13 ต.ค. 2559

เครื่องตรวจจับโลหะ ฝีมือคนไทย

 
เครื่องตรวจจับโลหะ ฝีมือคนไทย
เครื่องตรวจจับโลหะ ฝีมือคนไทย

เครื่องตรวจจับโลหะ ฝีมือคนไทย


ที่ จังหวัดชุมพร ได้เกิดเรื่องสุดฮือฮาขึ้น เมื่อผู้ช่วยผู้คุมเรือนจำประจำจังหวัดชุมพรรายหนึ่ง สามารถผลิต เครื่องตรวจจับโลหะ (Metal Detector) และมือถือขึ้นมาใช้ได้สำเร็จ ฝีมือคนไทย ด้วยเงินเพียง 2,000 บาท แต่มีประสิทธิภาพ เทียบเท่ากับเครื่องตรวจโลหะระดับสากล ทราบชื่อผู้ประดิษฐ์เครื่องมือดังกล่าวคือ นายเดชชาติ ชนก ผู้ช่วยพนักงานราชทัณฑ์เรือนจำจังหวัดชุมพร หนุ่มจบ ปวช.จากช่างซ่อม สอบทำงานเป็นผู้ช่วยราชทัณฑ์ คิดค้นประดิษฐ์เครื่องตรวจจับโลหะ มือถือ ระเบิด ราคาถูกแค่ 2 พันบาท นวัตกรรมไทยคุณภาพเทียบต่างประเทศ ไม่สิ้นเปลืองงบใช้ได้จริงในเรือนจำชุมพร

เครื่องตรวจโลหะ รางวัลรองชนะเลิศ
เครื่องตรวจโลหะเครื่องนี้สามารถตรวจวัตถุระเบิด มือถือ และวัตถุต้องสงสัยอื่นๆ ฝีมือคนไทยที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ สิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ ระดับประเทศ กรมราชทัณฑ์ เมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา โดยนายเดชชาติ เผยว่า เครื่องตรวจจับโลหะ (Metal Detector) ชนิดนี้มีการประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาเพื่อประมวลผลตรวจจับโลหะและมือถือโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนประกอบทำด้วยท่อพีวีซีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว ความยาว 1.5 เมตร ตรงกลางทำเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาด 6 นิ้ว จำนวน 2 กล่อง ภายในมีแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ประมวลผลคลื่นนำสัญญาณความถี่เพื่อตรวจจับโลหะ  และระบบแปลงสัญญาณเสียง

ตรวจโลหะ วัตถุต้องสงสัย
นายเดชชาติ ชนก ผู้คิดค้นประดิษฐ์ เครื่องตรวจจับโลหะ (Metal Detector) ดังกล่าวได้สาธิตโชว์การใช้งานโดยนำโหลแก้วความลึกประมาณ 12 นิ้ว หรือ 30 เซนติเมตร มาใส่ดินโดยไม่มีวัสดุใดๆ ภายในโหล เมื่อใช้เเครื่องตรวจโลหะวัตถุต้องสงสัยดังกล่าวตรวจจับหาวัสดุ การทำงานของระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปตามปกติไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ จากนั้นได้เปลี่ยนเป็นนำโทรศัพท์มือถือฝังไว้ใต้ก้นโหลแก้วดังกล่าว และเมื่อใช้เครื่องตรวจโลหะปรากฏว่า มีสัญญาณเสียงดังเตือนขึ้นทันที ได้ยินอย่างชัดเจนเพื่อแสดงให้รู้ว่ามีโลหะวัตถุต้องสงสัยซุกซ่อนฝังดินไว้ภายในโหลแก้วดังกล่าว

ตรวจจับโลหะ ใช้งานได้จริง
หลักการทำงานง่ายๆ และใช้ได้จริงสามารถตรวจจับโลหะที่ฝังอยู่ใต้ดินลึกเกิน 30 เซนติเมตรได้เป็นอย่างดี พร้อมสวิตช์เปิด-ปิด สวิตช์เร่งสัญญาณเสียงและรูเสียบลำโพงแบบหูฟัง บริเวณส่วนปลายทำเป็นรูปวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้ว ตั้งฉากกับพื้น ภายในมีแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์คลื่นนำสัญญาณความถี่ตรวจจับโลหะ โดยสามารถตรวจจับโลหะวัตถุต้องสงสัยที่ฝังอยู่ใต้ดินลึกเกิน 30 เซนติเมตร เคยนำไปทดลองเปรียบเทียบกับเครื่องตรวจจับโลหะ(Metal Detector)ที่ผลิตจากต่างประเทศแล้วมีความแม่นยำใกล้เคียงกัน ตอนนี้กรมราชทัณฑ์ได้นำไปใใช้งานได้จริงกับเรือนจำจังหวัดชุมพรแล้ว

สิ่งประดิษฐ์ ฝีมือคนไทย
นายกรีฑา แก้วแทศ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดชุมพร กล่าวว่า บางครั้งการตรวจค้นวัตถุต้องสงสัยและโทรศัพท์มือถือในเรือนจำทำได้ลำบากและล่าช้า เรือนจำจังหวัดชุมพร มีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะจัดซื้อเครื่องตรวจจับโลหะ(Metal Detector) จากต่างประเทศที่มีราคาแพงหลายหมื่น จนถึงหลักแสนบาท จึงมอบหมายให้ นายเดชชาติ ซึ่งมีความรู้คิดค้นประดิษฐ์ตรวจโลหะฝีมือคนไทย เพื่อใช้ตรวจสิ่งของที่จะส่งเข้าภายในเรือนจำ และใช้ตรวจค้นเรือนนอนผู้ต้องขังที่จะต้องต้องดำเนินการทุกเดือน หลังจากประดิษฐ์เครื่องตรวจโลหะใช้งานในเรือนจำจังหวัดชุมพรแล้ว ได้ส่งเข้าร่วมประกวดสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ฝีมือคนไทย เมื่อปลายปี 2558 ได้รางวัลรองชนะเลิศ ระดับประเทศเมื่อปลายปีที่ผ่านมาด้วย (2558) จากกรมราชทัณฑ์อีกด้วย

Cr.ข่าว MThai

12 ต.ค. 2559

สนามบินสคิปโฮล เนเธอร์แลนด์


สนามบินสคิปโฮล เนเธอร์แลนด์
สนามบินสคิปโฮล เนเธอร์แลนด์
รายงาน หนังสือพิมพ์ของฝรั่งเศสเปิดเผย ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ สนามบินสคิปโฮล (Schiphol) ซึ่งเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเนเธอร์แลนด์ ห่างจากกรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 9 กม. เคยตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย พร้อมกับเหตุวินาศกรรมกลางกรุงปารีส 3 จุด เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว เช่นเดียวกัน แต่กลุ่มคนร้ายกลับเปลี่ยนแผน โดยมีผู้สมรู้ร่วมคิดกับขบวนการก่อการร้ายสองคน เดินทางจากกรุงบรัสเซลส์ไปยังกรุงอัมสเตอร์ดัม มีเป้าหมายที่จะก่อเหตุในสนามบินสคิปโฮล (Schiphol) เพียงแต่ ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงได้ยกเลิกแผนการดังกล่าว

ข่าวแจ้งว่า ผู้สมรู้ร่วมคิด 2 คน ได้แก่ นายโซฟิอาน อายารี วัย 23 ปี ได้ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา ขณะหลบซ่อนตัวอยู่ที่อำเภอโมเลนเบค ในกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม ส่วนนายโอซามา คราเยม ชาวซีเรียถือสัญชาติสวีเดน ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่อำเภอลาเกน ในเบลเยียม โดยนายคราเยมได้มีภาพปรากฏในวิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่สถานีรถไฟใต้ดินกรุงบรัสเซลส์ กับนายคาลิด เอล บาคราวี มือระเบิดฆ่าตัวตายที่สถานีรถไฟใต้ดินมาลเบค กรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา

นายอายารี และ นายคราเยม ได้เดินทางไปประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยรถบัสยูโรไลน์ด้วยเอกสารประจำตัวปลอม โดยซื้อตั๋วเดินทางแบบเที่ยวเดียว จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนคดีปราบปรามการก่อการร้ายของฝรั่งเศส ระบุว่า นายคราเยม ได้ให้ปากคำในครั้งแรกว่า ได้จองห้องพักโรงแรมที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ก่อนจะยอมรับว่า ได้เดินทางกลับกรุงบรัสเซลส์ ในวันเดียวกัน พร้อมกับ นายโซฟิอาน อายารี โดยไม่ได้ไปวางระเบิดที่สนามบินสคิปโพล

ก่อนหน้านี้ (เมษายน 2559) เนเธอร์แลนด์เคยสั่งปิดสนามบินสคิปโฮล (Schiphol) ในกรุงอัมสเตอร์ดัม นาน 4 ชั่วโมง พร้อมส่งตำรวจทหารกว่า 20 นาย ลาดตระเวนพื้นที่โดยรอบสนามบิน หลังเกิดสถานการณ์ต้องสงสัย จนนำไปสู่การจับกุมชายคนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ ทางการยังไม่แถลงถึงสาเหตุของการจับกุมที่แน่ชัดระบุเพียงว่า ชายคนดังกล่าว ทำให้เกิดการเปิดสัญญาณเตือนภัยที่เป็นเท็จ และสร้างความแตกตื่นภายในสนามบิน สุดท้าย สนามบินกลับมาเปิดตามปกติแล้ว ซึ่งในระหว่างตรวจตรานั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อเที่ยวบิน  รวมถึงบริการรถไฟที่เชื่อมต่อมายังสนามบินแต่อย่างใด โดยทางการจัดวางกำลังเข้ม หวั่นเกิดเหตุซ้ำรอยเหตุโจมตีสนามบินในเบลเยียม ก่อนหน้านี้

Cr.ไทยรัฐ,Synergy | Facebook

11 ต.ค. 2559

ยุติรับธนบัตร ประเทศแรกของโลก


ยุติรับธนบัตร ประเทศแรกของโลก
ยุติรับธนบัตร ประเทศแรกของโลก
จากข้อเสนอของรัฐบาลเดนมาร์กที่ต้องการให้ร้านค้าส่วนใหญ่ในเดนมาร์ก ยุติการรับธนบัตรและเหรียญ แล้วหันมาใช้การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องรูดบัตร ทำให้เชื่อว่าเดนมาร์กน่าจะเป็นประเทศแรกในโลกที่เลิกใช้ธนบัตรและเหรียญ

โดยรัฐบาลได้ประกาศเสนอให้ร้านค้าเกือบทั้งหมดทั่วประเทศ ไม่รับซื้อขายสินค้าด้วยธนบัตรและเหรียญภายในเดือน ม.ค.2559  การยุติใช้ธนบัตรและเหรียญในการช็อปปิ้ง-ซื้อสินค้าของรัฐบาลเดนมาร์กในครั้งนี้ อาจทำให้เดนมาร์กกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่โละทิ้งธนบัตรและเหรียญ

เงื่อนเวลาดังกล่าวถือว่าไม่เร็วจนเกินไป เมื่อปริมาณการใช้เงินสดหรือธนบัตรของชาวสแกนดิเนเวียน อันประกอบด้วย 3 ประเทศ ได้แก่ นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก เหลือเพียงแค่ 6% ของการจับจ่ายทั้งหมด โดยบรรดาชาวสแกนดิเนเวียน 3 ประเทศดังกล่าว ถือเป็นพลเมืองผู้นำเทรนด์การชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์(เครื่องรูดบัตร) ระดับโลก

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังกำหนดให้ผู้ให้บริการอย่างโรงพยาบาล ร้านขายยา และร้านรับส่งไปรษณีย์ ยังต้องรับเงินสดหรือ ธนบัตร อยู่ ซึ่งข้อบังคับดังกล่าว จะต้องร่างเป็นกฎหมายเพื่อรองรับต่อไป

การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์(เครื่องอ่านบัตร) ซึ่งรวมทั้งเครดิตการ์ดนั้น ในมุมของผู้บริโภคบางราย อาจมองว่าไม่สะดวก โดยเฉพาะคนที่คุ้นชินกับการใช้และถือเงินสดหรือธนบัตร แต่สำหรับร้านค้าแล้ว การใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยสร้างความสะดวกและลดความเสี่ยงลงได้มาก โดยนอกจากลดต้นทุนในการเก็บและขนย้ายเงินแล้ว ยังลดปัญหาการโจรกรรม ยักยอกเงินได้ชะงัดอีกด้วย

นาย Micheal Busk-Jepsen ผู้อำนวยการบริหารสมาคมธนาคารแห่งประเทศเดนมาร์ก กล่าวว่า สังคมที่ไม่ใช้เงินสดหรือธนบัตร ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป ไม่นานจากนี้ เชื่อว่าโลกที่ไม่ต้องใช้เงินสดหรือธนบัตรจะเกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างพร้อม โดยเฉพาะผู้บริโภค

แม้ว่าปัจจุบัน ร้านค้าในเดนมาร์กทั้งหมดจะรับเงินสดหรือธนบัตรจากลูกค้า แต่ผู้บริโภคชาวเดนมาร์กส่วนใหญ่กลับไม่นิยมใช้เงินสดกันแล้ว  โดยประชาชนเดนมาร์กเกือบ 40% ใช้จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือของตน ทั้งการโอนเงินระหว่างกันและการใช้ซื้อหาสินค้า เช่นเดียวกับพลเมืองสแกนดิเนเวียนในอีก 2 ประเทศ อันได้แก่ นอร์เวย์และสวีเดน

จากข้อมูลของธนาคารกลางนอร์เวย์ ปัจจุบันพลเมืองของ 3 ประเทศสแกนดิเนเวียนใช้เงินสดแค่ 6% ของการจับจ่ายทั้งหมด ในสวีเดนแม้แต่หนังสือพิมพ์ข้างทางที่ขาย โดยพวกไร้บ้าน ยังสามารถซื้อผ่านบัตรเครดิตได้ ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา คนยังใช้เงินสดอยู่ถึง 47%

ขณะเดียวกัน ความนิยมในการจับจ่ายใช้สอยที่ไม่ใช้เงินสด ยังแพร่กระจายไปยังประเทศยุโรปอื่นๆด้วย จากข้อมูลของธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) ระบุว่า การใช้จ่ายที่ไม่ใช้เงินสดเพิ่มขึ้น 6% ในปี 2556 และในปี 2557 ที่ผ่านมา การใช้จ่ายที่ไม่ใช้เงิน มีสัดส่วนแซงการใช้จ่ายด้วยเงินในอังกฤษเป็นครั้งแรก

แม้ว่าสหประชาชาติก็ยังร่วมกับมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ สนับสนุนการผลักดันให้สังคม ใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก) มากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายและสร้างความเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม การใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ ก็ยังเป็นอุปสรรคสำหรับคนบางกลุ่ม เช่น คนสูงวัยที่ถนัดใช้เงินสด หรือกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงระบบการจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องรูดบัตร ) เช่น ไม่มีเครดิตการ์ด ขณะเดียวกันปัญหาการฉ้อโกงก็ยังเป็นเรื่องใหญ่และถือเป็นข้อกังวล

โดยข้อมูลจากธนาคารกลางยุโรป ระบุว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องรูดบัตร) มีอัตราการฉ้อโกงมากขึ้น โดยในปี 2555 มีมูลค่า 1,300 ล้านยูโร หรือประมาณ 49,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า.

Cr.ไทยรัฐ

10 ต.ค. 2559

เทคโนโลยี Internet of Things


เทคโนโลยี Internet of Things
เทคโนโลยี Internet of Things
งาน Computex Taipei ที่ผ่านมา ณ กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน ยักษ์ใหญ่แห่งโลกไอทีอย่าง intel ไม่พลาดที่จะเสิร์ฟนวัตกรรมคอมพิวเตอร์ในรูปแบบใหม่ โดยในปีนี้อินเทล (intel) มาในแนวคิด "ไลฟ์สไตล์แบบใหม่ การใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด" (Smart Living - the New Lifestyle) พร้อมโซลูชั่น Internet of Things (IoT) ที่กำลังจะเปลี่ยนวิถีชีวิตในอนาคตของนุษย์ให้สอดประสานไปกับเทคโนโลยี IoT อย่างผสานลงตัว สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์ไอทีมากมาย เช่น เครื่องสแกนแบบพกพา  ที่ชาร์ตแบตเตอร์รีมือถือ  หรือ จักรยานรักษ์โลก เป็นต้น

เมื่อทุกสิ่งที่คุณหยิบจับในชีวิตประจำวันกลายเป็นการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้คุณสามารถสั่งการ หรือควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัวเช่นใช้ เครื่องสแกน ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการสั่งเปิด-ปิดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ดูแลประสิทธิภาพของอุปกรณ์โรงงาน ชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย และไม่เว้นแม้แต่การบริหารจัดการภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ชาวบ้าน ประชาชนคนธรรมดาที่ไม่รู้ซึ้งถึงโลกไอทีนัก อาจจะนึกสงสัยว่า Internet of Things (IoT) สามารถทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตได้บ้าง วันนี้ขอยกตัวอย่างนวัตกรรมสุดล้ำที่สามารถใช้งานได้จริง เรียงร้อยเป็นเรื่องราวเข้าใจง่ายๆ ปราศจากภาษาคอมพ์ไกลตัว โดยเริ่มจาก...

1.ชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย (Wireless Charging Battery)

สำหรับใครบางคน การพกเพาเวอร์แบงก์ (Power Bank) ขนาดใหญ่ มองหาปลั๊กสำหรับชาร์จ หรือหยิบสายชาร์จพร้อมหัวชาร์จไปทุกที่ทุกทางอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากไปสักหน่อย

แต่เทคโนโลยีการชาร์จแบต หรือ ที่ชาร์ตแบตสํารอง กำลังได้รับการพัฒนาให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันมากขึ้น ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายพร้อมกันนั้น intel ยังมีข้อตกลงกับบริษัท ไฮเออร์ จากประเทศจีน เพื่อติดตั้งระบบชาร์จไร้สายในร้านอาหาร โรงแรม ร้านกาแฟ และสนามบินทั่วประเทศจีน เพราะฉะนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ เรื่องชาร์จๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องไม่ยุ่งยากอีกต่อไป

หากอุปกรณ์ของคุณไม่รองรับการชาร์จไร้สายนั้น คุณก็สามารถอัพมือถือของคุณให้รองรับการชาร์ตไร้สายได้ โดยหาซื้อเคสที่ออกแบบเข้ากับมือถือ และรองรับ Wireless Charging ได้ โดย Intel กำลังร่วมมือกับผู้ผลิตมือถือ ผู้ดูแลเครือข่าย และและร้านค้าต่างๆ เพื่อออกแบบอุปกรณ์ชาร์จแบตไร้สายให้ทำงานได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

2.การประชุมเสมือนจริง 3 มิติ (Intel RealSense 3D )

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่คาดว่าจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คือ กล้อง Intel RealSense 3D ซึ่งถูกออกแบบให้มีเซ็นเซอร์ความลึกที่ดีที่สุด กล้อง full color ความละเอียดที่ 1080p โดยมีความสามารถในการจับการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ ตรวจจับใบหน้าเพื่อเข้าใจการเคลื่อนไหวและอารมณ์ และทำให้สามารถแยกแยะท่าทางต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ

ฉะนั้น จะส่งผลดีอย่างเห็นได้ชัดในแง่ของการประชุมผ่านวิดีโอ ซึ่งเทคโนโลยี Intel RealSense จะทำให้การประชุมหารือในองค์กรที่เสมือนจริง โดยผู้จัดการประชุมสามารถส่งรหัสไปยังผู้ร่วมประชุม พร้อมกับกำหนดได้ว่า จะให้ใครเข้าถึงเน็ตเวิร์กขององค์กรได้ อีกทั้งยังสามารถแชร์หน้าจอออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เข้าร่วมประชุมที่อยู่ในที่ต่างๆ ให้สามารถโต้ตอบกัน หรือส่งไฟล์ให้กันและกันได้อย่างสะดวกราบรื่น

3.สแกนใบหน้าแทนรหัสผ่าน (Face scanning password)

ไม่ต้องจำ Password ให้วุ่นวาย! สแกนใบหน้าเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ไอที Internet of Things (IoT) ยังถูกพัฒนาให้จดจำใบหน้าของเจ้าของอุปกรณ์ไอที เพียงแค่คุณสแกนใบหน้า โดยไม่ต้องจำรหัสผ่านในการเข้าถึง ก็สามารถเข้าถึงอุปกรณ์เครื่องโปรดของคุณได้ทันที ซึ่งขอบอกว่า นวัตกรรมที่ว่านี้ แม้ว่าจะมีผู้ไม่หวังดีใส่หน้ากาก หรือผู้มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเจ้าของอุปกรณ์ไอที ใครคนนั้นก็ไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างแน่นอน

4.บ้านอัจฉริยะ (Smart Home)

บ้านอัจฉริยะ สะดวก สบาย ประหยัด  เจ้าของบ้านสามารถควบคุมเครื่องใช้ต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม โดยสามารถสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เปิดปิดแอร์ เปิดปิดไฟ หรือแม้แต่ปิดกาต้มน้ำร้อนก็สามารถทำได้ อีกทั้งยัง สามารถแจ้งเตือนเจ้าของบ้านเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าเสีย หรือมีชิ้นส่วนต้องเปลี่ยน พร้อมช่วยติดต่อไปยังศูนย์บริการหลังการขาย

5.จักรยานชาญฉลาด (U bike)

U bike จักรยานชาญฉลาด รักษ์โลก!  ว่าด้วยเรื่องยานพาหนะที่คอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง อย่าง “U bike” จักรยานเช่าสาธารณะที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุดจากชาวไต้หวันและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากรุงไทเป โดยผู้ใช้สามารถขับขี่ซอกแซกไปตามซอกซอยต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย และถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางท่องเที่ยวทั่วกรุงไทเป พร้อมทั้งตอบโจทย์ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรให้แก่สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมสุขภาพผู้ใช้งานอีกด้วย

โดยการใช้งานก็แสนจะง่ายดาย เพียงแค่นำ EasyCard ซึ่งเป็นบัตรเงินสดอเนกประสงค์ของไต้หวันโดยเฉพาะ แตะบัตรไปที่แท่นด้านข้างจักรยาน ดึงจักรยานออกมา และเมื่อถึงเวลาจะคืนก็เข็นจักรยานเสียบเข้าไปในช่อง แล้วแตะบัตรเพื่อคำนวณหักค่าเช่าอัตโนมัติออกจากบัตร

แม้ว่าการขับเคลื่อน Internet of Things (IoT) นั้น จะให้ทั้งความสะดวกสบายง่ายดายไปเสียทุกอย่าง แต่บนประโยชน์มหาศาลก็ยังมีความเสี่ยงที่แฝงตัวอยู่ด้วย เพราะถ้าระบบรักษาความปลอดภัยของอินเทอร์เน็ตยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอ การติดตั้งซอฟต์แวร์เช่น อินเทล เซ็คเคียวริตี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ มิฉะนั้นเทคโนโลยีอาจนำมาสู่ภัยร้ายโดยไม่รู้ตัว....

Cr.ไทยรัฐ

7 ต.ค. 2559

5 ความเทห์ Samsung S6


5 ความเทห์ Samsung S6
5 ความเทห์ Samsung S6

1.กล้องเทพ

 หลายๆ คนเจอปัญหาการถ่ายรูปตอนแสงน้อย รูปนั้นอาจจะเบลอ จนต้องมาปรับแต่งแอพอีกหลายรอบ (บางทีถ่ายกลางวันเนี่ยแหละ แต่มันย้อนแสง เอ๊า ทำไมไม่ย้ายฝั่งหล่ะ ก็ฉันจะเอาวิวฝั่งนี้ เข้าใจมั้ย!) แต่ Samsung Galaxy S6 จะทำให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป ด้วยรูรับแสงที่กว้างถึง ƒ1.9 ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง (แล้วไอ้เจ้า ƒ1.9 นี่มากแค่ไหนอ่าาา พอดีนู๋ไม่เข้าใจศัพท์เทคนิค) ก็เอาง่ายๆว่า iPhone 6 มีรูรับแสงขนาด ƒ2.2 อ่ะค่าคุณขา แต่ Samsung Galaxy S6 จัดมาให้ถึง f/1.9 (มากกว่ากี่เท่าตัวก็นับนิ้วเอานะจ้ะ)

 ความสามารถของความกว้างรูรับแสงที่มีขนาด ƒ1.9 หมายถึง การเปิดรูรับแสงที่กว้างขึ้น ทำให้แสงสามารถเดินทางผ่านไปยังจอรับภาพได้มากขึ้นนั้นเอง เมื่อเราถ่ายภาพในที่มืด เจ้า ƒ1.9 จึงเป็นตัวช่วยอย่างดี ที่ทำให้การถ่ายภาพในที่มืดของเรา ชัดเจนกว่าเดิม เปิดรูรับแสง ในที่มืด รูกว้าง หน้าชัดเป๊ะ

ซึ่งคุณภาพของกล้อง Samsung Galaxy S6 จะช่วยให้ภาพที่เราถ่ายออกมาแจ่มสุดๆจนเพื่อนอิจฉา (ระวังเพื่อนขโมย อันนี้พี่เตือน!!) เอาเป็นว่าต่อไปนี้ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางวัน กล้องนี้ก็พึ่งพาอาศัยได้ ไม่ต้องแบกกล้องใหญ่ไปให้ปวดหลัง แต่จะเหนื่อยหน่อยนะ เพราะเพื่อนจะบอกให้เราถ่ายแล้วส่งรูปให้ด้วยยยยย


 รับรองว่าทั้งคุณและคนที่คุณรักก็จะไม่พลาดการเก็บภาพในโมเม้นท์สำคัญๆอีกต่อไป!  (และไม่ต้องเหนื่อยใช้แอพเพิ่มแสงในภาพ ขาวจนแทบไม่เห็นอะไรเลยในรูป #ร้องไห้หนักมาก) 

 ยังค่ะ ยังไม่พอ ความเทพของกล้อง Samsung Galaxy S6 ไม่ได้มีแค่ถ่ายชัดในที่มืด ที่มาพร้อมกับความละเอียดของกล้องหลัง16 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล และยังมีระบบป้องกันภาพสั่นอัจฉริยะ (บางทีเจอดาราคนโปรดอยากถ่ายรูปด้วย เพื่อนถ่ายออกมาให้แต่รูปสั่นรัวๆ #ร้องไห้หนักมาก) ปาดน้ำตาสะบัดบ๊อบ ไปลองกล้อง Samsung Galaxy S6 แล้วพบกับชีวิตใหม่ภาพใหม่ ลงfacebook, IG ไปเรียก like กระจาย!

 แต่เอาจริงๆ สำหรับยุคนี้กล้องกล้องก็สำคัญไม่แพ้กล้องหน้า แน่นอนคนรักการ selfie จะต้องหลงรัก Samsung Galaxy S6 สุดๆ ด้วยเลนส์ที่มีความสว่างสูง และฟังก์ชั่น HDR อัตโนมัติ ช่วยให้ภาพเซลฟี่ของคุณมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ว่าแต่ HDR  คืออะไรคะพี่ขา เล่าให้ฟังหน่อยสิ .. ฟังชั่น HDR นี้ ย่อมาจาก High Dynamic Range ซึ่งมันหมายถึงช่วงของความมืด – ความสว่างที่สิ่งใดๆสามารถสร้างขึ้นมา พูดง่ายๆ ว่าภาพที่ผ่านกระบวนการ HDR จะแสดงรายละเอียดออกมาอย่างครบถ้วน

2. จอเทพ

หน้าจอขนาด 5.1นิ้ว ความละเอียดสูงถึง 2560x1440 (577 ppi)  เทพแค่ไหนก็ขอกระซิบเบาๆว่า  (( iPhone6 ความละเอียดจออยู่ที่ 326 ppi )) เท่านั้นนะจ้ะ พูดเลยว่าเป็นมือถือที่มีความละเอียดจอที่ดีที่สุดในขณะนี้ แถมยังผลิตจากกระจกจอ Gorilla Glass4 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ทนทานต่อการตกมากกว่าเดิม ทั้งหมดนี้จะให้ประสบการณ์การมองที่คมชัดอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด และหน้าจอที่ปรับได้อย่างชัดเจนทั้งในร่มและกลางแจ้ง ทำให้คุณถ่ายภาพได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว สำหรับการใช้งานของนักธุรกิจ หรือกราฟฟิคดีไซเนอร์ที่ต้องทำงานรับส่ง email บอกเลยว่าไม่ต้องพกโนตบุคให้หนักอีกต่อไป จอภาพของ Samsung Galaxy S6   จะให้ประสิทธิภาพการทำงานกับคุณได้ ไม่แพ้จอคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว

3. แบตเตอรี่เทพ

ฟังชั่นนี้มนุษย์ power bank จะต้องปลื้ม รู้มั้ยว่าชาร์ต แบตสำรอง แค่ 10 นาที ต่อชีวิตแบตเตอรี่คุณได้ถึง 4 ชั่วโมง หรือเพื่อความบันเทิงก็ซื้อเพิ่ม powerbank ไป และยังไม่พอ Samsung Galaxy S6   ยังมีโหมดประหยัดพลังงานสูงสุด (Ultra Power Saving Mode) เมื่อต้องการ Save แบตแบบสุดๆ ซึงระบบนี้จะลดระดับระบบการประมวลผลลง ให้เหลือแต่การใช้งานที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เช่น ถ้าเหลือแบตอยู่ 10% แล้วเปลี่ยนมาใช้ mode นี้ โทรศัพท์ของเราจะอยู่ stand by ได้ถึง 24 ชม. เลยทีเดียว oh พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก

เท่านั้นยังไม่พอ Samsung Galaxy S6  ยังมาพร้อมฟังชั่น ที่ชาร์ตแบตสํารอง แบบไร้สายอีกด้วย โดยตัวแท่นชาร์จนี้มีขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาสะดวก ดีไซน์ทันสมัย ล้ำอีกแล้ว (เก๋ขนาดนี้ระวังเพื่อนขโมย เราเตือนคุณจริงๆ นะ!

4. ดีไซน์เทพ

รู้มั้ยว่าวัสดุของ Samsung Galaxy S6  ใช้กระจกมาผสานกับโลหะ ออกแบบอย่างบรรจงประณีต ออกมาเป็นตัวเครื่องที่สวยงามไร้ที่ติ  โดยเฉพาะ Samsung Galaxy S6 edge ที่มี ดีไซน์หรูหรา เป็นมือถือจอโค้ง ระดับ Hi-End มีหน้าจอแสดงผลแบบขอบจอโค้งทั้งสองด้าน “เป็นครั้งแรกในโลก”  แต่ 10 ปากว่า ไม่เท่าตาเห็น อธิบายตรงนี้ไปก็อาจจะรู้สึก เออสวยดีนะ แนะนำให้ไปลองลูบๆ คลำๆ ดูซักครั้ง รับรองจะประทับใจมิรู้ลืม (ถ้าเพื่อนใกล้ตัวมี แนะนำให้ยืมเพื่อนมาจับดูซักครั้ง แต่ยืมแล้วอย่าติดใจจนลืมคืนหล่ะ!)

 คุณค่าของงาน Design ยังไม่หมดจ้า ตัวสีของเครื่องเห็นวิบแว๊บวับแบบนี้ นางใช้ Dynamic reflective color ทำให้เวลาแสงมาตกกระทบที่ตัวเครื่องเกิดความรู้สึกไม่จำเจ เครื่องสะท้อนแสงคล้ายเราถือเครื่องประดับเสริมบารมี
Dynamic reflective color

เคยสงสัยไหม  นอกจากดีไซน์ของขอบข้างที่กลมมนแล้วเนี่ย มันมีประโยชน์อะไรอีกนะ รู้หรือไม่ว่า เจ้าขอบมนๆเนี่ย มีฟีเจอร์ที่ทำมาเพื่อตอบสนองการใช้งานที่ง่าย และเพิ่มความสะดวกให้มากยิ่งขึ้น ด้วย People edge และ Edge lighting

Edge screen คือ บริเวณ ขอบจอโค้งมน อันเป็นที่อยู่อาศัยของ People edge และ Edge lighting

People edge คือ พื้นที่สำหรับ Short cut application เรียกใช้งานแอพที่เราใช้บ่อยได้โดยไม่ต้องปลดล๊อคหน้าจอ นอกจากนี้ยัง สามารถใส่เบอร์โทรคนสำคัญได้ถึง 5 รายชื่อ พร้อมสีที่เปลี่ยนไปของแต่ละรายชื่อ

People lighting คือ ทับเสริมของ People edge ถ้ามีสายโทรเข้า, ข้อความจาก 1 ใน 5 ของบุคคลในรายชื่อนี้ ก็จะมีการเรื่องแสงตามที่ที่จอ Edge screen ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ทันทีว่าเป็นใครที่ทำการติดต่อเข้ามา

5.สั่งงานด้วยเสียงระดับเทพ “S Voice”

ฟังก์ชั่น S Voice ใหม่ ที่พร้อมรับคำสั่งจากเสียงของคุณทุกเวลา ทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานแอปได้อย่างสะดวกรวดเร็วในเวลาไม่กี่วินาที ไม่ว่าคุณจะกำลังทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือขับรถอยู่  เก๋กู๊ดราวกับมีเลขาส่วนตัวเลยทีเดียว!

นี่แค่คุณสมบัติ 5ข้อเด่นๆ ของ Samsung Galaxy S6 ที่เลือกมาเล่าในวันนี้ จริงๆแล้วยังมีลูกเล่นอะไรอีกมากมายให้ลองใช้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบซัมซุง เพย์ (Samsung Pay) ที่จะทำให้คุณลืมการพกบัตรเครดิตออกจากบ้านไปเลย และฟังชั่นน่าใช้อื่นๆ อีกมากมาย ไม่เชื่อ ลองไปสัมผัสดู


Cr.ข่าวสด,Synergy | Twitter

6 ต.ค. 2559

เทคโนโลยี่ RFID

 
เทคโนโลยี่ RFID
เทคโนโลยี่ RFID

เทคโนโลยี่ RFID


RFID ย่อมาจากคำว่า Radio Frequency Identification เป็นระบบที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เพื่อวัตถุประสงค์หลักในการใช้งานที่ระบบฉลากแบบบาร์โค้ดไม่สามารถใช้การได้ โดยจุดเด่นของ RFIDคือ ความสามารถในการอ่านข้อมูลของฉลากได้โดยที่ไม่ต้องมีการสัมผัส (Contactless) สามารถอ่านข้อมูลได้แม้ในทัศนวิสัยไม่ดี ทนความเปียกชื้น แรงสั่นสะเทือน การกระทบกระแทก และยังสามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง ซึ่งในปัจจุบันได้มีการนำ RFID มาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นในบัตรชนิดต่างๆ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตร ATM บัตร เข้า-ออกสำนักงานหรืออาคารที่พัก ลานจอดรถ ฉลากสินค้า หรือแม้กระทั่งการฝังลงในตัวของสัตว์เพื่อเก็บประวัติของสัตว์ตัวนั้นๆ เป็นต้น


ระบบ RFID จะมีองค์ประกอบหลักๆด้วยกัน 3 ส่วน คือ
1. ป้าย (Tag, Transponder) คือ ตัวจัดเก็บและส่งข้อมูล ภายใน Tag จะ ประกอบด้วยขดลวดที่ทำหน้าที่เป็นสายอากาศและวงจรไมโครชิพที่ทำหน้าที่เป็น ตัวเก็บข้อมูล โดยจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุชิ้นนั้นๆเอาไว้ และจะส่งสัญญาณหรือข้อมูลไปตอบสนองที่ตัวอ่าน ซึ่ง Tag นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งในรูปของบัตร เหรียญ ฉลาก หรือแม้แต่เป็นไมโครชิพที่ใช้ในการฝังภายในร่างกายหรือตัวสินค้าโดยทั่วไปแล้ว Tag จะมี 2 ประเภท

Active Tag
     - ต้องมีแหล่งพลังงานในตัว เพื่อจ่ายพลังงานให้กับวงจรไมโครชิพและส่งสัญญาณให้กับตัว Reader
     - ใช้งานในย่านความถี่ 455MHz, 2.4GHz หรือ 5.8GHz และสามารถอ่านได้ในระยะ 60-300 ฟุต
     - ส่วนใหญ่ใช้ในงานขนาดใหญ่ๆ เช่น ตู้คอนเทรนเนอร์ โกดังสินค้าขนาดใหญ่ รถรางต่างๆ ท่าเรือ ฯลฯ
     - มีอายุใช้งานจำกัด และไม่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้

Passive Tag
     - ไม่มีแหล่งพลังงานในตัว อาศัยคลื่นวิทยุมาเหนี่ยวนำให้เกิดเป็นพลังไฟฟ้า
     - ราคาถูก ทนทาน ไม่ต้องดูแลรักษามาก
     - ใช้ได้ทั้งความถี่ต่ำจนถึงความถี่สูง
     - อ่านข้อมูลได้ในระยะใกล้ๆ เหมาะกับระบบเข้า-ออกของสถานที่ต่างๆ ระบบป้องกันขโมยสินค้า ฯลฯ
     - อายุการใช้งานยาวนานมาก

2. Reader คือ อุปกรณ์ที่ใช้อ่าน หรือเขียนข้อมูลลงในตัว Tag โดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ ภายใน Reader จะประกอบด้วยเสาอากาศ เพื่อใช้รับ-ส่งสัญญาณ, ภาครับภาคส่งสัญญาณวิทยุ, วงจรควบคุมการอ่าน-เขียนข้อมูล และส่วนที่ต่อกับคอมพิวเตอร์ ตัว Reader นั้นก็มีหลากหลายรูปแบบเช่นกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน มีทั้งแบบมือถือ ติดผนัง หรือแบบตั้งพื้นขนาดใหญ่

3. ฮาร์ดแวร์ หรือ ระบบที่ใช้ประมวลผล คือ ส่วนที่จะทำการประมวลผลข้อมูลที่ได้มาจากป้าย (Tag) หรือ จะสร้างข้อมูลเพื่อส่งไปยังป้าย (Tag) หรือ ว่าจะเป็นที่เก็บระบบฐานข้อมูล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบที่เรานำเอาไปใช้ เช่น ระบบการจัดการฟาร์มปศุสัตว์ ระบบคลังสินค้า ระบบขนส่ง ระบบการบริหารทรัพยากรต่างๆ เป็นต้น

หลักการทำงานเบื้องต้น
การสื่อสารระหว่าง Tag กับ Reader จะเป็นการสื่อสารที่อาศัยคลื่นความถี่วิทยุ โดยตัว Reader จะส่งคลื่นวิทยุออกมาตลอดเวลา และเมื่อ Tag ผ่านเข้ามาอยู่ในขอบเขตระยะส่งสัญญาณของ Reader เมื่อ Tag ได้รับคลื่น ขดลวดภายใน Tag นั้นนอกจากจะเป็นเสาอากาศแล้ว ยังทำหน้าที่แปลงคลื่นกลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อใช้เลี้ยงวงจรไมโครชิพของตัว Tag เพื่ออ่าน หรือบันทึกข้อมูลลงในวงจรไมโครชิพภายใน Tag จากนั้นจะส่งข้อมูลที่ผ่านการแปลงจากไมโครชิพกลับมาโดยผ่านเสาอากาศด้วยการเหนี่ยวนำคลื่นความถี่ไปที่ Reader อีกครั้ง และ Reader จะส่งข้อมูลไปยังหน่วยประมวลผลหลักของคอมพิวเตอร์เพื่อถอดรหัสแล้วนำข้อมูลที่ถอดได้ไปใช้งานต่อไป โดย Reader กับคอมพิวเตอร์จะติดต่อสื่อสารกันผ่านทาง LAN หรือ ส่งผ่านทางความถี่วิทยุทั้งอุปกรณ์มีสายและไร้สาย

Cr.ข่าวสาร Update ,Synergy | Facebook

บาร์โค้ด เทคโนโลยีใกล้ตัว


บาร์โค้ด เทคโนโลยีใกล้ตัว
บาร์โค้ด เทคโนโลยีใกล้ตัว
ใครยังไม่เคยซื้อสินค้าจากห้าง หรือร้านสะดวกซื้อ กันบ้าง? เชื่อว่าอัตราส่วนของคำตอบดังกล่าวคงอยู่ที่ 0.00001% เพราะนอกจากความศิวิไลซ์ที่กระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ ปัจจุบัน ร้านค้าน้อย-ใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ในรูปแบบซื้อสะดวกและทันสมัยก็ได้ขยายตัวไปทั่วทุกแห่งหนของประเทศแล้ว

ชีวิตประจำวันแต่ละคนจะต้องวนเวียนอยู่กับ "บาร์โค้ด (Barcode)" แบบไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่คุณซื้อสินค้าก็จะมีพนักงานขายใช้ เครื่องอ่านบาร์โค้ด อ่านรหัสบนตัวสินค้า แล้วคุณรู้จักประวัติ ความเป็นมาของเจ้าเทคโนโลยีนี้แค่ไหน เราจะพาไปหาคำตอบ…

หนึ่งในเทคโนโลยี ใกล้ตัวที่เราได้พบเห็นและเรียกว่าผูกพันอยู่กับวิถีการจับจ่ายของเรา แต่อาจไม่เคยรู้ที่มาที่ไปก็คือ "บาร์โค้ด" (Barcode) ซึ่งเราได้รวบรวมเรื่องน่ารู้และความเป็นมาของบาร์โค้ดมาฝากกัน!

10 ข้อ คลายสงสัยเกี่ยวกับ "บาร์โค้ด (Barcode)"

1. ต้นแบบเทคโนโลยี บาร์โค้ด (Barcode) มาจากแนวคิดของ Wallace Flint นักศึกษามหาวิทยาลัย Harvard ในปี 1932 ซึ่งใช้บัตรเจาะรูเป็นตัวกำหนดรหัสสินค้าแล้วนำไปตอกในเครื่องอ่าน ต่อมา Bernard Silver นักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยี Drexel ได้นำมาพัฒนาต่อ โดยใช้หมึกเรืองแสงและการฉายแสง UV แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากไม่เสถียรในการใช้งานและต้นทุนสูง

2. Joseph Woodland ได้ช่วยเหลือ Bernard Silver จนทำให้ทั้ง 2 คน สามารถจดสิทธิบัตรการออกแบบ บาร์โค้ด (Barcode)เป็นครั้งแรก ในวันที่ 7 ต.ค.1952 โดยมีรูปแบบในขั้นแรกเป็นวงกลมคล้ายแผ่นปาเป้า ซึ่งถูกนำไปทดลองใช้งานเป็นครั้งแรกที่ร้านค้าเครือ Kroger ในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ปี 1967

3. ในเดือนมิ.ย. 1974 เครื่องสแกนบาร์โค้ด ก็ถูกพัฒนาขึ้นสำเร็จ ทั้งยังมีการปรับปรุงให้ บาร์โค้ด (Barcode)กลายเป็นลักษณะแบบแท่งและมีตัวเลขเช่นเดียวกับในปัจจุบัน

4. เพียง 26 วัน หลังจากเครื่องสแกนบาร์โค้ดหรือบางที่เรียกว่า เครื่องยิงบาร์โค้ด ถูกพัฒนาขึ้น ก็มีการนำไปใช้งานจริงเป็นครั้งแรกในซุปเปอร์มาร์เก็ตทันที โดยสินค้าแรกที่ถูกสแกน คือ หมากฝรั่ง Wringley

5. การทำงานของบาร์โค้ดใช้รูปแบบของแถบสีดำและขาวที่มีความกว้าง-ถี่ แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวเลขที่กำกับอยู่ด้านล่าง การอ่านข้อมูลจะอาศัยหลักการสะท้อนแสงของเครื่องสแกน เพื่อนอ่านข้อมูลสู่คอมพิวเตอร์

6. ความสะดวก รวดเร็ว และน่าเชื่อถือ รวมถึงโอกาสผิดพลาดเพียง 1 ใน 10,000,000 ทำให้ระบบบาร์โค้ดได้รับความนิยมไปทั่วโลก

7. ประเทศไทยมีบาร์โค้ดใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2530 โดยสภาอุตสาหกกรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบสิทธิ์นายทะเบียนรับสมัครสมาชิกจดทะเบียนบาร์โค้ด ซึ่งทำให้ระบบดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในทันที

8. "รหัสแท่ง" คือ ชื่อภาษาไทยของบาร์โค้ด

9. การสแกน QR Code ก็ถือเป็นบาร์โค้ดประเภทหนึ่ง โดยถือเป็นบาร์โค้ด 3 มิติ ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ตามยุคสมัยที่มีความเจริญมากขึ้น

10. จากการใช้งานเพื่อสแกนสินค้าในยุคแรกได้ใช้ ปัจจุบันบาร์โค้ดถูกนำไปใช้ในหลากลายช่องทาง อาทิ เกม การแอดเพื่อนบนโซเชียล หรือการดูรายละเอียดเพิ่มเติมของสินค้า

Cr. FHM, Asia21st