายแสนรายการที่รองรับระบบมาสเตอร์พาสแล้ว อาทิ Firehouse Subs, Masabi, MLB.com และ MLBShop.com, Office Depotและ ParkMobile ในส่วนของร้านค้านั้น ผู้บริโภคจะสามารถใช้มาสเตอร์พาสได้แล้ววันนี้ ในหมู่ผู้ค้ากว่า 5 ล้านราย ใน 77 ประเทศที่รองรับการชำระเงินโดยไม่ต้องมีการรูดบัตรเครดิต อาทิ BJ’s Wholesale Club การชำระเงินโดยไม่ต้องมีการรูดบัตรเครดิต หรือที่เรียกว่าContactless นี้จะเริ่มเปิดใช้เป็นที่แรกในสหรัฐอเมริกาสำหรับผู้ใช้อุปกรณ์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์

นอกจากนี้ ยังมีผู้ค้าอีกมากมายที่กำลังทยอยเปิดรับระบบมาสเตอร์พาสในอนาคตอันใกล้นี้ อาทิ JetBlue, Saks.com, Lord and Taylor.com, แอพพลิเคชั่น Subway และการซื้อ in-app ของ The Cheesecake Factory

ความเชื่อถือที่ได้รับผ่านธนาคารหรือผู้ออกบัตรเครดิตที่คุณวางใจ

มาสเตอร์พาสคือหนึ่งเดียวที่มอบอำนาจสู่ผู้ออกบัตรเครดิตให้สามารถนำเสนอโซลูชั่นการชำระเงินแบบดิจิตอลเต็มรูปแบบได้ภายใต้แบรนด์ที่เป็นของธนาคารเอง กว่า 80 ล้านบัญชีของผู้ถือบัตรเครดิตจะสามารถใช้มาสเตอร์พาสได้โดยอัตโนมัติผ่านสถาบันพันธมิตรที่ออกบัตรเครดิตทั้งหลาย ทันทีที่บริการนี้เปิดใช้ทั่วโลก ฟังก์ชั่นชำระเงินแบบดิจิตอลที่ได้รับการเสริมประสิทธิภาพนี้จะช่วยให้ผู้ออกบัตรเครดิตสามารถสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ที่ตนมีอยู่ได้ ทั้งนี้รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นธุรกรรมธนาคารผ่านมือถือด้วย โดยการรวมฟังก์ชั่นการชำระเงินแบบดิจิตอลเข้ากับบริการใหม่ๆ อย่างเช่น การแจ้งเตือนการซื้อสินค้า และการชำระด้วยแต้มสะสม เป็นต้น

ผู้ออกบัตรเครดิตในสหรัฐฯจะเริ่มเปิดใช้งานโซลูชั่นที่รองรับมาสเตอร์พาสได้ภายในปลายเดือนนี้ ตามมาด้วยบางประเทศในแถบยุโรป และตะวันออกกลาง/แอฟริกา ที่จะเริ่มใช้โซลูชั่นมาสเตอร์พาสคู่ขนานกันกับระบบเดิมภายในสิ้นปี 2559 นี้ จากนั้น จะเริ่มทยอยเปิดให้บริการมาสเตอร์พาสเพิ่มเติมในอเมริกาเหนือ ยุโรป ลาตินอเมริกาและคาริบเบียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก อย่างต่อเนื่องไปตลอดปี 2559 และ 2560

การรีแบรนด์บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด

ในโอกาศนี้ บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดยังประกาศเปลี่ยนรูปลักษณ์แบรนด์ (โลโก้) ใหม่ ในทุกช่องทางสื่อสารทั่วโลกเพื่อสื่อถึงความเป็นแบรนด์ที่มีหัวคิดก้าวหน้า มีความฉลาดลึกซึ้ง และไม่หลุดกระแส การผันตัวสู่ความเป็นดิจิตอลของการทำธุรกิจพาณิชย์ และความใกล้ชิดกับผู้บริโภค ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอลเพื่อเพิ่มทางเลือกในการชำระเงินให้ครอบคลุมทุกช่องทางอย่างไร้รอยต่อ เพื่อสื่อถึงความพร้อม และการรับมืออย่างมีประสิทธิภาพกับการเปลี่ยนแปลงนี้ บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดจึงได้เผยการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ ที่จะสื่อถึง การปรับให้ง่าย ให้ทันสมัย และให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้เหมาะกับโลกที่มีความเป็นดิจิตอลมากขึ้น ทั้งนี้ การรีแบรนด์ใหม่จะเริ่มจากการเปลี่ยนรูปลักษณ์แบรนด์ (โลโก้) ใหม่ และจะปรับสิ่งเชื่อมโยงอื่นๆ ทั้งหมดให้เป็นระบบการออกแบบองค์รวม เพื่อสื่อถึงความเป็นแบรนด์ที่มีหัวคิดก้าวหน้า มีความฉลาดลึกซึ้ง และไม่หลุดกระแส ในทุกช่องทางสื่อสารทั่วโลก

“บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก” นายราชา ราชมันนาร์ ประธานบริหารฝ่ายสื่อสารและการตลาดของบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดกล่าว “เพื่อให้เติบโตในโลกแห่งดิจิตอลใหม่ที่ธุรกิจมีการเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่เคย เราจึงต้องการที่จะปรับแบรนด์ให้มีความทันสมัย และยกระดับแบรนด์ด้วยการออกแบบที่ดูเรียบง่ายและหรูหราในคราวเดียวกัน โดยที่ดูอย่างไรก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใช่ บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด แน่ๆ”

การรีแบรนด์ครั้งนี้ รวมถึงระบบการออกแบบแบรนด์ที่ครอบคลุมที่สุดเท่าที่บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดเคยทำมาทั่วโลกนี้ โดยจะเริ่มทยอยนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ การสื่อสาร และประสบการณ์ทั้งหมดของบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด โดยจะเริ่มจากมาสเตอร์พาสในช่วงสิ้นเดือนนี้ และจะเริ่มในส่วนของบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดทั้งหมดในช่วงเดือนกันยายน

Cr.ข่าว Positioning,Synergy | Facebook

25 ก.ค. 2559

ชำระเงินยุคดิจิตอล

http://i-synes.com/media/wysiwyg/e-payment.jpg

   
     
                   การขยายตัวอย่างรวดเร็วของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ(E-Commerce) หรือซื้อขายทางโทรศัพท์ (Mobile Commerce) ได้นำไปสู่พัฒนาการอย่างก้าวกระโดดของระบบการชำระเงิน ทำให้ผู้บริโภคได้ใช้ระบบการชำระเงินแบบใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่า สัดส่วนการชำระเงินผ่านทางเลือกใหม่ๆ เช่น อี-วอลเลท (e-Wallet) การโอนเงินแบบเรียลไทม์ หรือทางโทรศัพท์มือถือจะเพิ่มขึ้นทั่วโลกจาก 43% ในปี 2012 เป็น 59% ในปี 2017
                     อัตราการเติบโตดังกล่าวจะสร้างโอกาสทางธุรกิจแก่ผู้ให้บริการการชำระเงิน หน้าใหม่อีกหลายราย และนอกจากการชำระเงินออนไลน์แล้ว ระบบชำระเงินแบบไร้สัมผัส (contactless payment) ผ่านเครื่องมือสื่อสารเคลื่อนที่ เช่น ระบบ Google Pay และ Apple Wallet ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น

                    เมื่อเร็วๆ นี้ ซัมซุงยังได้ร่วมมือกับมาสเตอร์ การ์ด เปิดให้บริการ ซัมซุง เพย์ (Samsung Pay) ที่ผู้ใช้งานสามารถชำระเงินค่าสินค้าผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้ขณะอยู่ภายใน ร้าน และระบบ LoopPay ที่ซัมซุงได้ซื้อเป็นกรรมสิทธิ์ก่อนหน้านี้ จะช่วยเสริมให้ระบบชำระเงินแบบใหม่สามารถใช้งานร่วมกับ เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก แบบเดิมได้อีกด้วย

                    ทั้งนี้ การชำระเงินยุคดิจิตอลแม้จะมีบริการชำระเงินใหม่ๆ มาให้เลือกใช้ แต่ความนิยมของผู้บริโภคก็ยังต่ำกว่าที่ผู้ให้บริการคาดไว้ เนื่องจากไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัย ผู้ให้บริการจึงคิดค้นระบบเสริมความปลอดภัยรูปแบบต่างๆ ขึ้น เช่น การใช้ข้อมูล biometrics เพื่อระบุและยืนยันตัวตนในระบบ Touch ID ของ Apple Pay และระบบ Smile to Pay ของ AliPay
                     นอกจากนี้ แอปเปิ้ล ยังต่อยอดนวัตกรรมด้านนี้ โดยการใช้ระบบ “Tokenization” ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบที่มีความปลอดภัยสูงสุดในปัจจุบัน โดยระบบที่ว่าใช้วิธีสุ่มชุดตัวเลขและตัวอักษร หรือที่เรียกว่า token ขึ้น แล้วเข้ารหัสเพื่อส่งไปยังระบบบริการชำระเงินหรือร้านค้าออนไลน์ ที่จะถอดรหัสชุดข้อมูลนั้นเพื่อยืนยันการชำระเงิน แทนการใช้ข้อมูลที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง Personal Account Number (PAN) ของบัตรเครดิต

                    เมื่อระบบ “Tokenization” ของแอปเปิ้ล (Apple Pay) เป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการรายเดิมอย่าง Google ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ ด้วยบริการ Android Pay ซึ่งเป็นการนำเอาเทคโนโลยี Tokenization มาใช้เสริมความปลอดภัยแก่การชำระเงินระบบ HCE (Host-Card Emulation) ทำให้ระบบนี้นอกจากจะมีข้อได้เปรียบด้านข้อมูลลูกค้าสัมพันธ์แล้ว ยังมีความปลอดภัยสูงอีกด้วย

                    ในรายงานระบุอีกว่า การชำระเงินยุคดิจิตอล พัฒนาการของระบบชำระเงินจัดว่ายังอยู่ในขั้นเริ่มแรก มีผู้ให้บริการหน้าใหม่ตลอดจนนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ ระบบ Tokenization นับได้ว่ามีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นมาตรฐานหลักด้านความปลอดภัยของการชำระเงิน ในอนาคต ในยุคที่นวัตกรรมการชำระเงินใหม่ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น ระบบดังกล่าวจะสามารถเข้ามาช่วยปิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและการปกป้อง ข้อมูลของระบบ EMV (EuroPay MasterCard and Visa) และ HCE และมีศักยภาพในการเป็นมาตรฐานใหม่ของระบบชำระเงินทั่วโลก

                    ความพยายามของ Visa และ MasterCard ที่จะผลักดันให้ระบบ HCE สามารถใช้งานบนโทรศัพท์มือถือได้นั้น ถือเป็นโอกาสดีที่จะทำให้โทรศัพท์มือถือที่รองรับระบบ NFC อยู่แล้วสามารถรองรับระบบ HCE ได้เพียงผ่านการอัพเกรดแอพพลิเคชั่น การที่โทรศัพท์มือถือสามารถใช้งานระบบ HCE ผนวกกับระบบ Tokenization ได้ (ซึ่งทำได้แล้วในกรณีของ Android Pay) จะพลิกโฉมของธุรกิจการชำระเงิน

                    อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนวัตกรรมการชำระเงินขึ้นอยู่กับการยอมรับในวงกว้างจากผู้ บริโภคและร้านค้า ลูกค้าจะตัดสินใจใช้ระบบชำระเงินใหม่ๆ ก็ต่อเมื่อสามารถมั่นใจได้ว่าร้านค้าส่วนใหญ่รองรับระบบนั้น และเช่นเดียวกันร้านค้าเองย่อมเลือกลงทุนติดตั้งระบบใหม่ หากมั่นใจว่ามีลูกค้าใช้ระบบนั้นมากเพียงพอ เพราะการเปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่อาจมีต้นทุนสูง ดังนั้นร้านค้าหลาย ๆ รายก็ยังใช้ระบบเดิมที่รับบัตรเครดิตผ่านเครื่องรูดบัตร ที่ยังมี ความปลอดภัยในระดับหนึ่งและคุ้มทุนกับการลงทุนในสภาวะเศรษฐกิจของโลกที่เป็นอยู่นี้

                    ส่วนรูปแบบของบริการใหม่ๆ ที่เราจะได้เห็นในอนาคตนั้นที่รอการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  ก็จะเกิดจากการนำเทคโนโลยีในหลายๆ ด้านมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ร้านค้าและธนาคารอาจนำระบบ Tokenization มาใช้ชำระเงินภายในร้านแบบ contactless และติดตั้งระบบ HCE เพื่อให้สามารถใช้งานกับเครื่องมือ NFC ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ หรือนำระบบเดิมมาประยุกต์เข้ากับระบบใหม่ อย่างเครื่องรูดบัตรเครดิตและการเช็กยอดการหักบัญชีผ่านทางธนาคารผ่านมือถือ

                   นอกจากนี้เว็บไซต์จำหน่ายสินค้าออนไลน์หรือระบบบริการชำระเงินอาจนำระบบ Tokenization ไปใช้เช่นกัน เช่น PayPal และ AliPay อาจใช้ token แทนการใช้อีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์ หรือรหัส PIN หลังบัตรเครดิต เพื่อเข้ารหัสข้อมูล ซึ่งหากข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างหมายเลขบัตรเครดิตของลูกค้าที่เดิมร้านค้า เป็นผู้เก็บรักษา จะสามารถถูกจัดเก็บในฐานข้อมูลของระบบ Tokenization ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่า ก็ย่อมจะทำให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจในความปลอดภัยของระบบมากยิ่งขึ้น


Cr. คมชัดลึก

21 ก.ค. 2559

แจกฟรี "ไอแพด" ให้ผู้สูงวัย




เมื่อเร็วๆ นี้ที่ประเทศญี่ปุ่นมีการแถลงถึงโครงการใหญ่ภายใต้ความร่วมมือของ 3 องค์กรธุรกิจ คือ แอปเปิล อิงค์., ไอบีเอ็ม กับการไปรษณีย์แห่งญี่ปุ่น (เจพีจี-แจแปน โพสต์ กรุ๊ป ซึ่งไม่ได้ประกอบกิจการไปรษณีย์อย่างเดียว แต่มีอีกหลายธุรกิจ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ ธุรกิจประกันชีวิต ที่ได้ชื่อว่าเป็นกิจการประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดของที่นั่น) นั่นคือ โครงการ "แจก" แท็บเล็ตไอแพด (Ipad) ให้กับผู้สูงอายุในประเทศญี่ปุ่น เริ่มต้นด้วยจำนวน 5 ล้านเครื่อง ในช่วงระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้

แนว คิดเบื้องหลังโครงการนี้น่าสนใจไม่น้อย แต่ก่อนที่จะทำความเข้าใจกับแนวคิดดังกล่าว ต้องทำความเข้าใจกับสังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่น ที่แตกต่างจากบ้านเราอยู่ไม่น้อย

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสัดส่วน ประชากรสูงอายุสูงที่สุดในโลก จำนวนผู้สูงอายุ (อายุเกิน 65 ปี) ในญี่ปุ่นตอนนี้มีมากถึง 33 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 25 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นราว 40 เปอร์เซ็นต์ในอีกเพียง 40 ปีข้างหน้า

สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง ไม่ว่าจะ "เต็มใจ" หรือ "ไม่เต็มใจ" ที่จะอยู่เช่นนั้นก็ตาม

นั่นทำให้บริการอย่าง "วอทช์ โอเวอร์ เซอร์วิส" ของเจพีจี กลายเป็นบริการยอดนิยมในประเทศญี่ปุ่น

"วอทช์ โอเวอร์ เซอร์วิส" คือบริการส่งพนักงานไปยังที่พักของลูกค้าสูงอายุ เพื่อตรวจสอบความเป็นอยู่และให้ความช่วยเหลือในเรื่องความเป็นอยู่เล็กๆ น้อยๆ อาทิ กำหนดการรับประทานยา กำหนดนัดพบแพทย์ หรือช่วยเหลือให้ผู้สูงอายุได้เข้าถึงบริการต่างๆ ที่ทางการจัดสรรให้กับพวกเขา และกับการจ่ายค่าบริการให้กับเจพีจีเป็นรายเดือน เป็นต้น

ตรงนี้เองที่ "ไอแพด" เข้ามามีบทบาท ภายใต้แนวคิดใหม่นี้ พนักงานของเจพีจีแทนที่จะไปพบลูกค้าเฉยๆ จะนำเอาไอแพดไป ด้วยทำหน้าที่เป็นครูสอนการใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดให้กับผู้สูงวัยทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานชุดแอพพลิเคชั่นที่ทางไอบีเอ็มออกแบบมาเป็นพิเศษ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเชื่อมโยงผู้สูงอายุเหล่านั้นเข้ากับเครือข่าย ทางสังคมของชุมชน, ครอบครัว และการบริหารจัดการเรื่องทางด้านสุขภาพของลูกค้าผู้สูงวัยเหล่านั้น นอกเหนือจาก "ความบันเทิง" ที่ผู้ใช้ไอแพดจะได้รับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

แอ พพลิเคชั่นของไอบีเอ็มจะเตือนให้ผู้ใช้ที่มีอาการป่วยรับประทานยาให้ตรงเวลา ไม่ลืมกินยา "ความดัน" ของตัวเองซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอาการถึงขั้นเสียชีวิต ในเวลาเดียวกัน ผู้ใช้ก็สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่น "เฟซไทม์" เพื่อติดต่อพูดคุยกับบุคคลในครอบครัวไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนได้ เช่นเดียวกับที่สามารถใช้มันเพื่อจองวันเวลาสำหรับใช้บริการช่างประปา เข้ามาซ่อมแซมอ่างล้างหน้าที่รั่วซึม เป็นต้น

ผู้บริหารของเจพีจีและแอปเปิลไม่ได้พูดถึงการใช้ไอแพดใน แง่ของอุปกรณ์เพื่อรับบริการ "เทเลเมดิซิน" หรือการแพทย์ทางไกล แต่ด้วยขีดความสามารถของเทคโนโลยีและเครือข่ายที่มีอยู่ในปัจจุบันในญี่ปุ่น การให้บริการเพื่อที่ผู้สูงอายุสามารถพบ ปรึกษาหารือกับแพทย์เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของตัวเองได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังโรงพยาบาลหรือคลินิก ไม่ได้เป็นเรื่องยากอีกต่อไป

ไอบีเอ็ม นอกจากจะทำหน้าที่ออกแบบแอพพลิเคชั่นแล้ว ยังเป็นตัวหลักในการพัฒนาระบบคลาวด์สำหรับเก็บข้อมูล รายละเอียดเกี่ยวกับลูกค้าทุกราย เชื่อมต่อกับไอแพดในมือ ผู้ใช้บริการทุกเครื่อง เจพีจี ที่ให้บริการ "วอทช์ โอเวอร์" มานาน ไม่เพียงเข้าใจถึงความต้องการและทรรศนะของบรรดาลูกค้าผู้สูงวัยเหล่านี้เท่า นั้น ยัง "ได้รับความไว้วางใจ" จากสังคมผู้สูงอายุของญี่ปุ่นสูงมากที่สุดอีกด้วย

ข้อมูลเหล่านี้มี ความสำคัญมากสำหรับการนำมาใช้ "สังเคราะห์" ด้วยระบบ เดต้า อะนาไลติค เพื่อขจัดข้อบกพร่อง หรือเพิ่มเติมบริการให้ตรงกับความต้องการมากยิ่งขึ้น หรือเพื่อให้การแจกไอแพดครั้งนี้มีประโยชน์ตรงกับวัตถุประสงค์ในการช่วยให้ ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตอยู่โดยลำพังอย่าง "ปลอดภัย" และ "มั่นคง" มากยิ่งขึ้น

หาก ประสบความสำเร็จ โครงการนี้ไม่เพียงสามารถขยายออกไปครอบคลุมสังคมผู้สูงอายุญี่ปุ่นเท่านั้น แต่อาจกลายเป็นตัวอย่างในการประยุกต์ใช้ที่ดีสำหรับสังคมของอีกหลายประเทศ ทั่วโลกที่เริ่ม "ชราภาพ" ลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน

ปัญหาก็คือโครงการริเริ่มนี้ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าไอแพดที่แจกออกไป มีประโยชน์ในการช่วยชีวิตและสร้างความมั่นคงให้กับผู้ชราภาพเหล่านั้นได้

Cr.มติชน,แบตสำรอง ipad

20 ก.ค. 2559

แวเรเบิลดีไวซ์ อาจไม่ปลอดภัย





อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (แวเรเบิลดีไวซ์ ) หรือ ,สายรัดข้อมือ เป็น เครื่อง ติดตามข้อมูลการออกกำลังกาย หรือ Fitness trackers นานาชนิดกำลังได้รับความนิยมช่วยการบริหารกิจกรรมฟิตเนส คู่กับอัตราการบริโภคแคลอรี่ และวงจรการดูแลสุขภาพให้อยู่ตัว แต่ก็มาพร้อมกับการประมวลข้อมูลสำคัญส่วนตัวมากมายของผู้สวมใส่ จึงต้องคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเหล่านั้น ดังนั้น นักวิจัยจากแคสเปอร์สกี้ แลป โรมัน อูนาเช็ค จึงทดลองตรวจสอบ สายรัดข้อมูลสำหรับออกกำลังกาย (fitness wristbands) ที่ต้องต่อเชื่อมกับสมาร์ทโฟนและพบว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าสะพรึงทีเดียว

ผลการวิจัยพบว่า วิธีการตรวจสอบตัวตนที่ถูกต้องในอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะหลาย ยี่ห้อที่เป็นที่นิยมนั้น กลับอนุญาตให้เธิร์ดปาร์ตี้ต่อเชื่อมเข้ามาโดยตรงที่อุปกรณ์ได้เลยเพื่อ ดำเนินตามคำสั่งต่างๆ ที่มีอยู่แล้วโดยที่เราไม่รู้เรื่อง และยังล่วงล้ำเข้ามาเก็บข้อมูลอื่นบนดีไวซ์นั้นไปด้วย โดยยังจำกัดอยู่กับจำนวนสเต็ปที่ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวก่อนหน้านั้นแต่ในอนาคต อันใกล้ เมื่อรุ่นต่อไปที่สามารถเก็บข้อมูลได้หลากหลายกว่านี้ออกวางตลาด ความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวทางการแพทย์ของผู้สวมใส่ก็จะเพิ่ม ขึ้นอย่างรู้สึกได้

การต่อเชื่อมแบบขอไปทีเช่นนี้ เอาความสะดวกที่อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะจะ จับคู่ (pair) กับสมาร์ทโฟนได้เลยดังนั้น ดีไวซ์ที่ใช้แอนดรอยด์ 4.3 หรือใหม่กว่า มักจะมีแอพที่ติดตั้งอยู่แล้ว และจับคู่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะจากเวนเดอร์บางยี่ห้อได้เลย เวลาต่อเชื่อมนั้นยูสเซอร์ต้องยืนยันเพียงกดปุ่มบนอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ร้ายสามารถแทรกแซงเข้าตรงนี้ได้ เนื่องจากไม่มีหน้าจอ จึงใช้การสั่นสะเทือนเพื่อยืนยันการจับคู่อุปกรณ์ ซึ่งเหยื่อไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ที่ได้ทำการยืนยันไปนั้นกับดีไวซ์ของตนหรือของคนอื่น

นักวิ เคราะห์มัลแวร์อาวุโส แคสเปอร์สกี้ แลป นายโรมัน อูนาเช็ค กล่าว“การทดสอบความเป็นไปได้นี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ แต่ก็ได้พิสูจน์ว่าผู้ร้ายมีวิธีอาศัยช่องโหว่ที่ผู้พัฒนาดีไวซ์นั้นเปิดอ้า ไว้ในการหาประโยชน์จนได้ ปัจจุบันเครื่องติดตามข้อมูลการออกกำลังกายยังไม่ค่อยก้าวหน้านัก เพียงนับสเต็ปและติดตามวงจรการนอนแต่ไม่ได้อะไรมากไปกว่านั้น แต่เจเนเรชั่นที่สองที่จะตามมาจะสามารถรวบรวมข้อมูลได้มากกว่านี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมตัวเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย ให้มีการป้องกันการสื่อสารระหว่างแทรคเกอร์กับสมาร์ทโฟนที่เหมาะสม”

ผู้เชี่ยวชาญของแคสเปอร์สกี้ แลป แนะนำยูสเซอร์ของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ(แวเรเบิลดีไวซ์ ) ที่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยที่ใช้ อยู่ ให้ตรวจสอบกับเวนเดอร์ถึงเวคเตอร์ที่อาจเป็นจุดที่แฮคเกอร์เจาะเข้ามาได้

Cr.M Thai

19 ก.ค. 2559

สุดยอดพลังงานทดแทน




สุดยอดพลังงานทดแทน บริษัทเทสลา (Tesla Motors) เปิดตัวสินค้าใหม่ซึ่งจะทำให้เทสลาไม่ใช่แค่ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่จะเป็นแบรนด์ผู้นำชาวโลกให้ร่วมปฏิวัติระบบเก็บพลังงานทดแทนสำหรับบ้านและ อาคารที่เชื่อว่าจะมีอิทธิพลสูงมากในอนาคต
      
       สินค้าใหม่ของเทสลาที่ซีอีโอมหาเศรษฐี “อีลอน มัสก์ (Elon Musk)” ภูมิใจนำเสนอนั้นมีชื่อว่า “เทสลา พาวเวอร์วอลล์ (Tesla Powerwall)” ถือเป็นการเปิดตัวสินค้ากลุ่มแบตเตอรี่สำหรับบ้านหรือ home battery product ตามที่มีข่าวลือมาก่อนหน้านี้
      
       แนวคิดของ Tesla Powerwall นั้นไม่ต่างจากพาวเวอร์แบงค์ หรืออุปกรณ์เก็บไฟฟ้าสำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไอทีพกพา ที่ผ่านมา ชาวออนไลน์มักเสียบปลั๊กชาร์จไฟเก็บไว้ในพาวเวอร์แบงก์(แบตเตอรี่สำรอง) ก่อนจะพกพาขณะเดินทาง เมื่อสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตแบตเตอรี่อ่อน ก็สามารถต่อสายเคเบิลกับที่ชาร์ตแบตสํารองเพื่อชาร์จไฟได้โดยไม่ต้องกังวลว่าสถานที่นั้นจะมีไฟฟ้าใช้งานหรือไม่
      
       สำหรับ Tesla Powerwall ผู้ใช้จะสามารถเก็บไฟฟ้าไว้สำรองใช้กับบ้านได้โดยไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยง ไฟดับ จุดต่างของ Tesla Powerwall กับระบบสำรองไฟทั่วไปคือการรองรับการเก็บพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซล รวมถึงการทยอยสำรองชาร์จไฟเก็บไว้ในช่วงที่มีผู้ใช้งานน้อย ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ประหยัดค่าไฟได้ หรือจะนำไปต่อกับหลอดไฟ ที่รองรับเป็นโคมไฟโซล่าเซลล์ ก็ได้
      
       ไม่เพียงบ้าน แต่ Tesla Powerwall ออกแบบมาสำหรับอาคารสำนักงานด้วย โดยความจุในการเก็บพลังไฟของ Tesla Powerwall แบ่งเป็นรุ่น 10 กิโลวัตต์ชั่วโมงและ 7 กิโลวัตต์ชั่วโมง สนนราคา 3,500 เหรียญสหรัฐและ 3,000 เหรียญตามลำดับ (ราว 112,000 และ 96,000 บาท) ราคานี้เป็นราคาสำหรับผู้ผลิตหรือซับพลายเออร์เท่านั้น ยังไม่รวมค่าติดตั้งและการเชื่อมต่อระบบแปลงไฟ
      
       เทสลาระบุว่า แบตเตอรี่สำหรับบ้านนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานพลังงานทดแทนจาก แสงอาทิตย์ ของบ้านเรือน ขณะเดียวกันก็สามารถสำรองไฟในกรณีฉุกเฉินได้ โดยนอกจาก 2 รุ่นความจุที่เปิดตัว   เทสลามีแผนผลิตแบตเตอรี่สำหรับสำนักงานที่มีความจุมหาศาลสำหรับใช้กับธุรกิจ ขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นในอนาคต

Cr.ผู้จัดการ

14 ก.ค. 2559

เฟสบุ๊ค Slideshow




ฟีเจอร์รูปและวิดีโอนั้นเป็นส่วนที่สำคัญอันดับต้นๆ ของทาง เฟสบุ๊ค เลยก็ว่าได้ เพราะการที่ได้เห็นภาพหรือคลิปของครอบครัว หรือเพื่อนๆ นั่นเป็นอะไรที่ดึงดูดและทำให้เรามีส่วนร่วมได้มากกว่าการอ่านสเตตัสนั่นเอง ซึ่งการทำให้ชีวิตออนไลน์ของคุณง่ายขึ้นกว่าเดิม ทำให้ เฟสบุ๊ค เปิดตัวฟีเจอร์ Slideshow ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายในการแบ่งบันทั้งรูปและวิดีโอเป็น Slideshow ในเวลาเดียวกันเลย ทำให้เราไม่พลาดกับช่วงเวลาสำคัญของเพื่อนๆ บน เฟสบุ๊ค

การใช้ Slideshow นั้นตัวแอพ เฟสบุ๊ค จะทำการ sync กับคลังภาพในมือถือของเรา และถ้าเราถ่ายคลิปหรือภาพมากกว่า 5 ไฟล์ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ทางแอพ เฟสบุ๊ค จะทำการรวบรวมไฟล์ต่างๆ มาให้เป็น Slideshow แล้วพรีวิวให้เราดูในหน้า News Feed ซึ่งเราสามารถไม่อัพลงก็ได้ หรือถ้าจะอัพลง เราก็สามารถเข้าไปแก้ไขส่วนประกอบการวางรูป แต่งธีม Slideshow ให้สวยงาม พร้อมกับการ Tag เพื่อนๆ ได้อีกต่างหาก

โดยตอนนี้เผยว่ามีธีมทั้งหมด 10 ตัวเลือกด้วยกันยกตัวอย่างเช่น epic, playful, nostalgic และ birthday ซึ่งแต่ละธีมก็จะมีสไตล์และเพลงประกอบธีมไม่เหมือนกัน ซึ่งธีมใหม่ๆ จะถูกเพิ่มเข้าไปหลังจากมีการเปิดใช้งานอย่างทั่วถึงไปได้ซักพัก ซึ่งจะว่าไปแล้วฟีเจอร์ Slideshow นั้นก็ไม่ใช่อะไรใหม่สำหรับบางคน เพราะว่าทาง เฟสบุ๊ค ได้ทดสอบปล่อยให้ใช้งานในประเทศที่ถูกเลือก ผ่านทาง photo-sharing app แต่สำหรับตอนนี้ ฟีเจอร์ดังกล่าวเปิดให้ใช้งานกันอย่างทั่วถึงเป็นที่เรียบร้อย

Cr.MThai,SYNERGY

มีอะไรใหม่บน Facebook

ปีนี้มีอะไรใหม่บน Facebook

ปีนี้มีอะไรใหม่บน Facebook
        ปีนี้   เครือข่ายสังคมอันดับ 1 ของโลกอย่าง “เฟซบุ๊ก” (Facebook) ถูกจับตามองใกล้ชิดในหลายวงการ เพราะการประกาศทดสอบระบบมากมายที่เชื่อกันว่าจะสามารถต่อยอดธุรกิจของเฟซบุ๊ก (Facebook)ในตลาดใหม่ได้อย่างยั่งยืน  ไม่ว่าจะเป็น Messenger  ฯลฯ

      ท่ามกลางนักวิเคราะห์ที่ฟันธงว่า สิ่งที่เฟซบุ๊ก (Facebook)ทำและสถิติที่สรุปได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี  นี้จะนำไปสู่เม็ดเงินรายได้เข้ากระเป๋าเฟซบุ๊ก (Facebook)มูลค่าหลักพันล้านแน่นอน
     
       ที่ฮือฮาที่สุดต้องยกให้การเปิดเสรีแชตผ่านแอปพลิเคชัน “แมสเสนเจอร์” (Messenger) โดยไม่ต้องมีบัญชีเฟซบุ๊ก (Facebook) หมากเกมนี้ของเฟซบุ๊กมีนัยซ่อนอยู่เพราะการเปิดเสรีจะทำให้แอป Messenger นั้นมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นแตะหลักพันล้านคน ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้นับหมื่นล้านเหรียญสหรัฐในอีก 5 ปี ผ่านบริการชำระเงินในแอป Messenger เมือซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ หรือ ผ่านตามห้างสรรพสินค้า ด้วยระบบบาร์โค้ด (Barcode) ผ่านเครื่องอ่านบาร์โค้ด
     
       ฮือฮารองลงมาคือ เฟซบุ๊กประกาศลุยให้บริการ “เฟซบุ๊ก ไลต์” (Facebook Lite) เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้เครือข่าย 2G ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งจะมีผลช่วยให้ฐานผู้ใช้ และสถิติการชมสื่อบนเฟซบุ๊กยิ่งขยายตัวมากขึ้นอีก โดยเฉพาะยอดชมวิดีโอที่กำลังไล่ตีตื้นเบอร์ 1 อย่างยูทิวบ์ (YouTube) เข้าไปทุกที
     
       นอกจากนี้ ยังมีการประกาศทดสอบระบบกรอกข้อมูลการตลาดอัตโนมัติที่จะดึงข้อมูลประวัติ ของผู้ใช้มาเติมโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์ ซึ่งไม่ใช่เพียงข้อมูลอย่างอีเมล ชื่อ หรือวันเกิดของตัวเอง แต่ยังมีโอกาสที่ข้อมูลเจาะลึกเช่นตำแหน่งงาน ชื่อบริษัทที่ทำงาน รวมถึงรหัสไปรษณีย์ จะถูกเติมลงในแบบฟอร์มแบบอัตโนมัติด้วย การทดสอบระบบนี้เกิดขึ้นท่ามกลางข่าวพัฒนาการอัจฉริยะของระบบวิเคราะห์ ข้อมูลตัวตนบนเฟซบุ๊ก (Facebook) รวมถึงการระบุตัวตนผู้ใช้ได้แม้จะเห็นใบหน้าเพียงเสี้ยวเดียว
     
เปิดเสรีแชต Messenger
     
       25 มิถุนายน ที่ผ่านมา เจ้าพ่อเครือข่ายสังคมอันดับ 1 ประกาศเปิดเสรีให้ผู้ใช้สามารถลงชื่อใช้งานแอปพลิเคชันแชต “Messenger” ได้โดยไม่ต้องใช้บัญชีเฟซบุ๊ก (Facebook) เพียงใช้เบอร์โทรศัพท์ก็สามารถส่งข้อความสนทนากับเพื่อนฝูงได้ทั่วโลก
     
       นักสังเกตการณ์เชื่อว่า เฟซบุ๊ก (Facebook)กำลัง พยายามเพิ่มจำนวนผู้ใช้แอปพลิเคชันแชต Messenger ที่ให้บริการแบบแยกเดี่ยว (standalone) อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ซีอีโอผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กเคยประกาศว่า ต้องการให้ Messenger เป็นประตูเชื่อมต่อร้านค้าปลีก ร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจอื่นๆ กรณีที่มีการทานช็อปตามร้านต่าง ๆ ผ่านเครื่องรูดบัตร หรือ เครื่องอ่านบัตร หรือซื้อสินค้าผ่านเครื่องสแกนบาร์โค้ด (Barcode)
     
       ก่อนการเปิดเสรีแอปพลิเคชัน Messenger มีผู้ใช้ราว 700 ล้านคน (รวมยอดผู้ใช้รายใหม่ 100 ล้านคนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาแล้ว) จุดนี้เชื่อว่าการเปิดเสรีจะทำให้ Messenger มีฐานผู้ใช้เข้าใกล้หลัก 1 พันล้านอย่างรวดเร็ว
     
       ถามว่าทำไมเฟซบุ๊ก (Facebook)ต้อง เร่งมือขยายฐานผู้ใช้ คำตอบคือ กลยุทธ์หารายได้ที่เฟซบุ๊กบอกใบ้ไว้ต่อสังคมเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ครั้งนั้น เฟซบุ๊กเปิดบริการรับส่งเงินระหว่างผู้ใช้ (peer-to-peer payment) บนแอปพลิเคชัน Messenger แบบฟรีไม่มีค่าธรรมเนียมโอน ซึ่งเรียกคะแนนจากผู้ใช้อย่างเต็มเปี่ยม
     
       ระบบโอนเงินบน Messenger ไม่เพียงทำให้การซื้อสินค้า และบริการบน Messenger เกิดขึ้นได้ง่ายเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ับริการผ่านออนไลน์ หรือช็อปปิงตามร้านค้าผ่านเครื่องยิงบาร์โค้ด (Barcode) แต่ยังช่วยให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันได้ลืมตาอ้าปากผ่านการสร้างสรรค์แอปพลิเคชันสำหรับ Messenger จุดนี้เฟซบุ๊ก (Facebook)เคย ประกาศในเดือนมีนาคมว่า จะพยายามชักจูงให้แบรนด์และธุรกิจใช้ Messenger เป็นช่องทางในการออกใบเสร็จรับเงิน แจ้งข้อมูลสถานะการจัดส่งสินค้า รวมถึงการจัดการงานบริการลูกค้าที่ทั่วถึง
     
       หากเฟซบุ๊ก (Facebook)สามารถ แทรกตัวเพื่อให้บริการสุดยอดช่องทางสื่อสารระหว่างธุรกิจ และผู้บริโภคได้สำเร็จ เฟซบุ๊กก็จะยิ่งมีโอกาสสร้างเงินรายได้มากขึ้นตามไปด้วย จุดนี้ธนาคารแห่งชาติเยอรมนี (ธนาคาร Deutsche) ได้คาดการณ์ว่า แอป Messenger นั้นจะมีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 พันล้านคน และสามารถสร้างรายได้ 9-10 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี พ.ศ.2563
     
       ธนาคาร Deutsche ประเมินว่า บริการทางการเงินบน Messenger สามารถทำเงินได้มากกว่า 49 ล้านเหรียญสหรัฐแล้วในวันนี้ แต่ในปี พ.ศ.2563 จะทำเงินได้ 4.224-4.827 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 17% ของรายได้จากโฆษณาของเฟซบุ๊ก (Facebook)ทั้งหมด

Facebook เพื่อชาวเน็ต 2G
     
       หลังจากมีแผนส่ง Facebook Lite ลงเจาะประเทศกำลังพัฒนา 8 ประเทศ อย่าง บังกลาเทศ เนปาล ไนจีเรีย แอฟริกาใต้ ซูดาน ศรีลังกา เวียดนาม และซิมบับเว เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ล่าสุด โครงการนี้ทยอยเปิดตัวสู่ระดับโลกต่อเนื่อง โดยในผู้ใช้ในภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา ละตินอเมริกานั้นสามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้ก่อนชาวยุโรป
     
       ข้อมูล ระบุว่า Facebook Lite นี้มีการขยายสู่ประเทศอินเดีย และฟิลิปปินส์แล้ว เฉพาะอินเดีย เฟซบุ๊กมีฐานผู้ใช้มากกว่า 125 ล้านคน และ 90% เป็นผู้ใช้งานผ่านอุปกรณ์พกพา จุดนี้แม้โลกจะมีเครือข่าย 4G แล้ว แต่เครือข่าย 2G ที่ช้ากว่าก็ยังเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยม



       เฟสบุ๊ค ไลฟ์ (facebook live) สำหรับสมาร์ทโฟน Android กำลังจะรองรับฟีเจอร์ในการสตรีมมิ่งวิดีโอถ่ายทอดสด หรือ เฟสบุ๊ค ไลฟ์ (facebook live)  ภายในเร็ว ๆ หน้านี้ โดยจะเริ่มที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนแล้วจึงขยายออกไปยังประเทศอื่นๆต่อไป ฟีเจอร์ เฟสบุ๊ค ไลฟ์ (facebook live)  จะทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายอดวิดีโอแบบสดๆผ่านทางแอป เฟสบุ๊ค ไลฟ์ (facebook live) ได้ ซึ่งได้เปิดให้บริการฟีเจอร์ใน ใน iOS กว่า 30 ประเทศทั่วโลก

       ดูเหมือนว่าผู้คนกำลังให้ความสนใจฟีเจอร์ดังกล่าวของ เฟสบุ๊ค ไลฟ์ (facebook live) มากในเดือนนี้ เพราะด้วยฟีเจอร์นี้ จะทำให้ News Feed ของ เฟสบุ๊ค ไลฟ์ (facebook live) ยิ่งทวีความเป็นรายงานสดมากขึ้นไปอีก ทาง เฟสบุ๊ค ไลฟ์ (facebook live) ได้กล่าวว่า มีผู้ใช้ เฟสบุ๊ค ไลฟ์ (facebook live) สนใจรับชมวิดีโอที่ถ่ายทอดสดเป็นระยะเวลารวมกันนานกว่าวิดีโอที่ไม่ได้ถ่ายทอดสดถึง 3 เท่า โดยรับชมผ่าน เฟสบุ๊ค ไลฟ์ (facebook live) Live และผู้ชมกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้ใช้ Android
     
       ผู้บริหารเฟซบุ๊ก (Facebook)ประเมิน ว่า ปัจจุบันผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนอุปกรณ์พกพาผ่านเครือข่าย 2G นั้นมีจำนวนมากกว่า 875 ล้านคนทั่วโลก จุดนี้ทำให้เฟซบุ๊กต้องการสร้างประสบการณ์ยอดเยี่ยมเพื่อเข้าถึงคนกลุ่มนี้
     
       แม้ Facebook Lite จะไม่รองรับคุณสมบัติที่ต้องมีการรับส่งข้อมูลจำนวนมาก เช่น วิดีโอ แต่ขณะนี้สถิติการชมวิดีโอบนเฟซบุ๊กนั้นกำลังขยายตัวสุดขีด ซึ่งไม่แน่ Facebook Lite อาจจะเป็นฐานสำคัญที่ทำให้เฟซบุ๊กมียอดใช้บริการคุณสมบัติสูงในอนาคตก็ได้
     
       จากการสำรวจเมื่อกลางเดือนมิถุนายนพบว่า แม้ยอดชมวิดีโอออนไลน์บนยูทิวบ์จะยังเป็นอันดับ 1 ด้วยตัวเลขทะลุหลัก 3 ล้านล้านครั้งในปีนี้ แต่ยอดชมบนเฟซบุ๊ก (Facebook)กำลังมีแนวโน้มทะยานสู่หลัก 2 ล้านล้านครั้ง เรียกว่าเฟซบุ๊ก (Facebook)มีโอกาสครองยอดชมวิดีโอออนไลน์ 2 ใน 3 ของยอดชมวิดีโอบนยูทิวบ์
     
       บริษัทวิจัยตลาดแอมแปร์ อนาลไลสิส (Ampere Analysis) พบว่า ยอดชมวิดีโอบนยูทิวบ์ถูกมองว่าเด่นเฉพาะในแง่ปริมาณ หรือ volume แต่ยอดชมวิดีโอบน Facebook นั้นโดดเด่นเรื่องคุณภาพมาก เนื่องจากผู้ชมทุกคนจะต้องลงชื่อใช้งาน หรือ log in แน่นอนว่าเหล่าแบรนด์จะมีข้อมูลของผู้ชมบนเฟซบุ๊กมากกว่าบนยูทิวบ์
     
ข้อมูลสะพัดจาก Facebook
     
       ที่ผ่านมา นักการตลาดจำนวนมากต้องสร้างระบบเพื่อดึงให้ชาวออนไลน์เข้ามาลงทะเบียน สำหรับการรับส่งข่าวสารในอนาคต ล่าสุด เฟซบุ๊ก (Facebook)ริ เริ่มทดสอบระบบดึงข้อมูลชื่อ และอีเมลแอดเดรสของผู้ใช้แบบอัตโนมัติ ทำให้นักการตลาดทั่วโลกกำลังจะมีวิธีรวบรวมข้อมูลของผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น กว่าเดิม
     
       เฟซบุ๊ก (Facebook)ทดสอบ ระบบนี้ในโฆษณาบนอุปกรณ์พกพา ชื่อของบริการคือ “ลีด แอดส์” (lead ads) นักการตลาดจะสามารถใช้ระบบนี้ในกรณีที่ขอให้ผู้ใช้ลงชื่อเพื่อรับอีเมล หรือโทรศัพท์สำหรับแจ้งข้อมูลของสินค้า และบริการเพิ่มเติม ซึ่งเมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กคลิกสมัครสมาชิก หรืออ่านโฆษณาที่ผูกพ่วงกับแบบฟอร์มอัตโนมัติ ระบบของเฟซบุ๊กจะเป็นผู้เติมแบบฟอร์มนั้นให้อัตโนมัติโดยดึงข้อมูลจากประ วัติเฟซบุ๊กโปรไฟล์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้ใช้ยินยอมเปิดเผยอยู่แล้ว เช่น ชื่อจริง อีเมลแอดเดรส เบอร์โทรศัพท์ และรหัสไปรษณีย์
     
       แต่ด้วยความที่รูปแบบของแบบฟอร์มที่จะสามารถกรอกข้อมูลได้อัตโนมัตินั้นมี หลากหลาย ซึ่งนักการตลาดจะสามารถเลือกรูปแบบที่เหมาะต่อโฆษณาโมบายของตัวเองที่ลงไว้ กับเฟซบุ๊ก (Facebook)ได้อย่างเสรี นี่เองที่ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลอื่น เช่น ประเทศที่อยู่ ชื่อบริษัท ชื่อตำแหน่งงาน รวมถึงสถานภาพอื่นอาจจะถูกกรอกลงในแบบฟอร์มแบบอัตโนมัติได้ด้วย
     
       การทดสอบนี้สะท้อนว่า เฟซบุ๊ก (Facebook)กำลัง พยายามตอบโจทย์นักการตลาดที่ใส่ใจต่อกลุ่มผู้คลิกชมโฆษณาเป็นพิเศษ ซึ่งจะเป็นคนละกลุ่มกับนักการตลาดที่ให้น้ำหนักต่อยอดชมโฆษณาแบบผ่านตาเพื่อ สร้างแบรนด์เป็นหลัก จุดนี้ข้อมูลระบุว่า ปีที่ผ่านมา นักโฆษณาที่เน้นกลยุทธ์ตอบสนองลูกค้ารายคน มีการลงโฆษณาคิดเป็นสัดส่วน 59% ของยอด 5.01 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐที่สะพัดในวงการโฆษณาดิจิตอลแดนลุงแซม
     
       สถิติเหล่านี้สะท้อนคุณค่าของข้อมูลผู้ใช้ เหตุผลนี้ทำให้เฟซบุ๊ก (Facebook)ประกาศ เพิ่มความสามารถให้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊กต่อเนื่องตลอดเวลา สำหรับครึ่งปีแรกปีที่ผ่านนี้ เฟซบุ๊กทดสอบอัลกอริธึมใหม่ที่สามารถวิเคราะห์ความสนใจของผู้ใช้งานแต่ละราย บนคอนเทนต์หลากหลาย ขณะเดียวกัน ก็พัฒนาระบบวิเคราะห์ภาพ ทำให้เฟซบุ๊กสามารถระบุตัวตนผู้ใช้ได้แม้จะเห็นภาพใบหน้าผู้ใช้เพียงครึ่ง เดียว
     
       เพื่อทดสอบอัลกอริธึมดังกล่าว ทีมงานของเฟซบุ๊ก (Facebook)ได้ รวบรวมภาพบุคคลจากเว็บไซต์ฟลิกเกอร์ (Flickr) จำนวน 40,000 ภาพมาให้ระบบทำการวิเคราะห์ และพบว่า ความแม่นยำในการระบุตัวบุคคลนั้นสูงถึง 83% แม้ว่าภาพบางภาพจะเห็นใบหน้าไม่ครบ ภาพไม่ชัด หรือเป็นภาพใบหน้าด้านข้าง แต่อัลกอริธึมก็สามารถหาเอกลักษณ์ของบุคคลในภาพเพื่อมาวิเคราะห์ได้อย่างถูก ต้อง เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือทรงผม
     
       ...ครึ่งปีแรกผ่านไปแล้ว ครึ่งปีที่ผ่านมา ของเฟซบุ๊กสนุกแน่นอน.. คงรอดูว่าจะมีอะไรใหม่ ๆ บน Facebook

Cr.ผู้จัดการ

13 ก.ค. 2559

ซอฟต์แวร์ บังคับ Drone


ในช่วงที่ผ่านมา อากาศยานไร้คนขับ (drone)หรือโดรนในประเทศไทย ได้รับความสนใจขึ้นมาก ดังจะเห็นได้จากการนำอากาศยานไร้คนขับ (drone)มาใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การถ่ายภาพในมุมสูงเพื่อความบันเทิง เพื่อการท่องเที่ยว หรือการลาดตระเวนในทางทหาร ทว่าการใช้งานในภาคสนามเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยังไม่เคยมี นักวิจัยและพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ (drone)ของไทยจึงพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ (drone)ในรูปแบบใหม่ที่นอกจากจะใช้ประโยชน์ ได้เป็นอย่างดี ยังบินไปยังเป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจงดีกว่าอากาศยานไร้คนขับ (drone)ทั่วไป
     
ด้วยเหตุนี้ นายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ ผู้คลุกคลีอยู่กับวงการอากาศยานไร้คนขับมานานนับ 17 ปีตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม จึงได้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อทำให้อากาศยานไร้คนขับ (drone)ที่มีขายในท้องตลาดทั่วไปสามารถใช้งาน ได้เฉพาะทางยิ่งขึ้น พัฒนาซอฟแวร์ต่อยอดเอาง่ายกว่า นักวิจัยไทยยกระดับอากาศยานไร้คนขับ (drone)จีนด้วยโปรแกรมบินตามพิกัด แชร์โลเคชันปั๊บบินปุ๊บ

เตรียมประยุกต์ใช้กับการขนส่งเครื่องมือแพทย์ในเหตุขับขัน นำร่องใช้แล้วใน 5 หน่วยงานภาครัฐฯ โดยตั้งเป้าให้เป็นอากาศยานไร้คนขับ (drone)ใช้งานทางการแพทย์, อากาศยานไร้คนขับ (drone)ใช้งานทางการทหาร และอากาศยานไร้คนขับ (drone)ใช้งานด้านการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการใช้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์และความมุ่งมั่นนานนับ 8 เดือนเพื่อเปิดซอร์สโค้ดของอากาศยานไร้คนขับ (drone)แล้วเพิ่มซอฟแวร์ RCSA Location ลงไปเพื่อให้อากาศยานไร้คนขับ (drone)สามารถบินไปตามพิกัดที่ระบุไว้ได้ โดยอากาศยานไร้คนขับ (drone) ส่วนใหญ่ที่นำมาพัฒนาเป็นอากาศยานไร้คนขับ (drone)สัญชาติจีนที่ซื้อมาในราคาตัวละ 120,000 บาทด้วยทุนของตัวเอง
     
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า อากาศยานไร้คนขับ (drone)ที่สามารถบินไปได้ตามพิกัดจีพีเอสยังไม่มีในประเทศ อากาศยานไร้คนขับ (drone)ที่เขาพัฒนาขึ้นจึงถือเป็นแห่งแรกในไทย เพราะอากาศยานไร้คนขับ (drone)ทั่วไปจะบินไปได้ด้วยการป้อนคำสั่งของเจ้าหน้าที่ผ่านหน้าจอแสดงผล การบินทางอินเทอร์เน็ตหรือการระบุพิกัดแบบคร่าวๆ ทำให้การลงจอดยังไม่ตรงจุดมากพอ ในขณะที่อากาศยานไร้คนขับ (drone)นี้จะสามารถทำได้เพราะมีการกำหนดตำแหน่งด้วยพิกัดละติจูดและลอง ติจูดของพื้นที่เป้าหมาย

โดยหลังจากมีการป้อนพิกัดเข้าสู่ระบบในเวลาไม่ถึง 1 นาทีอากาศยานไร้คนขับ (drone)จะเริ่มออกบินไปยังสถานที่นั้น และลงจอดเพื่อปฏิบัติภารกิจอย่างแม่นยำในระดับตารางเมตร ทำให้เหมาะกับการใช้งานเพื่อส่งสิ่งของในลักษณะการกู้ภัย หรือการส่งเครื่องมือแพทย์สำหรับการปฐมพยาบาลเช่น เครื่องปั๊มหัวใจขนาดเล็กที่มีน้ำหนักประมาณ 220 กรัม โดยอากาศยานไร้คนขับ (drone) 1 ตัวจะสามารถบรรทุกสิ่งของได้ประมาณ 400 กรัม
     
อากาศยานไร้คนขับ (drone)ที่ใช้กันอยู่จะบินได้ก็ต่อเมื่อผู้บังคับรู้สถานที่ที่จะไปลงจอดแต่ ถ้าเราไม่รู้ล่ะจะทำอย่างไร สมมุติว่ามีคนหลงอยู่กลางป่า เราไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ป่าส่วนไหน แต่ถ้ามือถือของเค้ายังสามารถใช้งานและแชร์โลเคชั่นมายังศูนย์ควบคุมอากาศยานไร้คนขับ (drone)ได้ อากาศยานไร้คนขับ (drone)ก็จะบินไปให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น หรือถ่ายรูปกลับมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่การเดินทางเข้าไปช่วยของเจ้าหน้าที่

เช่นเดียวกันกับประโยชน์ทางการแพทย์สมมติมีอุบัติเหตุรถชนกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก รถพยาบาลเข้าถึงตัวผู้ป่วยไม่ได้และต้องการเครื่องปั๊มหัวใจฉุกเฉิน คนที่อยู่บริเวณนั้นสามารถโทรมาที่ศูนย์ควบคุมเพื่อแจ้งพิกัดกับเครื่องมือ ที่ต้องการ อากาศยานไร้คนขับ (drone)ก็จะรีบบินไปให้ความช่วยเหลือ" นายพิศิษฐ์ นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ เผย
     
ซึ่งขณะนี้ได้มีการมอบให้กับอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จ.นครสวรรค์, พระที่นั่งอัมพรสถาน, หน่วยปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า (หน่วยฯ พญาเสือ) จ.ประจวบคีรีขันธ์, หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 491 กองทัพเรือ เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล และค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรีสำหรับการใช้งาน

อย่างไรก็แม้ว่าขณะนี้จะพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ (drone)จนประสบความสำเร็จไปหลายตัวแล้ว ทว่านายพิศิษฐ์ได้เผยแก่ทีมข่าวผู้จัดการวิทยาศาสตร์ว่ายังไม่คิดทำขายใน เชิงพาณิชย์เพราะอยากทำให้กองทัพและหน่วยงานภาครัฐฯ ได้ใช้ก่อน และด้วยศักยภาพของอากาศยานไร้คนขับ (drone)ที่อาจพัฒนาไปเป็นอาวุธได้ทำให้ขณะนี้ได้จดสิทธิบัตร คุ้มครองแล้ว

Cr.ผู้จัดการ, SYNERGY

โดรนจิ๋ว (Cicada Drone)

    โดรนจิ๋ว (Cicada Drone)

โดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ของกองทัพสหรัฐฯ นักวิจัยกองทัพสหรัฐฯ พัฒนาโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ขนาดเท่าฝ่ามือ มีชื่อเรียกว่าจักจั่นหรือ “ซิคาดา” (Cicada) ซึ่งเป็นแมลงที่สร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนา จากการที่จักจั่นใช้เวลาอยู่นานหลายปี ก่อนจะโผล่ขึ้นมาเป็นฝูง สืบพันธุ์และตายตกสู่พื้นดิน
     
       “แนวคิดตอนนั้นคือทำไมเราไม่ทำ ยานบินไร้คนขับ UAV (Unmanned Aerial Vehicle) ที่มีอะไรคล้ายๆ กันบ้าง ถ้าเราจะปล่อยโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ออกไปที่ละมาก ๆ แล้วศัตรูจะเก็บโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ของเราได้หมดเลยจริงเหรอ ” อารอน คาห์น (Aaron Kahn) จากห้องปฏิบัติการวิจัยกองทัพเรือสหรัฐกล่าว 
     
       สำหรับชื่อ Cicada ย่อมาจาก  Covert Autonomous Disposable Aircraft ซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็นยานบินไร้คนขับ ที่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ถูกกว่า และเรียบง่ายกว่าหุ่นยนต์อากาศยานอื่นๆ แต่ยังคงภารกิจในสนามรบที่อยู่ห่างไกลได้ โดยต้นแบบมีราคาเพียง 1,000 เหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าราคาจะลดลงไปเหลือเพียง 250 เหรียญสหรัฐฯ
     
       นักวิจัยเผยว่าชิ้นส่วนของยานซิคาดา (Cicada) มีเพียง 10 ชิ้น ส่วนการวัดชิ้นส่วนงานแต่ละชิ้นก็อาศัย ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) มาช่วย  แล้วระหว่างที่ประกอบกันได้ใช้เครื่องมือวัด (Micrometer ) เพื่อความแม่นยำ การประกอบก็เหมือนเครื่องบินกระดาษที่ใช้เพียงแผงวงจรเล็กๆ และไม่ต้องใช้มอเตอร์เพื่อขับเคลื่อน อีกทั้งยังออกแบบให้ร่อนไปตามพิกัดจีพีเอส (GPS) ที่โปรแกรมไว้ หลังจากถูกปล่อยจากเครื่องบิน บอลลูนหรือโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ลำใหญ่
      
       จากการทดสอบเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมาในเมืองยูมา รัฐแอริโซนา สหรัฐฯ โดยปล่อยยานซิคาดา(Cicada) ลงมาจากระดับความสูง 17,500 เมตร พบว่าโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)บินหรือตกลงเป็นระยะทาง 17 กิโลเมตร ก่อนจะลงจอดภายในระยะ 15 ฟุตจากเป้าหมาย และโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)จักจั่นนี้ยังบินได้ด้วยความเร็ว 74 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้อย่างเงียบๆ และไม่ต้องใช้เครื่องหรือระบบขับดันใดๆ
     
       “มันเหมือนนกบินลงมา แต่มันก็มองเห็นได้ยาก” เดเนียล เอ็ดเวิร์ดส (Daniel Edwards) วิศวกรการบินจากห้องปฏิบัติการวิจัยกองทัพเรือสหรัฐฯ กล่าว
     
       ในการทดสอบการบินโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ซิคาดายังมีเซนเซอร์ที่ส่งข้อมูลสภาพอากาศกลับมายังศูนย์ควบคุมได้ ทั้งอุณหภูมิ ความดันอากาศและความชื้น ซึ่งทีมวิจัยระบุว่า โดรนจิ๋ว (Cicada Drone)นี้ควรถูกใช้ภารกิจหลายๆ ด้าน และติดตั้งเซนเซอร์น้ำหนักเบาหลายชนิด รวมถึงติดไมโครโฟนด้วย
     
       “พวกมันคือหุ่นยนต์นกพิราบ คุณบอกจุดหมายให้พวกมันไป และพวกมันก็จะไปยังจุดหมายนั้น” เอ็ดเวิร์ดกล่าว
     
       อีกหนึ่งภารกิจที่น่าจะเป็นไปได้ในการใช้โดรนจิ๋ว (Cicada Drone)นี้คือการใช้สอดส่องการจราจรบนเส้นทางไกลนอกเขตแดนของศัตรู โดยคาห์นได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อติดตั้งไมโครโฟนหรือเครื่องตรวจวัดการสั่นสะเทือน ปล่อยโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ลงบนถนน แล้วโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)เหล่านั้นก็จะบอกว่า ได้ยินเสียงรถบรรทุกหรือเสียงรถเก๋งบนถนน แล้วคำนวนหาทั้งความเร็วและทิศทางที่ยานพาหนะเหล่านั้นมุ่งหน้าไป
     
       นักวิจัยระบุอีกว่า โดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ขนาดเล็กนี้ยังสามารถติดตั้งเซนเซอร์แม่เหล็กเพื่อตรวจจับเรือดำน้ำ ของฝ่ายตรงข้าม หรือเพื่อลอบฟังการติดต่อสื่อสาร แต่การติดตั้งอุปกรณ์ป้อนภาพวิดีโอกลับเป็นเรื่องยากเพราะการคัดลอกวิดีโอ นั้นต้องใช้ช่วงความถี่ของคลื่นวิทยุหรือแบนด์วิดธมาก
     
       อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งการใช้งานช่วงแรกจะเป็นงานนอกสนามรบอย่างการพยากรณ์อากาศก่อน ซึ่งนักอุตุนิยมวิทยาที่พยายามคาดการณ์การเกิดพายุทอร์นาโด ต้องอาศัยข้อมูลอุณหภูมิที่บันทึกจากภาคพื้น แต่โดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ซิคาดาจะให้ข้อมูลอุณหภูมิมากมายที่อ่านได้จากอากาศ ซึ่งจะให้ข้อมูลมากพอสำหรับสร้างแบบจำลองสามมิติสำหรับคาดการ์ณทอร์นาโด
     
       แม้จะดูเหมือนของเด็กเล่นแต่โดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ซิคาดายังทนทานมาก โดยเอ็ดเวิร์ดอธิบายว่าเราโยนโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)นี้ออกจากเครื่องบินซี-130 ได้โดยโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ไม่เสียหาย โดรนจิ๋ว (Cicada Drone)ยังบินผ่านต้นไม้ ตกกระแทกถนนลาดยางมะตอย ล้มใส่ก้อนกรวด หรือมีเม็ดทรายเข้าไปในเครื่องได้โดยไม่เป็นอะไร แต่สิ่งเดียวที่ทำลายโดรนจิ๋ว (Cicada Drone)นี้ได้คือพุ่มไม้ทะลทราย

Cr.ผู้จัดการ

12 ก.ค. 2559

การศึกษาไทย ในสายตาชาวโลก




สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และธนาคารโลกจัดเสวนาเดินหน้าการศึกษาไทยอย่างไรให้ตอบโจทย์ ‘Thailand Economy 4.0’ จากมุมมองนักเศรษฐศาสตร์การศึกษารุ่นใหม่ในสายตาชาวโลก

แม้อัตราการเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของไทยจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บัณฑิตที่จบออกมากลับมีความสามารถต่ำลง จากผลทดสอบนานาชาติ PISA นักเรียนไทยจำนวนมากยังขาดทักษะที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในอาชีพ หรือการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น โดย 1 ใน 3 ของนักเรียนไทยที่อายุ 15ปี รู้หนังสือไม่เพียงพอที่จะใช้งานได้ และยังมีช่องว่างทักษะขั้นพื้นฐานอย่างการอ่านของเด็กไทยเปรียบเทียบในชนบทและในเมืองต่างกันมากถึง 3 ปีการศึกษา

ในสายตาชาวโลกหากเปรียบเทียบกับเวียดนาม จะพบว่าความสามารถของนักเรียนเวียดนามแซงหน้าเด็กไทยถึง 1.5 ปีการศึกษา นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเมินลงทุนประเทศไทย เบนเข็มไปลงทุนและย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เพราะคุณภาพแรงงานไม่พัฒนา ยังไม่นับรวมปัจจัยด้านคุณภาพของระบบราชการไทยและตัวชี้วัดด้านธรรมาภิบาลที่ดีลดลง ขณะที่ประเทศอื่นๆปรับปรุงดีขึ้น

ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าสู่ Economy 4.0 ด้วย Education 2.0 ซึ่งไม่สามารถช่วยให้ผู้ที่เรียนจบปรับตัวให้เข้ากับโลกของการทำงานได้ เกิดปัญหาช่องว่างทางทักษะที่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจปรับตัวแต่แรงงานไทยปรับตัวไม่ทัน ทำงานไม่ได้ตามที่นายจ้างคาดหวัง

หากเทียบกับผลสำรวจในสายตาชาวโลกของสหราชอาณาจักรและแคนาดา ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องช่องว่างทักษะรุนแรงกว่าสองประเทศนี้ถึงเท่าตัว และหากเปรียบเทียบความสามารถในการแข่งขันของทุนมนุษย์ไทยกับประเทศอื่นๆในเอเชียพบว่า ยังไม่ดีเท่ากับมาเลเซีย จีนและสิงคโปร์ ทั้งยังได้คะแนนคุณภาพการศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่ำกว่าประเทศเวียดนามที่เริ่มต้นช้ากว่า 15-20 ปี หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าไทย การศึกษาไทยในในโลกยุคใหม่ต้องก้าวสู่การคิดวิเคราะห์ ค้นคว้าสิ่งใหม่ แต่ไทยยังท่องจำเพื่อไปสอบ ถ้าเรายังไม่ปรับตัวตอนนี้ เราอาจจะไม่ใช่สิ้นชาติ แต่จะหมดโอกาสในการสร้างชาติ

การศึกษาจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพแรงงานคนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ยุค Thailand Economy 4.0 ซึ่งระบบการศึกษาที่จะตอบโจทย์นี้ต้องเปลี่ยนวิธีการสอน ลดการเรียนรู้เชิงเทคนิค และการท่องจำ แต่ให้น้ำหนักกับการสร้างทักษะการเรียนรู้และปรับตัวของผู้เรียนให้สามารถพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต และจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความต้องการของตลาดแรงงานในพื้นที่และกลุ่มจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งมีวิธีการประเมินผลการเรียนแตกต่างจากปัจจุบันที่เน้นการสอบเพียงอย่างเดียว

ผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจโลกที่กำลังเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ในอีก 5 ปีถัดจากนี้ จะเน้นการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ โดยเฉพาะแรงงานที่ใช้ “ทักษะการทำซ้ำเป็นประจำ” (Routine Skill) จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ซึ่งมีประสิทธิภาพการผลิตที่สูงกว่ามนุษย์และมีต้นทุนต่อหน่วยที่ถูกกว่า

ดังนั้นแรงงานที่ยังไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้คือแรงงานที่มี “ทักษะที่ไม่ซ้ำซ้อน (Non-Routine Skill) หรือ “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” เช่นทักษะคิดสร้างสรรค์ หรือการคิดวิเคราะห์ (Creative & Critical Thinking Skills) ซึ่งสามารถสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งทางธุรกิจในตลาดได้ สอดคล้องกับผลสำรวจความต้องการแรงงานของนายจ้างและองค์กรเกิดใหม่ในปี 2557 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA)

พบว่านายจ้างขององค์กรในศตวรรษที่ 21 คาดหวังให้พนักงานในองค์กรมีทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) มากที่สุด โดยสสค.เป็นหนึ่งองค์กรการศึกษาใน 14 ประเทศทั่วโลกที่ OECD เชิญเข้าร่วมนำร่องเครื่องมือวัดประเมินทักษะด้านการคิดวิเคราะห์คิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะมีการประกาศใช้จริงครั้งแรกในปี 2021 เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ประเทศต่างๆเร่งพัฒนาทักษะแห่งอนาคตเหล่านี้เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ต่อเนื่องได้ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 สู่สายตาชาวโลก

Cr.TNN24,SYNERGY+

เครื่องมือวัด ระดับนาโน

เครื่องมือวัดระดับนาโน



  สถาบันมาตรวิทยา ร่วมกับ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาการวัดระดับนาโน สู่มาตรฐานสากล เร่งพัฒนาต้นแบบวัสดุนาโนอ้างอิง สรรหาบุคลากรมาตรวิทยานาโนรับเทรนด์ตลาดเทคโนโลยีโลก เปิดห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบสอบเทียบผลิตภัณฑ์นาโนมาตรฐานแห่งแรกของ ไทยและอาเซียน เพื่อช่วยผู้ประกอบการลดรายจ่ายแทนการส่งสอบเทียบต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เครื่่องมือวัดต่าง ๆ เช่น เวอร์เนียร์ (Vernier)  เป็นต้น
                 
         เครื่องมือวัด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์สำหรับการวัดขนาดชิ้นงานเวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper) การวัดขนาดอนุภาค การตรวจวัดปริมาณ การวัดปริมาตร ย่อมต้องใช้อุปกรณ์วัดขนาด เพื่อช่วยผู้ประกอบการจัดทำสินค้าได้ตรงตามลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ   และสินค้าสมัยนี้ก็มีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด บางชิ้นส่วนมีขนาดเล็กจนถึงระดับนาโน การผลิตสินค้าจึงต้องอาศัยความแม่นยำในการวัดที่สูงมาก โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มักจะมีการผลิตจากประเทศหนึ่ง แล้วส่งต่อไปประกอบยังประเทศหนึ่ง จะต้องมีมาตรฐานสินค้าแบบเดียวกัน มิเช่นนั้นจะเกิดความเสียหายอย่างยิ่งใหญ่ต่อวงการอุตสาหกรรมได้

        นายประยูร เชี่ยววัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) กล่าวว่า เพื่อสนับสนุนการส่งออกและการตรวจสอบการนำเข้าของคุณภาพสินค้าด้านนาโน เทคโนโลยีทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน (มว.) จึงได้กำหนดมาตรฐานการวัดระดับนาโนแห่งชาติ เพื่อให้ห้องปฏิบัติการทุกที่มีมาตรฐานเดียวกันและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ในระดับที่สากลยอมรับ ด้วยการจัดซื้อเครื่องมือวัดระดับนาโนที่ทันสมัย และการพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านนาโนเทคโนโลยีเทียบเท่ากับนักมาตรวิทยาของประเทศที่พัฒนาแล้ว
     
       โครงการที่พัฒนาขึ้น อาทิ โครงการพัฒนาวัสดุอ้างอิงด้านเคมีและชีวภาพ การพัฒนาวิธีการวัดมาตรฐานด้านมาตรวิทยานาโน กิจกรรมเปรียบเทียบผลการวัดอนุภาคนาโนเพื่อยืนยันความถูกต้องของเครื่องมือ ไปจนถึงเครื่องมือวัดระดับนาโนที่มีเทคนิคการใช้แตกต่าง กัน และยังขยายไปสู่ภาคความร่วมมือกับภาคเอกชนที่จะผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวัดค่าความแม่นยำระดับนาโนได้ เพื่อเพิ่มความถูกต้องแม่นยำและเป็นการเพิเมมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ ด้านนาโนเทคโนโลยี  นายประยูรกล่าว
     
       ส่วนของ ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) เผยว่า ขณะนี้ศูนย์นาโนเทคกำลังดำเนินการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อการวิเคราะห์ ทดสอบผลิตภัณฑ์นาโนของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนเป็นแห่งแรกของภูมิภาค เพื่อให้บริการตรวจสอบและวัดค่าผลิตภัณฑ์นาโนแก่ผู้ประกอบการด้านนาโน เทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้านาโนเทคโนโลยีไปยังประเทศคู่ค้าที่มีการบังคับ ใช้กฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับนาโนเทคโนโลยี

       ที่ผ่านมาการวัดและการตรวจวิเคราะห์ทดสอบวัสดุด้านนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยยังไม่สามารถกำหนดแน่นอนได้ เนื่องจากเครื่องมือวัดระดับนาโนและ บุคลากรยังขาดความพร้อมในบางส่วน การตรวจวิเคราะห์ที่ผ่านมาจึงต้องส่งไปที่ห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานใน ต่างประเทศ ซึ่งเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะทราบผล 
               
       ผู้อำนวยการนาโนเทค กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของห้องปฏิบัติการเพื่อการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์นาโน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของ สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ขณะนี้ดำเนินการใกล้เสร็จและคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ ด้วยงบประมาณจัดซื้อเครื่องมือวัดระดับนาโนเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า 200 ล้านบาท

      การเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นศูนย์กลางของประเทศและอาเซียนด้านการตรวจวัดทางนาโนเทคโนโลยี ทั้งในส่วนของการสอบเทียบเครื่องมือวัดระดับนาโนต่าง ๆ เช่น การวัดขนาดอนุภาค การตรวจวัดปริมาณ การวัดปริมาตร เป็นต้น ที่คาดว่าจะสามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการด้านตัวเร่งปฏิกริยา ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี, ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์ ได้มากถึง 15,000 ตัวอย่างต่อปี โดยสินค้าที่ผ่านการตรวจสอบจะได้รับฉลากสินค้า “นาโนคิว” (Nano Q) ที่จะเป็นเครื่องมือการันตีมาตรฐานและความเชื่อมั่นด้านนาโนเทคโนโลยีของ ประเทศไทยซึ่งเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก
     
       ด้าน ดร.พิเชฐ กล่าวว่าการลงนามความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ครั้งนี้ ถือเป็นอีกจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่วงการ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านนาโนเทคโนโลยี ที่ซ่อนตัวอยู่ในอุตสาหกรรมหลายๆ ด้าน อาทิ ด้าน อิเล็กทรอนิกส์ ด้านปิโตรเคมี ด้านเวชสำอางค์ รวมไปถึงวัสดุก่อสร้าง เพราะเทรนด์โลกสมัยใหม่นิยมใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กลง พกพาได้สะดวกสบาย นาโนเทคโนโลยีจึงเป็นเทคโนโลยีที่ถูกหยิบมาใช้ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม
     
       การทำงานร่วมกันของทั้ง 2 หน่วยงานเริ่มตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน ที่เป็นการบูรณาการกันเพื่อออกแบบข้อกำหนดผลิตภัณฑ์สำหรับการประเมินผลด้าน นาโนเทคโนโลยี การจัดทำฐานข้อมูลการออกใบรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ การกำหนดรายละเอียดและขั้นตอนของการตรวจสอบร่วมกันกับสำนักงานมาตรฐาน อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับความสะดวกในการนำผลิตภัณฑ์มาตรวจการวัดค่าความ แม่นยำ ที่จะนำไปสู่การขยายผลการวัดระดับนาโน มาวัดวัสดุนาโนแบบการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในขั้นตอนเดียว  ดร.พิเชฐ กล่าว

Cr.ผู้จัดการ